20 มิถุนายน 2546 21:58 น.
อัลมิตรา
One shade the more, one ray the less,
Had half impaired the nameless grace
Which waves in every raven tress,
Or softly lightens oer her face;
Where thoughts serenely sweet express
How pure, how dear their dwelling-place
...อรชรแม่อ้อนแอ้น.......................นกนางแอ่นยังอายงาม
เลื่อมรับกับแสงวาม-.......................วับข่มข้ามอาภรณ์พรรณ
เปรียบปีกประกายเกิน....................คราวดำเนินเพลินจำนรร
พร่างแพร้วแน่วเฉิดฉันท์.................เกษมสันต์ครั้นเมียงมอง ฯ
...คราวที่ราศีหาย...........................สองเนตรฉายประกายกรอง
พลันแจ้งกลบกลืนผอง....................ที่ลางรองให้เรื่อเรือง
ฉัพพรรณรังสี...............................ยอนวลที่งดงามเนือง
นุชน้องต้องชำเลือง........................ดุจฝันเฟื่องใฝ่เคียงครัน ฯ
...เลื่อมพรายหมายครองที่...............โปรดปราณีนะมิ่งขวัญ
พริ้มพักตร์เพี้ยงเพ็ญจันทร์..............วิลาวัลย์แม่กัลยา
งามนี้เปรียบกาพย์เปรย...................แล้วลงเอยเผยพจนา
เสกสรรค์วรรณกรรมว่า....................เทพธิดาฤๅเทียบเทียม ฯ
20 มิถุนายน 2546 21:48 น.
อัลมิตรา
She walks in beauty, like the night
of couldless climes and starry skies;
And all thats best of dark and bright
Meet in her aspect and her eyes:
Thus mellowd to that tender light
Which heaven to gaudy day denies.
...เรียมเลิศล้ำเฉิดโฉม......................งามดุจโสมล่วงดวงดาว
ระยับพร่างวับวาว.............................สุกสกาว ณ นภา
ไร้หมองช่างผ่องแผ้ว........................มลทินแคล้วปราศเมฆา-
บดบังบิดเบือนรา-............................ศรีสง่าฉวีวรรณ ฯ
.....งามเนื้ออันเรื่อแล้.........................อาภรณ์แม่แลรังสรรค์
สีด้ำล้ำเลอพลัน.................................ผิวนวลนั้นสะอ้านองค์
เข้มคมสมเนื้อสาว..............................สคราญราวน่าเริงหลง
นัยนาแม่นวลอนงค์...........................เรื่อเรืองตรงแพรผืนดำ ฯ
.....เพี้ยงราตรีวันเพ็ญ.......................ยังจิตเห็นดุจครอบงำ
คำนึงตรึงตราย้ำ..............................ให้เพ้อพร่ำพิร่ำปอง
โอ้งามเกินความเปรียบ......................หาใครเทียบนวลละออง
ปราศสิ่งอันหมางหมอง......................พิสุทธิ์ผองล้ำโลกสาม ฯ
20 มิถุนายน 2546 11:29 น.
อัลมิตรา
...เฝ้ามองหาจันทร์งามอย่างยามก่อน
เจ้าหลบซ่อนอยู่ไหนไยไม่เห็น
คร่ำครวญหาอุราร้าวเศร้าลำเค็ญ
หรือคงเป็นเพราะฉันนั้นเปรียบดิน
...เพียงใคร่ยลโฉมจันทร์ยังฝันสลาย
ช่างน่าอายหลงละเมอเพ้อถวิล
ศศิเพ็ญเด่นนภาครายลยิน
ทั้งห้วงจินต์หม่นเศร้าใต้เงาจันทร์
...เฝ้าตั้งจิตอธิษฐานขอพานพบ
ก่อนดินกลบพบจันทร์งามตามที่ฝัน
จะโอบกอดพรอดพร่ำคำรำพัน
เคียงคู่กันตราบฟ้าสิ้นผืนดินจร
...จะมีไหมวันนั้นฉันอยากรู้
ที่จะอยู่เคียงกายสายสมร
แหงนมองฟ้าทุกคราวใจร้าวรอน
ต้องแอบซ่อนสะอื้นอีกคืนแล้ว..
19 มิถุนายน 2546 22:21 น.
อัลมิตรา
ให้เส้นแสงสีเงาเป็นเค้าร่าง
ผ้าใบกางเริ่มเขียนเปลี่ยนเส้นสี
จากพู่กันเพียงหนึ่งซึ่งสุนทรีย์
จิตเพ่งที่มโนภาพเริ่มจับวาง
ไร้จุดหมายเพียรหมั่นพลันเขียนขีด
เปี่ยมปราณีตแน่แน่วแล้วอิงอย่าง
จักบรรยายรูปลักษณ์นักปราชญ์พลาง
ฉันจึงอ้างด้วยเส้นเป็นแสงเงา
สุนทรภู่ครูกวีที่อ้างบท
จิตกำหนดเค้ารูปสรุปเข้า
ว่านักปราชญ์คงเห็นเช่นแสงเทา
มีมืดเค้าดูขลังดังเวทย์มนต์
สุขุมนักยากเขียนเลียนเส้นสี
ซึ่งสุธีเลิศล้ำคำกล่าวกร่น
เขียนแล้วลงเส้นวาดพิลาสดล
แจ่มกมลรื่นคำร่ำจำเรียง
ทัศนศิลปะสะคราญนัก
ให้ประจักษ์ลวดลายหมายงามเยี่ยง
ภูมิทัศน์จัดวางอย่างพอเพียง
ดุจสำเนียงโคลงกลอนตอนประพันธ์
ดูพริ้วไหวกลอนแว่วแนวหวานว่า
เปรียบภาษากวีพจน์รจน์คำฉันท์
สละสลวยร่ายเรียงเยี่ยงพระจันทร์
ซึ่งรังสรรค์ด้วยสีที่เพริศแพรว
ลงสีแดงดุดันบรรยายภาพ
ดุจโคลงกาพย์บางบทรจน์ร้อยแก้ว
ถึงคราวรบเขียนรักมักคงแนว
ก็กาจแกล้วเก่งกล้าสง่างาม
สีน้ำมันพลันป้ายระบายริ้ว
ด้วยแนวนิ้วจิตเพ่งน่าเกรงขาม
ท่านร่ายคำเขียนโคลงบ่งเนื้อความ
น่าติดตามเนื้อเรื่องอันเฟื่องฟู
มิเลอะเทอะเปรอะเปื้อนบิดเบือนภาพ
ยังซึมซาบโศลกซึ้งตรึงใจอยู่
ดุจผลงานวรรณกรรมย้ำวิญญู
ว่าท่านภู่เพรียบพร้อมเพื่อน้อมชม
อันงานเขียนโคลงกานท์ผ่านสมัย
ยังจับใจแจ่มแจ้งสำแดงสม
แม้นภาพเขียนเปลี่ยนกาลพลันหมองตรม
แต่คารมท่านครูมิรู้ตาย ฯ
18 มิถุนายน 2546 23:15 น.
อัลมิตรา
.....ขอไหว้ครูก่อนขึ้นยืนสังเวียน
แล้วรำเทียนตั้งถวายหมายตั้งท่า
ขึ้นบังคมแขนตั้งง้างขามา
พรหมสี่หน้าต้นตำรับนับเพรงกาล
.....แทนเคารพบูชากวีเอก
ผู้สรรเสกวรรณกรรมย้ำสื่อสาส์น
แล้วตั้งหน้าพรหมนั่งดั่งกราบกราน
ช่วงชำนาญแคล่วคล่องชั้นว่องไว
.....มือมีนวมสวมใส่หมายรำแล้ว
พอเป็นแนวแบบอย่างพลางยักไหล่
เข่ากระแทกผืนผ้า ณ ทันใด
อย่าตกใจนี่คือบทประณตครู
.....ไหว้ครูเหมือนมุ่งหมายได้ร่ายรจน์
ไร้เกณฑ์กฏฉันทลักษณ์ประจักษ์อยู่
หยัดยืนพลันเปลี่ยนท่วงลวงศัตรู
พรหมยืนอยู่จังก้าท่าคะนอง
.....ประทักษิณเวียนขวาท่ามาดมั่น
แขนแข็งขันสลับวางอย่างลองของ
ดุจบทกลอนกลั่นคำย้ำลำพอง
ขรมครรลองแฝงธรรมย้ำตรองดู
....ขาซ้ายไขว้แกว่งขวามาเดินรอบ
เดินจนหอบแล้วหนอลมออกหู
หนุมานแหวกฟองน้ำทำอย่างครู
ให้หมายรู้มวยไทยใช่ธรรมดา
.....แอ่อี๊แอ่...แลขวาเหลือบมาซ้าย
หลากลวดลายหวังร้อยถ้อยคำว่า
มือสวมนวมแน่วแน่แท้กริยา
ทุกท่วงท่ารุกถอยพลอยเพลิดเพลิน
.....เปรียบบทโคลงขรมความยามรังสรรค์
เหมือนทศกัณฐ์ชมสวนชวนกล่าวเกริ่น
แต่งภาษาลีลาคราดำเนิน
ดุจมวยเดินแสนสง่าด้วยท่าทาง
.....โยงพยางค์จำเพาะช่างเหมาะเหม็ง
สิบพักตร์เล็งสีดาท่าแบบอย่าง
มวยดุดันราพณ์เดินดงหลงนวลนาง
ดุจแนวทางบทโคลงที่โยงคำ
.....ท่านร่ายกาพย์ดุจปี่ที่เร่งเร้า
ตะโพนเล่าตีผันชั้นกระหน่ำ
ป๊ะตุ๊มป๊ะ...แป๊ะโป๊ะ..โอ้คำนำ
เปรียบกาพย์ย้ำย้อนยอกออกสำนวน
.....บัดเดี๋ยวดังหง่างเหง่งวังเวงแว่ว
ยกหนึ่งแล้วตั้งข้อรอเตะสวน
โยกตีเข่าเขย่าศอกออกดุจทวน
โน้มกระบวรแทงเข่าเข้ากลางพุง
....เปรียบบทกลอนของท่านนั้นจับจิต
ถ้อยเพียงนิดท่วงน้อยพลอยสะดุ้ง
อ่านแล้วคิดอาจย้ำธรรมผดุง
ดุจเข่ามุ่งแทงขวาอุราครวญ
.....ค๊อกเค่อได..ไขว้หางอย่างหนักหน่วง
อาจฟุบล่วงตาลายคล้ายลมหวน
หักงวงไอยราพรตโอดคร่ำครวญ
ดั่งเจอทวนกวนอูดูแสยงใจ
.....เถรกวาดลานกานท์กลอนย้อนเปรียบว่า
สอยดาราเข้าคางประดังใส่
ดุจกลอนรบสยบศึกคึกเกียงไกร
ม้าย่องใกล้...กุบกับ...ขนาบคอ
.....ท่านร่ายฉันท์ไพเราะเสนาะนัก
ดุจทึกทักท่าทีมีลวงล่อ
เดินฉุยฉายนวยนาดมาดเกินพอ
หากหัวร่อเมื่อไรต้องวายปราณ
.....จะประเคนกำปั้นสะท้านอก
สั่นสะทกตาค้างยังสงสาร
คล้ายบทฉันท์วรรณกรรมล้ำชำนาญ
เพราะพริ้งหวานเกินร่ายคล้ายต่อยมวย
.....อันมวยไทยมาดฉกาจอาจกำแหง
ล้วนสำแดงเก่งกล้าท่าสุดสวย
อีกพลิกแพลงซ่อนเร้นเช่นอำนวย
เพราะว่ามวยโบราณนั้นเกริกเกียรติ์
.....หากเทียบถ้อยแนวทางอย่างท่านภู่
พินิจดูแบบอย่างดังท่านเขียน
โอ้เกินเปรียบใดอ้างอย่างจำเนียร
นบนอบเธียรด้วยนวมที่สวมมือ ฯ