2 กุมภาพันธ์ 2547 21:57 น.
อัลมิตรา
..๏ ความโดดเดี่ยวเดียวดายใต้โลกกว้าง
ยากอำพรางความโศกวิโยคได้
หนึ่งชีวิตครวญคร่ำพร่ำเสียใจ
ว่าทำไม..มิเหมือนที่เพื่อนมี
ฉันไร้พ่อขาดแม่ตั้งแต่เกิด
ถือกำเนิดแหล่งใดไม่รู้ที่
จะถามหาเทพไท้ที่ไหนดี
ตอบฉันที..ตอบหน่อย..ฉันน้อยใจ
เห็นคนอื่นมีทั้งพ่อและแม่
คอยเผื่อแผ่โอบอุ้มคุ้มครองได้
จะทุกข์ร้อนเย็นหนาวมิร้าวใจ
เทียบกับฉันแล้วไซร้..ไม่เหมือนกัน
ยามค่ำคืนยืนมองผองเพื่อนสุข
แต่ฉันทุกข์มากมายกายหนาวสั่น
เพียงแค่ผ้าห่อหุ้มมิคุ้มกัน
หรือปิดกั้นร้อน-เย็นที่เข่นทรวง
เห็นเพื่อนเรียก..พ่อจ๊ะ..แม่คะขา
กลั้นน้ำตาช้ำตรมระทมร่วง
สะอื้นเศร้าปวดร้าวทั้งแดดวง
อยากจะทวงคำนั้น...ฉันขอเปรย
ให้ฉันเกิดทำไมในโลกนี้
แล้วไม่มีอ้อมกอดพรอดเฉลย
ปล่อยทิ้งร้างตามทางอย่างละเลย
ใครต่างเย้ย..กำพร้ามาขอทาน
ครั้นยามหิวลิ่วค้นตามซอกถัง
เพื่อประทังชีวาหาอาหาร
แม้นมีบ้างบางครามาเจือจาน
มอบเศษทานอิ่มมื้อยื้อชีพตน
จะกี่วันกี่คืนที่ขื่นขม
จะระทมอีกเท่าใดใจสับสน
เด็กกำพร้าอย่างฉันนั้นก็คน
แต่ไยผลจึงแปลกผิดแผกมา
อยากจะมีเพียงหนึ่งซึ่งคาดหวัง
เป็นพลังก้าวต่อไปในวันหน้า
แม้นชีวิตลิขิตไว้ไร้ราคา
ขาดบิดรมารดา..มาอุ้มชู
ขอเป็นแรงพลังใจให้เด็กน้อย
ที่ยังด้อยเยาว์จิตคิดต่อสู้
อย่าท้อแท้แม้ใครไม่เหลียวดู
จงรับรู้..ฉันกำพร้ามาคุ้มกัน ๚ะ๛
31 มกราคม 2547 20:28 น.
อัลมิตรา
ดอกแก้ว..
..๏ เห็นฟ้ามืดหม่นไปไร้จันทรา
ร้องถามฟ้าไยบุหลันพลันสิ้นแสง
ถามดวงดาวไยเลี่ยงหลบโรยแรง
ครวญหาแสงจากฟ้าครามืดมน
หรือเพ็ญภาสเหนื่อยล้าเพราะคลาไคล
สัญจรไปในนภาเวหาหน
พลันหมดสิ้นพลังใจในบัดดล
ดุจดั่งคนทดท้อต่อชะตา
หากเหนื่อยนักพักก่อนอย่าถอนตน
ยังมีคนเฝ้าแลชะแง้หา
เมื่อใดที่เรี่ยวแรงกลับคืนมา
คงได้พบจันทราที่ฟ้าเดิม
ทางอีกไกลใจคนเหงายังเฝ้าฟ้า
หวังศศิประภามาสร้างเสริม
หมายศรัทธาส่องแสงเพื่อแต่งเติม
ให้ฮึกเหิมยืนหยัดไม่พลัดทาง
อาจไม่สมอารมณ์หมายในบางครั้ง
อุปสรรคอาจยังเข้าขัดขวาง
ใจของจันทร์จึงหวั่นและเลือนลาง
ทิ้งไปบ้างความเจ็บช้ำอย่าจำเลย
จันทร์จงลอยล่องโพยมเป็นโคมฟ้า
ส่องแสงสู่ผู้กล้าอย่าเพิกเฉย
แม้นโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างที่เคย
แต่คุณค่าเกินเอ่ยในราตรี
อัลมิตรา..
..๏ เป็นจันทร์ผ่องส่องสกาว ณ เวหน
ราตรีดลจิตระรื่นชื่นใจหวาม
ร่ายทำนองเรียงถ้อยร้อยบทความ
ที่งดงามยังสกลนิพนธ์ใจ
สถิตเพียงโดดเดี่ยว ณ นภา
มวลดารารายล้อมหมายกล่อมใกล้
ระยิบระยับวับวามงามวิไล
คลุมฟ้าให้จุนเจือเอื้อแสงพลาง
หากนานวันจันทร์เสี้ยวดุจเลี้ยวลับ
เคยประดับยามราตรีฤๅมีหมาง
มิสาดแสงประกายทองส่องหนทาง
ฟ้าอ้างว้างเดือนดับเหมือนลับตา
ฤๅเหนื่อยอ่อนรอนแรมไปหนไหน
จึงพักใจพักอกก่อนวกหา
กลับมาเยือนงามเด่นเพ็ญนภา
สาดแสงท้าเช่นเคยดั่งเปรยปอง
รัตติกาลหมุนเวียนเปลี่ยนแปรผัน
ประหนึ่งจันทร์กรายร่างทางสนอง
มีขึ้น-แรม แซมสลับประทับปอง
ตามครรลองธรรมชาติที่วาดแล
จันทร์ดวงนี้มาบ้างที่โดดเดี่ยว
หรุบแสงเสี้ยวบางคืนหมื่นกระแส
หากมิเคยลาลับดับดวงแด
ยังเผื่อแผ่อุ่นไอให้หมู่ชน
จะขอเป็นจันทร์งามยามราตรี
สถิตที่กลางนภาเวหาหน
ระยิบระยับวับวามตามใจตน
ลิขิตกานท์จารสกลนิพนธ์ความ๚ะ๛
30 มกราคม 2547 13:33 น.
อัลมิตรา
หลากเรื่องราวคละเคล้าในชีวิต
เทพลิขิตกำหนดตัวบทเกริ่น
ผ่านความทุกข์รุกเร้าเศร้าเผชิญ
บางครั้งเพลินสนานสนุกแสนสุขใจ
มองรอบกายมากมายคนรุมล้อม
มาขับกล่อมปรุงแต่งแสร้งเสริมใส่
แล้วดำเนินตามทางอย่างเป็นไป
บทบาทให้เฉกมนุษย์พิสุทธิ์ชน
ความเป็นจริง..โดดเดี่ยวเปลี่ยวใจคว้าง
ท่ามโลกกว้างวุ่นวายคล้ายสับสน
ไร้คำตอบความเป็นมาค่าแห่งตน
ที่ปะปนสังคมโสมมเมือง
จึงเร่ร่อนจรไกลหลายทิศถิ่น
ได้ยลยินมากมายหลากหลายเรื่อง
ล้านความรักหมื่นความแค้นแม้นคิดเคือง
ก็ประเทืองความรู้ให้ดูตรอง
เรื่องมากความ ความจากคน ปนเปทั่ว
ก็เกลือกกลั้วผสมผสานการณ์ทั้งผอง
ทั้งเปรื่องปราชญ์มาตรปัญญาว่าเนืองนอง
หรือร่ำร้องโง่เขลาเต่าตุ่นเปรย
ฤๅโลกหล้าเทวาขีดเขียนไว้
กำหนดให้เล่นตามบทความเผย
ยากเหลือเกินที่จะคิดละเลย
ทำเฉยเมยขัดขืนฝืนชะตา
ให้ลี้ลับซับซ้อนซ่อนปมเขื่อง
หลากรสเรื่องผจญหนทางข้าฯ
ที่ประสบพบเห็นเช่นเคยมา
แสนปวดปร่าหทัยไห้อาดูร
จึงโดดเดี่ยวเดียวดายความหมายนี้
อยากหลบลี้บิดเบือนเสมือนสูญ
ให้ละลายกลายธาตุอากาศมูล
มิเพิ่มพูนพบเห็นเช่นดั่งใคร
30 มกราคม 2547 08:53 น.
อัลมิตรา
๏ หงษ์แดงแรงร่อนฟ้า...............โฉบเฉี่ยวมาฝ่าแรงลม
ลืมทุกข์แสนสุขสม.....................เพลิดเพลินชมรื่นรมย์ใจ ๚
๏ หงษ์แดงแรงร่อนฟ้า...............งามสม
โฉบเฉี่ยวฝ่าแรงลม...................สง่าแท้
แสนสุขปราศทุกข์ตรม...............สบายปีก- บินแฮ
คงเพลิดเพลินยิ่งแล้.................. เพรียกฟ้าผ่าฝน ฯ ๚
๏ โรคหวัดอาจเล่นงาน...............หงษ์ห้าวหาญพลันร่วงไป ๚
สิ้นฝันอันอำไพ.........................เพราะพิษไข้ ฯ หมายชีพหงษ์ ฯ
๏ โรคหวัด ฯ อาจแพร่เชื้อ.........กระจายไป
หงษ์แกร่งกล้าเพียงใด...............ด่าวดิ้น
เคยมุ่งมั่นบินไกล....................นภากาศ
ดินกลบทบถมสิ้น-....................ชื่อชั้นสกุลหงษ์ ๚ะ๛
28 มกราคม 2547 23:52 น.
อัลมิตรา
ฟ้าใหม่
๏ ...กามเทพผู้ลิขิตชีวิตรัก
ทำไมจักพ้องเราที่เศร้าหมอง
ทุกครั้งพ่ายรักพลั้งไร้ทางครอง
ฤๅพระจ้องคอยแกล้งช่างแล้งบุญ
แรกก็แพ้สองก็พ่ายต่อไปพลาด
น่าอนาถเสน่หามาดับสูญ
ทุกครั้งไปหทัยเหลือเจืออาดูร
ปฎิกูลของเดนรักมากลำเค็ญ
เจ็บร่างกายเป็นแผลพอแก้หาย
แต่ยากคลายใจเจ็บให้ทุกข์เข็ญ
มันเรื้อรังฝังใจแล้วกลายเป็น
รูปรอยเร้นเน่าในใจระบม
มีแต่ความผิดหวังให้หมางจิต
เสียความคิดรู้สึกนึกขื่นขม
เมื่อไหร่หนอพระจะให้เราได้ชม
ได้สุขสมเมื่อมีรักสักครั้งครา
เป็นอย่างนี้ต่อไปต้องตายแน่
แต่ก็แส่ชอบลองต้องเสาะหา
ไม่มีรักไม่สบายในอุรา
ต้องสรรหารักเด็ดเด็ดให้เจ็บใจ
เจ็บกับรักมามากชักชาชิน
รู้สึกสิ้นความเจ็บเก็บรักไหว
พลาดทางรักผิดหวังช่างปะไร
มีรักไว้แม้นผิดหวังก็ยังดี....๚ะ๛
อัลมิตรา
๏ ...ใช่ใครอื่นจะลิขิตชีวิตรัก
อย่าทึกทักกำหนดกฏเกณฑ์เขา
หากยึดมั่นตัวตนหนทางเรา
คงมิเศร้าและโทษโกรธฟ้าดิน
รักครั้งแรกอาจแลกด้วยความเศร้า
จึงปวดร้าวทุกข์ทนจนสูญสิ้น
ไร้พลังแห่งใจให้โบยบิน
เที่ยวถวิลครวญคร่ำชอกช้ำตน
คือพ่ายแพ้เล่ห์รักมาหักอก
แล้วพาลพกโชคชะตาว่าทุกหน
เทียบคนอื่นชื่นเขา..เราอับจน
ดั่งเศษคนด้อยค่าพาเศร้าใจ
แผลแห่งรักสลักตรึงถึงดวงจิต
ยากพิชิตสลัดสลดปลดออกได้
จึงพกความผิดหวังฝังจิตใจ
นานเท่าใดมิกลบลบเลือนความ
แม้นว่ากาลนานเนิ่นอยากเพลินรัก
คนอกหักอาจระแวงคิดแย้งถาม
จะรู้ค่าได้อย่างไรในนิยาม
ว่างดงามหรือล่มจมอย่างเคย
ด้วยขอตอบจากใจไม่แอบแฝง
หากแสดงความนัยให้เปิดเผย
คิด..ดื้อรัก..ภักดิ์หญิงมิ่งทรามเชย
ออกปากเปรยเถิดหนออย่าท้อใจ...๚ะ๛