21 กุมภาพันธ์ 2551 10:08 น.
อัลมิตรา
๏ กติกาสากลคนบ้านกลอน
เชิญทุกท่านอ่านก่อนกล่าวค่อนเสริม
ทุกทุกอย่างเขียนไว้คงนัยเดิม
ใช่เพิ่งเพิ่มกฏเกณฑ์เพื่อเข่นใคร
พึงหลีกเลี่ยงลบหลู่และดูหมิ่น
อย่าติฉินนินทาแสร้งสาไถย
จนสะเทือนเชื้อชาติศาสนาใด
ควรเว้นไว้สถาบันอันเทิดทูน
เรื่องใส่ร้ายป้ายสีไม่ดีหนอ
ถ้อยเยินยอเกินไปควรให้สูญ
ขุนพยักเพยิดหน้าอาจอาดูร
กลายเป็นมูลมิตรแท้รังแกกัน
ยามชี้แนะควรระบุถ้อยสุภาพ
หากหยามหยาบจะระคายจิตกลายผัน
แม้นขุ่นข้องควรข่มอารมณ์พลัน
อย่าหุนหันตัดสินแล้วหมิ่นเปรย
เพราะประจักษ์อักษรบ้านกลอนไทย
มวลปราญช์ใหญ่แวะเวียนมาเขียนเผย
ทั้งโคลงกาพย์กลอนฉันท์สารพันเคย
ครั้นเอื้อนเอ่ยคงยากด้วยมากมี
อีกบรรดาเด็กเล็กพวกนักเรียน
มาหัดเขียนฝึกฝนบนวิถี
ผิดถูกบ้างบางหนปะปนวลี
เลียนแบบกวี/ลอกคำจนชำนาญ
เชิญทุกท่านร่วมดำริร่างกติกา
เพื่อควบคุมจรรยาให้น่าอ่าน
เพื่อปราบปราม/ป้องกันเหล่าอันธพาล
เพื่อสืบสานร้อยกรองทำนองไทย
เถิดร่วมสร้างทางกวีศิลป์สีสัน
เกื้อกูลกันประหนึ่งมิตรที่ชิดใกล้
กฏกติกามารยาทประกาศไป
ท่านคิดเห็นเช่นไรเชิญไตร่ตรอง ๚ะ๛
16 กุมภาพันธ์ 2551 20:49 น.
อัลมิตรา
๏ เพียงตระหนักรักแท้ใช่แค่พูด
บทพิสูจน์ตรงหน้าสายตาผ่าน
เรื่องราวที่ประสบเคยพบพาน
คือตำนานความรักความภักดี
เธอและเขาข้างเคียงเยี่ยงคู่ครอง
แม้จักต้องผจญทุกข์ปราศสุขี
ข้าวคลุกเกลือเจือจานมานานปี
อยู่ตามมีตามประสาสองตายาย
ยามเงินหมดอดข้าวถึงคราวอนาถ
แถมอัมพาตมาเยือนเหมือนสหาย
คิดลุกเดินเกินขยับยากปรับกาย
จะขับถ่ายก็แสนเข็ญลำเค็ญนัก
เธอป่วยไข้ได้เขาคอยเฝ้าแล
ถึงย่ำแย่อัตคัตสาหัสหนัก
ขายกล้วยปิ้งเลี้ยงตนเลี้ยงคนรัก
มิหยุดพักแม้เหนื่อยอ่อนหรือตอนใด
ผ่านกี่ร้อนกี่หนาวกี่คราวฝน
เขาอดทนคลอเคล้าเอาใจใส่
"จักดูแลจนกว่าลาลับไป"
คำจากใจของเขาที่เรายิน
หวนคำนึงถึงตนแสนหม่นจิต
คนเคยชิดเคียงใกล้ไม่ถวิล
"จะรักมั่นอัลมิตราจวบฟ้าดิน"
แท้เพียงลิ้นบรรเลงบทเพลงกลอน
ประสบการณ์ผ่านคืนอันดื่มด่ำ
เหลือแต่ช้ำเกินจิตคิดไถ่ถอน
เพราะบางใครใจแปรไม่แน่นอน
คำออดอ้อนหายวับไปกับตา
เราตระหนักการกระทำใช่คำพูด
ซึ่งพิสูจน์ทุกประเด็นเห็นคุณค่า
แสนเสียดายเหตุการณ์ที่ผ่านมา
แม้สักครามิประจักษ์ความรักจริง ๚ะ๛
5 กุมภาพันธ์ 2551 16:14 น.
อัลมิตรา
๏ เลื่อนลอยผ่านม่านฟ้าเวหาหาว
หากครั้งคราวยังกระจายแยกซ้ายขวา
ครั้นเริงลมสมใจครรไลลา
เรียงรายล่องผองนภามาพร้อมเพรียง
ผองแมกไม้ใหญ่น้อยที่คล้อยผ่าน
พลางพบพานครั้งคราวราวส่งเสียง
ซึ่งไพเราะเสนาะล้ำในสำเนียง
เนิ่นนานเพียงดนตรีที่ตรึงใจ
จากดอกไม้พิไลล้ำคราคร่ำต้น
ต่างแยกตนตามฝันอันยิ่งใหญ่
ยลโลกหล้านภาพรหมชมพฤกษ์ไพร
พลัดพรากไกลต้นแม่แม้อาวรณ์
แว่วเพลงหวานผ่านลมแล้วชมชื่น
ช่างดาษดื่นเคว้งคว้างบ้างว้าว่อน
เวิ้งว้างหวิวพลิ้วไหวในอัมพร
พร้อมกลิ่นล้ำกำจรตอนพบพาน
ผองมาลาถลาลมภิรมย์แล้ว
ระเริงลิ่วทิวแถวเนื่องแนวผ่าน
พลางสูดกลิ่นหอมเพลินอย่างเนิ่นนาน
นำเบิกบานสราญใจยามได้ยล
ยิ่งดอกใดใกล้นักจักไขว่คว้า
คงสมค่าสุขใจในอิฐผล
เพื่อดมดอมหอมหวงดั่งดวงกมล
มาดแม้นตนจากไกลใคร่จดจำ
เจ้าคลาดคว้างพลางเคลื่อนเหมือนลาแล้ว
ฤๅแน่แน่วมุ่งนภาฟ้าเลิศล้ำ
ลมนำลิ่วปลิวประหนึ่งซึ่งนาฏกรรม
กรีดกรายนำชื่นชมแสนสมใจ
จนพลัดพรากจากพลันจึงหวั่นจิต
จวบวันคืนฝืนคิดจิตฝันใฝ่
เฝ้ามองหาบุปผชาติเคลื่อนคลาดไกล
ก่อนจากไปยังคะนึงถึงมาลา ๚ะ๛