23 มีนาคม 2552 17:08 น.
อัลมิตรา
ศุกร์ที่ผ่านมา ก็เหมือนศุกร์ก่อน ๆ คือ วันทำงาน
แต่จะพิเศษหน่อยก็ตรงนี้ หลังเลิกงานแล้ว มีภาระกิจที่สนามหลวง
ก็งานที่ท่านนายกฯ ไปเปิดพิธี สินค้าราคาถูก ผูกรอยยิ้ม ..
ข้าพเจ้ารับช่วงงานผลัดกลางคืน ตั้งแต่สองทุ่มจนถึงสองโมงเช้าวันเสาร์
ก็วุ่นวายพอสมควร กว่าที่จะลงตัวว่า เต็นท์ที่ข้าพเจ้าจะต้องไปดูแล อยู่ที่ไหน
เท่าที่ข้าพเจ้าทราบก็คือ ต้องอพยพย้ายฟากหลบกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อความปลอดภัย
อืมม ! ว่ากันว่า ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ตำหนวดยังตรวจพบระเบิดแถว ๆ นั้นเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่า คนที่เก็บซุกไว้ เพื่อหนุนหัวนอนหรืออย่างไร ?
ข้าพเจ้าลงรถที่ ม.ธรรมศาสตร์ แล้วก็เดินข้ามฟากตัดครึ่งสนามมายังด้านศาลฏีกา
เห็นเวทีคอนเสริทซ์อยู่ด้านซ้าย แต่ก็ไม่ได้แวะสนใจสักเท่าไหร่
ข้าพเจ้าสนใจแต่ว่า เต็นท์ที่เป็นเสบียง และ รถห้องน้ำของ ก.ท.ม.
ข้าพเจ้าไม่ค่อยคุ้นกับพื้นที่ท้องสนามหลวง เคยมาแต่ในช่วงกลางวันสงกรานต์
กับช่วงเย็น ๆ ตอนนั้นฤดูกาลเล่นว่าว แต่ก็นานมาแล้ว เมื่อคราวตั้งพระเมรุ ไม่ได้มา
ดังนั้นชีวิตในยามค่ำคืน ณ ที่นั่น จึงเป็นที่ตื่นตาตื่นใจสำหรับข้าพเจ้าเป็นอย่างมาก
เริ่มต้นจาก ..
ประมาณสี่ทุ่ม ข้าพเจ้าสังเกตด้านหลังเต็นท์ที่ข้าพเจ้ารับผิดชอบงานอยู่มีการปูเสื่อเรียงราย
เพื่อนบอกว่า นั่นคือการรับจ้างนวด
ข้าพเจ้าก็นึกในใจว่า ดึกดื่นแล้ว บรรดาคนขี้เมื่อยที่ไหนกันนะ จะมานวด
ข้าพเจ้าคิดว่าคงเหมือนการนวดที่วัดโพธิ์ ดัดแข้ง ดัดขา ทุบนั่น กระแทกนี่
ข้าพเจ้าเองซึ่งเมื่อยอยู่พอประมาณ ไม่เคยต้องยืนทน อดหลับอดนอนมาก่อน
ยังแอบคิดเลยว่า ย่องไปนวดดีกว่า เห็นขึ้นป้ายราคาว่า ชั่วโมง/100 บาท
ยังดีที่ข้าพเจ้าได้แต่คิด แต่ไม่ได้ไปใช้บริการนวด
เพราะเมื่อข้าพเจ้าหันไปมองอีกที มีการมุดเข้าไปในผ้าห่มกันด้วย
นวดกันยังไง .. ข้าพเจ้าได้แต่จ้องและไม่เข้าใจ
แล้วก็มีการผลัดขึ้น ผลัดลง .. หัวไปทาง ขาไปทาง
ยิ่งงง กันไปใหญ่ ตกลงใครนวดใคร นวดกันท่าอะไรบ้างนะ ชักงง
ที่จริงข้าพเจ้ายังคงจ้องอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเพื่อนมาสะกิดพร้อมกับบอกว่า
"ไม่เคยเห็นคนเชิดสิงโตหรือไง ?"
แรก ๆ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจอีก "เชิดสิงโต" .. แต่แล้วก็ต้องหัวเราะก๊ากเมื่อรู้ทัน
อะไรกันจะขนาดนั้น เพราะเสื่อที่เรียงกันเว้นช่วงก็แค่สองสามเมตรเท่านั้น
ระยะห่างจากเต็นท์ที่ข้าพเจ้าดูแลงานอยู่ ก็น่าจะประมาณหกเมตร
ข้าพเจ้ารู้สึกตกใจกับสิ่งที่เห็น บรรยากาศที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกลางแจ้งอย่างนี้
ถือว่าเป็นความซวยของลูกตานะนี่
............................................................................
อย่างที่เล่าไว้ข้างต้น ก่อนเข้าไปรายงานตัวที่เต็นท์
ข้าพเจ้าสอดส่องทำเลรรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. ไว้ล่วงหน้าแล้ว
ราว ๆ เที่ยงคืน เพื่อนร่วมงานชวนข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำ ซึ่งข้าพเจ้าก็ยินดีไปเป็นเพื่อน
ตั้งแต่เกิดมา ก็ไม่เคยใช้บริการรถห้องน้ำของ ก.ท.ม.
ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจรับสภาพกับกลิ่นอันสาหัสสากรรจ์ขนาดนั่นเลย
ข้าพเจ้าเดินตามเพื่อนขึ้นบันไดรถ จากนั้นข้าพเจ้าก็ลงบันไดมาในทันที
ข้าพเจ้าพยายามหายใจลึก ๆ ก่อนเดินขึ้นบันไดไปใหม่
และตั้งใจว่าจะกลั้นใจจนกว่าจะจบธุระในนั้น อืมมม เป็นไงเป็นกัน
ข้าพเจ้าแทบจะขาดใจตาย มือไม้สั่นในขณะที่กำลังเปิดประตูห้องน้ำออกมา
คงเหลือลมอันน้อยนิดในปอดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มหน้ามืดตาลายแล้ว
แต่ก็ตั้งใจว่าจะยังคงกลั้นใจต่อไป ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้อากาศแถวนั้นเข้าปอดเด็ดขาด
ทันทีที่ได้สูดอากาศเฮือกแรก (หลังจากลงจากรถห้องน้ำของ ก.ท.ม. เรียบร้อยแล้ว)
ข้าพเจ้าก็เริ่มอาเจียน จนเพื่อนที่เดินไปด้วยกันตกใจ
อะไรต่อมิอะไรที่อยู่ในกระเพาะของข้าพเจ้าเมื่อหัวค่ำ ถูกถ่ายเทออกมาจนสิ้น
ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกพะอึดพะอม ในขณะที่กำลังเขียนเรื่องเล่านี้
ครั้งแรกในชีวิต และหวังว่าคงเป็นครั้งสุดท้าย
ข้าพเจ้าไม่มีความรู้สึกที่เรียกว่าประทับใจเลยกับรถห้องน้ำของ ก.ท.ม.
กระทั่งตีสี่ เพื่อนคนเดิมก็ชวนข้าพเจ้าเข้าห้องน้ำอีก
ข้าพเจ้าไม่ได้รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำสักนิด แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะไปเป็นเพื่อน
ซึ่งอาจเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้ดื่มน้ำเลยตั้งแต่หลังเที่ยงคืน
ทั้งที่ข้าพเจ้ารู้สึกกระหายน้ำปาก ริมฝีปากแห้งผาก เสียงก็เริ่มแหบแห้ง
ให้ตายเหอะ ถ้าจะต้องเข้าห้องน้ำที่รถนั่น ข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นยิ่งกว่าฝันร้ายเลยทีเดียว
มีคนแนะนำให้เดินข้ามฟากไปทาง รร.รัตนโกสินทร์ ที่นั่นมีห้องน้ำบริการ เสีย 3 บาท
ข้าพเจ้ากับเพื่อนก็เดินไปตามนั้น ข้ามฟากไป ก็พบกับสิ่งมหัศจรรย์บนทางเท้า
ข้าพเจ้าเห็นคนยึดพื้นที่ริมถนน นอน .. บางคนมีแค่กระเป๋าหนุนหัว บางคนกอดถุงกระดาษเก่า ๆ
มีบ้างที่เหมือนกับเป็นกิจลักษณะ มีฟูกบนรถเข็น (เหมือนรถเข็นขนของ 4 ล้อ) นอนบนนั้น
ข้าพเจ้ากับเพื่อนเดินอย่างเงียบกริบ เกรงว่าจะไปรบกวนการนอนหลับของพวกเขา
กระทั่งจะหายใจแรง ๆ ก็ยังไม่กล้า เดินก็ต้องคอยระวังจะไปเหยียบข้าวของของพวกเขา
อากัปกิริยาของข้าพเจ้าบ่งบอกว่าข้าพเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้ อีกทั้งยังไม่เคยเห็น
เพื่อนของข้าพเจ้ากระเซ้าว่า "เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ ๆ ทำไมไม่รู้ว่า ชีวิตกลางคืนก็มีแบบนี้"
มันช่างเป็นชีวิตที่เอน็จอนาถมาก หากหนาว หากฝนตก พวกเขาจะไปหลบพักอาศัยที่ไหน
ข้าพเจ้าเก็บเรื่องนี้มาคิดกังวล ทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า และบางทีพวกเขาอาจไม่ร้อนใจ
ข้าพเจ้ายังคงเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจ จนอยากระบายออกมา
ทันทีที่ข้าพเจ้าเริ่มงานในเช้าวันจันทร์ ข้าพเจ้าไม่เสียเวลาที่จะบอกเล่าความรู้สึกดังกล่าว
ให้กับเพื่อนที่ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้า และไม่รู้จักตัวตนในชีวิตจริงได้รับทราบ
อย่างน้อย .. ข้าพเจ้าก็รู้สึกเบาไปเยอะ
............................................................................
" ไง .. เจอทีเด็ดบ้างหรือเปล่า ?"
เพื่อนร่วมงานถามข้าพเจ้าถึงวันที่ข้าพเจ้าไปรับช่วงภาระกิจที่สนามหลวง
" ก็มีนิดหน่อย แต่ว่าจะเด็ดดวงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ" และข้าพเจ้าก็เล่าเรื่องไป
เพื่อนของข้าพเจ้าก็เล่าแลกเปลี่ยนให้รู้สึกขำมาก ๆ เหมือนกัน
เพื่อนถามว่า "รู้จักสมทรงหรือเปล่า แบบในหนังเรื่องคำพิพากษาน่ะ"
พอข้าพเจ้าบอกว่า "อื้อ รู้ สมทรงเป็นบ้านิด ๆ "
"นี่นะ สมทรงเดินเข้ามาในเต็นท์แล้วก็เอ่ยปากขอตัวนึง (สินค้า)
ทุกคนงงกันหมด ที่จู่ ๆ ก็มาขอกันดื้อ ๆ ไอ้แบบนี้คงไม่ใช่เรื่องปกติแหง๋ ๆ
สภาพของสมทรงก็แต่งตัวมอซอ เป็นเสื้อกับกระโปรงบาน ๆ แต่ก็เขรอะแล้ว
สมทรงยังคงดื้อกล่าวซ้ำ ๆ ขอตัวนึง ขอตัวนึง นี่นะ ข้างในไม่มีจะใส่
ไม่เชื่อเหรอ ไม่เชื่องั้นดูเลย นี่แน่ะ นี่แน่ะ"
และแล้วสมทรงก็จัดการเปิดเสื้อตลบขึ้นบน
ทุกคน (เน้น... ทุกคน) เหมือนต้องมนต์จังงัง เมื่อเห็นหนังสดอันเหี่ยวย่นของสมทรง
เพื่อนของข้าพเจ้าที่ดูแลเต็นท์นั้น มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง ต่างก็นิ่งเป็นเบื้อใบ้กันไปหมด
สมทรงยังบอกอีกว่า ข้างล่างก็ด้วยนะ ไม่มีใส่ และก็กำลังจะเปิดผ้าแสดงความจริงให้เห็น
เพื่อนของข้าพเจ้าก็รีบเข้าไปห้ามสมทรงเสียก่อน ประจวบกับพอดีตำหนวดเดินผ่านมา
เรื่องราวของสมทรงจึงเป็นแค่หนังฉายครึ่งเดียว คือ ครึ่งบน ขาดครึ่งล่างให้จินตนาการต่อไป
............................................................................
"ผมถูกฉุดไปหลังต้นไม้ พร้อมกับบอกราคาว่า แค่สามสิบ"
เพื่อนกลุ่มใหญ่รวมทั้งข้าพเจ้าหัวเราะกันครืน หลังจากที่นายโจ้เล่าให้ฟัง
นายโจ้หน้าตาหล่อเหลาเอาการ และมีช่วงปฏิบัติภาระกิจเวลาเดียวกันกับข้าพเจ้า
"แทบแย่ ผมดิ้นหนีออกมาได้ก็บุญแล้ว ขวัญเสียไม่หาย" นายโจ้บ่นงึมงำ
"ผมก็เหมือนกันพี่ ตอนนั้นผมง่วง ก็เลยเดินไปนั่นนี่
ผมเดินไปทางฟากของท่าเตียน ก็มีคนเสนอตัว เสนอราคาให้เสร็จสรรพ
ผมก็รีบเดินหนีทันที" คราวนี้เป็นนายหรั่งเล่าเรื่องบ้าง
"ผมดิ ซวยฉิบ" เพื่อนอีกคนบ่นอุบ
"ซวยยังไง" ข้าพเจ้าถาม
"ก็ผมทำงานเพลิน ๆ กินน้ำแล้วก็วางไว้ข้าง ๆ ตัว แล้วก็หันมาทำงานต่อ
เผลอแป๊บเดียว คนจรจัดเอาน้ำที่ผมวางไปกิน แล้วก็วางขวดไว้เหมือนเดิมอ่ะ
คิดดูดิ ถ้าบังเอิญผมไม่หันมาเห็นเสียก่อน ผมจะเป็นอะไรตายไหมเนี่ย น่ากลัวชะมัด"
"พี่น้องคร๊าบ ผมโดนคนบ้าเดินตามตลอด ชวนผมคุยนั่นนี่ ผมล่ะจะบ้าตาย" เพื่อนหัวฟูเล่าบ้าง
"แสดงว่านายหน้าตาเข้าข่าย บ้า" เพื่อนอีกคนแซว
............................................................................
สิบสองชั่วโมง ที่ข้าพเจ้าปฏิบัตงานที่สนามหลวง
นอกเหนือจากเนื้องานแล้ว ข้าพเจ้าได้พบได้เห็นในสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เคยพบไม่เคยเห็น
ข้าพเจ้ารู้สึกขำ รู้สึกเศร้า รู้สึกกลัว ระคนกัน ..
มันเป็นอะไรที่หลากหลายจริง ๆ สำหรับค่ำคืนนั้น
มิตรภาพตราบสิ้นฟ้า
23 มีนาคม 2552 13:18 น.
อัลมิตรา
คาแรคเตอร์ของเธอ
เธอ ..
เป็นผู้หญิงขี้เหงา ที่มักจะเข้าใจตนเองอย่างผิด ๆ ว่า ตนเองคือศูนย์กลางจักรวาล
เธอ ..
ใช้เวลาในยามค่ำคืนเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อเขียน blog โดยเข้าหมวด Dairy
เธอ ..
บอกว่า มีงานประจำทำอยู่แล้วและค่อนข้างที่จะมั่นคง
เธอ ..
ทำตัวว่างในทันที พร้อมเสมอที่จะปรากฏตัวเมื่อรู้ว่าทางเวปจะมีการนัดมิตติ้งหรือทำกิจกรรม
เธอ ..
มีความสามารถในการชงและดื่ม ดื่มและชง
เธอ ..
ช่างสรรหาสารพัดมาเขียนลงใน blog ของเธอ ทำทีว่าเธอเป็นเจ้าของอักษรนั้น ๆ
เธอ ..
บอกว่า ถึงแม้ว่าเธอจะลอกงานของคนอื่นมาลงที่ blog เธอก็ปราศจากความผิดใด ๆ
เธอ ..
ปฏิเสธทุกข้อหา ในกรณีที่มีคนจับได้ว่าเธอคือ "นักลอกมือทอง"
เธอ ..
ฉุนเฉียว พร้อมกับประกาศว่าคนทีทักท้วงเธอกระทำการหมิ่นประมาท
เธอ ..
ปิดการเผยแพร่ entry ของเธอใน blog ส่วนตัวไปเกือบ 100 เรื่อง ก็เพราะเหตุผลส่วนตัว
เธอ ..
อ้างว่า คนที่สามารถเข้ารหัสผ่านของเธอได้ มี 3 คน แล้วจะให้เธอรับผิดชอบอะไรกัน
เธอ ..
ยังคงยืนยันว่าจะเขียน blog ทุกวัน ทุกเที่ยงคืน และปั่นคอมเมนท์ทุกครั้งเมื่อมีโอกาส
เธอ ..
อ้อนให้ใครต่อใครรักเธอน้อยลง ทว่าให้คงรักนั้นนาน ๆ
.................................
17 มีนาคม 2552 17:15 น.
อัลมิตรา
- เยือนบ้านสวน -
- ฟังเสียงคลื่นครวญริมเล -
- เตร็ดเตร่บนเขาคิชฌกูฏ -
เช้าตรู่ของวันเสาร์ ..
ข้าพเจ้ามีนัดกับเพื่อนที่อยู่ถนนร่มเกล้า เรามีแผนการเดินทางไปเมืองจันท์
ในเป้สีขาว มีชุดลำลองเตรียมพร้อมผจญภัย 2 ชุด พร้อมแปรงสีฟัน+ยาสีฟัน
ให้ตายเหอะ .. ข้าพเจ้าลืมใส่ใจตัวเองจนกระทั่ง หวี .. ก็ไม่ได้พกไป
ข้าพเจ้าไปยืนอยู่หน้าบ้านเพื่อนตอนหกโมงครึ่ง
เพื่อนใจร้าย ไม่เลี้ยงข้าว .. ปล่อยให้ข้าพเจ้าไส้กิ่วท้องร้องกร๊วก ๆ อยู่เป็นนาน
กระทั่งข้าพเจ้าลากจักรยานของเพื่อนปั่นไปหาบางอย่างมาประทังชีวิต
ก็ยังดี ที่ละแวกนั้นยังพอมีร้านก๋วยเตี๋ยว ไม่งั้นคงได้แทะเบาะอานจักรยานกิน
...........................................
ยังจะต้องรอเพื่อนอีกคน ผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นสารถีขับเคลื่อน
กระทั่งฤกษ์เหมาะประมาณสิบโมง จึงได้จรลีไปทางเส้นทางมอเตอร์เวย์
การเดินทางก็ไม่มีอะไรมาก ..
อ้อ !! ข้าพเจ้า อ๊วกแตก หนนึง .. พิสูจน์หลักฐานแล้ว เป็นเฟรนฟรายท์ร้าน KFC
แถมตอนที่อ๊วกแตก เพื่อนก็ยังไม่มีกะใจจะมาเหลียวแลอีกต่างหาก .. เฮ้อ !
แต่วันเสาร์ ก็ช่างเป็นวันที่ไม่มีแดด มันจะดีอะไรเช่นนั้นกันหนอ
ไม่มีแดด แล้วจะมีฝนหรือเปล่านะ ข้าพเจ้านั่งเหงื่อตกคิดไปตลอดทาง
จนถึงจุดนัดที่โลตัสเมืองจันท์จนได้
เพื่อนของข้าพเจ้านัดพี่ชายไว้ที่นั่น เพื่อที่จะพาไปบ้านสวน
ส่วนข้าพเจ้า ไหน ๆ ก็ ไหน ๆ มาทั้งที ก็ต้องคารวะเจ้าที่เจ้าทางเสียก่อน
แน่นอน .. ลุงราม ลิขิต นั่นไง
ลุงราม มาถึงโลตัสก่อนข้าพเจ้า มาพร้อมกับความโปร่งใสโล่งเลี่ยน
ลุงรามเล่าว่า เป็นอะไรก็ไม่รู้ ผมร่วง ก็เลยโกนหัวเหม่งไปซะเลย
ข้าพเจ้าชักไม่แน่ใจว่า ลุงรามแอบซ่อนจีวรซุกไว้ที่ไหนหรือเปล่า ฮา ..
...........................................
ที่บ้านสวน ..
ข้าพเจ้าเดินตามพี่ชายของเพื่อนต้อย ๆ (ไม่ได้แปลว่าชื่อต้อย นะ)
เดินไปก็ลากตะกร้าพล๊าสติกใบใหญ่ตามไปด้วย แหงนคอสอยมะม่วงจนเมื่อย
พี่ชายของเพื่อนก็ใจดีชะมัด สอยโน่น สอยนี่มาให้กิน จนย่อยแทบไม่ทัน
มะพร้าวก็มีอยู่หลายต้น เล่นสอยเลือกทลายละหนึ่งลูกมาให้ชิม
โห .. นักชิมมีอยู่สามคน มะพร้าวตั้ง 5 ลูก มะม่วงอีกต่างหาก
เพื่อนสนใจต้นสาเก ซึ่งข้าพเจ้าก็ไม่เข้าใจว่า จะหลงใหลอะไรกันนัก
ส่วนไอ้พุ่ม ๆ ที่มองดูคล้ายหญ้าใบใหญ่ ๆ ข้าพเจ้าก็เพิ่งจะรู้ว่า มันคือต้นตะไคร้
โธ่ .. มันเป็นพุ่ม ๆ น่ะ ยังคิดในใจเลยว่า ไหง๋.. มีแต่ต้นหญ้าวะเนี่ย
อื่น ๆ ข้าพเจ้าไม่ค่อยจะสนใจสักเท่าไหร่ ด้วยความที่ซื่อบื้อเรื่องพฤกษาศาสตร์
ทว่า .. มะละกอ ข้าพเจ้ารู้จัก นะ ..
...........................................
บ้านสวนหลังนี้ มีเนื้อที่ 7 ไร่ ข้าพเจ้าเดินชมมาจนทั่ว
สภาพบ้านก็เข้าขั้นดีทีเดียว สองชั้น ห้องน้ำหรู ห้องนอนเจ๋ง ห้องพระก็มี
ในครัวยังคงมีตู้กับข้าว และที่ไม่ควรจะอยู่ในครัวก็มี คือ .. โกศ
โกศ ของเจ้าของบ้านเดิม ซึ่งรีบร้อนขายและเมื่อทำการซื้อขายเสร็จแล้วก็รีบไป
ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงดูเหมือนว่า ยังคงอยู่ครบถ้วน
ข้าพเจ้ารู้สึกไม่ดี ที่เห็นโกศ
กระทั่งรูปภาพของผู้ชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของกระดูกในโกศ
ข้าพเจ้าก็ยิ่งรู้สึกไม่ดีไปกันใหญ่
เท่าที่สอบถาม ดูเหมือนว่าเจ้าของบ้าน(เดิม) ไม่สนใจไยดีที่จะนำติดไปด้วย
พี่ชายของเพื่อนเล่าว่า พยายามหลายครั้งหลายหนแล้วในการแจ้งให้มาขนย้ายไป
เหมือนพูดกับกำแพง ไม่อะไรตอบสนองเลย
น่าเศร้าเสียจริง
...........................................
ทำเลบ้านสวนอยู่ไม่ไกลจากทะเล พอจะเดินได้
พี่ชายของเพื่อนพาทัวร์ ซีกขวาก่อนคือฟากอ่าวหลาว และก็ซีกซ้ายคือแหลมสิงห์
บรรยากาศดีทีเดียว ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าติดใจที่นี่ซะแล้ว
...........................................
ที่แหลมสิงห์ ..
เด็กผู้หญิงสามสี่คนกำลังเล่นชิงช้า ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันสนุกสนาน
หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินจูงมือเอาเท้าแตะฟองคลื่นเล่น
ฝรั่งพุงพลุ้ยเดินลุยลงทะเลไปแล้ว พร้อมกับส่งเสียงเรียกเพื่อน ๆ ให้ลงเล่นน้ำ
วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งกำลังดีดกีตาร์ร้องเพลงอย่างครึกครื้น
ข้าพเจ้าเดินเล่นอยู่พักหนึ่ง ก็กลับเข้าบ้านสวน
มีงานใหญ่รอให้ข้าพเจ้าทำอยู่ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกสนุกสนานกับงานนั้นมาก
แหม ! น่าจะรู้นะ ข้าพเจ้าชอบมะม่วง งานนี้พลาดได้ไง สอยมะม่วงน่ะสิ
...........................................
สี่ทุ่ม .. หลังจากเติมพลังเต็มที่ก่อนขึ้นเขาคิชฌกูฏ
ข้าพเจ้าก็นั่งไปหลับไป จนถึงปลายทาง น่าจะห้าทุ่มกระมัง
แต่ .. ต้องรอเพื่อนอีกกลุ่ม ซึ่งกำลังเดินทางมาจากกรุงเทพ
ก็ดี .. นอนต่อ จนกระทั่งเพื่อนที่มาสมทบเดินทางมาถึง อ.แกลง
ข้าพเจ้าเดินตามเพื่อนอีกสองคนอย่างเงื่องหงอยง่วง ..
เข้าแถวซื้อบัตรเพื่อที่จะขึ้นรถขึ้นเขา แถวย๊าววววววววววววยาววววววววววว
ยืนรอจนกระทั่งรับฟังผลบอลว่า ลิเวอร์พูลเขย่าจนโลงผีแตก 4 :1
แต่ตอนนั้น ข้าพเจ้าฟังไม่ค่อยได้ศัพท์เท่าไหร่
ดันเข้าใจว่า ลิเวอร์พูลแพ้ ได้แค่ 1 ประตู
คิดเอาเองละกันว่า สติสตังค์ของข้าพเจ้าเหลือซะแค่ไหน
...........................................
น่าจะใช้เวลาในการยืนแถวเพื่อรอซื้อบัตรขึ้นรถนานกว่า 1 ชั่วโมง
การจัดระเบียบในการจำหน่ายบัตรยังไม่ค่อยดีนัก
ผู้คนแออัดเบียดเสียดเหมือนอยู่ระหว่างปากขวด
คนแซงก็แซงกันไป คนที่เข้าแถวก็เข้าแถวไป
ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนเข้าแถว แต่ก็เตร่อยู่แถวนั้น ประมาณว่ากลัวเพื่อนหาย
บ่นนะ .. ไม่ใช่ว่า ไม่บ่น
มาวัดกันทั้งที กระทั่งการให้ความยุติธรรมสำหรับคนอื่นยังไม่มี
แล้วจะมาเอาบุญอะไรกันได้อย่างไร
...........................................
ตีสี่ ..
เพิ่งจะกระเด้งตัวจากที่นั่งรอเรียกเบอร์บัตรขึ้นรถอยู่นานสองนาน
ทิวทัศน์เป็นยังไง ไม่รู้หรอก มืดซะขนาดนั้น
รู้แต่ว่า เหมือนกันนั่งรถแรลลี่ กระแทก กระเด้ง กระโดดดึ๋ง
ยังดีนะที่เมื่อสองปีก่อน เคยผ่านด่านอมก๋อยมาแล้ว
ถึงแม้ว่าที่เขาคิชฌกูฏที่เขาเล่าลือกันว่าโหดแสนโหด
ข้าพเจ้ายังมองว่า .. เด๊ะ เด๊ะ
แต่ในระหว่างทางข้าพเจ้าก็ยังเห็นคนเดินเท้าขึ้นเขา
โอ .. เยี่ยมมาก นอกจากมีความอดทนสูงแล้ว ยังกล้าเสี่ยงอีกต่างหาก
ก็จะอะไรเสียอีกเล่า บรรดารถที่แล่นขึ้น-ลง ต่างก็เหยียบคันเร่งกันสุด ๆ
...........................................
ลงรถช่วงแรก ก็เล่นเอาเดินเซเหมือนกัน
เพื่อนของข้าพเจ้าเซถลาลงพื้น พร้อมกับเลือดซิป ๆ ที่หัวเข่า
ข้าพเจ้าใช้เวลาไม่นานนัก ก็ถือโอกาสเข้าแถวไปซื้อตั๋วรถขั้นที่ 2 ก่อน
ให้ตายเหอะโรบิ้น ให้ดับดิ้นเหอะแบทแมน
ช่วงที่ 2 นี้ ชันมาก ข้าพเจ้ามองเส้นทางจากไฟหน้ารถแล้วให้ใจหายวูบ
บทจะโค้ง ก็แทบไม่เหลือมุมให้วาดโค้งเอาเสียเลย
มิน่าเล่า รถที่ขึ้นลง ถึงได้สลับสับหว่างเข้าเลนซ้ายบ้าง เลนขวาบ้าง
นี่ถ้าไม่ชินทางจริง ๆ มีหวัง .. ได้เข้าเฝ้าท่านเทพก่อนวัยอันควร
...........................................
การเดินทางเกือบถึงจุดหมายแล้ว ผู้คนมากมายเสียจริง
ข้าพเจ้าไม่มีอารมณ์จะดึงกล้องถ่ายรูปออกมาเก็บบรรยากาศ
เส้นทางที่ต้องเดินขึ้นเขาด้วยเท้า บันไดแต่ละขึ้น อัดแน่นด้วยมนุษย์
อันที่จริง ข้าพเจ้าไม่ใช่คนที่อึด เดินขึ้นเขา ขึ้นบันไดเก่ง
แต่ในคราวนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้เมื่อยซะเลย เป็นเพราะเดินได้แบบกระดึ๊บ ๆ
กว่าจะขยับเขยื้อนที ไอ้ที่จะเมื่อย มันก็หายเมื่อยแล้ว พร้อมที่จะเดินได้ต่อ
ยิ่งตอนที่ผ่านช่วงแคบ ๆ คนที่อยู่ด้านในออกไม่ได้
คนที่อยากเข้าไปให้ถึงรอยพระพุทธบาทก็เข้าไม่ได้
เห็นแล้ว ปวดกะบานวุ๊ย
ยืนไปยืนมา ฟ้าเริ่มสาง พอมองเห็นทิวทัศน์รำไร
ข้าพเจ้าง่วง พอยืนอยู่นาน ณ ตำแหน่งเดิม ก็เลยยิ่งง่วง
ถึงแม้ว่าอากาศจะค่อนข้างเย็น จนขนแขนตั้งเด่มาหลายชั่วโมงแล้ว
หนังเนื้อบนแขนของข้าพเจ้า ดูไปดูมา ชักเหมือนหนังไก่เข้าไปทุกที
ข้าพเจ้าก็ยัง ง่วง ... อยู่ดี นั่นแหล่ะ
...........................................
ในที่สุด ข้าพเจ้าก็ถูกฝูงชน ชนกระเด็นจนพลัดหลงจากเพื่อนจนได้
เหลือหน่อเดียวกระเทียมลีบ เดินเตร็ดเตร่
มองไปทางไหน ก็เจอแต่คนที่ไม่รู้จัก
ข้าพเจ้าใช้ช่วงเวลาที่รอ เข้าไปกินอาหารเช้าที่ทางวัดจัดจำหน่าย
ก็อร่อยดีนะ .. อย่างน้อย ถือเคล็ด อิ่มไว้ก่อน
...........................................
บางช่วงที่สัญญาณมือถือใช้งานได้ ข้าพเจ้าก็นัดแนะกับเพื่อน
อืม เออ .. จะไปรอตรงนั้นนะ ตรงนี้นะ ..
แล้วข้าพเจ้าก็สบายอกสบายใจ ดูนั่นดูนี่ ไปตามเรื่อง
ขนาดที่ว่า ไปนั่งตรงข้ามกับขอทาน
แล้วจับเวลาว่า ครึ่งชั่วโมงมานี้ ประมาณการรายรับของขอทานสักเท่าไหร่
โอวววว แม่เจ้าโว๊ย แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น
ข้าพเจ้าเห็นขอทานคนนั้น เก็บแบงค์ร้อยใส่ย่ามไปประมาณ 3 ครั้ง
ส่วนแบงค์ยี่สิบ ก็เห็นล้วงเก็บ ล้วงเก็บ น่าจะ 30 ใบ
ข้าพเจ้าคิดว่า ตัวข้าพเจ้าเองนี้ ช่างน่าไม่อายเล้ย
อุตส่าห์ไปนั่งจ้องเอาจ้องเอา นับเงินของเขาอีกแน่ะ
...........................................
ไม่บอกไม่รู้ .. ไม่มีใครโทรมา ก็ไมรู้อีกนั่นแหล่ะ
ปรากฏว่า เพื่อนทุกคนลงด้านล่างพื้นดินกันหมดแล้ว
คงเหลือแต่ข้าพเจ้า ที่ยืนกินมะขาม พร้อมกับดูเจ้าหมีบุญรอดเล่น
ฮา .. ไม่รู้นี่หว่า
นี่ก็คิดว่า ไม่ช้าแล้วเชียว คิดว่า ยังไงซะ ต้องเห็นเพื่อนตอนลงเขามาขึ้นรถ
ที่ไหนได้ เขาลงทางลัดกัน มันก็เลยทำให้ข้าพเจ้าพลัดหลงลำพัง
...........................................
ง่วง .. เหมือนเดิม
ทันที ที่ขึ้นรถ ข้าพเจ้าไม่ปล่อยให้โอกาสลอยนวล
หลับสิ .. ไม่ได้มีหน้าที่ขับรถนี่นา
นอนโลดดดดดดดดดดดดดดดด