30 มิถุนายน 2548 07:59 น.
อัลมิตรา
สัทธราฉันท์ ๒๑
( ฉันท์ที่มีลีลาวิจิตรงดงามประดุจสตรีเพศผู้ประดับด้วยพวงมาลัย )
..๏ กากากากากะกากา.....................กะกะกะกะกะกะกา
กากะกากา.......................................กะกากา ๚ะ๛
..๏ โอ่อ้างความเก่งฉกาจยาม..................กวิวจนก็หยาม
ด้วยคะนองตาม......................................ระแบบตน
ดูหมิ่นถิ่นแคลนเสมอจน-........................พิจยกวินิพนธ์
แห่งมหาชน............................................เสมือนเธียร ?
ยกตนข่มท่านและพากเพียร....................มติคติมุติเตียน
ซึ่งวิธีเขียน.............................................ประพันธ์กานท์
แม้นปราชญ์ปราดเปรื่องและเชี่ยวชาญ......มุนิ ณ ปุริมกาล
ยังมิหักหาญ...........................................และย่ำยี ฯ
..๏ แล้วท่านผู้ซึ่งฉลาดนี้..........................วิจรณ ดุจสีห์
ครั้นตะเบ็งที...........................................กระหยิ่มใจ
โอ้อวดศักดา ณ พงไพร.............................สกลมฤคใด
อยู่ ณ ใกล้ไกล........................................สิหวั่นเกรง
โปรดเปลื้องอัตตาและกล้าเก่ง..................ฤ มิ อภิรติ เอง
เพื่อวิพากษ์เพ่ง.......................................พยากรณ์
ด้วยอัตตาธิปไตยซ่อน..............................ฤ มุนิ ฤ วิษธร
เป็นอุทาหรณ์..........................................วิจักขณ์เทอญ ๚ะ๛
29 มิถุนายน 2548 15:06 น.
อัลมิตรา
..๏ แม้ชีวิตพลาดพลั้งความหวังสิ้น
น้ำตารินหลั่งรดหยดเป็นสาย
หัวใจเธอปวดร้าวเศร้าเดียวดาย
มองรอบกายคนเคยเห็นเป็นไม่มี
หากว่าเธอท้อแท้เกินแก้ไข
ฉันยังมีกำลังใจให้เต็มปรี่
ฝากถ้อยคำมาปลอบมอบคนดี
ความทุกข์ที่มากมายจงคลายตรม
เมื่อเธอนั้นทำดีที่สุดแล้ว
ยังไม่แคล้วเสียงคนยังบ่นขรม
คำประณามหยามให้ใจระทม
เธอควรข่มดีกว่าอย่าไปฟัง
อย่าสูญสิ้นเพราะคนเพียงคนเดียว
แค่เศษเสี้ยวประสบจงกลบฝัง
ใช่ชีวิตข้างหน้าจะภินท์พัง
เพียงหนึ่งพลั้งฝันยังอยู่หยัดสู้ไป ๚ะ๛
. . อ ย่ า ใ ห้ ค น เ พี ย ง ค น เ ดี ย ว . .
. . ทำ ชี วิ ต ข อ ง เ ธ อ พั ง . .
. . เ ก็ บ ค ว า ม ฝั น ข อ ง เ ธ อ เ อ า ไ ว้ . .
. . ร้ อ ง ไ ห้ กั บ ฉั น ร ะ บ า ย อ อ ก จ า ก หั ว ใ จ . .
. . แ ล้ ว เ ริ่ ม ใ ห ม่ ยั ง ไ ม่ ส า ย . .
. . ร้ อ ง ไ ห้ กั บ ฉั น ร ะ บ า ย อ อ ก จ า ก หั ว ใ จ . .
. . ผ่ า น ไ ป แ ล้ ว ลื ม มั น ไ ป . .
27 มิถุนายน 2548 16:37 น.
อัลมิตรา
..๏ ระหว่างลมโลมล้อหยอกกอหญ้า
เกิดลีลาซึ้งซาบภาพเคลื่อนไหว
แรงระริกระรัวลามหัวใจ
หญ้าเคลิ้มไปชั่วยามลู่ตามลม
พร้อมกับเสียงเสียดสีดนตรีสรวง
ขับกล่อมห้วงหฤหรรษ์อันสุขสม
หยาดน้ำค้างฉ่ำชื้นร่วมชื่นชม
จนจำเรียงระงมเสียงลมคราง
จากเอนลู่ตามลมหญ้าล้มหลับ
รอต้อนรับแสงอุษาเมื่อฟ้าสาง
รักที่ลมฝากรอยค่อยค่อยจาง
เพียงลมห่างไกลตาหญ้าก็แปร
ฤๅเพราะลมนั้นไร้ไออุ่นเอื้อ
จึงไม่เหลือค่าใดให้แยแส
หญ้าหยัดยอดกอดตะวันเป็นขวัญแด
ลมก็แค่ความฝันชั่วข้ามคืน
หนาวเอยหนาวน้ำค้างเมื่อกลางดึก
ลมรำลึกรัญจวนหวนสะอื้น
รู้สึกคล้ายเคว้งคว้างกลางกล้ำกลืน
เติมรอยชื้นที่แก้มแต้มน้ำตา ๚ะ๛
27 มิถุนายน 2548 08:32 น.
อัลมิตรา
กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘
๑.
..๏ ศรหลาวง้าวทวน
หอกดาบมากมวล............ทั่วถ้วนพุ่งมา
แหล่งจากจตุรทิศ.............หมายปลิดชีวา
หลากหลายเหลือคณา.......มืดฟ้ามัวดิน
บรรดาศัตรู
คลุ้มคลั่งต่างกรู..................ล้วนดูใจทมิฬ
ไร้ซึ่งเมตตา......................กรุณาสูญสิ้น
หมายแดนแผ่นดิน..........ชิงถิ่นกานท์กวี
ใครดีใครเด่น
ไล่ล่าฆ่าเข่น..................ดั่งเช่นยักษี
บ้างลอบทำร้าย...............บ้างหมายย่ำยี
เทียบเธียรเดียรถี............จิตมีริษยา
จำแลงแปลงตน
แล้วย่องล่องหน..............หลากล้นฤทธา
คอยจิ้มทิ่มแทง- .............คมแห่งศาตรา
ฟาดฟันกายา...................ยิ่งพาทรมาน ฯ
๒.
..๏ แม้นยังชีพตน
เยี่ยงสามัญชน.................บ่พ้นภัยพาล
สายตาต่างจ้อง.................เพ่งตรองตรวจการณ์
แล้วบุกรุกราน..................ล้างผลาญทันใด
มิอาจคาดเดา
ศัตรูของเรา......................เทือกเถาเหล่าใด
ปราศจากหลักฐาน..........ชนพาลนั้นใคร
ผู้ซุ่มสุมไฟ......................ลุกไหม้ใจฉัน
ฤๅชนคนขลาด
ผูกจิตพยาบาท.................อาฆาตอย่างมหันต์
มิให้ใครสุข....................คุกคามห้ำหั่น
วิธีสารพัน.......................คาดคั้นบั่นทอน
โอ้ชนคนพาล
เข้าเขตอภัยทาน...............ถิ่นบ้านนักกลอน
ยับยั้งชั่งใจ.......................โปรดใคร่ครวญก่อน
อย่าได้ใจร้อน...................พักผ่อนให้สบาย ฯ
๓.
..๏ เชิญดื่มน้ำชา
วางมวลศาตรา- .................อาวุธคู่กาย
หากร้อนอ่อนล้า................ฤๅว่าเหนื่อยหน่าย
นั่งพักจักหาย....................ผ่อนคลายอารมณ์
เรือนกานท์บ้านกลอน
สถานที่พักผ่อน................หลับนอนเหมาะสม
สรรพเสียงสกุณา.............นำอุรารื่นรมย์
สำเนียงเสียงขรม............ชื่นชมสมใจ
แว่วลมรำเพย
ดั่งกวีเอื้อนเอ่ย..................เปิดเผยความนัย
ไพเราะเพราะพริ้ง............หรีดหริ่งเรไร
ไก่ฟ้ากระเวนไพร............กล่อมให้ใจเพลิน
ครั้นหมายใคร่ฟัง
พิณแตรแลสังข์.................ขลุ่ยยังเพราะเกิน
บรรเลงเพลงแผ่ว...............หวานแว่วจำเริญ
เพียงเพื่อเชื้อเชิญ...............ดำเนินไมตรี ฯ
๔
..๏ โอ้มวลศัตรู
โปรดทราบรับรู้...................ฉันอยู่ที่นี่
ณ แคว้นแดนดิน.................ย่านถิ่นชาวกวี
นักประพันธ์มากมี..............น้องพี่เพื่อนกัน
วางง้าวหลาวหอก
ดาบกระบี่ภายนอก..............นำออกโดยพลัน
ลืมความอาฆาต....................พยาบาทสารพัน
รังเกียจเดียดฉันท์...............โมหันธ์เถิดหนา
ลืมการงานศึก
อย่าได้คิดนึก- .....................ตื้นลึกยุทธนา
ปราศเล่ห์ทั้งปวง.................มาลวงเจรจา
พลิกพลิ้วชิวหา....................มารยาสาไถย
ศัตรูที่รัก
จงได้ตระหนัก.....................แจ้งประจักษ์จิตใจ
ว่ามวลนักประพันธ์.............หมายมั่นฝันใฝ่
สงบสุขตลอดไป..................อย่าได้รุกราน ๚ะ๛
24 มิถุนายน 2548 11:44 น.
อัลมิตรา
..๏ ฉันมิได้เจ้าชู้ดูให้แน่
เป็นพียงแค่กองไฟที่ไหม้โหม
รอบรรดาแมงเม่าเคล้าประโลม
ก่อนจู่โจมเผาสิ้นชีวินวาย
ฉันมิได้เจ้าชู้โปรดรู้ซะ
เหตุใดล่ะจึงหยามตั้งความหมาย
ว่าเป็นเสือโหยหิวหิ้วผู้ชาย
คนมากมายเสียท่าคารมกลอน
ฉันมิได้เจ้าชู้รับรู้หน่อย
อย่าปากพล่อยค่อนแขวะแนะสั่งสอน
ที่ขุดบ่อล่อปลาพาเว้าวอน
นั่นอักษรบางตัวกลัวอะไร
ฉันมิได้เจ้าชู้คนดูจ๋า
หากผ่านมาเกี่ยวข้องต้องหวั่นไหว
อาจตกหลุมหลงรักกับดักใจ
แล้วจะมาโทษใครอย่างไรกัน
ฉันมิได้เจ้าชู้เขารู้ทั่ว
เธออย่ากลัวคำขานคนพาลนั่น
ถ้าหากเธอมีจิตคิดผูกพัน
จะหวาดหวั่นทำไมใจของเรา ๚ะ๛