20 พฤศจิกายน 2546 22:38 น.

สายน้ำ

อายะจัง

วันนี้ไม่มีเธออยู่กับฉัน
                              คิดถึงวันนั้นที่ฉันไม่เคยเห็นค่า
                              เพราะสายน้ำก็เปรียบเหมือนกาลเวลา
                              ไม่อาจย้อยวันที่มีค่าให้หวนคืน...
                  "หากแม้ชีวิตคนเราเป็นได้เหมือนนิทานมีเวทย์มนต์สามารถย้อนเวลา
ได้ฉันก็คงเป็นคนหนึ่งที่จะขอย้อนกลับไปในวันนั้นอีกครั้ง วันที่คนสำคัญของฉันยังอยู่
  แต่ความเป็นจริง สายน้ำไม่ไหลกลับ วันเวลาไม่มีทางหวนคืน"
                  "หนิง หนิง หนิง ๆๆๆๆๆ  เป็นอะไร นั่งเหม่อเชียว"
                  "อ๊ะ! แบงค์อ่ะ เสียงดังทำไม หนิงกำลังคิดอะไรเพลินๆเลย อย่ากวนสิ"
                  "เอ้า! แบงค์ขอโทษก็ได้"
                  ฉันกับแบงค์ เป็นเพื่อนกันมาตั้แต่ สมัยเด็กๆ  แบงค์อยู่ข้างบ้านฉัน  และ
เรียนที่เดียวกับฉันมาตลอด แบงค์อายุมากกว่าฉัน1ปี แต่ด้วยความที่เราสนิทกันมาก
ฉันจึงไม่เคยเรียกแบงค์ว่าพี่เลย  เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว
ฉันชอบแบงค์มาตลอด แต่ไม่กล้าแสดงความรู้สึกออกไป เพราะกลัวว่าถ้าแบงค์รู้ 
แบงค์จะเปลี่ยนไป  ถ้าแบงค์ ไม่ชอบฉัน ฉันอาจจะต้องเสียแบงค์ไปก็ได้  ฉันจึงต้อง
เก็บซ่อนความรู้สึกมาตลอด  แบงค์เป็นคนหน้าตาดี มีสาวๆในมหาวิทยาลัยมารุมล้อม
มากมายแต่มีสาวอยู่คนหนึ่งชื่อ ฝน เธอเป็นคนหน้าตาดีมาก เรียนก็เก่ง เธอเป็นดาวเด่น
ของคณะเลยก็ว่าได้ เธอคนนี้ก็ชอบแบงค์เช่นเดียวกัน  ฉันเองไม่มีอะไรเทียบเธอคนนี้
ได้สักอย่าง ฉันยังหวั่นใจ ว่าสักวันหนึ่ง หากแบงค์ใจตรงกับเธอ ฉันจะทำอย่างไร 
                "หนิงๆๆๆ เที่ยงครึ่งแล้ว ได้เวลาเข้าเรียนแล้ว แบงค์ไปเรียนก่อนนะ แล้ว
เจอกันที่เดิมนะ  บาย"
                "บาย"
                ที่เดิมที่แบงค์พูดถึงก็คือศาลาริมแม่น้ำ ที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านของเราไปประ
มาณ500เมตร ศาลานี้เป็นจุดที่สามารถทำให้เราได้มองเห็น ทิวทัศน์ที่สวยมาก มองออก
ไปจะเห็นภูเขาและแม่น้ำ ยิ่งเวลาเย็นๆ จะมองเห็นพระอาทิตย์ทอแสงเป็นประกาย ฉัน
กับแบงค์มานั่งเล่นที่นี่บ่อยๆตั้งแต่สมัยเด็กๆ  บางวันก็นั่งเล่นที่นั่น จนดึก พอกลับบ้าน
ไปก็โดนแม่ดุเป็นประจำ  แต่ฉันก็ไม่เข็ด ยังไปที่นั่นเรื่อยๆ
                " นี่ แบงค์มีอะไรอยากปรึกษาหน่อยอะ คือว่าแบงค์ไปชอบ ผู้หญิงคนหนึ่ง 
แต่ไม่รู้ว่าจะบอกเขายังงัยดี หนิง ช่วยคิดหน่อยสิ "
                ฉันรู้สึกเจ็บในอกขึ้นมา  รู้สึกอยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลไม่อยากจะได้ยินคำนี้ 
แต่ฉันทำไม่ได้ ทำไม?  ทำไม แบงค์ต้องไปรักคนอื่นด้วย 
                "เอ่อ.. คนที่แบงค์ชอบอ่ะ ใช่พี่ฝนรึเปล่า"
                "อิอิอิ ไม่บอก เดี๋ยวสักวันหนิงก็คงรู้เองอะ  นี่ๆๆ หนิงช่วยคิดหน่อยนะ 
แบงค์ไม่รู้จะปรึกษาใครแล้ว  แบงค์ไม่กล้าบอกเขาตรงๆอะ"
                "งั้นเอางี้แล้วกัน แบงค์ไม่กล้าพูด แบงค์ก็เขียนสิ ส่งให้เธอเป็นจดหมาย  
เท่านี้ก็หมดเรื่อง"
                "ขอบคุณนะ หนิงเป็นคนดีที่สุดเลย"
                ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้นอกจาฝืนยิ้มไป  
                แบงค์ หนิงคงเป็นได้แค่คนดี หนิงคงเป็นได้แค่เพื่อนที่ดีคนหนึ่งของแบงค์
เท่านั้นสินะ หนิงคงไม่มีค่าเกินไปกว่านี้ คนที่แบงค์ชอบคงเป็นพี่ฝนสินะ เขาดีกว่า
หนิงทุกอย่าง หนิงเข้าใจนะ
              ในสมองของฉันมีเพียงความคิดเช่นนี้ และมีคำพูดที่แบงค์บอกว่า "มีคนที่
ชอบแล้ว" วนเวียนเต็มในสมองไปหมด  ตอนนี้ฉันเองไม่อยากที่จะมองหน้าแบงค์
เลย ฉันกลัวว่าถ้าน้ำใสๆที่ ฉันพยายามอัดอั้นเก็บมันไว้มาตลอด มันจะไหลออกมา
จากดวงตา ฉันไม่อยากให้แบงค์เห็นมัน เพราะมันจะทำให้แบงค์ไม่สบายใจเปล่าๆ
              "หนิง แบงค์เขียนแล้วอะ แต่แบงค์ไม่กล้าส่งให้เขาแบงค์ควรทำงัยดี "
              "เหรอ หนิงกลับบ้านก่อนนะ หนิงง่วง"
              ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงอยู่ในลำคอ ขณะนั้นฉันไม่กล้ามองหน้าแบงค์เลย
เพราะกลัวว่าความรู้สึกมันจะถ่ายทอดออกมาทางสายตา แต่ขณะนั้น แบงค์ก็เอื้อม
มือมาจับไหล่ฉันไว้
              "หนิง หนิงเป็นอะไรอ่ะ ช่วงนี้หนิงดูแปลกๆนะ เหมือนจะหลบหน้าแบงค์ 
ดูหนิงไม่ค่อยอยากคุยกับแบงค์เลย แบงค์ทำอะไรผิดเหรอ หนิงบอกได้ไหม"
              "แบงค์ปล่อยหนิงเถอะ หนิงอยากกลับบ้าน  หนิงไม่ได้เป็นอะไรหรอก"
              "แบงค์ไม่เชื่ออะ หนิงตอบแบงค์มาเถอะ"
              เมื่อฉันเองโดนแบงค์ถามมากๆก็ไม่รู้จะตอบไปอย่างไร ทำไมแบงค์ไม่เข้า
ใจฉันบ้าง ว่าฉันรู้สึกอย่างไร ฉันรู้สึกโมโห จึงว่าแบงค์ไป
              "แบงค์หยุดยุ่งกับหนิงสักทีสิ  หนิงอยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง แบงค์เอง
แบงค์ก็โตแล้วนะ แบงค์ก็น่าจะไปอยู่กับแฟนแบงค์สิ พี่ฝนเขาก็ชอบแบงค์นะ เพราะ
แบงค์มายุ่งกับหนิงแบบนี้แหละ แบงค์ถึงได้ไม่มีแฟนซะที หนิงเองก็อยากไปกับคนที่
หนิงชอบด้วย แบงค์ก็ไปกับพี่ฝนเถอะ อย่ามายุ่งกับหนิงเลย"
              ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดนใจให้ฉันพูดกับแบงค์อย่างนั้น  แบงค์เงียบ
ไปพักหนึ่งแล้วก็พูดว่า
              "คำก็ยุ่ง สองคำก็ยุ่ง หนิงคิดแบบนี้ใช่มั้ย แบงค์ยุ่งใช่มั้ย อยากให้แบงค์ไป
ห่างๆเหรอจให้แบงค์ไปกับฝนก็ได้ ถ้าทำให้หนิงสบายใจ ต่อไปแบงค์จะไม่ยุ่งกับ
หนิงอีก แบงค์จะไม่ไปที่เดิมอีก จะไม่กวนใจหนิงอีก แบงค์ขอโทษนะที่มาหาเรื่อง
ให้หนิงไม่สบายใจมาตลอด ลาก่อนนะ"
              จากนั้นแบงค์ก็วิ่งไป ฉันได้แค่มองแบงค์วิ่งหายลับไปต่อหน้าต่อตา ฉันรู้
ว่าแบงค์คงเสียใจกับคำพูดของฉันมาก  ทำไมฉันต้องพูดแบบนี้ด้วยฉันไม่เข้าใจตัว
เองเลย
              หลังจากนั้นแบงค์ก็ไม่ได้มาที่ศาลานั้นอีกเลย  แบงค์คงเกลียดฉันมาก ฉัน
อยากจะขอโทษเขาแต่ไม่กล้า
              " นี่ๆๆๆ ดูสิ พี่แบงค์มากับพี่ฝนน่ะ เขาคบกันเหรอ เหมาะกันดีจังเลยเนอะ"
              ฉันตกใจมากที่เห็นแบงค์กับพี่ฝนเดินมาด้วยกัน เขาคงคบกันแล้วสินะ แต่
ทั้งหมดมันก็เพราะเราเป็นคนไปยุเขาเอง โทษใครก็คงไม่ได้ ทำได้แค่มองห่างๆด้วย
ความเสียใจ แต่ก็คงต้องดีใจกับแบงค์ด้วย ได้อยู่กับคนที่รักเสียที
              " อ้าวแล้ว คนที่ชื่อหนิงที่อยู่คณะนิเทศน์นั่นล่ะ ปกติเห็นเค้าอยู่ด้วยกันนี่ 
เขาไม่ได้คบกันเหรอ"
              "ไม่รู้สิ แต่ฉันว่านะ พี่ฝนเหมาะกับพี่แบงค์มากกว่ายัยหนิง อะไรนั่นอีก"
              ฉันแอบไปได้ยินพวกนักศึกษาในมหาวิทยาลัยคุยกัน นั่นสินะ พี่ฝนเหมาะ
กับแบงค์มากกว่าเราอีก ฉันคงต้องทำใจสินะ
              "หนิง กลับมาแล้วเหรอลูก"
              "ค่ะ"
              "นี่ๆๆๆหนิงลูก เมื่อวานตอนแม่ไปข้างนอกมาอะ แม่เห็นแบงค์เขาเดินกัน
ผู้หญิงคนหนึ่งสวยเชียว แฟนเขาเหรอลูก"
              " พี่ฝนใช่มั้ยคะ เขาคงคบกันอยู่อะค่ะ พี่เขาสวยนะคะ สวยกว่าหนิง
เยอะเลย หนิงคงเทียบเขาไม่ได้"
              "อ้อ.. มิน่าล่ะ ช่วงนี้แม่ไม่เห็นหนิงไปไหนกับแบงค์เลย นี่ๆๆ หนิง 
แม่ถามจริงนะลูก หนิงชอบแบงค์ใช่ไหมลูก แม่ดูออกนะ"
            "แม่รู้เหรอคะ"
            "แม่เลี้ยงหนิงมาตั้งแต่เกิดนะลูก มีอะไรบ้างที่แม่ไม่รูเกี่ยวกับหนิง แล้ว
หนิงน่ะดูง่ายจะตายไปมองแว่บเดียวแม่ก็รู้แล้ว"
            "หนิงควรทำงัยดีคะแม่  หนิงเป็นคนบอกให้แบงค์ไปคบกับพี่ฝน หนิงว่า
แบงค์ยุ่ง แบงค์คงโกรธหนิงมาก หนิงอยากขอโทษ แต่หนิงไม่กล้า หนิงยังไม่อยาก
เสียแบงค์ไปเลย แต่ก็ไม่รู้จะทำยังงัยแล้ว"
            "หนิงลูก...เอาอย่างนี้ ลองนึกดูนะ คนเป็นใบ้น่ะ เวลาที่เค้าต้องการอะไรแล้ว
เขาพูดออกมาไม่ได้เขาแสดงออกมาทางท่าทางใช่มั้ย แล้วลูกลองคิดดูว่าจะมีกี่คนที่
เข้าใจสิ่งที่เขาแสดงออกมา  แล้วคิดดูเวลาที่เขาอยากขอโทษน่ะ เขาพูดออกมาไม่ได้ 
ทั้งที่เขาอยากจะแสดงออกมา แต่ทำไม่ได้เลย มันอึดอัดใช่มั้ย ลูกน่ะโชคดีกว่าคนพวก
นั้นเยอะนะลูก ลูกมีเสียง ลูกพูดได้ ลูกแสดงความรู้สึกได้  แล้วทำไมลูกไม่พูดไปล่ะ 
ใช้สิ่งที่เรามีให้เป็นประโยชน์สิลูก  แล้วอีกอย่างหนึ่ง  ที่ลูกบอกว่า ลูกเทียบอะไรกับ
คนที่ชื่อฝนไม่ได้เลยน่ะ  ลูกอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีสิลูก ขอให้ลูกจำไว้ว่า คนเรา
ทุกคน มีสิ่งที่ดีอยู่ในตัว สิ่งๆนั้นอาจจะไม่ใช่หน้าตา ไม่ใช่ความสามารถอะไร แต่มัน
อาจจะอยู่ที่หัวใจ มันขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำมันมาใช้ให้เป็นประโยชน์รึเปล่าเท่านั้น สำ
หรับหนิงน่ะ แม่เชื่อว่าลูกแม่ต้องมีอะไรที่ดีอยู่ในตัว  ไม่แพ้ผู้หญิงคนนั้นแน่ ดังนั้น 
หนิง บอกแบงค์เขาไปเถอะลูก บอกความรู้สึกที่เรามี  หนิงยังมีโอกาสแก้ตัวนะลูก 
ก่อนที่จะสายเกินไป"
            "ขอบคุณนะคะแม่ หนิงรักแม่ที่สุดเลย"
            ฉันกอดแม่ไว้แน่น ทุกครั้งที่ฉันมีเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แม่จะช่วยฉันตลอด 
            ใช่แล้ว เรายังมีโอกาส เราต้องพูด ก่อนที่จะสายไป
            ฉันรีบกดโทรศัพท์ไปหาแบงค์ทันที ทั้งที่บ้านเราอยู่ติดกันแค่นี้ แต่ฉัน
ก็ยังอายที่จะพบเขาอยู่ดี
            "สวัสดีครับ"
            เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มตอบกลับมา 
            "เอ่อ...แบงค์เหรอ..นี่หนิงนะ"
            แบงค์เงียบไปพักนึง แล้วก็ตอบกลับมา ด้วยน้ำเสียงเย็นชา ที่ฉันไม่เคยได้
ยินมาก่อน
            "อืม มีไรเหรอ แบงค์จะไปอาบน้ำ"
            "เอ่อ.. แบงค์  หนิงมีอะไรจะคุยด้วย พรุ่งนี้หลังเลิกเรียนแบงค์มาที่เดิมที่
ศาลาริมน้ำด้วยนะ หนิงจะรอจะรอจนกว่าแบงค์จะมา งั้นแค่นี้นะ หนิงไมรบ
กวนแล้ว บายจ้ะ
            แบงค์จะมามั้ยนะ แบงค์โกรธเราขนาดนั้น แต่ไม่ว่ายังงัย หนิงจะรอแบงค์ 
จนกว่าแบงค์จะมา
            วันรุ่งขึ้นพอเลิกเรียนฉันรีบมาที่ศาลาริมน้ำทันที ฉันรอแบงค์อย่างตื่นเต้น 
แต่รอแล้วรอเล่าแบงค์ก็ไม่มา  'แบงค์คงโกรธเรามาก เขาคงไม่อยากเห็นหน้าเรา '
ฉันได้เพียงคิดเช่นนี้  แล้วน้ำใสๆก็ไหลริน อาบสองแก้ม ฉันคงไม่มีโอกาสแล้ว 
ฉันเดินกลับบ้านอย่างผิดหวัง
            แต่พอมาถึงบ้านฉันก็ต้องพบกับข่าวร้ายอย่างคาดไม่ถึง
            "หนิง เมื่อครู่นี้ แม่ของแบงค์เขามาบอกแม่ว่า แบงค์ประสบอุบัติเหตุ รถชน
ตอนนี้อยู่ไอซียู หนิงเรารีบไปดูกันเถอะลูก"
            ฉันรีบออกจากบ้านไปทันที  เมื่อไปถึงโรงพยาบาล  ก็เห็นพ่อและแม่ของ
แบงค์นั่งร้องไห้อยู่ ฉันรีบวิ่งเข้าไปแบงค์ทันที
            "แบงค์ แบงค์เป็นงัยบ้างอะ  แบงค์เจ็บมากมั้ย"
            "หนิง  แบงค์ขอโทษนะ... ที่แบงค์ไปหาหนิงไม่ได้... หนิงคนรอนานใช่มั้ย...  
แบงค์ขอโทษจริงๆ...หนิง... แบงค์อยากดูแลหนองตลอดไปนะ แต่ไม่รู้ว่าแบงค์จะ
มีโอกาสหรือเปล่า..."
            "ไม่เป็นไร แค่แบงค์ไม่เป็นไรหนิงก็ดีใจแล้ว แบงค์ต้องสัญญานะว่าแบงค์จะ
อยู่ดูแลหนิงตลอดไป แบงค์จะไม่ไปไหนน่ะ "
            "แบงค์สัญญา  แบงค์จะไปหาหนิงที่เดิมของเรา  หนิงรอแบงค์นะ... 
แบงค์...แบงค์รัก..."
            และเสียงแบงค์ก็เงียบลงไป พร้อมๆกับลมหายใจที่รวยรินก็สิ้นลงไปด้วย  
            "แบงค์...แบงค์...แบงค์ตื่นสิ ตื่นมาพูดกับหนิงก่อน... แบงค์ๆๆๆๆ...ฮืออออ...."
            "หนิง  แบงค์เขาจากเราไปแล้วล่ะลูก แบงค์จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาแล้ว...."
            พอฉันฟังจบประโยคที่ว่าแบงค์จากไปแล้ว  ฉันก็หูอื้อ หน้ามืด แทบจะล้มทั้ง
ยืน น้ำตารินไหลออกมาจาก2ดวงตาอีกครั้ง ฉันมองไปที่ ร่างที่ไร้วิญญาณของแบงค์  
ฉันกอดร่างนั้นไว้ และฉันก็รู้ว่าคงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้กอดร่างนี้  
            "แบงค์ อย่าไปเลย กลับมามองหน้าหนิงสิ จะด่าจะว่าอะไรหนิงก็ได้ แบงค์
อย่าทิ้งหนิงไป หนิงขอโทษ ต่อไปหนิงจะทำตัวดีๆ  ขอร้อง ลืมตาสิ..ฮืออออ...."
            ฉันเรียกร้องไห้แบงค์กลับมา ถึงแม้จะรู้ว่าไม่มีวันที่แบงค์จะคืนมาอีก


            วันนี้ดูฟ้ามืดมนจัง  คงเหมือนจิตใจของฉันตอนนี้  ที่ต้องสูญเสียคนรักไป
              "หนูหนิง มานี่หน่อยสิลูก"
              เสียงคุณป้าข้างบ้านเรียกฉันให้เข้าไปในบ้านของท่าน
              "วันนี้ป้า  ไปจัดห้องของแบงค์มา  เห็นจดหมายอะไรก็ไม่รู้วางอยู่บน
โต๊ะเขียนหนังสือของแบงค์ จ่าหน้าซองถึงหนิงน่ะลูก แบงค์เขาคงอยากให้หนิงมั้ง 
หนิงลองไปอ่านดูนะลูก "
              "ขอบคุณค่ะคุณป้า"
              ฉันนำจดหมายมานั่งอ่านที่ศาลาริมน้ำ  ฉันมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
เหมือนกัน แต่รู้เพียงว่าที่นี่คือที่ๆฉันมีความทรงจำที่ดีกับแบงค์มากที่สุด  ฉันรีบแกะ
จดหมายฉบับที่1ออกมาอ่าน

              ถึงหนิง...
              แบงค์ทำตามที่หนิงแนะนำแล้วนะ หนิงบอกว่าแบงค์ควรจะบอกกับคนที่
แบงค์รักใช่มั้ย ว่าแบงค์รักเขา  แบงค์ก็ขอบอกนะว่า แบงค์รักหนิง  รักมานานมาก 
แบงค์คิดว่าหนิงควรจะรู้ แบงค์อยากคบกับหนิงแบบอื่นมากกว่าแบบเพื่อน  แต่ถ้า
หนิงไม่ชอบก็ขอโทษด้วยล่ะ จะรอคำตอบนะ
                                                                                                                รักนะ
                                                                                                                แบงค์
          จากนั้นฉันก็รีบแกะจดหมายฉบับที่2อ่านทันที
  
            ถึงหนิง...
            ทำไมหนิงไม่เข้าใจแบงค์บ้างว่าแบงค์รักหนิงน่ะ  ทำไมต้องให้แบงค์คบกับ
ฝน แบงค์ไม่ได้รักฝนนะ แต่ถ้าหนิง ต้องการให้แบงค์คบกับฝน แบงค์ก็จะคบ ไม่มี
อะไรที่หนิงต้องการแล้วแบงค์ทำไม่ได้หรอก แต่อยากให้หนิงรู้ว่าแบงค์เสียใจนะ 
ที่หนิงทำแบบนี้ ต่อไปแบงค์จะไม่กวนใจหนิงอีก แบงค์ขอโทษ
                                                                                                              แบงค์

            ให้ตายเถอะทำไมฉันถึงดูไม่ออกว่าแบงค์รักฉัน  
            "แบงค์ หนิงขอโทษ...หนิงขอโทษ..."
            น้ำใสๆไหลออกมาจาดวงตาฉันอีกครั้ง นี่คงเป็นจดหมายที่แบงค์อยากจะ
มอบให้ฉันด้วยตัวเองสินะ แต่แบงค์คงไม่มีโอกาส  ฉันทำร้ายแบงค์ ฉันทำให้แบงค์
เจ็บ  หากชีวิตเป็นได้ดั่งนิทานฉันจะขอย้อยเวลากลับไป ฉันจะบอกความรู้สึกทั้งหมด
ที่ฉันมีต่อแบงค์  ฉันจะบอกรักเขา จะขอโทษเขา แต่คงไม่มีวันนั้นแล้ว ฉันนั่งมองดูน้ำ
ในแม่น้ำไหลผ่านไป  สายน้ำคงไม่มีวันไหลย้อยกลับคืนมาอีก  ดั่งเช่นฉันกับแบงค์ 
ไม่มีวันนั้นอีกแล้ว 
            แต่ไม่ว่าวันนี้แบงค์จะอยู่ที่ไหน แบงค์อาจจะมองฉันอยู่ห่างๆ  ขอให้แบงค์รู้
ไว้ว่า  หนิงจะรอคอยแบงค์อยู่ที่นี่ตลอดไป จะรออยู่ที่เดิม  แล้วหนิงก็เชื่อว่าแบงค์คง
มองหนิงอยู่ห่างๆ  ถึงแม้วันนี้กายเราไม่อาจสัมผัสกันได้  แต่ใจเรายังสัมผัสกันตลอด
เวลา หนิงไม่สัญญา ว่าต่อไปหนิงจะรักแบงค์คนเดียว แต่หนิงสัญญาว่าหนิงจะไม่ลืม
แบงค์และจะรักแบงค์ตลอดไป....
                                        วันนี้อาจจะไมมีเราร่วมอยู่
                              วันนี้อาจไม่ได้เคียงคู่เช่นวันนั้น
                              วันนี้ถึงเราสองต้องจากกัน
                              แต่ขอให้รู้ว่าฉันจะรักเธอตลอดไป....				
20 พฤศจิกายน 2546 22:35 น.

Good bye my dear

อายะจัง

จมอยู่กับ...ความทรงจำเก่าเก่า
                                                    ท่ามกลาง...ความเหงาไร้คนเคียงข้าง
                                                    จมอยู่กับ...อดีตอันเลือนราง
                                                    ท่ามกลาง...ความอ้างว้างของหัวใจ
                                                    จมอยู่กับ...กาลเวลา
                                                      ท่ามกลาง...ความเหว่ว้าของเช้าวันใหม่
                                                      จมอยู่กับ...ความรู้สึกของหัวใจ
                                                      ท่ามกลาง...ความเดียวดายในสายลม
          1.
                          มีความรัก ความผูกพันบังเกิด จากพลัดพราก เศร้าใจในสุดท้าย  เมื่อใด
มีความรักก็คงหนีไม่พ้นทุกข์ใจ เศร้าใจเสียใจ อาจจะเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ไปแล้ว
                          "ทราย เราเลิกกันเถอะนะ เราเข้ากันไม่ได้หรอกแล้วทางบ้านเราเขาก็
ไม่ยอมรับพี่ไม่ใช่เหรอ"
                          "พี่เอก ทำไมล่ะค่ะ ทรายรักพี่เอกนี่ ส่วนเรื่องทางบ้านน่ะเดี๋ยวเขาก็ยอม
รับพี่เอกไปเองน่ะแหละค่ะ"
                          "ไม่ได้หรอกพี่เองพี่ก็มีคู่หมั้นแล้วทรายก็รู้นี่นา  แล้วเราจะทนคบกัน
ไปทำไม พี่รักทรายนะ แต่เราไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ"
                          "ไม่นะพี่เอก พี่เอก อย่าไป อย่า...อย่า...ม่ายยยย...!!!!" หญิงสาวสะดุ้ง
ดื่น พร้อมคราบน้ำตา เธอมักเป็นเช่นนี้บ่อยๆ ตั้งแต่แฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่มัธยม
ปลายบอกเลิกไป 
                          ทรายแก้วเป็นลูกสาวของบ้านที่ฐานะรวย และตระกูลค่อนข้างสูง เธอ
อาจจะดูเหมือนมีพร้อมทุกอย่าง และอาจมีหลายคนที่อิจฉาในชื่อเสียง ตระกูล และฐานะ
ของเธอ แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็นคนที่น่าสงสารมาก พ่อแม่ของทรายหย่ากันตั้งแต่ทรายอายุ
ยังน้อย  เมื่อหย่าขาดกันได้ประมาณ2ปี แม่ของเธอก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน  ส่วนพ่อ
ของเธอนั้นได้แต่งงานใหม่ ปัจจุบันเธออยู่อยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงของเธอ พ่อของเธอไม่ค่อย
มีเวลาให้เธอเท่าไร ใช้เวลาส่วนมากไปกับการทำงาน  จนทำให้ทรายแก้วเป็นเหมือนเด็ก
ที่ขาดความอบอุ่น  เมื่อเธอรักใครเธอจะทุ่มสุดหัวใจ  ทำให้เธอต้องเจ็บกับความรักเป็น
ประจำเมื่อประมาณ1ปีก่อนหน้านี้ เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเธอก็ว่าได้ 

                        "ทราย ตอนนี้ยังคบอยู่กับไอ้เอก อยู่ใช่มั้ย พ่อขอเตือนนะว่าเลือกกับมัน
ซะ ลูกก็รู้ว่าตระกูลของมันกับตระกูลของเราไม่ถูกกัน ลูกจะไปคบกับมันทำไม" เสียง
ดร.สุรพล คุณพ่อจอมเผล็ดการของเธอเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก
                          "ทำไมล่ะคะทรายกับพี่เอกรักกัน มันไปเกี่ยวอะไรกับตระกูล  ทราย
ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย"  ทรายแก้วเถียง
                          "ทราย แกพูดคำพูดบ้าๆนี้มาได้ยังงัย แกก็รู้ว่าตระกูลนั้นมันเป็นคู่
แข่งทางธุรกิจกับเรามาตั้งแต่รุ่นคุณทวดของแก แล้วแกยังจะไปยุ่งกับมันอีกทำไม 
ไม่ว่ายังงัยแกก็ต้องแต่งงานกับอิทธิกร อยู่ดี" ดร.จอมเผด็จการโมโห 
                          "ไม่มีวัน หนูจะแต่งกับพี่เอกคนเดียว  "
                          "หนอยยย....นั่งลูกชั่ว ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย"  ดร.สุรพลพูดพลาง
ยกมือเพื่อจะตบลูกสาวแต่แล้วก็ถูกขัดขวาง
                          "คุณพี่คะ อย่าทำลูกเลย  ตอนนี้ลูกคงยังทำใจไม่ได้ ให้เวลาสักพักเถอะ
นะคะ"วิภาขอร้องไว้ ทำให้ดร.สุรพลหยุดการกระทำของเขา
                          "ก็ได้ แต่แกมีเวลาไม่นานหรอก  ไม่ว่าแกจะยืดเวลาไปสักเท่าไร  
แกก็ต้องแต่งอยู่ดี"ดร.จอมเผด็จการพูดจบ ก็เดินขึ้นห้องไปด้วนอารมณ์โกรธ  เหลือ
ไว้เพียงทรายแก้วกับวิภาเพียง2คน
                        "ทราย น้าคงช่วยหนูได้แค่นี้นะลูก หนูเองก็อย่าขัดคำสั่งพ่อเขาเลย 
จะมีปัญหากันเปล่าๆ"วิภาพยายามปลอบใจทรายแต่ยิ่งทำให้ทรายอารมณ์ฉุนเฉียวมาก
ขึ้นอีก
                        "ใช่ซี่...ก็คุณตามใจพ่อแม่น่ะแหละ คุณเลยต้องมามีสามีแบบพ่อฉันงัย
ชั้นไม่ยอมให้ชีวิตฉันเป็นแบบคุณหรอก ไม่มีวันเด็ดขาด แล้วรู้ไว้นะที่คุณช่วยฉันไว้ครัง
นี้น่ะ มันไม่ทำให้ฉันเห็นใจคุณหรอกไม่มีวัน รู้ไว้ด้วย"  ทรายแก้วพูดจบก็รีบวิ่งออกนอก
บ้านไปทั้งน้ำตา เพื่อไปหาเอกวัติ วิภาได้แต่นั่งส่ายหัวน้ำตาซึม
                          วิภา เป็นแม่เลี้ยงของทรายแก้ว แต่ทรายไม่เคยยอมรับเธอในฐานะแม่
เลย  เพราะวิภาแต่งงานกับดร.สุรพลเพราะพ่อแม่บังคับ เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
วิภาอายุน้อยกว่าสามีของเธอเกือบ20ปี  ทำให้
ทรายแก้วไม่ชอบเธอและมีอคติกับเธอ  แต่จริงๆแล้ววิภาเป็นคนจิตใจดี แต่ที่เธอทำทุก
อย่างเพราะไม่อยากอกตัญญูต่อพ่อแม่
            
                        "พี่เอกคะ"ทรายแก้วมาหาเอกวัติที่อพาร์ทเมนท์
                        "อ้าว  ทรายเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เข้ามากก่อนสิ"เอกวัติมองดูหน้า
แฟนสาวที่เต็มไปด้วย
คราบน้ำตาอย่างตกใจ
                        "ก็พ่อนะสิคะ จะให้ทรายแต่งงาน ทรายไม่อยากแต่งนี่คะ ทรายรักพี่เอก"
                        เอกวัติไม่พูดจาอะไร แต่สวมกอดแฟนสาวไว้อย่างถะนุถนอม  ทรายแก้ว
รู้ได้ถึงสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนของเอกวัติว่าต้องการปลอบใจเธอ
                      "พี่เข้าใจเธอนะทราย  แต่เหตุการณ์แบบนี้พี่เองก็จนปัญญา"เอกวัติพูดพลาง
เช็ดน้ำตาบนแก้มใสของทรายแก้ว
                      "ทรายเข้าใจค่ะ แค่พี่เอกเข้าใจทราย และเป็นกำลังใจให้ทรายก็พอค่ะ ทราย
ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว"ทรายแก้วโอบกอดเอกวัติด้วยความรัก  เพียงแค่ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าปัญ
หามันเพิ่งจะเริ่มต้น
2.
                      "ตาเอก  แม่มีเรื่องสำคัญจะบอก  แม่จะให้เวลาเราอีก3เดือน ไปเคลียร์กับ
แม่ทรายแก้วซะ  เพราะอีก3เดือนเอกต้องแต่งงานกับ  หนูภัทราแล้วนะ"สาวิตรี ผู้เป็นแม่
ของเอกวัติออกคำสั่ง
                        ภัทราเป็นลุกของคุณหญิงโสมศิริ  เป็นคนที่มีตระกูลดี มีการศึกษาดี 
ภัทราเป็นคนเรียบร้อยและไม่กล้าขัดคำสั่งอะไรของผู้เป็นมารดาเลย
                      "อะไรนะครับ แต่งงานเหรอ  ไม่นะแม่  ผมไม่แต่งกับภัทราเด็ดขาด 
ผมไม่ได้รักเธอ  แล้วเธอเองก็ไม่ได้รักผมด้วย "เอกวัติปฏิเสธ
                      "แกกล้าขัดคำสั่งแม่เหรอตาเอก  แกก็น่าจะรู้นี่ ว่าบริษัทของพ่อแกกำลังมี
ปัญหา ถ้าแกแต่งงานกับหนูภัทราซะ ทุกอย่างก็จะไปได้ด้วยดี  แกจะทำร้ายพ่อแม่ได้
ลงเหรอ"
                      เอกวัติไม่โต้เถียงอะไรเพียงแต่เดินออกจากบ้านไป  
                    "ตาเอก แกจะไปไหนน่ะ  ตาเอก"สาวิตรีเรียกลูกให้กลับมา เอกวัติหยุดเดิน 
หันมามองหน้าผู้เป็นมารดาด้วยสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกที่ไม่สู้ดีนัก
                    "ผมจะกลับอพาร์ทเมนท์  กลับมาบ้านทีไรมีแต่เรื่องปวดหัว เบื่อ"เอกวัติ
พูดจบก็หันหลังเดิน
ออกจากบ้านไป
                    "ตาเอกกลับมาก่อน นั่นแกจะไปหาแม่ทรายแก้วนั่นอีกใช่มั้ย ตาเอก..."

                    
                    "พี่เอกคะ พี่เอก เป็นอะไรคะนั่งใจลอยเชียว"ทรายแก้วถามด้วยความสงสัย
                    "เอ่อ....ทราย พี่มีเรื่องสำคัญจะถาม  คือ...ถ้าพี่ต้องแต่งงานกับคู่หมั้นของพี่
ทรายจะว่าพี่มั้ย?"
                    "อะไรนะคะพี่เอก  ทำไมถามอะไรทรายแบบนั้น ทรายใจคอไม่ดีเลยนะคะ"
ทรายแก้วตอบด้วยสีหน้าไม่พอใจ
                    "เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไร พี่ก็ถามไปงั้นๆแหละ"เอกวัติพูดพลางลูบศีรษะทรายแก้ว
เบาๆ แต่ทรายแก้วกลับไม่เข้าใจ และยิ่งคิดมากกับคำพูดของเอกวัติมากขึ้นอีก
                    ทรายแก้วกลัวว่าถ้าสักวันหนึ่งเอกวัติทิ้งเธอไป เธอจะทำเช่นไร เพราะปัญ
หาทางบ้านบางครั้งเคยทะเลาะกันเพราะความไม่เข้าใจจนเกือบเลิกกันก็มี  เธอจึงพยายาม
ทุกทางที่จะปรับตัวเข้าหาเอกวัติเพราะเธอไม่อยากสูญเสียเขาไป

3.
                    "พี่เอกคะ พี่เอกนัดภัทราออกมามีอะไรรึเปล่าคะ"ภัทราถามเอกวัติที่นั่ง
อยู่บนเก้าอี้ที่หัวโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเธอ
                    "มีซิ เธอรู้แล้วใช่มั้ยเรื่องงานแต่งงานของเรา"
                    "ทราบค่ะ"ภัทราตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
                    "ทราบ??ทราบแล้วทำไมไม่ช่วงหาทางแก้ไขล่ะ  ทำไมดูเธอไม่ทุกข์ไม่
ร้อนเลย  เธอก็มีคนรักอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"เอกวัติถามด้วยสีหน้าไม่พอใจ
                    "ภัทราเลิกกับเขาแล้วค่ะ  พอเขารู้ว่าภัทราต้องแต่งาน เขาก็บอกเลิกกับ
ภัทราทันทีเลย ภัทราเลยไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรแล้ว  ตามแต่ใจคุณแม่แล้วกัน"
                    "ทำไมคิดอย่างนั้น เธอก็น่าจะรู้วาพี่ไม่อยากแต่ง ทำไมไม่เข้าใจพี่บ้าง 
ทำไมเธอไม่สู้บ้างล่ะ อย่างน้อยก็เพื่อตัวเธอเอง"เอกวัติถามด้วยสีหน้าโมโห
                    ภัทรากลับนิ่งเงียบไม่โต้ตอบอะไร
                    "นี่ พูดอะไรบ้างเถอะแม่คุณ ชีวิตนี้ไม่คิดอะไรเลยหรืองัย  เบื่อผู้หญิง
อย่างนี้ที่สุด"เอกวัติพูดจบก็ลุกหนีไปอย่างไม่ใยดีคู่หมั้นสาว
                    ภัทราไม่พูดอะไร มีเพียงน้ำใสๆที่ไหลรินรดสองแก้ม  ความจริงเธอเสีย
ใจมากกับการที่ต้องแต่งงาน แต่เธอไม่มีความหวังอะไรแล้ว ในเมื่อคนที่เธอรักทิ้ง
เธอไป อย่างไม่ใยดี เธอหมดกำลังใจ ท้อถอยทุกอย่าง  ถ้าเธอตายได้เธอคงยอมตาย 
เพียงแต่เธอกลัวว่าความตายจะน่ากลัวกว่าชีวิตของเธอในตอนนี้ เธอยังใจกล้าไม่พอ
ที่จะสู้กับอุปสรรค์ต่างๆในชีวิตของเธอ

                
                    "พี่เอกคะ  พี่เอกเป็นอะไรเหรอทำไมทำหน้าไม่ค่อยจะพอใจเลย"
ทรายแก้วถามด้วยความเป็นห่วง แต่เอกวัติมิได้โต้ตอบอะไรทั้งสิ้น
                    "พี่เอกคะ  ทำไมไม่พูดล่ะ"ทรายแก้วเซ้าซี้
                    "ทราย พี่อยากอยู่คนเดียวพี่กลับบ้านก่อนนะ"เอกวัติพูดจบก็ตั้งท่า
ลุกออกจากม้านั่งยาว ที่สวนสาธารณะ  แต่ทรายแก้วรั้งเขาไว้
                    "พี่เอกแปลกๆไปนะคะ ตั้งแต่ไปคุยกับภัทราวันนั้นน่ะ ต้องมีอะไรแน่ๆ
พี่เอกบอกทรายมานะ"
                    "ก็บอกว่าไม่ได้เป็นอะไร  ทำไมต้องเซ้าซี้ด้วย" เอกวัติตอบด้วยอารมณ์โมโห
                    "ทำไมต้องตะคอกด้วย  ก็ได้อยากอยู่คนเดียวก็อยู่ไป ทรายจะไปแล้วจะไม่
กลับมาให้พี่เอกเห็นหน้าอีกเลย" ทรายแก้วพูดจบก็ลุกไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเธอเสียใจ
มากที่เอกวัติพูดกับเธอเช่นนี้  แต่เธอก็หวังว่าเอกวัติจะกลับมาง้อเธอเช่นที่ผ่านๆมา
4.
                    เอกวัติ  เมื่อกลับบ้านไปก็พบพ่อและแม่ของเขานั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่ง
เครียต  และหยุดคุยเมื่อเอกวัติเข้ามา
                  "สวัสดีครับพ่อ แม่ ทำไมดูสีหน้าไม่ค่อยดีเลยล่ะครับ" เอกวัติถามด้วย
ความเป็นห่วง
                  "นั่งสิ เอกวัติ แม่มีอะไรจะคุยด้วยหน่อย"สาวิตรีเรียกลูกชายมานั่ง 
เอกวัติมานั่งข้างๆแม่ของเขา
                  "เอก  แกรู้ใช่มั้ย  ว่าบริษัทของเรากำลังมีปัญหามาก  แล้วก็มีแนวโน้ม
ว่าอาจจะต้องยุบบริษัท  มีเพียงคุณหญิงโสมศิริเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ "
                  "พ่อกำลังจะพูดเรื่องแต่งงานใช่มั้ยครับ"เอกวัติสวนขึ้นทันที
                  "อืม..ใช่สิ  แกอาจจะคิดว่าการแต่งงานเพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจมัน
เป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัวมาก  แต่มีเพียงทางนี้เท่านั้น ที่จะช่วยบริษัทของเราได้"
                  "ผมทราบครับ  แต่ผมไม่ได้รักภัทราผมรักทรายนี่ครับ  ผมไม่อยาก
แต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รัก" เอกวัติพยายามเถียงและหาเหตุผล
                  "แกรักทรายแก้วแล้วแกไม่รักพ่อกับแม่เหรอ ตาเอกแกลองคิดดูสิ ถ้าแก
ไม่ช่วยพ่อแล้วใครจะช่วย ไม่อย่างนั้นบริษัทของเราต้องล้มละลายแน่ๆ แล้วพวกลูก
จ้างอีกล่ะ  คนพวกนี้ก็ต้องตกงาน เหมือนกัน  แกลองคิดดูดีๆ แกจะทำอะไรเห็นแก่
ตัวอย่างนั้นหรือ  แกจะยอมเป็นลูกอกตัญญูเลยหรือ"
                  "เอก เชื่อพ่อเขาเถอะลูก ตอนนี้มีเพียงลูกเท่านั้นที่จะช่วยเราได้"สาวิตรี
พยายามขอร้องลูกชายอีกครั้ง
ส่วนเอกวัติก็พยายามคิดทบทวนทุกอย่าง  สิ่งที่พ่อของเขาพูดนั้นมีเหตุผล  เขาจะเป็น
คนเห็นแก่ตัวต่อไปไม่ได้ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจ 
                  "ครับพ่อ ผมจะแต่งงานกับภัทรา" เมื่อพูดจบเอกวัติก็เดินขึ้นห้องไป  เขาตัด
สินใจต่อสายโทรศัพท์ไปหาทรายแก้วเพื่อโทรนัดทรายแก้วมาคุยกันให้รู้เรื่อง ทราย
แก้วดีใจมากที่เอกวัติโทรมานัด  เธอคิดว่าเอกวัติจะโทรมาง้อเธอเช่นเคย  

                  "ทราย พี่มีอะไรจะพูดด้วย"
                  "อะไรล่ะคะ พูดมาสิ"ทรายแก้วตอบรับ
                  "ทราย เราเลิกกันเถอะนะ เราเข้ากันไม่ได้หรอก ทางบ้านของเราเขาก็
ไม่ยอมรับไม่ใช่เหรอ"
                  "พี่เอก ทำไมล่ะค่ะ ทรายรักพี่เอกนี่ ส่วนเรื่องทางบ้านน่ะเดี๋ยวเขาก็ยอม
รับพี่เอกไปเองน่ะแหละค่ะ" ทรายแก้วพูดเสียงสั่น ตาเธอคลอไปด้วยน้ำใสๆ 
                  "ไม่ได้หรอกพี่เองพี่ก็มีคู่หมั้นแล้วแล้วอีกไม่นานพี่ก็ต้องแต่งงานกับภัทรา
ทรายก็รู้นี่นา  แล้วเราจะทนคบกันไปทำไม พี่รักทรายนะ แต่เราไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ"
เอกวัติพยายามอธิบาย
                  "ไม่นะ ทรายไม่เลิก ถ้าไม่มีพี่เอกแล้ว  ทรายจะเหลือใคร  ทรายไม่ได้รักใครแล้วนะคะ"
ทรายแก้วรั้งเอกวัติไว้ด้วยการโอบกอด  แต่เอกวัติกลับดันตัวเธอออกห่าง 
                  "ทราย พี่ขอโทษ  พี่ต้องไปแล้ว  พี่จะไม่มาพบเธออีกจนกว่าเธอจะตัดใจจากพี่ได้ 
และจนกว่าเธอจะมองเห็นพี่เป็นเพียงพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้น"เมื่อเอกวัติพูดจบก็เดินไปขึ้นรถ 
และขับรถออกไป
                  "พี่เอกคะ...พี่เอก....พี่เอก...อย่าไป...ม่ายยยยยยยยยยยย...."เธอตะโกนสุดเสียงเพียง
หวังว่าชายคนรักจะได้ยินเสียงเธอ  และกลับมาหาเธออีกครั้ง แต่ทว่า ยิ่งเธอตะโกนเท่าไหร่ 
เอกวัติก็ยิ่งห่างเธอไปเท่านั้น
                  หลังจากนั้นเธอก็พยายามที่จะโทรติดต่อกับเอกวัติแต่ก็ติดต่อไม่ได้เลย  เมื่อโทรไป
ที่บ้านเอกวัติ ทางบ้านก็บอกว่าเอกวัติไม่อยู่ เธอจึงไปหาเอกวิติที่อพาร์ทเม้นท์  แต่ก็พบเพียงห้อง
ที่ว่างเปล่า  คนที่อยู่ข้างห้องของเอกวัติ บอกว่าเอกวัติย้ายออกไปแล้ว  เธอจึงไม่รู้จะทำอย่างไร 
เธอจึงไปหาเอกวัติที่บ้าน  แต่ทางบ้านของเอกวัติไม่ยอมให้เธอพบ  แต่เอกวัติขอร้องแม่ของเข้าไว้ 
ว่าจะพูดกับทรายแก้วเพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น
                    "พี่เอกคะ  ทำไมไม่ยอมติดต่อมาบ้าง  ทรายคิดถึงจะแย่แล้วพี่เอกเข้าใจทรายมั้ย"
                    "ทรายพี่ขอพูดอีกครั้งนะ  เราอยู่ด้วยกันไม่ได้หรอก ทรายตัดใจซะ"เอกวัติตัดบท
                    "ทำไมล่ะทรายรักพี่เอกนะ  ไม่ว่าใครจะว่าอย่างไรทรายก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น  อย่า
ทิ้งทรายไปนะคะ" ทรายแก้วขอร้องเอกวัติอีกครั้ง แต่เอกวัติ ไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร จึงฝืนใจพูด
ในสิ่งที่เขาไม่ต้องการออกไป
                    "ทรายฟังให้ดีนะ พี่ไม่ได้รักทรายแล้ว พี่รักภัทรา  รักมานานแล้วด้วย  ตลอดเวลาพี่
หลอกทรายมาตลอด  ทรายอย่ามายุ่งกับพี่อีกเลย  พี่ขอร้อง"เอกวัติพูดจบก็เดินขี้นห้องไป เหลือ
ไว้เพียงทรายแก้วในห้องโถงใหญ่หรูหราแต่เพียงผู้เดียว
                    "ไม่จริง ทรายไม่เชื่อ ทำไมพี่เอกเป็นคนแบบนี้  ไม่จริง" ทรายแก้ว พูดกับตัวเองเบาๆ
เธอไม่อยากเชื่อหูตัวเองสักเท่าไรนัก แต่การกระทำของเอกวัติ มันบ่งบอกว่าเอกวัติอยากไปจาก
เธอจริงๆ
                  ขณะนี้เธอเครียตมาก  เธอพยายามทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่าง  แล้วเธอก็สรุปทุกอย่าง
ว่า สาเหตุมาจากภัทรา เธอคิดว่าภัทราแย่งทุกอย่างไปจากเธอ  เธอจึงตัดสินใจไปหาภัทราที่บ้าน
5.
                  "คุณภัทราคะ คุณภัทรา แย่แล้วค่ะ  คุณทรายแก้วมาขอพบคุณ  ท่าทางเธอเหมือนจะ
โกรธแค้นมาก พวกเราพยายามจะไม่ให้เธอเข้ามา ดิฉันบอกเขาไปว่าคุณภัทราไม่อยู่  แต่เธอไม่
ฟังพวกเราเลยค่ะ ยืนยันว่าจะเข้ามาให้ได้  จะทำอย่างไรดีคะ" สาวรับใช้คนหนึ่งเข้ามารายงาน 
ภัทราเมื่อ ทรายแก้วพยายามจะบุกเข้ามาในบ้าน
                    "ให้เขาเข้ามาสิ" 
                    "แต่คุณภัทราคะ..."
                    "ฉันบอกว่าให้เขาเข้ามางัยล่ะ"ภัทรายืนยันอีกครั้ง เมื่อเห็นสาวใช้ทำทีท่าว่าจะเถียง
                    "ค่ะ"สาวใช้ตอบรับ และไปพาตัวทรายแก้วเข้ามา
                  
                    "อ้าว  สวัสดีค่ะคุณทรายแก้ว เป็นเกียรติมากเลยนะคะที่คุณมาบ้านของดีฉัน นั่ง
ลงก่อนสิคะ"ภัทรากล่าวทักทาย
                    "ไม่จำเป็น  ฉันแค่จะมาพูดเรื่องพี่เอกเท่านั้น"
                    "พวกเธอออกไปกันก่อน"ภัทราหันไปสั่งคนรับใช้ของเธอให้ออกไปให้หมด 
เมื่อคนรับใช้ออกไปหมดแล้วทรายแก้วจึงเริ่มพูด
                    "ภัทรา เธอกล้ามากนะ  ทำไมเธอต้องแย่งพี่เอกไปด้วย"
                    "แย่งงั้นเหรอ  ฉันไม่ได้แย่งนี่  ก็แค่ช่วยเขาเท่านั้นเอง"ภัทราเถียงด้วยสีหน้า
เรียบเฉย  แต่ทรายแก้วกลับโมโหหนักขึ้น  เธอควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ เธอผลักภัทราเข้าอย่างแรง
ทำให้ภัทราทรงตัวไม่อยู่ และล้มลงไปปะทะกับโซฟาอ่อนนุ่มอย่างแรง
                      "เธอยังจะเถียงอีกเหรอ  พี่เอกเขาบอกฉันเองว่าเขารักเธอ เขารักเธอมานานแล้ว 
เธอยังจะบอกว่าเธอไม่ได้แย่งเขาไปอีกเหรอ"
                      "รักงั้นเหรอ  ทรายแก้ว เธอคงเข้าใจอะไรผิดแล้วล่ะ พี่เอกไม่ได้รักฉัน  แล้วฉันก็
ไมได้รักพี่เอกเลย ที่เราแต่งงานกันน่ะ เพราะผู้ใหญ่บังคับ  พี่เอกเขารักเธอนะ  เขาอยากให้เธอ
ไปพบคนที่ดีกว่าเขา  คนที่ให้เธอได้มากกว่าเขา  เขาจึงต้องทำแบบนี้"ภัทราพยายามอธิบาย
ทุกอย่าง
                      "นี่หรือที่เรียกว่ารัก  รักคือการทิ้งกันไปเหรอ ทำไมพี่เอกไม่มาถามความรู้สึก
ฉันบ้างล่ะว่าต้องการอะไร"น้ำใสๆไหลรดแก้มทรายแก้วอีกครั้ง
                      "ทรายแก้ว คุณเองอาจจะยังไม่รู้ ฉันจะบอกอะไรให้นะ  ที่พี่เอกเขามาแต่งงาน
กับฉันน่ะ มีเหตุเพราะที่บ้านของพี่เอกมีปัญหาทางธุรกิจ  มีเพียงบ้านของฉันเท่านั้นที่จะช่วย
ได้  พี่เอกเขาไม่อยากอกตัญญูต่อพ่อแม่ ถ้าเขาเลือกเธอ  แล้วพ่อแม่ที่ให้เขาเกิดมาล่ะ  เขาจะ
ทำอย่างไร  มองดูท่านล้มละลายไปต่อหน้าต่อตาเหรอเธออย่าไปว่าพี่เอกเลย  พี่เขาไม่ผิดอะไร  
ส่วนฉันน่ะก็ไม่ได้อยากแต่งงานเลยแม้แต่นิดเดียว ฉันก็แค่อยากช่วยพี่เอกเท่านั้น  ฉันมี
คนที่ฉันรักมากอยู่อยู่ แต่เขาก็ทิ้งฉันไป เมื่อเขาทราบว่าฉันต้องแต่งงาน  ตอนนี้ฉันเองก็
ไม่มีใครแล้ว เธอเจ็บมากอย่างไร ฉันเข้าใจเธอดีทุกอย่าง  ไม่มีใครหรอกที่อยากถูกทิ้ง น่ะ
ไม่มีใครที่อยากเจ็บแต่ทุกๆคนเลือกไม่ได้  ถ้าทำได้ฉันก้อยากคืนพี่เอกให้เธอเช่นกัน  แต่
ฉันทำอะไรไม่ได้เลย  เธอเข้าใจฉันบ้างสิ"  เมื่อภัทราอธิบายเสร็จ  ทั้งคู่ก็เงียบไปพักใหญ่  
แล้วทรายแก้วก็เอ่ยถามขึ้น
                      "แล้วฉันควรทำอย่างไรล่ะ  ฉันทำอะไรไม่ถูกอีกแล้ว"
                      "ทรายแก้ว เธอจะหาว่าฉันมันเลว  ฉันเห็นแก่ตัวก็ได้นะ  ฉันขอแนะนำว่า
เธอควรตัดใจจากพี่เอกซะ คนเรามันมีทางเดินของชีวิตที่ต่างกัน  ใครๆก็ต้องเลือกไปกับคนที่ดี
กว่าทั้งนั้น  ในเมื่อทางสายนี้พี่เอกเขาเลือกแล้ว  เธออย่าไปขัดขวางเขาเลย  ปล่อยเขาไปเถอะนะ 
ฉันขอร้อง อย่าทรมานจิตใจพี่เอกมากไปกว่านี้เลย"ภัทรา ตอบ  
ทรายแก้วนั่งทบทวนทุกอย่าง  แล้วเธอก็คิดได้ว่า สิ่งที่ภัทราพูดถูกต้องทุกอย่าง  เธอควรปล่อย
เอกวัติไป
                        "อืม..ภัทรา ฝากดูแลพี่เอกด้วยนะ  ฉันรู้ว่าเธอทำได้ดีแน่นอน ฉันไปก่อนนะ" 
ทรายแก้วฝืนยิ้มทั้งน้ำตา  เพื่อที่จะสื่อความหมายถึงการจากลา
                        "ไม่ต้องห่วงนะ  ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด"ภัทรายิ้มรับ
6.
                      หลังจากนั้นเธอก็ไม่ได้ติดต่อไปหาเอกวัติอีกเลย  เธอไม่ดูแลตัวเธอเองเลย  
เธอแทบจะไม่ทานข้าว  ไม่สนใจเวลา  วันๆหนึ่งเก็บตัวอยู่กับความเศร้าและความเครียตใน
ความมืดของห้องสี่เหลี่ยม  เล็กๆ  เธอไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะเป็นเช่นไร  เธอรู้สึกว่าร่างกาย
เธออ่อนแอลงทุกที  ป่วยง่าย  และมันมีอาการปวดหัวบ่อยๆ  เวลาปวดรู้สึกเหมือนสมองจะระเบิด  
เธอจึงไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูอาการ  แต่เธอก็ต้องพบกับข่าวร้าย  
                      "คุณทรายแก้วครับ  คุณเป็นเนื้องอกในสมองนะครับ  เราตรวจพบช้าไป  ตอนนี้
มันก้อนใหญ่มาก"คุณหมอพูดกับทรายแก้วด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
                      "หมดทางรักษาแล้วใช่มั้ยคะหมอ"
                      "อืม...ตอนนี้คุณต้องดูแลสุขภาพคุณให้ดีที่สุดนะครับ  จะต้องไม่เครียต  
และมารับการรักษา  หมอจะพยายามช่วยคุณให้ถึงที่สุดนะครับ"ถึงแม้คุณหมอจะพยายามให้กำลัง
ใจเท่าไร  แต่ทรายแก้วกลับยิ่งหดหู่ไปทุกทีๆ  
                      อีกเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น  เอกวัติก็ต้องแต่งงานแล้ว  เมื่อเธอนึกถึงทีไรก็ยิ่งใจคอ
ไม่ดี  มีแต่จะเศร้าหมองลง  เธอเองคงทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยเอกวัติไป

                      "หนูทรายแก้วไปพบคุณหมอมา  ผลเป็นยังงัยบ้างลูก"วิภาถามด้วยความเป็นห่วง
  แต่ทรายแก้วเงียบไม่ตอบ
                      "หนูทรายลูก..."
                      "น้าวิภาอย่ามายุ่งกับทรายได้มั้ย  ทรายจะเป็นอะไรก็เรื่องของทราย  คุณคงอยาก
ให้ทรายเป็นโรคร้ายๆอย่างพวกเอดส์ พวกมะเร็งล่ะซี่...จะได้ตายเร็วๆ ไม่มารบกวนคุณกับพ่ออีก"
ทรายแก้วพูดประชด
                      "ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะลูก  ทำไมหนูถึงคิดว่าน้าไม่รักหนู ทำไมอคติกับน้าอย่างนี้
น้าไม่เคยเกลียดหนูเลยนะมีแต่หนูที่คอยด่าคอยว่าน้ามาตลอด  น้าเป็นห่วงหนูนะ  หนูก็รู้น้าไม่มีลูก 
น้าก็รักหนูเหมือนลูกแท้ๆของน้า  แต่หนูน่ะรังเกลียดน้ามาตลอด  น้าก็เข้าใจว่าหนูรักแม่ของหนู
คนเดียว  แต่ทำไมต้องทำร้ายจิตใจน้าอย่างนี้ด้วยล่ะลูกน้าเป็นห่วงหนูนะลูก"วิภาพูดอย่างน้อยใจ 
และเสียใจมาก
                      ทรายแก้วคิดทบทวนดู  ชีวิตของวิภาก็เป็นเหมือนกับเอกวัติ  เธอคงไม่ต้องการจะ
แต่งงานกับ ดร.สุรพล  แต่เธอคงถูกบังคับมาเช่นกันในความจริงแล้ว วิภาไม่เคยทำร้ายทรายแก้ว
เลย  มีแต่จะพยายามให้ความรักความห่วงใยกับทรายแก้ว แต่ทรายแก้วไม่ยอมรับมันเลย  เธอมอง
ข้ามทุกอย่างไป เพราะความอคติของเธอ  แต่ตอนนี้เธอคิดได้แล้ว  เธอไม่ควรทำเช่นนั้นกับวิภา
                      "ทรายเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ คงอยู่ได้อีกไม่นาน"  พอพูดจบทรายแก้วก็ร้องไห้
                      "หาา.... อะไรนะ  เนื้องอก  ทำไมล่ะลูก  ทำไมถึงเป็นไปได้"
                      "ทรายก็ไม่รู้ รู้แต่มันเกิดแล้ว  มันสายไปที่จะรักษาแล้วค่ะ  ทรายไม่รู้จะทำไงแล้ว" 
ทรายแก้วร้องไห้  ตอนนี้มีเพียงวิภาเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างหน้า และพร้อมที่จะปลอบใจเธอเสมอ 
วิภาโอบกอดทรายแก้วไว้ในอ้อมอก  ทรายแก้วรู้สึกถึงความอบอุ่น ที่เธอไม่ได้สัมผัสมานาน 
ตั้งแต่แม่เธอเสียไป  มีเพียงเอกวัติเท่านั้นที่โอบกอดเธอไว้อย่างอบอุ่น  แต่บัดนี้ไม่มีเอกวัติอีกแล้ว
มีเพียงวิภา แม่เลี้ยงที่เธอคอยมองในแง่ร้ายตลอด โอบกอดเธอไว้ในอ้อมกอดอบอุ่น  ความอคติทั้ง
หมดที่เธอเคยเก็บสะสมไว้ ได้ละลายหายไปพร้อมอ้อมอกอันอบอุ่นนี้แล้ว  เธอรู้สึกเหมือนอยู่กับ
แม่แท้ๆของเธอเลยก็ว่าได้
                      หลังจากที่วิภารู้เรื่องราวทุกอย่างเธอก็จะเอาใจใส่ทรายแก้วมากขึ้น  และดูเหมือน
วิภาจะเป็นคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจทรายแก้วมากที่สุดในตอนนี้  ทรายแก้วมักจะระบายทุก
อย่างให้วิภาฟัง  และเผลอหลับไปทุกครั้ง
7.
                      และแล้ววันนี้ก็มาถึง  วันที่เอกวัติและภัทราต้องแต่งงานกัน ทรายแก้วรู้แล้วว่า
นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นเอกวัติที่ยังไม่เป็นของใคร  งานแต่งงานของเอกวัติจัดขึ้นที่
โรงแรมใหญ่ๆในกทม.  ทรายแก้วโทรไปหาเอกวัติเมื่อมาถึงงานเพราะไม่กล้าเข้าไปหา
เอกวัติตรงๆ
                    "ครับ ทรายแก้วมีอะไรเหรอ"
                    "พี่เอกคะ มาหาทรายหน่อยได้มั้ยทรายอยู่แถวๆนี้แหละค่ะ  แต่พี่เอกอย่าพยายาม
มองหาเลย"ทรายแก้วแอบมองเอกวัติจากที่ๆเอกวัติมองเธอไม่เห็น
                    "ได้สิ  ทรายมาที่ห้องแต่งตัวแล้วกัน"
                    เมื่อตกลงกันแล้วเขาก็รีบไปที่ห้องแต่งตัวของเอกวัติทันที  เมื่อมาถึงก็พบว่าทราย
แก้วมารออยู่แล้ว เขามองทรายแก้วด้วยความแปลกใจ  เมื่อเห็นทรายแก้วผอมลง และดูซูบซีด
ลงไปมาก
                    "ทราย รอนานมั้ย"เอกวัติถาม
                    "ไม่ค่ะ  พี่เอกคะ  วันนี้แล้วสินะ คงเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้อยู่กันลำพัง2คน" 
ทรายแก้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
                    "อืม  ทราย  พี่ขอโทษนะ ที่พี่ทิ้งทรายมา ขอโทษจริงๆ"เอกวัติรู้สึกผิด
                    "ไม่เป็นไรค่ะ  ทรายเข้าใจพี่เอกดี  พี่เอกทำสิ่งที่ถูกที่สุดแล้วค่ะ  ภัทราเขา
ให้พี่เอกได้ในหลายสิ่งที่ทรายให้ไม่ได้  แล้วทรายเองก็คงอยู่กับพี่เอกได้อีกไม่นาน..."
                    "ทำไมทรายพูดแบบนั้นล่ะ"เอกวัติถามด้วยความสงสัย
                    "ทรายเป็นเนื้องอกในสมองค่ะ  คงอยู่ได้ไม่นาน"ทรายแก้วยิ้มเศร้าๆ  
                    "ทราย ทำไมไม่บอกพี่  ทำไมเพิ่งบอก"เอกวัติตกใจ
                    "ทรายเองก็เพิ่งรู้ค่ะพี่เอก"แรกๆก้อทำใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ปลงแล้ว  อะไร
จะเกิดก็ต้องเกิดค่ะ  พี่เอกคะ  ทรายมีอะไรจะขอร้อง"
                    "ว่ามาสิ"เอกวัติรับคำ
                    "พี่เอกกอดทรายอีกครั้งได้ไหมคะ  แค่ครั้งสุดท้าย  ต่อไปคงไม่ได้ทำอีก
แล้ว  กอดแบบที่เคยกอด  แล้วบอกรักทรายเหมือนเดิมแค่ครั้งนี้เท่านั้น ได้มั้ยคะ"ทรายแก้ว
อ้อนวอน  เอกวัติไม่พูดอะไร  แต่กลับสวมกอดทรายแก้วเบาๆอบอุ่นเช่นเคย  
                    "พี่รักทรายนะ  และจะรักตลอดไป"เมื่อพูดจบเอกวัติก็จูบลงบนเปลือกตาทราย
แก้วอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ไม่ใช่ทรายแก้วคนเดียวที่ร้องไห้  แต่มีเอกวัติอีกคนที่ปล่อยน้ำตา
ให้ไหลนองหน้าชายชาตรี  แต่แล้วทั้งสองก็ต้องผละออกจากกัน เมื่อภัทราเดินเข้ามา
                    "อ๊ะ เอ่ออ...ขอโทษนะคะ  ฉันแค่จะมาหยิบมือถือไม่ได้ตั้งใจจะขึ้นมาขัดขวางเลย  
ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ"  เมื่อพูดจบภัทราก็วิ่งลงไป  เธอร้องไห้  ไม่ใช่เพราะความหึงหวง  
แต่เป็นเพราะเธอสงสารคนทั้งคู่ และสำนึกผิด  เธอคิดว่าความจริงแล้ว ชุดเจ้าสาวสีขาวบริสุทธิ์
นี้ไม่น่าจะเป็นของเธอ  แต่ควรเป็นของทรายแก้ว  แต่เธอเองก็ไม่มีทางเลือกแล้ว เธอจำเป็นต้อง
ทำในสิ่งที่เลวร้ายเช่นนี้  
                    เอกวัติมองตามภัทราที่วิ่งลงไป  เขาตัดสินใจไม่ถูกว่าจะอยู่ต่อกับทรายแก้ว 
หรือจะวิ่งตายภัทราลงไปดี เขาไม่รู้ว่าสิ่งไหนที่ถูกต้องกว่ากัน
                    "พี่เอกคะ  ตามเธอลงไปสิคะ  ไปทำสิ่งที่ถูกต้องเถอะค่ะ  ที่ตรงนี้ไม่ใช่ที่ที่
พี่เอกควรจะอยู่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่คนที่พี่เอกควรแคร์  ลงไปเถอะค่ะ  เธอคนนั้น จะต้องเป็น
ภรรยาของพี่  ไม่ต้องห่วงทรายค่ะ  ทรายทนทุกอย่างได้  เชื่อทรายเถอะ  แล้วทรายจะมองพี่
เอกอยู่ห่างๆ  ไม่ว่าเวลาไหนที่พี่เอกไม่มีใคร  ขอให้นึกถึงทรายนะคะ  พี่เอก พี่ชาย ที่แสนดี
ของทราย" ทรายแก้วส่งยิ้มเศร้าๆให้เอกวัติ
                    "ทราย  ขอบใจนะที่เข้าใจพี่  พี่รักทรายเสมอนะ และจะรักตลอดไปด้วย"
                    "ไปสิคะ พี่เอก อย่าช้าอยู่เลย  อนาคตรอพี่อยู่"เมื่อทรายแก้วพูดจบ เอกวัติก็
เดินออกไป ทรายแก้วมองดูหลังของคนรักที่เดินจากเธอไปอย่างช้าๆ  เธอมองจนเขาลับตาไป  
และเธอก็รู้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร  เธอจะไม่มีวันได้เขากลับคืนมาอีกต่อไป  ทรายแก้วเดินออกจาก
ห้องนั้นไปอย่างช้าๆ เธอค่อยๆคิดทบทวนทุกอย่าง เรื่องราวทั้งดีและร้ายที่ผ่านมา  จนกระทั่ง
เดินมาถึงชั้นล่าง  เธอมองเห็นคู่บ่าวสาวที่ยืนเคียงคู่กัน และมีผู้คนมากมายมาอวยพรให้  
เธอเดินออกมาอย่างเงียบๆ  
                      "ลาก่อน ที่รัก"
8.
                      "น้าวิภาคะ  พี่เอกแต่งงานได้ครึ่งปีแล้วมั้งคะเนี่ย  พรุ่งนี้เช้าก็วันเกิดทรายแล้วนะ  
น้าวิภารู้มั้ย  ปกติวันเกิดทรายน่ะพี่เอกจะมาหาแต่เช้าแล้วนำดอกไม้มาให้ทรายทุกปีเลย  แต่ปี
นี้พี่เอกจะจำได้รึเปล่านะ  เค้าอาจจะมีความสุขจนลืมทรายไปแล้วก็ได้"  ทรายแก้วพูดกับแม่
เลี้ยงของเธอด้วยรอยยิ้มเศร้าๆเช่นเคย
                      "ไม่หรอกค่ะ  น้าว่าคุณเอกต้องจำได้ วันนี้ดึกแล้วนะ  หนูทรายแก้วคนดีของน้า
ต้องนอนได้แล้วนะ  แล้วพรุ่งนี้น้าจะมาแฮปปี้เบิร์ดเดย์แต่เช้านะคะ  ฝันดีนะจ๊ะ"วิภาปลอบใจ
ทรายแก้วเพื่อให้เธอรู้สึกดีขึ้นบ้าง
                      "ฝันดีค่ะ"เมื่อวิภาเดินออกไป  ทรายแก้วก็อยู่คนเดียวท่ามกลางความมืด  เธอคิด
ดูแล้วชีวิตของเธอตอนนี้ไม่มีความสุขเลย  เธอสุขภาพไม่ดี ปวดหัวบ่อยมากเมื่ออาการกำเริบ
เธอมักจะทรมาน ชีวิตตอนนี้มีเพียงแค่รอคอยความตายเท่านั้น เธอคิดว่าตายเร็วตายช้าก็เท่ากัน  
จะรอต่อไปทำไม  บางทีการตายอาจจะสบายกว่าการอยู่อย่างทรมานเมื่อรู้ว่าทุกสิ่งไม่เป็นอย่าง
ใจคิดก็ได้

                      เช้าวันใหม่กับอากาศดีๆ สายลมโชยพัดสบาย  วันนี้เอกวัติมีสิ่งหนึ่งที่เขาต้อง
ทำเช่นทุกปี คือไปร่วมฉลองวันเกิดกับทรายแก้ว เขาขับรถออกจากบ้านแต่เช้าพร้อมกล่อง
ของขวัญและช่อดอกไม้กลิ่นหอมอบอวลไปทั้งรถ    เมื่อมาถึงก็รีบลงจากรถทันที  มีสาว
ใช้ออกมารับเอกวัติคนหนึ่ง  สีหน้าของเธอดูเศร้าหมอง  เหมือนคนร้องไห้  เอกวัติก็ไม่เข้า
ใจเหมือนกัน
                      "ขอพบทรายแก้วหน่อยได้มั้ยครับ"
                      "เข้ามาสิคะ" เอกวัติเดินตามสาวใช้ไปที่ห้องทรายแก้ว  แต่ภาพที่เห็นมีเพียง
ทรายแก้วที่นอนนิ่งบนที่นอน พร้อมทั้งสาวใช้  ดร.สุรพล และวิภาแม่เลี้ยงของเธอ  ทุกคน
กำลังร้องไห้
                      "ทราย ทรายเป็นอะไรนะ  ทุกคนเป็นอะไรกันครับ"เอกวัติถามด้วยความ
ตกใจ
                      "คุณเอกวัติ  ทรายไปสงบแล้วนะคะ  เธอกินยานอนหลับมากเกินขนาด 
เธอทิ้งจดหมายไว้น่ะค่ะ" เมื่อพูดจบวิภาก็ส่งจดหมายให้เอกวัติอ่าน
                    

ถึงทุกคน  
                      เมื่อทุกคนอ่านจดหมายนี้  ทรายคงไม่ได้อยู่ในโลกนี้แล้ว  ทราบแค่อยาก
จะบอกทุกคนว่าอย่าห่วงทรายอย่าเสียใจ  ทรายไปสงบแล้วนะคะ  ขอบคุณที่ดูแลทราย
มาอย่างดีตลอด
                    น้าวิภาคะทรายขอโทษนะคะที่ทำตัวไม่ดีกับน้า  คอยเกเรว่าน้ามาตลอด 
แต่น้าไม่เคยรังเกลียดทรายเลย กลับมีแต่ความรักให้ ทรายขอโทษนะคะ  แล้วก็ขอบ
คุณสำหรับทุกอย่างนะคะ คุณแม่คนที่2 ของทราย
                    คุณพ่อคะ  ทรายรักพ่อนะ  ขอโทษที่ไม่ได้ทดแทนคุณของพ่อ  แต่ไม่
ว่าจะอย่างไร  ทรายคงพูดได้แค่ว่ารักเท่านั้น
                    พี่เอกคะ  วันนี้พี่เอกจะมาอยู่ด้วยรึเปล่าทรายไม่รู้นะ  ทรายอยากให้พี่เอก
มีความสุข ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะคะพี่เอก  ทั้งทุกข์ทั้งสุขที่ร่วมสร้าง  ขอให้รู้ไว้ไม่
ว่าวันใดที่พี่เอกไม่มีใคร  พี่จะมีทรายคอยมองพี่เอกจากปลายฟ้าใกล้เสมอนะคะ  ทรายจะ
เป็นกำลังใจให้พี่เอกเสมอนะคะ  พี่เอกมีอนาคตอีกไกล  ใช้ชีวิตให้มีความสุข  พี่เอกต้อง
ดูแลครอบครัวดีๆนะคะ  อย่ามาจบอยู่กับความเศร้าหมอง  ขอให้รู้ไว้นะคะ คนเข้มแข็งเท่า
นั้นที่จะอยู่ในโลกใบนี้ได้  แต่ทรายไม่เข้มแข็ง  ทรายเลยต้องไป  ขอโทษและขอบคุณสำ
หรับทุกอย่างนะคะ  ที่รักตลอดกาลของทราย
                                                                                                                  รักทุกคน
                                                                                                                ทรายแก้ว
                  
                    เอกวัติอ่านจดหมายจบก็รู้วา  เขาคงไม่มีเธออีกแล้ว หมดสิ้นทุกความหวัง  
เขาโอบกอดร่างไร้วิญญาณของทรายแก้วแผ่วเบา  พร้อมกระซิบรักข้างหู ถึงแม้ทรายแก้ว  
ไม่มีโอกาสได้ยินอีกก็ตาม
                    สายลมแสงแดด ทอประกายงาม  แต่หากถึงเวลาฝนจะตก  ฟ้าก็คงมืดมน  
ดูหมอง  และมีฝนตกลงมา  ถึงแม้สุดท้าย ฝนจะหยุด  ฟ้าจะใสเพียงใด  แต่สิ่งที่หลงเหลือ
ไว้คือรอยเปียกของน้ำฝน แต่สักวันต้องระเหยแห้งไป  และวันฟ้าใสก็จะกลับมา
                      "ครับ ทราย พี่จะอยู่ต่อไป  และจะมีเธอในใจเสมอ  สักวันเราต้องได้พบกัน
ได้รักกันใหม่ รอฟ้าใสในภพหน้า  เราจะกลับมามีกันและกัน  รักเสมอนะ  
ทรายแก้วที่รัก"
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------				
20 พฤศจิกายน 2546 22:35 น.

Good bye my dear

อายะจัง

จมอยู่กับ...ความทรงจำเก่าเก่า
                                                    ท่ามกลาง...ความเหงาไร้คนเคียงข้าง
                                                    จมอยู่กับ...อดีตอันเลือนราง
                                                    ท่ามกลาง...ความอ้างว้างของหัวใจ
                                                    จมอยู่กับ...กาลเวลา
                                                      ท่ามกลาง...ความเหว่ว้าของเช้าวันใหม่
                                                      จมอยู่กับ...ความรู้สึกของหัวใจ
                                                      ท่ามกลาง...ความเดียวดายในสายลม
          1.
                          มีความรัก ความผูกพันบังเกิด จากพลัดพราก เศร้าใจในสุดท้าย  เมื่อใด
มีความรักก็คงหนีไม่พ้นทุกข์ใจ เศร้าใจเสียใจ อาจจะเป็นเรื่องปกติของโลกนี้ไปแล้ว
                          "ทราย เราเลิกกันเถอะนะ เราเข้ากันไม่ได้หรอกแล้วทางบ้านเราเขาก็
ไม่ยอมรับพี่ไม่ใช่เหรอ"
                          "พี่เอก ทำไมล่ะค่ะ ทรายรักพี่เอกนี่ ส่วนเรื่องทางบ้านน่ะเดี๋ยวเขาก็ยอม
รับพี่เอกไปเองน่ะแหละค่ะ"
                          "ไม่ได้หรอกพี่เองพี่ก็มีคู่หมั้นแล้วทรายก็รู้นี่นา  แล้วเราจะทนคบกัน
ไปทำไม พี่รักทรายนะ แต่เราไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ"
                          "ไม่นะพี่เอก พี่เอก อย่าไป อย่า...อย่า...ม่ายยยย...!!!!" หญิงสาวสะดุ้ง
ดื่น พร้อมคราบน้ำตา เธอมักเป็นเช่นนี้บ่อยๆ ตั้งแต่แฟนหนุ่มที่คบกันมาตั้งแต่มัธยม
ปลายบอกเลิกไป 
                          ทรายแก้วเป็นลูกสาวของบ้านที่ฐานะรวย และตระกูลค่อนข้างสูง เธอ
อาจจะดูเหมือนมีพร้อมทุกอย่าง และอาจมีหลายคนที่อิจฉาในชื่อเสียง ตระกูล และฐานะ
ของเธอ แต่จริงๆ แล้ว เธอเป็นคนที่น่าสงสารมาก พ่อแม่ของทรายหย่ากันตั้งแต่ทรายอายุ
ยังน้อย  เมื่อหย่าขาดกันได้ประมาณ2ปี แม่ของเธอก็เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุรถชน  ส่วนพ่อ
ของเธอนั้นได้แต่งงานใหม่ ปัจจุบันเธออยู่อยู่กับพ่อและแม่เลี้ยงของเธอ พ่อของเธอไม่ค่อย
มีเวลาให้เธอเท่าไร ใช้เวลาส่วนมากไปกับการทำงาน  จนทำให้ทรายแก้วเป็นเหมือนเด็ก
ที่ขาดความอบอุ่น  เมื่อเธอรักใครเธอจะทุ่มสุดหัวใจ  ทำให้เธอต้องเจ็บกับความรักเป็น
ประจำเมื่อประมาณ1ปีก่อนหน้านี้ เกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตเธอก็ว่าได้ 

                        "ทราย ตอนนี้ยังคบอยู่กับไอ้เอก อยู่ใช่มั้ย พ่อขอเตือนนะว่าเลือกกับมัน
ซะ ลูกก็รู้ว่าตระกูลของมันกับตระกูลของเราไม่ถูกกัน ลูกจะไปคบกับมันทำไม" เสียง
ดร.สุรพล คุณพ่อจอมเผล็ดการของเธอเอ่ยขึ้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก
                          "ทำไมล่ะคะทรายกับพี่เอกรักกัน มันไปเกี่ยวอะไรกับตระกูล  ทราย
ไม่ได้ทำอะไรเสียหายซะหน่อย"  ทรายแก้วเถียง
                          "ทราย แกพูดคำพูดบ้าๆนี้มาได้ยังงัย แกก็รู้ว่าตระกูลนั้นมันเป็นคู่
แข่งทางธุรกิจกับเรามาตั้งแต่รุ่นคุณทวดของแก แล้วแกยังจะไปยุ่งกับมันอีกทำไม 
ไม่ว่ายังงัยแกก็ต้องแต่งงานกับอิทธิกร อยู่ดี" ดร.จอมเผด็จการโมโห 
                          "ไม่มีวัน หนูจะแต่งกับพี่เอกคนเดียว  "
                          "หนอยยย....นั่งลูกชั่ว ฉันไม่น่าให้แกเกิดมาเลย"  ดร.สุรพลพูดพลาง
ยกมือเพื่อจะตบลูกสาวแต่แล้วก็ถูกขัดขวาง
                          "คุณพี่คะ อย่าทำลูกเลย  ตอนนี้ลูกคงยังทำใจไม่ได้ ให้เวลาสักพักเถอะ
นะคะ"วิภาขอร้องไว้ ทำให้ดร.สุรพลหยุดการกระทำของเขา
                          "ก็ได้ แต่แกมีเวลาไม่นานหรอก  ไม่ว่าแกจะยืดเวลาไปสักเท่าไร  
แกก็ต้องแต่งอยู่ดี"ดร.จอมเผด็จการพูดจบ ก็เดินขึ้นห้องไปด้วนอารมณ์โกรธ  เหลือ
ไว้เพียงทรายแก้วกับวิภาเพียง2คน
                        "ทราย น้าคงช่วยหนูได้แค่นี้นะลูก หนูเองก็อย่าขัดคำสั่งพ่อเขาเลย 
จะมีปัญหากันเปล่าๆ"วิภาพยายามปลอบใจทรายแต่ยิ่งทำให้ทรายอารมณ์ฉุนเฉียวมาก
ขึ้นอีก
                        "ใช่ซี่...ก็คุณตามใจพ่อแม่น่ะแหละ คุณเลยต้องมามีสามีแบบพ่อฉันงัย
ชั้นไม่ยอมให้ชีวิตฉันเป็นแบบคุณหรอก ไม่มีวันเด็ดขาด แล้วรู้ไว้นะที่คุณช่วยฉันไว้ครัง
นี้น่ะ มันไม่ทำให้ฉันเห็นใจคุณหรอกไม่มีวัน รู้ไว้ด้วย"  ทรายแก้วพูดจบก็รีบวิ่งออกนอก
บ้านไปทั้งน้ำตา เพื่อไปหาเอกวัติ วิภาได้แต่นั่งส่ายหัวน้ำตาซึม
                          วิภา เป็นแม่เลี้ยงของทรายแก้ว แต่ทรายไม่เคยยอมรับเธอในฐานะแม่
เลย  เพราะวิภาแต่งงานกับดร.สุรพลเพราะพ่อแม่บังคับ เพื่อผลประโยชน์ทางธุรกิจ
วิภาอายุน้อยกว่าสามีของเธอเกือบ20ปี  ทำให้
ทรายแก้วไม่ชอบเธอและมีอคติกับเธอ  แต่จริงๆแล้ววิภาเป็นคนจิตใจดี แต่ที่เธอทำทุก
อย่างเพราะไม่อยากอกตัญญูต่อพ่อแม่
            
                        "พี่เอกคะ"ทรายแก้วมาหาเอกวัติที่อพาร์ทเมนท์
                        "อ้าว  ทรายเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม เข้ามากก่อนสิ"เอกวัติมองดูหน้า
แฟนสาวที่เต็มไปด้วย
คราบน้ำตาอย่างตกใจ
                        "ก็พ่อนะสิคะ จะให้ทรายแต่งงาน ทรายไม่อยากแต่งนี่คะ ทรายรักพี่เอก"
                        เอกวัติไม่พูดจาอะไร แต่สวมกอดแฟนสาวไว้อย่างถะนุถนอม  ทรายแก้ว
รู้ได้ถึงสัมผัสที่อบอุ่นและอ่อนโยนของเอกวัติว่าต้องการปลอบใจเธอ
                      "พี่เข้าใจเธอนะทราย  แต่เหตุการณ์แบบนี้พี่เองก็จนปัญญา"เอกวัติพูดพลาง
เช็ดน้ำตาบนแก้มใสของทรายแก้ว
                      "ทรายเข้าใจค่ะ แค่พี่เอกเข้าใจทราย และเป็นกำลังใจให้ทรายก็พอค่ะ ทราย
ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว"ทรายแก้วโอบกอดเอกวัติด้วยความรัก  เพียงแค่ทั้งคู่ยังไม่รู้ว่าปัญ
หามันเพิ่งจะเริ่มต้น
2.
                      "ตาเอก  แม่มีเรื่องสำคัญจะบอก  แม่จะให้เวลาเราอีก3เดือน ไปเคลียร์กับ
แม่ทรายแก้วซะ  เพราะอีก3เดือนเอกต้องแต่งงานกับ  หนูภัทราแล้วนะ"สาวิตรี ผู้เป็นแม่
ของเอกวัติออกคำสั่ง
                        ภัทราเป็นลุกของคุณหญิงโสมศิริ  เป็นคนที่มีตระกูลดี มีการศึกษาดี 
ภัทราเป็นคนเรียบร้อยและไม่กล้าขัดคำสั่งอะไรของผู้เป็นมารดาเลย
                      "อะไรนะครับ แต่งงานเหรอ  ไม่นะแม่  ผมไม่แต่งกับภัทราเด็ดขาด 
ผมไม่ได้รักเธอ  แล้วเธอเองก็ไม่ได้รักผมด้วย "เอกวัติปฏิเสธ
                      "แกกล้าขัดคำสั่งแม่เหรอตาเอก  แกก็น่าจะรู้นี่ ว่าบริษัทของพ่อแกกำลังมี
ปัญหา ถ้าแกแต่งงานกับหนูภัทราซะ ทุกอย่างก็จะไปได้ด้วยดี  แกจะทำร้ายพ่อแม่ได้
ลงเหรอ"
                      เอกวัติไม่โต้เถียงอะไรเพียงแต่เดินออกจากบ้านไป  
                    "ตาเอก แกจะไปไหนน่ะ  ตาเอก"สาวิตรีเรียกลูกให้กลับมา เอกวัติหยุดเดิน 
หันมามองหน้าผู้เป็นมารดาด้วยสายตาที่บ่งบอกความรู้สึกที่ไม่สู้ดีนัก
                    "ผมจะกลับอพาร์ทเมนท์  กลับมาบ้านทีไรมีแต่เรื่องปวดหัว เบื่อ"เอกวัติ
พูดจบก็หันหลังเดิน
ออกจากบ้านไป
                    "ตาเอกกลับมาก่อน นั่นแกจะไปหาแม่ทรายแก้วนั่นอีกใช่มั้ย ตาเอก..."

                    
                    "พี่เอกคะ พี่เอก เป็นอะไรคะนั่งใ				
20 พฤศจิกายน 2546 22:28 น.

ความทรงจำแห่งมิตรภาพ...ตลอดกาล

อายะจัง

สมัยที่อยู่มัธยมปลาย  คุณเคยมีเพื่อนที่รักที่สุดบ้างไหม   ส่วนผมมี  แต่มารู้ตัวอีกทีว่ารักเพื่อนคนนี้  มันก็สายเกินไป...
              
              ตอนที่ผมอยู่มัธยมปลาย ตอนนั้นมีนักเรียนที่อยู่ห้องเดียวกับผมราวๆ40คน  ตอนนั้นผมได้อยู่ห้องต้นๆ ที่เป็นห้องของเด็กเรียนค่อนข้างจะดี  ผมมีเพื่อนสนิท6-7คน  แต่ละคนก็ไม่ค่อยจะเป็นเด็กเรียนสักเท่าไหร่นักหรอกครับ  จะชอบเล่นมากกว่า  ในตอนนั้นเพื่อนชายร่วมห้องคนหนึ่งในความทรงจำของผม  เขาเป็นผู้ชายที่ผิวขาว สูง ใส่แว่น  แต่หน้าเขาจะซีดตลอดเวลา  ผมเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจเขานักในตอนนั้น  แต่ผมรู้สึกว่าไม่ชอบขี้หน้าคนๆนี้เท่าไหร่  เพราะว่าเวลาที่มีงานอะไร  หรือมีกิจกรรมอะไร  เจ้าแว่นนี่ต้องเสนอหน้าเป็นคนแรกทุกที  เจ้าแว่นนี่จริงๆแล้วชื่อว่า เอ็กซ์ แต่ผมว่าชื่อมันไม่ค่อยจะเข้ากับตัวเท่าไหร่นัก ผมเลยเรียกเขาว่า  ไอ้แว่นหน้าจืด  เพราะอารมณ์หมั่นไส้  ตอนนั้นผมแกล้งเขาสาระพัด ไม่ว่าจะแกล้งเดินชน(ชนเบาๆก็ล้มแล้ว)  ขโมยหนังสือไปซ่อน  แอบเอาเศษขยะไปไว้ใต้โต๊ะ  และอีกหลายๆวิธีที่ผมและเพื่อนสนิทร่วมกันสรรหามา  เพื่อนร่วมชั้นของผมจะรู้ดีว่าผมไม่ถูกชะตากับเจ้าแว่นนี่  พอถูกถามสาเหตุ ผมก็จะตอบสั้นๆกวนๆว่า 
           ก็ดูหน้ามันดิ  หน้ามันผิดระเบียบเห็นแล้วไม่ถูกชะตา  ฮ่าๆๆๆๆ
           แต่สาเหตุจริงๆก็อย่างที่บอกแหละครับว่าเขาเสนอหน้า  เหมือนว่าพยายามจะทำดีเอาหน้ายังงัยไม่รู้   ทุกครั้งที่มีงานอะไร  เขาต้องมายุ่งทุกเรื่อง  แล้วพยายามจะทำตัวเป็นผู้นำ ทั้งๆที่เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เท่าไหร่นัก  เพราะเป็นคนขี้โรค  พอเหนื่อยมากๆแล้วทำยังกับจะหมดลมหายใจทุกที  แล้วก็ยังจะเสนอหน้ามายุ่งอีก
               เมื่อตอนนั้นที่จะมีงานโรงเรียนซึ่งเป็นงานอำลาของม.6  พวกเราในห้องตกลงกันว่า เราจะเล่นตนตรีโชว์กัน   เจ้าแว่นก็มาบอกว่าจะเป็นคนไปหาเพลงมาให้เอง  ตอนแรกผมคิดว่าจะไม่รับ  แต่คิดไปคิดมา  ผมว่าให้เจ้าแว่นทำอะดีแล้ว  จะได้แกล้งให้หนำใจไปเลย
              พอวันรุ่งขึ้น  เจ้าแว่นก็หาเพลงมาให้  พวกผมก็แกล้งทำเป็นไม่พอใจ  อ้างว่าเพลงมันไม่ได้เรื่องบ้าง  บ้านนอกบ้าง  เชยบ้าง  เล่นยากบ้าง  ไม่ชอบบ้าง  เจ้าแว่นก็ยังไม่หมดความพยายาม  วันรุ่งขึ้น  เจ้าแว่นก็มาพร้อมกับเพลงที่เขาหามา  แต่พวกผมก็แกล้งโดยอ้างเหตุผลเดิมอีกรอบ  ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า  จนกำระทั่ง5วันมาแล้ว  เจ้าแว่นก็ยังไม่หมดความพยายาม  จนผมชักลำคาญ
             เฮ่ย...แว่น นี่ถามจริงเหอะ  นี่แกยังไม่รู้อีกเหรอ  ว่าทำไมเพลงที่แกเอามาพวกข้าไม่พอใจผมถาม แต่เจ้าแว่นกลับเงียบนิ่ง ไม่พูดไม่จา
             ขอบอกอีกรอบนะเว่ย...ไอ้ตุ๊ดเอ้ย... อย่าเสนอหน้าให้มากนัก ลำคาญว่ะเมื่อผมพูดจบแว่นมันก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
             เฮ่ย... พูดแรงไปเปล่าวะ แว่นมันทำหน้าจะร้องไห้แล้วนะ เพื่อนผมถามเพราะเริ่มรู้สึกผิด
             เออ...สงสารมันนักก็ไปอยู่กับมันดิวะ พูดมากอยู่ได้ น่าลำคาญ ผมตะคอกเพื่อน

          หลังจากวันนั้น  เจ้าแว่นก็หยุดเรียนไป2-3วัน  ผมคิดว่าเขาคงน้อยใจจนไข้ขึ้น  ก็พ่อแม่ของเขาเลี้ยงมาแบบยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมนี่นา  คงทนไม่ได้   พอเจ้าแว่นมาโรงเรียนผมสังเกตเห็นเขายังสีหน้าไม่ดีเลย  ผมเองก็ถามแบบกวนๆ  
             เฮ่ย..โดนด่าแค่นั้นไข้ขึ้นเลยเหรองัย บอบบางจริงนะ
              เจ้าแว่นไม่พูดอะไร  ทำหน้าเศร้าๆ และส่งกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งมาให้ผม...
              ใบรับรองแพทย์....
              ผมไม่อยากเชื่อสายตาเลย  ในนั้นมันเขียนว่าเจ้าแว่นเป็นมะเร็งในเม็ดเลือดขาว
              เฮ่ย...อำเล่นเปล่าวะ  คิดว่าสนุกรึงัย คิดว่าตลกเหรอ...เฮ่ย..แว่นผมจับไหล่เขาไว้  แต่พอเขาหันหน้ามาผมก็พบกับน้ำตาที่หลบอยู่หลังแว่น  
             ก็อย่างที่เห็นน่ะ...นายจะคิดว่าเราโกหกก็ตามใจ
             มีอะไรกันเหรอ...อ้าว เอ็กซ์ ร้องไห้ทำไม  โดนแกล้งเหรอเจ้าแว่นไม่พูดอะไร  เพื่อนๆทุกคนจ้องมาที่ผม  ทุกคนคิดว่าผมทำเจ้าแว่นร้องไห้  ผมไม่พูดอะไร  แต่ยื่นกระดาษสีขาวใบนั้นให้เพื่อนดู
              เมื่อดูเสร็จ ก็ส่งต่อๆกันไป  แต่ละคนสีหน้าไม่ดี  และเริ่มที่จะร้องไห้
              แว่น เราขอโทษนะที่คิดกับนายไม่ดีอะ
              ใช่ เราขอโทษนะเอ็กซ์....  
               ตอนนี้ทุกคนเริ่มร้องไห้และรุมล้อมเจ้าแว่นกันใหญ่  ผมพูดไม่ออกและทำอะไรไม่ถูก จึงคอยๆถอยออกมาและมองเจ้าแว่นห่างๆ  ผมรู้สึกว่าผมผิดแต่ผมก็ไม่กล้าที่จะขอโทษ  หลังจากวันนั้น  ผมก็ไม่กล้ายุ่งกับเจ้าแว่นอีกเลย  จนเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์  ผมไม่สบายเป็นไข้หวัด หยุดเรียนไปเกือบ1สัปดาห์  เมื่อผมหายป่วยแล้วผมก็มาโรงเรียน  แต่ตอนที่ผมมานั้น  ผมไม่เจอเจ้าแว่นเลย  จนเวลาผ่านไป3วัน  ผมเริ่มสงสัย จึงถามเพื่อนของผม  เพื่อนบอกว่าเจ้าแว่นเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว  วันนี้ผมแทบไม่เป็นอันเรียน  อเลิกเรียนผมก็รีบตรงไปที่ โรงพยาบาลทันที  เมื่อมาถึงก็เห็นเจ้าแว่นนอนอยู่  เมื่อเจ้าแว่นเห็นผม ก็เมินหน้าหนี
              แว่น...เป็นยังงัยบ้าง
              ก็อย่างที่เห็นน่ะ เราคงใกล้ตายแล้วมั้ง
              อย่าพูดงั้นดิผมตกใจที่เจ้าแว่นพูดแบบนั้น  
              นายน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอที่เราเป็นแบบนี้  สะใจนายแล....
              เราขอโทษ ผมเอ่ยคำที่ผมเก็บไว้เป็นเวลาเกือบ1เดือนออกมาจนได้  เจ้าแว่นหันมามองหน้าผม  มองอย่างประหลายใจ
              เรารู้ว่าเรามันเลว... แต่ที่เราทำเพราะเราไม่รู้  นายให้อภัยเราได้ไหม ผมทำหน้าสำนึกผิด เจ้าแว่นเงียบไปพักหนึ่งแล้วยิ้ม
              นายรู้ไหมที่นายด่าเราว่าแว่นตุ๊ดหน้าจืดอะไรเนี่ย  เราไม่โกรธหรอก  เพราะเราเข้าใจว่านายคิดอย่างงั้นจริงๆ  อย่างน้อยนายก็ไม่เสแสร้ง  นายรู้ไหม  พ่อแม่เราน่ะนะ   ที่คอยตามใจเรา  เป็นเพราะเรามันมีโรค  เพราะพ่อแม่รู้ว่าเราอยู่ได้ไม่นาน  เราก็คงจะผิดจริงๆร่ะแหละ ที่ชอบเสนอหน้า  แต่เราก็แค่อยากจะทำอะไรที่เราอยากทำให้ถึงที่สุด  อยากที่มองดูความสำเร็จ  อยากที่จะเห็นอะไรในโลกนี้ที่เรามีโอกาสเห็นได้น้อย   อยากเห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะของทุกคน  แต่เราก็ทำอะไรได้ไม่มากเลย  เรายังไม่ได้ทำในหลายอย่างที่อยากทำ  และสิ่งที่เรายังขาดเสมอ คือเพื่อน  มันจะมากไปไหม ถ้าเราจะขอนายเป็นเพื่อนน่ะ  
               ผมพูดไม่ออก น้ำตามันไหลมาได้อย่างไรไม่รู้  รู้แต่ว่าผมหยุดไม่ได้  ผมกอดเจ้าแว่นไว้  แทนการตอบรับด้วยวาจา
            เราดีใจนะ  แต่มอีกเรื่องหนึ่ง  งานอำลาม.6ปีนี้  พวกนายช่วยเล่นเพลงที่เราหามาได้ไหม  นายคงไม่รังเกียจมันใช่ไหม
            ไม่ๆๆ ไม่รังเกียจ  เราจะเล่น เพื่อนาย....

             หลังจากวันนี้พอพักกลางวันผมก็จะไปฝึกซ้อมดนตรีกับเพื่อนๆ   พอเย็นผมก็จะรีบไปหาเจ้าแว่นทันที  เราสนิทกันมาก  จนเพื่อนๆล้อว่าเราเป็นคู่เกย์กัน  จนกระทั่งมาถึงอีก 1 วันที่จะเล่นคอร์นเสริต  ผมก็ปหาเจ้าแว่นตามเคย  แต่วันนั้นไปช้าหน่อยเพราะติดซ้อมดนตรี  พอผมไปถึงโรงพยาบาลก็พบห้องที่ว่างเปล่า  ผมถามพยาบาล  พยาบาลบอกว่าแว่นเข้าห้องไอ ซี ยูไปแล้ว  ผมรีบตามไปทันที  และรีบโทรตามเพื่อนๆมา  สิ่งที่คุณหมอบอก หมอบอกว่า  คงสายเกินไปแล้ว  ชีพจรของเจ้าแว่นอ่อนลงทุกที  ผมไม่คิดที่จะรั้งเขาไว้  เพราะถึงผมจะทำอะไร  แว่นก็ต้องจากพวกเราไปอยู่ดี  ผมได้แต่ภาวนาในใจ
           แว่น  ถ้านายได้ยิน  เราขอให้รู้นะว่าเรารักนายมาก  ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  คอนเสริตน่ะ  เราจะทำให้ดีที่สุด  แต่ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหนนายต้องมาดูนะ  เพื่อเรา เพื่อเพื่อนๆที่นายรัก  ขอให้นายไปอย่างสงบนะ เพื่อนรัก
              หลังจากนั้นได้1 ช ม ชีพจรเขาก็หยุดเต้น  ผมรู้แล้ว่าวันนี้คงไม่มีเขาอีกต่อไป  น้ำตาของผมไหลอีกครั้ง  น้ำตาที่หล่งออกมาพร้อมความทรงจำเก่าๆ  ที่คงเป็นได้แค่ความทรงจำตลอดกาล

             แล้ววันนี้ที่พวกผมรอคอยก็มาถึง วันงานโรงเรียนนั่นเอง  แต่เสียดายที่คนสำคัญของพวกผมไม่มาเห็น  พวกเราเล่นเพลงที่เจ้าแว่นเป็นคนหามาให้  จนมาถึงเพลงสุดท้าย...
          เพลงนี้ผมขอเล่นให้คนๆหนึ่ง  ที่จากผมไปอย่างไม่มีวันกลับมา  เราหวังว่านายจะฟังอยู่นะแว่น..

              ทุกครั้งที่ฉันคิดถึงเธอ ใจมันคอยบอกตัวเองอยู่เสมอ  ว่าเธอนั้น เป็นสุขไปแล้ว  ทุกครั้งที่ฉันนั้นเห็นภาพเธอ วันคืนเก่าๆ ก็กลับมาเสมอ มีแต่เธอที่จะไม่กลับมาแล้ว
             ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยพูดสักที  ยังมีอีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยทำจนวันนี้
             รัก...รักเธอ... ทั้งหมดของหัวใจ  สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน  เธอได้ยินไหมคนดี   อยากขอ...ให้ความ... รู้สึกที่ฉันมี  ส่งไปถึง เธอที่ ... แสนดี  ว่าชีวิตนี้ฉันมีเธอ... ดั่งความฝัน  จะพบกันอีกได้ไหม
             หากฉันนั้นรู้ตัว   ก็คงจะไม่มัวเก็บมาจนวันนี้  โอ้คนดีฉันคงได้บอกไปแล้ว
              ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยพูดสักที  ยังมีอีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยทำจนวันนี้
             รัก...รักเธอ... ทั้งหมดของหัวใจ  สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน  เธอได้ยินไหมคนดี   อยากขอ...ให้ความ... รู้สึกที่ฉันมี  ส่งไปถึง เธอที่ ... แสนดี  ว่าชีวิตนี้ฉันมีเธอ... ดั่งความฝัน  จะพบกันอีกได้ไหม
             ยังมีอีกหลายสิ่ง ที่ฉันยังไม่เคยพูดสักที  ยังมีอีกหลายอย่าง ที่ไม่เคยทำจนวันนี้
             รัก...รักเธอ... ทั้งหมดของหัวใจ  สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน  เธอได้ยินไหมคนดี
             อยากขอ...ให้ความ... รู้สึกที่ฉันมี  ส่งไปถึง ... เธอที่แสนดี  ว่าชีวิตนี้ ฉันมีเธอ..ดั่งความฝัน  จะพบกัน บอก...
             รัก...รักเธอ... ทั้งหมดของหัวใจ  สิ่งเหล่านั้นเก็บไว้ข้างใน  เธอได้ยินไหมคนดี   อยากขอ...ให้ความ... รู้สึกที่ฉันมี ส่งไปถึงเธอที่แสนดี  ว่าชีวิตนี้ ฉันมีเธอ..ดั่งความฝัน  แล้วสักวันจะไปหา

             เพลงนี้เพื่อนาย...เพื่อนรัก มิตรภาพแห่งความทรงจำ ตลอดกาล...				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอายะจัง
Lovings  อายะจัง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอายะจัง
Lovings  อายะจัง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอายะจัง
Lovings  อายะจัง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอายะจัง