26 พฤษภาคม 2550 15:11 น.
อัศรีย์
ความโกรธแผดเผาตัวเองมอดไหม้ แต่ไม่ส่งผลทำร้ายศัตรูได้แม้แต่น้อย..........
ช่วงนี้ถึงฝนจะตกเกือบทุกวันแต่อากาศเมืองไทยก็ยังคงร้อนอบอ้าวอยู่ดี อากาศก็ร้อนเวลาโกรธใครขึ้นมาก็ยิ่งร้อนมาก ร้อนจนเส้นเลือดฝอยแตก เลือดกำเดาไหลไปเลย แต่จนแล้วจนรอดก็ยังอดที่จะมีความโกรธไม่ได้สักที เวลาโกรธก็จะหมกมุ่นคิดวุ่นวายจะแก้แค้นไอ้คนที่ทำให้เราโกรธได้อย่างไร แบบไม่เป็นอันกิน อันนอน หรือทำสิ่งอื่นใด เพราะสติปัญญาต่าง ๆ ถูกระดมมาหาวิธีแก้แค้นให้หายโกรธ ทั้ง ๆ ที่ไอ้คนที่ทำให้เราโกรธนั้นไม่รู้สา รู้สมเลยแม้แต่น้อย กับนั่งหัวล่อ ต่อกระสิกสนุกสนานวุ่นวายกับสิ่งที่มันทำ ก็ยิ่งเพิ่มทวีความเจ็บแค้นจนกลายเป็นไฟแผดเผาตัวเองมอดไหม้ ชีวิตไม่มีความสุข ดื่มน้ำเย็น ๆ ก็ดับร้อนไม่ได้ เพราะความร้อนนั้นมันฝังแน่นอยู่ในจิตใจ นั่งหาวิธีแก้แค้นอยู่นานทำไม่ได้ สิ่งนึงที่คิดได้คือยอมแพ้ คิดขึ้นมาก็ยิ่งทวีความเจ็บใจ ไม่หาย แต่พอนึกถึงธรรมะขึ้นมาก็เลยคิดมาได้คำนึงว่า "ให้อภัย" ท่านเชื่อมั้ยความร้อน หรือเปลวเพลิงแผดเผาจิดใจเราอยู่นั้นก็พลันมลายไปทันที การให้อภัยไม่ใช่ว่าเรายอดแพ้แต่เป็นการเอาชนะ ไม่ใช่เอาชนะเขาแต่เอาชนะตัวเรา เราชนะตัวเอง เพราะพอเราสบายใจ เราก็จะมีสติสตัง ไปคิดทำสิ่งอื่น ๆ ให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่จมปักอยู่กับการคิดแก้แค้น แต่ถ้าท่านพบปัญหาว่าแม้เราจะให้อภัยคนที่ทำให้เราโกรธครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็ยังคงทำให้เราโกรธอยู่ไม่เว้นวาย ก็ขอให้ท่านทำใจ และรู้สึกสงสารเขาผู้นั้นให้มาก ๆ เพราะเขาเองนั่นแหละที่ไม่มีความสุขจากก้นบึ้งแห่งหัวใจเอาเสียเลย เพราะพอตัวเองไม่มีความสุขก็เลยอยากหาเพื่อนให้ไม่มีความสุขไปด้วย เราต้องสงสารคนพวกนี้ให้มาก ๆ และให้อภัยเขาเถิด สักวันถ้าเขาทำเราให้โกรธไม่ได้แล้ว ไฟนั้นก็ย้อนกลับไปแผดเผาตัวเขาเองจนมอดไหม้ เราจงช่วยเหลือเขา อย่าได้จองเวรกันต่อไป แล้วเราจะได้ความภาคภูมิใจเป็นที่สุด เพราะการช่วยเหลือศัตรูให้กลับมาเป็นมิตรนั้น เป็นชัยชนะที่หาได้ยากยิ่ง........................
25 พฤษภาคม 2550 18:15 น.
อัศรีย์
เรื่องหนูหื่น อินเตอร์ เป็นเรื่องจริง ที่เพื่อนคนนึงที่ฉันรู้จัก เล่าให้ฟัง ถึงประสบการณ์ที่เขาแชตในอินเตอร์เน็ต และได้รู้จักกับตัวละครของเรื่องนี้ และขอใช้นามสมมุติให้กับเธอว่า หนูหื่น เพราะวีรกรรมที่เธอทำสมชื่อจริง ๆ แนวเรื่องตอนต้น ๆ อาจคล้ายเรื่อง หนูหิ่น อินเตอร์ ที่โด่งดัง แต่การเอาดีของคนทั้งคู่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
หนูหื่นเป็นสาวชนบท หน้าตา ผิวพรรณ ก็บ้าน ๆ ตามประสาคนบ้านนอกคอกหน้า แต่ต่างจากสาวชาวบ้านทั่วไป ตรงที่เธอไม่เป็นที่ต้องการของหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านเลย และมักจะถูกชมอยู่เป็นประจำ "ยัยขี้เหร่ ตัวดำ หัวยิก คิ้วดก อกหย่ายแต่ยานโตงเตง ยัยแคะแกร็น" ซึ่งเป็นลักษณะที่คนไทยมักไม่ชอบ แต่ไปโดนใจพวกฝรั่งตาน้ำข้าวโน่นแหละ เธอเก็บกดมานานและฝันว่าสักวันเธอจะต้องได้คนที่ดีกว่าหนุ่ม ๆ ในหมู่บ้านนี้ และมีความสุขทางเพศมากกว่าที่เพื่อน ๆ สาวของเธอ ได้เล่าให้เธอฟัง เพื่อน ๆของหนูหื่นมีแฟนตั้งแต่อายุ 15 ปี และมีลูกกันหมดแล้ว ขณะนี้หนูหื่น อายุ 22 ปี ซึ่งนับว่าเป็นปมด้อยมาก ที่ยังหาคู่ไม่ได้ เธอจึงเริ่มวางแผนการโกอินเตอร์......................
ทอม ทอม แวยูโก...ไอไล้พัฒพงษ์ หนูหื่นมักได้ยินเพลงนี้เป็นประจำเพราะพ่อของเธอชอบเปิด เธอจึงเริ่มต้นที่พัฒพงษ์ เพราะฝรั่งชอบไป "อิ อิ คงได้กินฝรั่งสักสองสามลูกน่ะ" หนูหื่นคิด และเธอก็มาถึงพัฒพงษ์อย่างง่ายดายเพราะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป เป้าหมายแรกของเธอคือผับใดก็ได้ในย่านนี้ "ว้าว ๆ ฝรั่งเต็มไปหมดเลย จะสอยลูกไหนก่อนดีนะ" หนูหื่นตีปีกดีใจ เหร่ฝรั่งอย่างหื่นกระหาย
เธอเดินเหร่ฝรั่งเพลินจนไปเดินชนผู้หญิงคนนึงที่ในอนาคตเป็นผู้พาเธอโกอินเตอร์ได้สำเร็จ สมมุติว่าเจ๊ผู้นั้นชื่อ ปิ๋ว ใครในย่านนั้นเรียก เจ๊ปิ๋วจอมปั้น เพราะเธอปั้นนักเต้นอะโกโก้ส่งตลาด และได้เป็นดาวรุ่งอยู่หลายคนโข เจ๊ปิ๋วเป็นหญิงประเภทสองแต่ไปผ่ามาเรียบร้อยแล้ว เธอจึงไม่ต่างอะไรไปจากหญิงแท้ ๆ เลย ถ้าไม่สังเกตจริง ๆ หนูหื่นขอโทษของโพยเจ๊ปิ๋ว "พึ่งมาจากตจว.สิเรา ถึงได้ตื่นฝรั่งนัก ดูสิ จ้องเหมือนจะให้เขาละลายเข้าปากไปเลย สนใจไปทำงานกับเจ๊มั้ยล่ะ" เข้าล็อคหนูหื่นพอดี แต่ก็อดเล่นตัวนิดนึงไม่ได้ "อืม แบบหนูเนี่ยะนะ รูปร่างหน้าตา ผิวพรรรณ กำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ก็คิดแพงนิดนึงนะเจ๊ จะสู้ไหวปะ" "แหม ๆ ยังไม่รู้เลยว่าเจ๊จะให้ไปทำอะไร เคี่ยวจริงนะ ไม่สนใจก็ไม่เป็นไร งั้นเจ๊ไปก่อนนะ" หนูหื่นแทบกระโดดกอดขาเจ๊ปิ๋ว "ฟรี ก็ได้จ้ะ ขอข้าว ขอน้ำ ขอที่อยู่ก็พอจ้ะ" เจ๊ปิ๋วยิ้ม "งั้นตามมา" และก็มาถึงตึกแถวของเจ๊ปิ๋ว ซึ่งหน้าบ้านตอนกลางวันก็ดูไม่มีอะไร ธรรมดา ๆ เจ๊ปิ๋วให้หนูหื่นขึ้นไปพักกับน้องแบ๊ว ซึ่งเป็นดาวเต้นอะโกโก้ในสังกัดเจ๊ปิ๋ว น้องแบ๊วอายุเพียง 18 ปี แต่มีชื่อเสียงมากในย่านนั้นด้วยรูปร่างหน้าตาและท่าเต้นยั่วยวนแบบสุด ๆ ที่เจ๊ปิ๋วสอนมากับมือ มีหรือจะไม่ดัง "ก็อก ๆ ๆ" เจ๊ปิ๋วเคาะประตูเรียกน้องแบ๊ว "ประตูไม่ได้ล็อคเข้ามาเลย" แบ๊วตะโกนออกมา เจ๊ปิ๋วจึงเปิดประตูเข้าไป หนูหื่นเดินตามเจ๊ปิ๋วเข้าไป แล้วเธอก็ถึงกับยืนตัวแข็ง เสียงเพลงทำนองน่าเต้นปะทะเข้าหู กับภาพเบื้องหน้า หนูแบ๊ว ในสภาพเปลือย ไม่มีอะไรสักชิ้น ยืนถ่างขา รูดเสาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบเป็นจังหวะ "จะถอนตัวก็ได้นะ" เจ๊ปิ๋วหันมาถามหนูหื่น หนูหื่นกลืนน้ำลายเอือก "ไม่จ้ะ เพื่อบรรลุเป้าหมายฉันทำได้จ้ะ" เจ๊ปิ๋วยิ้มอย่างพอใจ "แบ๊ว นี่เพื่อนใหม่ พาไปแปลงสภาพด้วยนะ อย่าให้ผิดหวังล่ะ" "ส บ ม อย่าห่วงเลยเจ๊ หนูไม่เคยทำให้ผิดหวังอยู่แล้ว" เจ๊ปิ๋วเดินผละจากห้องไป "อายอะไรล่ะ หน้าแดงเชียว ผู้หญิงเหมือนกันน่ะ อาชีพนี้อายไม่ได้นะ" แบ๊วเดินไปปิดเพลง และเดินตรงมาที่หนู่หื่นที่ยืนเคอะ ๆ เขินๆ อยู่มุมห้อง และทันใดนั้น หนูหื่นก็ใจหายวาบ ขนลุกเกรียว ด้วยนิ้วมือของแบ๊วเข้าไปอยู่ในเสื้อในของหนูหื่นซะแล้ว แบ๊วค่อย ๆ ไล้เนินอกของหนูหื่น แล้วใช้สองมือสอดเข้าไปในเสื้อของหนูหื่น "อืม มันหย่าย ใช้ได้ แต่หย่อนยาน อย่างกับมีลูกแล้ว มันไม่สวยอ่ะ เวลาโชว์ ไหนลองถอดออกมาดูชัด ๆ ซิ" หนูหื่นจึงถอดเสื้อออกเหลือแต่เสื้อชั้นใน "ถอดให้หมดเลย ไม่ต้องอายหรอก ไงก็ต้องโชว์อยู่แล้ว" หนูหื่นลังเลเล็กน้อย แล้วเธอก็ถอดออก "ห้อยมาก มีลูกหลายคนแล้วสิ" หนูหื่นส่ายหน้า แบ๊วให้หนูหื่นไปอาบน้ำแล้วแก้ผ้าออกมาเลย เพื่อจะได้เข้าสู่กระบวนการแปลงโฉมกันต่อไป หนูหื่นอาบน้ำนานเป็นพิเศษ เพราะนั่งขัดถูขี้ไคล ที่ไม่ได้ขัดมานาน หนูหื่นเดินออกจากห้องน้ำมาด้วยร่างกายที่ไร้เครื่องนุ่งห่ม ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้าทำให้เธอหยุดกึ้ก.......... แท่งอะไรสักอย่างค่อย ๆ สอดไป แล้วน้ำเมือกเหลว ๆ ก็ไหลออกมา น้องแบ๊วเธอคงเพลินจนไปสังเกตุว่าหนูหื่นยืนดูอยู่และจินตนาการไปถึงไหนแล้ว "อะแห่ม" ยืนคิดอะไรอยู่จ๊ะ " น้องแบ๊วตะโกนถาม "พอดีเป็นหวัดอ่ะ คัดจมูก เลยเอายาดมเสียบไว้ น้ำมูกแม่งไหลเละเลย คืนนี้จะโชว์ได้ไหมเนี่ย" แบ๊วพูดไปเช็ดน้ำมูกไป แล้วแบ๊วก็ไปหยิบผ้าขนหนูมายื่นให้หนูหื่น เช็ดแล้วไปนอนบนเตียงเลย "จะทำไรเราอ่ะ" หนูหื่นถามอย่างกังวล "เถอะน่า ฉันไม่ชอบตีฉิ่งหรอก หรือเธอชอบ เมื่อกี้เห็นนะ คิดไรอยู่" หนูหื่นเดินมานอนบนเตียงโดยดี แล้วแบ๊วก็เดินไปหยิบกระปุ๊กครีมในตู้ออกมา "นี่คือครีมตบนมเด้ง ภายใน 3 วัน รับประกันความพอใจ ทำเงินได้อย่าลืมจ่ายนะ คอร์สนี้ 15,000.- ย่ะ" หนูหื่นพยักหน้า "เริ่มล่ะนะ" หนูหื่นพยักหน้า ระหว่างที่แบ๊วตบนมให้อยู่นั้น หนูหื่นก็เหลือบมองดูนมของแบ๊ว ซึ่งสวยงามและเด้งกระชับ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใส่ยกทรงไว้ น่าดูมาก ขนาดเธอเป็นผู้หญิงด้วยกันยังชอบดูขนาดนี้ แล้วผู้ชายล่ะ ไม่น่าแปลกที่แบ๊วเป็นดาวเด่นในย่านนั้น "ยังไม่มีลูก แล้วมีผัวหรือยัง หรือว่าเคยนอนกับใครมาบ้างรึยัง" น้องแบ๊วถาม "ยัง" หนูหื่นตอบ "ไม่น่าเชื่อ" แบ๊วทำหน้าสงสัย ทันใดนั้นเอง "ว๊าย" หนูหื่นร้องสุดเสียง นิ้วกลางของแบ๊วก็เข้าไปอยู่ในง่ามดอกบัวของหนูหื่นซะล้ว "ถ่างออกหน่อยสิ" แบ๊วสั่ง "ทำอะไรของเธอ แบบนี้ฉันไม่ชอบนะ เสียตัวครั้งแรกกับนิ้วอ่ะ" แบ๊วทำหน้าดุ หนูหื่นแลยต้องทำตาม แบ๊วก้มลงมองและใช้นิ้วถ่างที่ง่ามดอกบัวจนหนูหื่นร้องด้วยความเจ็บปวด แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมา "จริงด้วยเธอยังไม่เคย เจ็บตายแน่ เลือดจะออกด้วยเพราะเล็กมาก ซิงจริง ๆ นะ เดี๋ยวคืนนี้เธอก็ไปดูฉันโชว์แล้วกัน ตอนที่ฉันก้าวมาอาชีพนี้ ฉันก็นอนกับผู้ชายมาหลายคนแล้วล่ะ เลยไม่รู้สึกเจ็บสักเท่าไหร่ จะเจาะไข่แดงให้ก็เสียดาย อยากได้ 2 เด้งมั้ย ทั้งเงินและทั้งงาน และก็ไม่ต้องทำหน้า 2 ง " แบ๊วพูดจบ หนูหื่นก็พยักหน้า แบ๊วจึงเดินไปโทรศัพท์ "อืม คืนนี้เลย พร้อมนะ ที่ห้องฉันนี่แหละ ฉันจะไปโชว์ไม่มีใครอยู่หรอก แล้วก็เข้านอนปกติ ไม่ต้องล็อคประตูนะ เดี๋ยวเงินกับงานก็มาเอง" แบ๊วพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อเตรียมตัวไปแสดงโชว์ ส่วนหนูหื่นก็ยังงง ๆ อยู่ นอนเฉย ๆ ก็ได้ทั้งเงินทั้งงาน "อะไรฟะ" แต่เธอก็ทำตามโดยดี ............ โปรดติดตามตอนต่อไป เพราะเรื่องราวกำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็ม
21 พฤษภาคม 2550 18:49 น.
อัศรีย์
ฉันเคยเดินผ่านตู้โทรศัพทย์สาธารณะ และพบข้อความหนึ่งแปะไว้ที่ตู้โทรศัพท์ เป็นข้อความที่อ่านดูแล้ว ไม่คิดว่าฉันจะเจออะไรแบบนี้เป็นแน่ ข้อความนั้นเขียนไว้ว่า (หมาให้ของกินมันยังรู้คุณ แต่คนบางคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อน ยังสู้มหาไม่ได้เลย)
แต่ท่านเชื่อไหมว่าไม่นานฉันก็เข้าใจ เพราะมันเกิดขึ้นกับฉันนั่นเอง
มิตรภาพดี ดี มักจะเกิดขึ้นตอนที่ฉันมีความสุขดี มีของกิน มีผลประโยชน์มอบให้
แต่ท่านเชื่อมั้ยว่าเมื่อฉันป่วย นอกจากจะไม่ใครสนใจแล้ว ยังโดนว่าเหน็บแนมให้ทุกข์ใจเป็นเนือง ๆ ถึงฉันป่วยก็ยังสู้แบกสังขารมาทำงาน โดยไม่หยุด แต่ก็มีคนที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน มันยังตามมาเหน็บแนมฉัน "ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย" ด้วยน้ำเสียงและท่าทางกวน ๆ แต่พอต่อหน้าผู้อื่นก็เข้ามาทำเป็นห่วงเป็นใย แต่พอไม่มีใครอยู่ก็คอยเหน็บแนม พูดให้เจ็บใจต่าง ๆ นาๆ ด้วยสายงานต้องไปขอข้อมูลมัน มันก็ทำโวยวายให้หัวหน้าเข้าใจว่าฉันแกล้งเพิ่มงานให้เพื่อน อยากให้เพื่อนลาออกหรือไง พอผู้จัดการเข้ามา หัวหน้างานก็แสร้งรายงาน ว่าฉันหาเรื่องเพื่อนแสร้งหางานเพิ่มให้เพื่อนต้องลำบาก ท่านรู้หรือไม่ทำไมหัวหน้างานถึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าเขาขายของในโรงงาน หากใครซื้อก็ทำดีด้วยแต่ถ้าใครไม่ซื้อก็จะพยายามหาเรื่อง หรือถ้าใครเคยซื้อและไม่ซื้อต่อก็จะโดนดีเช่นกันทุกคน และอย่าหวังว่าจะไปซื้อที่อื่นได้ ผูกขาดเลยทีเดียว ขนาดหาเงินไปปลูกบ้านได้เป็นหลัง ๆ เพราะเป็นคนเก่าคนแก่ ถึงเจ้าของรู้ก็ไม่เอาความ จึงได้ใจ ใครที่ซื้อของเขา เขาก็ทำทีปกป้องและพาไปเลี้ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ดูให้เป็นบุญคุณ จะได้ซื้อของกับเขาต่อ แต่ที่จริงก็คือเศษเงินที่เขาเจียดให้จากผลกำไรที่เขาขาย ซึ่งเกือบครึ่ง ถ้าหากไปซื้อที่ร้านเอง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงงานเท่าไร แต่ไม่มีใครกล้าเพราะเกรงบารมี คนที่ฉันเคยเรียกว่าเพื่อน ฉันพยายามช่วยมันออกจากอำนาจมืดที่หัวหน้างานใช้มันเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้งผู้อื่นที่ต้องใช้ข้อมูล แต่ไม่ซื้อของและทำทีจะมาอยู่เหนือเขา ด้วยความหมั่นไส้ จึงใช้เพื่อนฉันเป็นเครื่องมือมานาน ทั้ง ๆ ที่ผู้จัดการก็ต่อว่ามันเป็นประจำ จนฉันสงสาร และพยายามจะช่วยมันให้ได้ แต่หัวหน้างานก็เพียงบอกว่าจะพูดแก้ตัวกับผู้จัดการให้ แต่ฉันก็ไม่เห็นจะแก้ปมให้มันได้สักที จนกระทั่งมันร่วมมือกับหัวหน้างานมาทำร้ายจิตใจฉัน ฉันก็ยังคิดช่วยมันอยู่ และในที่สุดฉันก็พาผู้จัดการมาแก้ไขงานเอง เพื่อจะได้มีข้อมูลที่สมบูรณ์มอบให้กับทุกแผนกได้แบบไม่ต้องให้ใครโดนกลั่นแกล้ง หัวหน้างานทำหน้าจ๋อย ๆ ส่วนเพื่อนฉัน มันก็ยังอยู่ภายใต้อำนาจมืดนั้นต่อไป ไม่รู้ว่าฉันจะโดนเล่นงานอะไรต่อไป และไม่รู้จะเรียกพวกเขาว่าเป็นเพื่อนต่อไหม (เดิมทีตอนที่ฉันอุดหนุนหัวหน้างานมาก ๆ เขาก็นับฉันเป็นเพื่อน) ขณะนี้ฉันมุ่งมั่นทำงานต่อไป โดยพยายามไม่ท้อใจ ต่อให้ป่วยจนตายคาโรงงาน ก็จะอดทน ฉันอยากพิสูจน์ให้ทุกคนรู้ว่า ถ้าเราตั้งใจทำงานอย่างจริงใจ ไม่ว่าใครจะกลั่นแกล้งเราก็จะไม่กลัว แม้ว่าตำแหน่งเราจะเล็ก ๆ ไม่มีสิทธิ มีเสียงก็ตาม ฉันจะเอาความดีคุ้มตัว ดีกว่าเอาคนชั่วมาหนุนหลัง
18 พฤษภาคม 2550 10:58 น.
อัศรีย์
ผู้ชายไม่รู้จักพอแม้ว่าอายุจะเลยวัยเกษียณไปแล้ว แต่เรื่องโลกี ยังมาเป็นระยะ ระยะ
สร้างความแตกฉานในครอบครัว..........เพราะนัง กา ลี กา หรี่
พ่อมารอรับกลับจากโรงเรียนเป็นปกติทุกวัน วันนั้นฝนกตกพรำ ๆ มีผู้หญิงวัยกลางคน หน้าตาผิวพรรณ ก็ดูดี พาลูกสาวเดินตากฝน มา 2 คน อายุไม่เกิน 15 ปี เขาเดินเข้ามาหาพ่อและขอเงิน "ขอเงินหน่อยคุณพี่ หนูกับ ลูก ๆ ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องมาหลายวันแล้ว" ฉันอดคิดในใจไม่ได้ (ดูอวบกว่าเราอีก ลูก ๆ ก็หน้าตาดี แต่งตัวยังกับนักร้องหญิงวงนึง ที่ประหยัดเสื้อผ้าเวลาออกคอนเสิร์ต ไม่เห็นโซ เหมือนคนอดข้าวเลย) พ่อไม่สนใจ หรืออาจมีฉันอยู่ด้วย เลยพาขึ้นรถกลับบ้าน
หลายวันผ่านไป แม่เล่าให้ฟังว่ามีเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ มาเล่นที่หน้าบ้าน ดูสนิทสนมกับพ่อมาก และโดยเฉพาะแม่ของเด็กผู้นั้น แม่เห็นไม่งาม จึงเรียกพ่อเข้าบ้าน แม่ของเด็กผู้นั้น ก็ตะโกนเข้ามาในบ้าน "หึงผัวนะ" และพาลูกเดินจากไปอย่างไม่พอใจ
ไม่กี่วัน ฉันก็ได้รับโทรศัพท์ จากแม่ โทรมาระหว่างฉันเรียนอยู่ เสียงร้องไห้และแม่ก็เล่าเรื่องที่น่ารังเกียจให้ฉันฟัง ฉันสงสารแม่ เพราะแม่แก่แล้วและต้องมารับทุกข์พร้อมกับเห็นภาพคาหนังคาเขา ของนาง กา ลี กา หรี่
เงินแค่ 100 เดียว มันมาขอยืมเงินพ่อ มันให้ลูกมันยืนดูต้นทางให้ แล้วมันก็พาพ่อไปห้องเก็บของ ซึ่งมีที่นอนเก่า ๆ เก็บไว้ มันสั่งสอนลูกมันได้ดี นี่หรือคือแม่คน งานในอนาคตของลูก ๆ เธอหรือ และแม่ก็ฝ่าไปเจอเข้าแบบเต็ม ๆ เพราะลูกมันคงดูเพลิน เลยไม่ได้ดูต้นทางให้
ครอบครัวที่อบอุ่นก็ลุกเป็นไฟ มีแต่เรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้น แต่พ่อก็ยังไม่เข็ด ยังแอบไปมีเรื่องบัดสี ให้แม่จับได้อีก โดยอ้างว่า มันลืมตัว
ส่วนนัง กา ลี กา หรี่ คนล่าสุด มันเฮี้ยนกว่าคนไหน ๆ มันฝากอาฆาตมากับเพื่อนบ้าน ให้มาบอกแม่ "ก็จะแย่งผัวมึงให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหน"
ฉันอยากหาซื้อน้ำกรด มารดหน้ามันหนักหนา ไม่รู้ว่าจะกัดหน้ามันได้มั้ย เพราะด้านยิ่งกว่ากระเบื้องอีก ทำไมต้องมีพวกนี้อยู่ในโลกอีก ร้ายยิ่งกว่ายุงตบเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที คุณว่าจริงมั้ย
14 พฤษภาคม 2550 10:48 น.
อัศรีย์
หลังจากที่ลำดัความคิดออกมาทั้งหมด ผมก็เข้าใจแล้วล่ะ อะไรที่ปิดกั้นพรสวรรค์ของผม นั่นก็คือความเกียจคร้าน มันทำให้ผมไม่จับอะไร หรือทำอะไรแบบเป็นตัวเป็นตนเลยสักอย่าง และแน่นอนผมต้องสลัดมันออกไปสักที จะได้เลิกโง่ เป็นครั้งแรกเพราะผมเริ่มคิดเป็นแล้ว บทพิสูจน์แค่ 20 ปี คงไม่สายไปถ้าเราคิดจะแก้ไขเพราะช่วงเวลาชีวิตยังอีกไกล ผมเริ่มคิดใหม่ และทำใหม่ ผมเริ่มลงมือทำงานทุกอย่าง แบบไม่เกี่ยงเลย หลายครั้งที่เกิดข้อผิดพลาด แต่ผมก็มักจะเรียนรู้สิ่งที่ถูกต้องจากข้อผิดพลาดเสมอ และตอนนี้ผมพบพรสวรรค์ของตัวเองแล้ว แล้วคุณล่ะ
ถ้าไม่ลงมือ ก็ไม่รู้หรอก จริงมั้ยครับ