21 กุมภาพันธ์ 2548 08:09 น.
อัลมิตรา
..๏ แหวกว่ายรายรอบระเริงจน-......... แซงสลับสับสน
ระคนคละสีตระการตา
ครีบหางพลางสะบัดลีลา......................ลุกไล่ไปมา
เหลื่อมล้ำนำหน้าว่องไว
บ้างเคียงคู่ครองล่องไป........................เล้าโลมทันใด
สมใจโลดโผนโจนทะยาน
ดีดตัวผ่านพ้นชลธาร............................สับสนอลหม่าน
จนธารแตกกระเซ็นเป็นฟอง ฯ
..๏ ดั่งเล่นกายกรรมช่ำชอง...................เป็นท่วงทำนอง
ลำพองกริยาท่าที
เกาะกลุ่มฝูงออรอรี...............................บ้างปลีกหลีกหนี
หาที่ว่ายแหวกแทรกแซง
ใหญ่กว่าท่วงท่าสำแดง.........................ล่วงล้ำกำแหง
ว่ายพลางพลิกแพลงแข่งขัน
ครีบหางช่างสะบัดอัศจรรย์...................หยั่งเชิงดังประชัน
หมายมั่นว่ายนำกำชัย ฯ
..๏ บ้างว่ายรายเรียงเคียงไป..................เริงละหารธารใส
พลิ้วไหวเวียนวนจนเพลิน
ดำผุดดำว่ายก่ายเกิน..............................งามล้ำจำเริญ
ยามเมิล*ยิ่งชื่นรื่นรมย์
มัศยาช่างสนุกสุขสม............................ควรให้ใคร่ชม
นิยมจึงประจักษ์ลักขณา
ยิ่งคราวโยกย้ายไปมา...........................ฉูดฉาดบาดตา
สีสันโสภางดงาม ฯ
..๏ รื่นเริงเป็นสุขทุกยาม.....................ว่ายชิดติดตาม
บ่งความอิสระเสรี
แหวกว่ายไปมามากมี...........................พร้อมเพรียงดิบดี
บางทีคึกคะนองท่องชล
ลืมความหม่นหมองในกมล.................ไร้ทุกข์คลุกระคน
นำตนปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
เป็นเช่นฝูงปลาระเริงธาร......................แสนสุขทุกกาล
เพื่อทุกข์อันตรธานทันใด ๚ะ๛
19 กุมภาพันธ์ 2548 21:57 น.
อัลมิตรา
โคลงโลกนิติ..
..๏ นาคีมีพิษเพี้ยง..................สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช........................แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส....................แมงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า........................อวดอ้างฤทธี ๚ะ๛
..๏ กำแหงแมงป่อง
..๏ นาคีฤทธิ์พิษเพี้ยง................สุริเยศ
เดชดั่งอหิเชฏฐ์........................เพศพ้อง
เรืองสิทธิ์สถิตเทศ....................เดชเลื่อง
ปานอัสนีย์ก้อง.........................เกริกกล้าเกียรติไกร ฯ
..๏ อายูรยาตรเยื้อง...................เนืองนวย- นาตรเฮย
พิษพ่นสกลตรวย-......................พุ่งฟ้า
ผลาญเผาผ่าวแผดพวย...............เดชเดื่อง
เสงี่ยมขดขนดล้า......................ท่าถ้วงลวงฤๅ ฯ
..๏ กำแหงแมงป่องแกล้ว...........อุกฤษฏ์
กายนิดฤทธิ์สถิต.......................พิษน้อย
สำแดงแข่งแรงฤทธิ์...................อิสรีย์ มีเฮย
เหล็กพิษสะกิตคล้อย..................ค่อยท้าบารมี ฯ
..๏ ปวดแปลบแสบเสียดซ้อน......เสียวทรวง
พิษผ่านมรณานต์ดวง-................จิตร้าว
เพียงพิษปลิดชีพลวง..................หลอกล่อ
หาดับกับเหล็กกร้าว...................ป่องห้าวเหิมหาญ ๚ะ๛
18 กุมภาพันธ์ 2548 08:36 น.
อัลมิตรา
..๏ แว่วเสียงเพลงยอกใจให้คิดถึง
กาลครั้งหนึ่งนานยิ่งมีลิงสาว
คอยหลอกเสือหลบเล่นเป็นเรื่องราว
ฝากดวงดาวเล่าขานไว้นานมา
เสียงบทเพลงไพเราะเสนาะนัก
แฝงความรักสดใสไร้เดียงสา
ฉายความสุขเป็นภาพอาบนัยน์ตา
ให้สมองแปลมาเป็นหัวใจ
หากบทเพลงแห่งรักมักจบเศร้า
เป็นเรื่องเคล้าน้ำตาน่าร้องไห้
ลิงกับเสือถูกค้างคาวเอาชื่อไป
ปล่อยหัวใจเสือคว้างกลางป่าดง
ลิงเห็นกล้วยถูกใจใช่ไหมหนอ
พอค้างคาวแบ่งรอก็เลยหลง
เสียงเพลงเศร้าของเราต้องจบลง
พร้อมเสียงลิงบอกปลงเถิดเสือไพร ๚ะ๛
17 กุมภาพันธ์ 2548 11:07 น.
อัลมิตรา
..๏ รับรู้จากถ้อยคำที่พร่ำหา
ช่างใจกล้าจริงหนอพ่อจอมขวัญ
จากซมซานบุกเดี่ยวเที่ยวหาอัล
แม้ห่างไกลเพียงนั้นยังฝันรอ
ทั้งที่โดนตอกกลับยับเยินเจ็บ
หลากคำเหน็บหยามไปไม่กลัวหนอ
ยังยิ้มสู้เรื่อยไปหวังได้คลอ
มิเคยท้ออดทนรักดลใจ
ยอมหน้าด้านต่อกรออดอ้อนรัก
เป็นนักรัก-นักรบสยบให้
กระทั่งมอบชีวันจนบรรลัย
ฝ่าฟันภัยด้วยจิตพิศวาทเรา
หลากหนที่แพ้พ่ายในกลศึก
กลับเหิมฮึกสู้ไปไม่คิดเขลา
แม้ถูกตีราคาปัญญาเบา
ด่าโง่เง่าคำก่นยอมทนฟัง
จนถึงวันสุดท้ายให้คำตอบ
ความรักมอบประจักษ์ใจในหนหลัง
จวบสิ้นฟ้าสิ้นดินชีวินพัง
เราคงดั่งมิตรเก่าหยอกเย้ามา
ขอจบกลอนตอบคำย้ำบินเดี่ยว
หากคิดเกี้ยวเพราะใจใคร่เสน่หา
ให้จดจำคำนี้ที่สัญญา
ตราบสิ้นฟ้าสิ้นดินมืสิ้นกัน ๚ะ๛
17 กุมภาพันธ์ 2548 08:25 น.
อัลมิตรา
๑.
..๏ บึงหนองคลองงวดให้.........แตกระแหง
ผงฝุ่นปนดินแดง...................ตลบฟุ้ง
ลมระอุพัดรุนแรง....................ผ่าวผ่าน
ยังจิตพลันหวาดสะดุ้ง.............สิ่งร้ายหมายเยือน ฯ
๒.
..๏ วัวควายรายรอบล้วน.........หิวกระหาย
มวลหมู่สัตว์มากมาย..............อ่อนล้า
หนองบึงซึ่งกลับกลาย............แห้งผาก
ฤๅเทพบนเมืองฟ้า..................สาปให้กรรมหนุน ฯ
๓.
..๏ ชีวิตคนสัตว์ต้อง...............ตรอมตรม
ชวนสลดทุกข์ระทม...............อกไข้
เดินตากแดดตากลม.............แสนหม่น- หมองเฮย
พืชผักต่างเกรียมไหม้.............หมดสิ้นประดาตัว ฯ
๔.
..๏ ชาวนาพาร่างไร้................ความหวัง
เดินผ่านนาปีปรัง..................เหือดแห้ง
หมดเรี่ยวแรงกำลัง................บุกบั่น
ทนทุกข์ถูกฝนแล้ง.................รุกล้ำย่ำยี ฯ
๕.
..๏ เคียวคราดผุกร่อนสิ้น.......ความคม
ไถแอกกองทับถม.................หักสะบั้น
หมวกงอบกรอบโดนลม.........กรรโชก ร่วงแฮ
เรือนซากเถียงนานั้น............ปลวกล้อมรุมทะลวง ฯ
๖.
..๏ ชาวนามาหมดสิ้น.............วิญญาณ แล้วเฮย
ภัยพิบัติหักหาญ.....................พ่ายแพ้
สินทรัพย์ต่างอันตรธาน..........จนหมด
มีแต่ความท้อแท้....................มากหนี้ทวีคูณ ฯ
๗.
..๏ จำนองนาได้จาก.............บรรพชน
ปลุกเรี่ยวแรงดิ้นรน..............ต่อสู้
ความอดอยากยากจน............ตามหลอก- หลอนแฮ
พลัดพรากจากมวลผู้..............อยู่เหย้าเฝ้าเฮือน ฯ
๘.
..๏ หวังตายเอาดาบหน้า.........พเนจร
หมายมุ่งยังมหานคร..............จรัสฟ้า
ทำงานเช่นกรรมกร................บ่เกี่ยง- ใดเฮย
เบาหนักจักทนถ้า..................หากได้เงินทอง ฯ
๙.
..๏ อาบเหงื่อต่างน้ำบ่............โทษชะตา
เนื่องจากบุญวาสนา...............เก่าน้อย
อีกไร้ซึ่งปริญญา.....................มาสมัคร- งานเฮย
มีแต่กำลังข้อย.......................แลกด้วยแรงงาน ฯ
๑๐.
..๏ เก็บหอมรอมริบไว้...........ทำทุน
หวังช่วยเหลือเจือจุน.............ถิ่นเหย้า
กอรปการอย่างหัวหมุน..........สุจริต
คนอยู่เฮือนคงเฝ้า..................ต่างชะเง้อคอยหา ฯ
๑๑.
..๏ รอวันพลิกแผ่นพื้น-...........พสุธา
กลับสู่ไร่ผืนนา.......................รกร้าง
วอนภาครัฐเมตตา...................คนยาก
โปรดช่วยเหลือข้อยบ้าง...........อย่าได้วางเฉย ฯ
๑๒.
..๏ นโยบายฤๅปากพลั้ง............เผลอมา
เคยอวดโอ่วาจา.......................กล่าวไว้
หางานหมดเงินมา................บอกรัฐ
ยามทุกข์ยากเจ็บไข้..................ช่วยได้ทันที ฯ
๑๓.
..๏ มองนาพาจิตช้ำ.................ทบทวี
ความทุกข์ยากมากมี...............บีบคั้น
หาใครช่วยบ่มี.......................ใครยื่น- มือเฮย
คงแต่วัวควายนั้น...................แสยะยิ้มยืนมอง ๚ะ๛