29 กันยายน 2547 15:49 น.
อัลมิตรา
..๏ เห็นเซียนไพ่ใจกล้าน่าเกรงขาม
จึงคิดตามอุบายขยายผล
ครั้นคิดคว่ำหรือหงายคล้ายหลงกล
ฤๅจะพ้นลิขิตฤทธิ์แม่เมือง
แจ๊คข้าวหลามตามติดสนิทเสน่ห์
แหม่มโพธิ์แดงเจ้าเล่ห์เฉไฉเรื่อง
คิงส์โพธิ์ดำหน้าง้ำคอยชำเลือง
ใครปราดเปรื่องคว้าชัยวัดใจกัน
สามกษัตริย์วางลงไพ่ตรงหน้า
สามขอบคว้าอาวุธเร่งรุดขันธ์
สามเก่งกล้าต่างโถมเข้าโรมรัน
สามชีพนั้นเหลือหนึ่งเราพึงตรอง
หากธงชัยที่ได้ในภายหน้า
คงคุณค่าแค่หนึ่งไม่ซึ้งสอง
ต้องโดดเดียวเดียวดายไร้คนปอง
ใครอยากจองตำแหน่งเพื่อแย่งชิง
ฤๅเป็นแจ๊คฉกาจมาดเหี้ยมหาญ
ฤๅนงคราญแหม่มแดงเจ้าแห่งหญิง
ฤๅโพธิ์ดำไพ่เก่าผู้เฒ่าคิงส์
ใครเก่งจริงต้องสู้เพื่อรู้ความ
วางเดิมพันด้วยใจอย่าให้แพ้
ปัญหาแก้ทีละเปลาะดุจเลาะหนาม
ไพ่ในมือถือไว้หลายหลากนาม
เพียงคิดตามก็รู้ได้ใครครองเมือง ๚ะ๛
29 กันยายน 2547 13:52 น.
อัลมิตรา
อัลมิตรา..
..๏ พิษงูฤๅสู้ซึ่ง...................พิษลวง
พิษเล่ห์รุมสุมทรวง.............พิษร้าย
พิษสงสัตว์ทั้งปวง...............พิษอาจ ด้อยแล
พิษเหลี่ยมคนคดคล้าย........พิษเพี้ยงเลวมหันต์ ฯ
..๏ พิษงูฤๅรุนแรง................จักกำแหงเสียดแทงใจ
พิษนี้สิหายไป.......................ยามเมื่อได้การเยียวยา
พิษร้ายอันใดหนอ...............หนักหนาพอคร่าชีวา
พิษพจน์คดวาจา....................ย่อมร้ายกว่าพิษสารพัน ฯ
ม้าลาย..
..๏ พิศรูปจูบกระจกแก้ว.......ล้อมกรอบ
พิศร่างพลางชมชอบ.............ชื่นชู้
พิศใกล้ไป่แลขอบ.................คมเหลี่ยม
พิศวาสบาดหน้ารู้...................รักนี้มีแผล ฯ
..๏ พิศรูปจูบกระจกแก้ว.........แจ่มชัดแจ๋วในแววตา
พิศร่างพลางหันหา.................เห็นน้องนางอยู่ทางไหน
พิศใกล้ไป่แลขอบ..................จุมพิตรอบเลยกรอบไป
พิศวาสบาดหัวใจ....................เหลี่ยมบาดหน้าสาหัสจริง ฯ
29 กันยายน 2547 07:50 น.
อัลมิตรา
..๏ สายลมแผ่วแนวไผ่พลันไหวหวั่น
ลำเคียงกันก่ายเกยเลยเสียดสี
บังเกิดเสียงจากปล้องก้องราตรี
ทำนองมีเสียงเสนาะไพเราะดัง
ใบรีเรียวเพรียวพัดสะบัดกิ่ง
ไม่แน่วนิ่งโยกย้ายส่ายหน้าหลัง
บ้างลู่ลมเรียงรายคล้ายลำพัง
ดุจชวนฟังเพลิดเพลินจำเริญใจ
มีบางปล้องต้องเอียงดังเลี่ยงหลบ
บ้างกระทบเบียดบังยังลำใหญ่
มีเอียดเสียดสอดแทรกแหวกกิ่งใบ
เสียงเปลี่ยนไปหลายหลากหากฟังเพลิน
ครั้นลมแรงแข็งขันพลันลู่ริ้ว
ใบปลิดปลิวลอยล่องต้องห่างเหิน
สีซีดสดหลากใบคล้อยไกลเกิน
ต่างดำเนินแยกย้ายตามสายลม
ยามลมพัดสะบัดกิ่งชิงโดดเด่น
ปล้องพลอยเอนเอียงบ้างช่างเหมาะสม
กอกวัดไกวกิ่งแกว่งตามแรงลม
ช่างน่าชมยิ่งนักประจักษ์ตา
ครั้นลมนิ่งอิงกันไม่หวั่นไหว
ปล้องกิ่งใบสงบครันชักหวั่นผวา
หากเมื่อลมพัดผ่านซ่านอุรา
คืนชีวากอไผ่ให้ไหวตาม
การแข็งขืนยืนเด่นเช่นไม้ใหญ่
พายุใดข่มเหงสิ้นเกรงขาม
เพื่อท้าทายแรงลมโหมคุกคาม
ผ่านย่ำยามอาจโค่นลำต้นตาย
จงลู่เอนเช่นไผ่อันไหวอ่อน
ลมยอกย้อนผ่อนปรนจนห่างหาย
ประคองตนพ้นผ่านภยันตราย
พายุคลายคงเด่นงามเช่นเคย ๚ะ๛
28 กันยายน 2547 09:52 น.
อัลมิตรา
...สายลมแผ่วพริ้ว..ยังใบไม้หวั่นไหวสั่นคลอน
...ราตรีที่เงียบงันคล้ายถูกทักทายด้วยสายลมแห่งวสันตฤดู
...พลันบังเกิดเสียงกิ่งไม้และใบไม้ลู่ไปตามสายลม
...เรานั่งมองการเคลื่อนไหวและการแปรเปลี่ยนแห่งสายลม
...ท่ามกลางรัตติกาลที่เงียบเหงา
...หลายต่อหลายคืนที่ผ่านมา
...สายตาที่ทอดผ่านระเบียงไปยังจันทร์ที่อยู่เบื้องหน้า
...จากเสี้ยวจันทร์ ค่อยๆขยายวงจนสุกปลั่ง
...โคมทองถูกชักขึ้นบนฟากฟ้าแล้ว
...แต่ไฉน บุรุษผู้เป็นเจ้าของหัวใจเรา มิมาเยือน
...และในขณะที่ทอดสายตาทัศนาไปในความมืดมนอนธการ
...พลันบังเกิด เสียงแว่ว..แทรกผ่านมากระทบโสตประสาท
... ..อัลมิตรา อัลมิตรา อัลมิตราครับ....
...ไฉนเล่า เสียงนี้มาจากที่ใด
...ดึกป่านนี้แล้วยังมีคนพร่ำเพรียกหาเราผู้เดียวดายอยู่อีกฤๅ
...จริงสิ !
...คงเป็นอุปาทานของเราเอง
...เรายังมีข้อข้องใจอันทำให้เกิดความหวั่นไหว
...และค้างคาใจอยู่บ้างบางประการ
...ข้อขัดข้องใดในก้นบึ้งแห่งห้วงมโนภาพอันว่างเปล่า
...ใช่ ! เราเป็นเช่นนั้น
...บุรุษผู้หนึ่ง ผู้เป็นที่รักยิ่งแห่งเรา ...
...ฝากถ้อยความลอยลมมาจากถิ่นไกล เพื่อเรา
...เรายังคงเก็บปริศนาแห่งดวงจิต
...ท่ามกลางความมืดมนแห่งรัตติกาลนั้นอยู่
...ยามรัตติกาลดูช่างยาวนานนักสำหรับผู้ยังมีสติแจ่มใสเช่นเรา
...แต่บุรุษผู้นั้น
...อาจจะเพียงฝากคำลอยลมมา
...และตอนนี้..เข้าสู่นิทรารมณ์ไปเสียแล้ว
...บทกวีบาทแรกยังไม่ได้เริ่มต้น
...ฤๅเราไม่อาจประพันธ์คำขึ้นต้นนั้นได้
...ภาษาวรรณกรรมและฉันทลักษณ์มากมาย
...ที่บังเกิดขึ้นในมโนธรรมความสำนึก
...เราสมควรเขียนบทกวีประเภทใด
...เราใคร่ถาม ถามบุรุษผู้ที่เป็นแรงบันดาลใจให้เสมอมา
...แต่ ..เราอาจถามถึงผู้ใด...ได้
...ใช่.. มิอาจถามถึงได้
...นั่นเนื่องจากบุรุษผู้นั้น อยู่ไกลเหลือเกิน
...เกินกว่าที่เราจะฝากคำไปหา
...หรือ..
...อาจมี
...ผู้อื่นหลับใหลในอ้อมอกของบุรุษผู้เป็นที่รักยิ่งของเราแล้ว
...ฤๅเป็นเช่นนั้นจริง
...ใช่..อาจจริงดังนั้น
...สายลมแผ่วเบายิ่ง
...แต่ยังความหนาวเหน็บได้อย่างน่าประหลาดใจ
...บาทแรก.. อักษรแรกแห่งบทกวียังไม่เริ่มขึ้น
...เรายังมีสติแจ่มใสอยู่หรือไม่ ..
...ใช่..เรายังคงมีสติแจ่มใส
...แต่คลองแห่งจักษุทั้งสองพลันพร่ามัวแล้ว
...ดังนั้น ..เราควรนิทราหรือ ..
...ยังมีข้อขัดแย้งกันเอง ในก้นบึ้งแห่งจิตใจ
...เราเริ่มง่วงแล้วจริง ๆ
...เทพเจ้าแห่งนิทรานันทกาลพลันมาทักทาย
..๏ ณ รัตติกาลหนาว.......................อุระราวระด่าวตาม
สะท้านประหวั่นยาม-......................ตมะขามระกำทรวง
ศศีฉวีเพริศ......................................วรเลิศประเจิดดวง
ทหัยชม้ายปวง.................................สิริห้วงมหรรณพ์หาว ๚ะ๛
24 กันยายน 2547 13:31 น.
อัลมิตรา
..๏ บนบรรทัดสุดท้ายนิยายรัก
ฉันอกหักอีกหนดั่งคนเขลา
มีแต่ตัวกับหัวใจใครจะเอา
รับบทเก่าซ้ำซ้ำ...ช้ำจนชิน
ขอยอมรับสภาพตนคนพ่ายแพ้
แม้นย่ำแย่ความหวังพังหมดสิ้น
ต้องคอยห้ามน้ำตาอย่าไหลริน
ทำใจหินทั้งที่ท้อทรมาน
ชีวิตคล้ายตายซากจมขวากหนาม
ยากเอ่ยความทุกข์ให้ใครสงสาร
ทุกวี่วันกลั้นสะอื้นกลืนร้าวราน
แม้นเนิ่นนานเพียงใดจำใจทน
หวังฝนซาฟ้าใหม่ในวันพรุ่ง
จะถักรุ้งทอรักอีกสักหน
สานจากใจใสกระจ่างใครบางคน
ฉุดฉันพ้นห้วงทุกข์พบสุขแทน ๚ะ๛