19 กันยายน 2550 01:30 น.
เก็จถะหวา
คำป้อสาวสวยแห่งขุนน้ำแม่ทา นอกจะเพียบพร้อมด้วยคุณสมบัติของกุลสตรีแล้ว
เธอยังชอบกอบก่อกองบุญกองกุศลอีกด้วย
คราวครั้งหนึ่ง มีภิกษุหนุ่มรูปงาม ผู้แลดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อยสมกับ
พระผู้ครองศีลวัตรอย่างน่าเลื่อมใสศรัทธายิ่งนัก ธุดงค์ผ่านมาแวะพัก
จำพรรษาอยู่ที่วัดในหมู่บ้านขุนทาแห่งนี้
คำป้อคนงามก็มีจิตศรัทธาแรงกล้านำอาหารคาวหวานไปถวายทานแทบทุกวัน
แถมยังนั่งสนทนาธรรมกับท่านอีกครั้งละนานๆ จนผิดสังเกต
เจ้าหนุ่มนพดลลูกชายพ่อกำนันแปงผู้ที่หมายปอง สาวเจ้าเหมือนดั่งมดแดงแฝงพวงมะม่วงมานานถึงกับคิดหนักจนต้องหารือลูกน้องคนสนิทที่เฝ้าติดตาม
"น้องคำป้อเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย นับตั้งแต่ไอ้เถรหนุ่มฟ้อนั่นมันมาจำวัดอยู่หมู่บ้านเรานี่น้องคำป้อเปลี่ยนไปคนละคนเลย กูว่ามันชักจะยังไงๆ อยู่นา"
" จัดการมันเลยไหมพี่?" ลูกน้องคนนิทผู้ติดตามเสนอตัวรับใช้เพื่อประจบเอาใจนายตามประสาผู้จงรักภัคดี
" เฮ่ย! ใจเย็นๆ คอยดูมันไปก่อน ไม่อยากเป็นบาปติดตัวว่ะ เกิดที่แท้มันเป็นพระสุฏิปันโน ขึ้นมาแล้ว กูก้อซวยตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดเชียวนาเว้ย!"
ถึงบ้าดีเดือดเลือดพล่านอย่างไรเพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เล็กในฐานะลูกชายคนเดียวของผู้มีอิทธิพลในเขตตำบลแม่ทานี้ แต่นพดลก็ยังครองสติไว้ได้เสมอ
แม้นพดลจะสุดแสนจะหวั่นใจและหวาดระแวงในตัวสาวเจ้าคำป้อ กลัวว่าเธอจะมีจิตปฏิพัทธ์ต่อภิกษุหนุ่มน้อยรูปงามนั่นปานใดก็ตาม เขาก็ยังไม่วู่วาม เพราะยังมีหิริโอตตัปปะ (ความละอายใจต่อบาป)อยู่เสมอเพราะเขาถูกปลูกฝังและเสี้ยมสอนมาให้เป็นผู้นำที่มีใจหนักแน่นและได้ตัวอย่างความเป็นสุภาพบุรุษนักเลงลูกทุ่งอย่างเต็มตัวจากพ่อกำนันแปงนั่นเอง
"ลูกพี่นี่ ทำเป็นคนใจพระอีกแล้ว ฉันห่วงแต่ว่าเขาจะเป็นพระแต่ใจเป็นคน(ปุถุชน)
นะสิ เดี๋ยวก็ชวด หนู ฉลู ขาล เถาะกันพอดี คนชีช้ำก็พี่ไง จะแย่นา" ลูกน้องคนสนิทบอกเตือนให้คิดระแวงตามประสามิตรสอพลอ ยุให้คิดชั่ว ทำชั่ว
"เออ! ใจเย็นๆ ไว้กูไปคุยกับมันเอง ให้มันรู้เรื่องรู้ราวไปเลย "
แล้วรุ่งเช้าวันต่อมา ณ วัดประจำหมู่บ้านก็พลันปรากฏร่างชายหนุ่มนพดล เขาลงทุนสั่งสาวใช้ทำอาหารกับข้าวคาวหวานเป็นพิเศษเพื่อนำไปถวายให้พระภิกษุหนุ่มรูปนั้น
สองหนุ่มผู้ต่างอุดมการณ์แต่จิตใจตรงกัน นพดลสนทนาธรรมกับภิกษุหนุ่มอย่างเปิดอก ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
ข่าวเรื่องนพดลไปวัดเป็นเรื่องเป็นราวให้ชาวบ้านวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา
เมื่อสาวคำป้อได้สดับตรับฟังเรื่องราวดังกล่าว เจ้าหล่อนก็รู้สึกไม่สบายใจ ไม่ชอบใจนพดลชายหนุ่มผู้เลือดร้อน และรู้สึกห่วงหลวงพี่หนุ่มรูปงามจะไม่เป็นอันประพฤติปฏิบัติธรรม เธอรู้สึกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอ
เธอรีบรุดไปยังวัดทันทีในเย็นวันนั้น ขณะที่หลวงพี่กำลังนั่งบำเพ็ญสมาธิภาวนาอยู่ใต้ต้นไม้ร่มครึ้มด้วยท่าทางสงบเย็น ไม่มีทีท่าว่าจะร้อนหนาวกับเหตุการณ์ที่เธอห่วงนักหนา
ดูประหนึ่งภิกษุหนุ่มจะล่วงรู้และกำลังรอคอยการมาของสาวเจ้า พอเธอเหยียบเท้า
ย่างกรายเข้าใกล้บริเวณนั้นท่านก็ลืมตาขึ้น ร้องถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอย่างผู้มีเมตตาจิต
"นั่นโยมคำป้อนี่ จะไปไหนหรือท่าทางรีบร้อน"
คำป้อรีบเข้าไปกราบและนั่งพับเพียบเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรีไทยผู้งดงามทุกกระเบียดนิ้ว
" โอย ท่านช่างนั่งใจเย็นอยู่ได้ ท่านไม่รู้หรือแกล้งทำเฉยกันแน่ พวกมารร้ายกำลังจะมาทำลายศีลอันบริสุทธิ์ของท่านเสียแล้ว เห็นทีท่านจะต้องป่นปี้กันคราวนี้"
คำป้อพูดละล่ำละลักด้วยท่าทีร้อนรนจนภิกษุหนุ่มแปลกใจ
"นี่มันอะไรกันนักหนา แค่โยมน้องคำป้อมาทำบุญที่วัดบ่อยๆ ทำไมต้องโกรธกันมากมาย เป็นแฟนกันอย่างไรเนี่ยไม่ให้เกียรติกันเลยนะ"
"สำหรับคนคนนี้ไม่มีเหตุผลหรอกค่ะ เขามีอำนาจทำได้ทุกอย่าง คำป้อไม่ได้รักใคร่ใยดีเขา ยังต้องยอมรับหมั้นเขาเลย"
คำป้อพูดแล้วก็ก้มหน้านิ่งอั้น ยามนั้นทั้งสองต่างเงียบงันไปสักครู่ใหญ่ก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
"อย่างไรท่านก็ต้องระวังตัวนะเจ้าคะ ดิฉันเป็นห่วงกลัวว่า..............."
"เขาจะทำร้ายอาตมาอย่างนั้นหรือ โอ อานุภาพแห่งรักอะไรจะร้อนแรงชั่วร้ายปานนั้น"
"ท่านยังจะมาทำพูดเล่นอีก คำป้อซีเรียสนะเจ้าคะ"
"อาตมาไม่มีอาวุธอะไร นอกจากเมตตาธรรม"
"สาธุ! ขอให้ท่านปลอดภัย คลาดแคล้วจากมารอันตรายใดๆ ทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด"
คำป้อมองภิกษุหนุ่มด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความยึดมั่นศรัทธาท่วมท้นล้นดวงใจ
ภิกษุหนุ่มสบตาพลันต้องหลบวูบด้วยเกรงว่า สายตาคมคู่นั้นจะทำให้ตบะบารมีจะต้องสั่นคลอน สักครู่คำป้อก็กราบลา และกลับสู่บ้านของเธอด้วยหัวใจหนักอึ้ง
พลบค่ำวันนั้นที่ร้านกาแฟประจำหมู่บ้านหนุ่มนพดลและลูกน้องคนสนิทพลันปรากฏกายขึ้น
"เจ็บใจแทนลูกพี่นัก นี่แหละผมเตือนแล้วไม่เชื่อ แหม! เดี๋ยวนี้ เช้าถึงเย็นถึง ฮึ! ดวงใจนารีมีอะไร อยากควักออกมาดูเสียจริง เจ้าเถรหนุ่มนั่นก็เหมือนกัน ทำทีเป็นเคร่งครัดปฏิบัติที่แท้ก็แค่สมมุติสงฆ์ รู้งี้จัดการมันตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้านเราแล้ว ไม่ปล่อยให้มันย่ำยีหัวใจลูกพี่ถึงเพียงนี้หรอก"
วันต่อมาข่าวการหายไปจากวัดของภิกษุหนุ่ม หลังจากที่นพดลไปถวายอาหารเช้าและสนทนาธรรมกับท่านในเช้าวันนั้น เป็นเรื่องที่ชาวบ้านคาดการณ์เอาไว้ไม่ผิดว่าต้องไป
แต่มีเหตุการณ์ที่สำคัญกลายเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่ยิ่งกว่าข่าวการจากไปอย่างเงียบๆ ของพระภิกษุหน่ม ข่าวเด่นข่าวดังที่มาเบี่ยงเบนความสนใจของชาวบ้านไปได้ นั่นคือ ข่าวพิธีแต่งงานอันยิ่งใหญ่ของลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวนของพ่อกำนัน
เจ้าหนุ่มนพดล นั่นเอง
กำนันแปงจัดงานยิ่งใหญ่สมเกียรติศักดิ์ศรี ของท่าน นอกจากเลี้ยงฉลองงานแต่งงานแล้วยังถือโอกาสหาเสียงให้กับนพดลลูกชายซึ่งหมายว่าจะได้รั้งตำแหน่งกำนันแห่งขุนแม่ทาคนต่อไป
ใต้ร่มบุญ
เวลา 20 ปีผ่านไป ท่านกำนันนพดลกลายเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งขุนแม่ทาไปแล้ว เพราะเขาเป็นนักการปกครองที่สามารถ บริหารลูกบ้านจำนวนมากให้อยู่ในความสุขสงบตลอดมา และยังเป็นนักพัฒนางานผู้เก่งกาจ มีผลงานต่างๆ เป็นที่ยอมรับจนได้รับรางวัลแหนบทองคำในฐานะดำรงตำแหน่งกำนันดีเด่นแห่งชาติ ประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตลูกผู้ชายอย่างเขาทำให้เขาก้าวอย่างมั่นคงและสง่างาม
และแล้วก็ถึงเวลาโคจรกลับมาของพระภิกษุหนุ่มซึ่งเคยเป็นคู่อริกันมาในอดีต ณ ที่วัดแห่งเดิมแต่ต่างกันแค่ วัน เวลา สองบุรุษผู้สูงวัยและต่างมากด้วยประสบการณ์ทั้งคู่ นั่งสนทนาธรรมกันอย่างสงบและยินดี คือ มีทั้งปิติและสันติ
ใต้ร่มบุญ
เวลา 20 ปีผ่านไป ท่านกำนันนพดลกลายเป็นนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่แห่งขุนแม่ทาไปแล้ว เพราะเขาเป็นนักการปกครองที่สามารถ บริหารลูกบ้านจำนวนมากให้อยู่ในความสุขสงบตลอดมา และยังเป็นนักพัฒนางานผู้เก่งกาจ มีผลงานต่างๆ เป็นที่ยอมรับจนได้รับรางวัลแหนบทองคำในฐานะดำรงตำแหน่งกำนันดีเด่นแห่งชาติ ประสบการณ์ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตลูกผู้ชายอย่างเขาทำให้เขาก้าวอย่างมั่นคงและสง่างาม
และแล้วก็ถึงเวลาโคจรกลับมาของพระภิกษุหนุ่มซึ่งเคยเป็นคู่อริกันมาในอดีต ณ ที่วัดแห่งเดิมแต่ต่างกันแค่ วัน เวลา สองบุรุษผู้สูงวัยและต่างมากด้วยประสบการณ์ทั้งคู่ นั่งสนทนาธรรมกันอย่างสงบและยินดี คือ มีทั้งปิติและสันติ
" ถ้าคุณโยมกำนันไม่มาเตือนสติอาตมาวันนั้น อาตมาต้องแย่แน่ ๆ ใจคนหนุ่มมันร่ำๆจะทำผิดให้ได้ เขาถึงว่าอำนาจใด ๆไม่เท่าเสน่ห์อิสตรี"
" โธ่! หลวงลุงเก่งอยู่แล้วครับ ไม่มีอำนาจใดๆ มาทำลายตบะบารมีท่านได้ง่ายๆหรอกครับ"
" ไม่แน่หรอกนะ พระที่ว่าเก่งๆ เสียทีมายาหญิงมานักต่อนักแล้ว อ้อ! แล้วโยมกำนันไปกล่อมอีท่าไหนล่ะ เขาถึงยอมตกล่องปล่องชิ้นด้วยแต่โดยดีนะ"
" ผม สารภาพกับท่านเลยครับว่าผิดศีล ใช้เล่ห์กลด้วยครับ ไม่งั้นก็ไม่สำเร็จ ผมบอกเขาว่าจริงๆ ท่านมีเมียแล้ว ท่านบวชเพื่อศึกษาธรรมพรรษา สองพรรษา เดี๋ยวก็สึกออกไปอยู่กะเมียตามเดิม"
"เชื่อเลยเหรอ ทำไมหลอกได้ง่ายๆ"
" ไม่เชื่อหรอกครับ"
" อ้าว! แล้วทำไง "
23 สิงหาคม 2550 08:05 น.
เก็จถะหวา
พอกันที โดย เก็จถะหวา
รัตน์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมคนที่ใจคอมั่นคงอย่างที่เพื่อน ๆ เคย
ล้อเธอว่า ใจแกร่งดังเหล็กเพชร ถึงได้ตกหลุมรักเขาเข้าได้ แถมยัง
รักชนิดที่ว่าถอนตัวไม่ขึ้นเสียด้วย เฮ้อ! คิดมากไปทำไมให้ป่วยการมัน
เป็นธรรมชาติของมนุษย์ไม่ใช่หรือรัตน์เองก็ไม่ได้อยู่เหนือกฏเกณฑ์
อย่างนั้นด้วยนี่นา เพราะก็ยังคงเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
หวนคิดคำนึงไปถึงวันที่พบรู้จักกับอนุตรครั้งแรกแล้วรัตน์ก็คงยัง
จำได้แจ่มแจ๋วในสมองเลย ก็วันนั้นไง วันเกิดของสารินีเพื่อนคู่หู วันนั้นรัตน์
หมกหมุ่นอยู่ก้นครัว เพราะสารินีขอร้องในฐานะที่ทำอาหารถูกปาก
เจ้าของงานเข้า เลยต้องรับภาระเป็นแม่ครัวเอก ขณะที่เธอสาละวน
กะตะหลิวและกะทะอยู่นั่นเอง เขาก็โผล่เข้ามาทางประตูห้องครัวพร้อม
กับจานเปล่าในมือ
แม่ครัวครับ ขอผักบุ้งผัดอีกสักจานเถอะครับ
อะไรกันหมดอีกแล้วเหรอ ตะกละกันจริง ๆ นะ รัตน์บ่นโดย
ไม่ได้หันกลับไปมองว่าเขาเป็นใคร
เปล่าตะกละนะครับ ก็คุณอยากทำอร่อยเองนี่ครับ
อ๋อสรุปแล้วก็ฉันเองที่ผิด ขอโทษนะคะที่ทำอาหารอร่อยเกินไป
แล้วแม่ครัวทานอะไรหรือยังครับ เดี๋ยวจะเป็นลมเสียก่อนนะครับ
ชิมจนอิ่มแล้วค่ะ เอ้า! นี่ได้ละค่ะ ผัดผักบุ้งของคุณ
รัตน์พูดจบก็กลับหลังหันส่งจานผัดผักบุ้งร้อน ๆ ให้เขา โดยหารู้ไม่ว่าเขายืนอยู่ข้าง ๆ จานผักบุ้งจึงหกและราดถูกตัวเขาเข้าพอดี
โอ๊ย! ช่วยด้วยไฟไหม้ !
เพื่อน ๆ ที่มาในงานพากันวิ่งกรูเข้ามาในครัวรัตน์ตกใจกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรมากเพราะเป็นความผิดของเธอที่ซุ่มซ่าม จึงรีบปฐมพยาบาลให้แต่โชคดีที่เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่ที่เป็นเอามากกลับเป็นตัวของรัตน์เองเพราะตื่นเต้นมากไปเลยไม่ทันระวังตัว ระวังใจ โดยแอบปิ๊งเขาเข้าไปแล้ว ก็ยังดีที่ตาต่อตามาประสบพบพานประสานเป็นสายใยรักถักทอขึ้นมาเองรัตน์กับอนุตรเลยกลายเป็นคู่รักคู่รสกันจนได้ในที่สุด และเป็นที่ทราบกันดีในหมู่เพื่อนฝูงว่าทั้งสองต่างรักใคร่กันดี มีทั้งความรัก ความเข้าใจ ซึ่งทั้งสองคนน่าจะไปกันด้วยดี เพราะเหมาะสมกันทั้งหน้าที่ การงาน ฐานะ การศึกษาก็พอ ๆ กันทุกอย่าง เรื่องก็เกือบจะจบลงอย่างแฮปปี้เอนดิ้ง ผัดผักบุ้งไฟแดงแล้ว ถ้าหากไม่มีเหตุการณ์ในวันนั้น
รัตน์ รัตน์ อยู่หรือเปล่า?
ใครมาหรือจ๊ะ รัตน์ไม่อยู่หรอกจ้ะ ไปตลาดจ้ะ อ้อ! หนูเล็กนั่นเอง มีธุระ
อะไรกับรัตน์หรือจ้ะ ดูท่าทางชอบกล บอกแม่ได้ไหม?
เอ้อ.........จริง ๆ หนูก็ไม่อยากพูดหรอกค่ะ แต่เป็นห่วงรัตน์เขากลัวตัดสินใจ
ผิดพลาด หนูกับรัตน์สนิทกันมานานไม่อยากเห็นเพื่อนผิดหวังค่ะ อย่างไรก็กัน
ไว้ดีกว่าแก้นะคะ
มีอะไรไม่ค่อยดีหรือ เกี่ยวกับพ่ออนุตรใช่ไหม แม่คงเดาไม่ผิดเพราะได้ข่าวมาเหมือนกันว่าเคยมีอะไรๆ กับแม่ยุพินนักร้องหรือสาวเสริฟห้องอาหารดาวประดับฟ้าอะไรนี่แหละ แม่ก็เคยถามเขาอยู่เหมือนกัน เขาก็ดีนะยอมรับความจริง แต่เขาบอกว่ามิได้คิดจริงจังอะไร และตอนนี้ก็เลิกยุ่งแล้ว แม่เลยมิได้ติดใจสงสัยอะไร แม่คิดว่ามันก็ยังไง ยังไงอยู่นะน๊า คนของเราก็รักเขาจน
ตาบอด เขาพูดอะไรก็เชื่อหมด อ๊า!นั่นมาพอดี หนูช่วยไขความจริงให้เขากระจ่างแจ้งหน่อยสิ เผื่อจะได้ตาสว่างขึ้น
แล้วผู้หวังดีก็ร่ายยาวเรื่องของอนุตรให้รัตน์ฟัง ตอนแรกรัตน์ไม่คิดว่าเป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรเพราะรัตน์ถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่จะต้องมีการท่องเที่ยวประสาหนุ่มโสด แต่ที่หนูเล็กบอกว่าเขามีเด็กด้วยนี่สิ ทำไมรัตน์ถึงโง่เง่าไม่รู้เรื่องเลย เขาก็เหลือเกินไม่เคยแย้มพรายปริปากบอกรัตน์ แม้แต่น้อย ทำไมต้องมีความลับต่อกัน ฮึ! คงคิดจะปิดกันละสิ! ไม่ได้การต้องลุยถึงที่ให้มันรู้ดำรู้แดงไปเลย ว่าแล้วรัตน์ก็ซ้อมบทบาทไว้ในใจอย่างดีคอยดูนะถ้าเจออย่างหนูเล็กบอกจริง ๆ ฉันกับคุณต้องพอกันที................................
หนูเล็กพารัตน์ตรงแน่วไปที่บ้านของอนุตร พอไปถึงก็จับได้คาหนังคาเขาพอดี เขากำลังนั่งไกลเปลเห่กล่อมลูกน้อยอยู่พอดี ซึ่งทุกครั้งที่รัตน์เคยมาก็ไม่เคยพบเคยเห็นเลย นี่สงสัยคงจะรอกะว่าถ้าได้แต่งงานเป็นเรื่องเป็นราวแล้วถึงจะยอมเผยความจริงละสิ พอถ้าถึงขนาดนั้นรัตน์ก็คงจะไม่กล้าโวยวาย จำต้องปล่อยเลยตามเลยและยอมรับสภาพการณ์โดยปริยาย ฮึ! ผู้ชายนะผู้ชาย คงคิดว่าฉันโง่เง่า หลงคุณจนโงหัวไม่ขึ้น รัตน์คิดในใจ แล้วบุกเข้าไปทันที
อ้าว! รัตน์มาได้ยังไงเนี่ย เย็นนี้ผมว่าจะไปปรึกษาเรื่อง
แต่งงานของเราพอดีเลย"
ฮึ! พอกันทีคนหลอกลวง เห็นอยู่กับตายังจะมาพูดเรื่องแต่งงม
แต่งงานอีกเหรอไม่ต่งไม่แต่งแล้ว คุณเห็นฉันเป็น
ยังไงหือ คิดว่าความรักจะทำให้ฉันตาบอดได้ละสิ
จนป่านนี้แล้วคุณยังจะโกหกฉันไปถึงไหน พยานก็เห็นอยู่โท่นโท่
นี่อะไร?
รัตน์พูดไปได้แค่นั้นก็ปล่อยโฮออกมาด้วยความเสียใจ รัตน์ผิดหวังสุดขีดเมื่อชายที่เธอรักและคิดว่าเข้าใจเขาทุกอย่าง กลายเป็นผู้ทรยศอย่างเลือดเย็นที่สุด
อะไรกันรัตน์ ฟังผมบ้างสิ มาถึงก็ไม่ถามไม่ไถ่ใส่ผมเป็นชุด ๆ
เล่นตลกอะไรกันหรือเปล่า นี่นะหลานผมเองนะ พอดีพี่นวล
พี่สาวของ ผมเขาเอามาฝากเลี้ยงเพราะเขาต้องไปอบรมที่
พัทยา ๗ วัน ไม่มีคน ดูแลให้ พอดีผมว่างช่วงบ่าย ๆ
ก็เลยอาสาแม่ไกวเปลให้เพื่อแม่ จะได้พักผ่อนบ้างก็เท่านั้นแหละ
โธ่! รัตน์หนอรัตน์ไม่น่าหูเบาเล้ยเลยต้องหน้าแตกหมอไม่รับเย็บกันก็คราวนี้แหละ ดีนะที่อนุตรเขาเข้าใจไม่ถือสาอารมณ์ ที่วู่วามเพราะความรักของรัตน์ เพียงแต่เขาได้ทีเลยถือโอกาสสั่งสอนรัตน์ว่า คุณธรรมของผู้ครองเรือนหรือมีครอบครัวนั้นจะต้องมีฆราวาสธรรมสี่ประการ คือ สัจจะ คือความซื่อสัตย์ ทมะ คือความข่มใจ ขันติ คือ ความอดทน และจาคะ คือ ความเสียสละ รัตน์เลยยิ้มไม่ออกบอกไม่ถูกไปเลย ...................................