3 เมษายน 2550 22:11 น.
อัลมิตรา
๏ เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
เมื่อก่อนเคยเริงอุราคราสุขสันต์
คราวคิดเขียนสิ่งใดในสารพัน
ก็เสกสรรตามปรารถนาจินดามี
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
เหมือนลงเอยความวิบัติสุดบัดสี
จินตนาการพรั่งพรูรู้ชั่ว-ดี
กับการที่ไม่ปรากฏในบทกลอน
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
ไยละเลยถมถั่งการสั่งสอน
ปล่อยสำนึกให้เลื่อนไหลในสาคร
โดยมิย้อนกลับคืนเพื่อฟื้นใจ
เหตุไฉนเป็นเยี่ยงนี้กวีเอ๋ย ?
ทั้งที่ถูกเยาะเย้ยยังเฉยได้
วิญญาณกวี ! แท้แท้หรือแค่ใด ?
คำตอบเชิญวางไว้เราใคร่ยล ๚ะ๛
31 มีนาคม 2550 16:29 น.
อัลมิตรา
๏ กับคำถามที่ใจเคยไต่ถาม
กลายเป็นความเร้นลับและสับสน
ใจของฉันกับใจใครบางคน
ไยต้องหม่นทุกทีที่ห่างกัน
ไม่ทันจะเตรียมใจเอาไว้ก่อน
เผลอมองย้อนกลับไปในความฝัน
ความรู้สึกลึกล้ำก่อสัมพันธ์
ผ่านคืนวันแสนหวานสานเยื่อใย
เป็นความรักที่ใจไม่รู้สึก
แต่ฝังลึกจนฉันนั้นหวั่นไหว
ณ วันนี้ที่เผอิญสายเกินไป
เมื่อต้องไกลเกินกว่ากลับมาเคียง
เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ตอนที่ช้ำ
ต้องกลืนกล้ำรันทดหมดทางเลี่ยง
เห็นสายตาตัดพ้อจนพอเพียง
ยังบ่ายเบี่ยงพยายามหนีความจริง
อยากย้อนวันเวลาถ้าทำได้
เพื่อบอกให้เธอประจักษ์ว่ารักยิ่ง
กลับไปขอหัวใจไว้พักพิง
ไปแอบอิงไออุ่นหนุนตักเธอ ๚ะ๛
29 มีนาคม 2550 12:47 น.
อัลมิตรา
...ดอกไม้กำใหญ่
...ใส่ความจริงใจไว้ในนั้น
...เชือกความรักใยความสัมพันธ์...
...คือสิ่งที่ฉันหมั่นคอยร้อยสิ่งทั้งปวง
...ผูกอย่างถนอมไม่ยอมให้ช้ำ
...แทนถ้อยน้ำคำว่า...ย้ำความห่วง
...แม้นไม่เทียบใจที่อยู่ภายใน...มีหนึ่งดวง
...แต่สิ่งใหญ่หลวง..นั่นคือห่วงใย
...ดอกไม้กำไม่น้อย
...คุณค่าอาจคงด้อย...ราคาคงไม่เท่าไหร่
...อาจไม่ปลื้มจิต..อาจไม่สะกิดหัวใจ
...เพียงหนึ่งผู้มอบให้...หวังได้ยิ้มหวานหวาน นั้นกลับคืนมา
...ดอกไม้ใกล้เหี่ยวแล้ว
...สิ่งที่ยังแน่แน่ว...เพียงแค่อยากบอกว่า
...อย่ามัวยืนมอง...หรือแค่จ้องตา
...โปรดยื่นมือมา...แล้วคว้าดอกไม้..นี้ไปโดยพลัน
28 มีนาคม 2550 17:57 น.
อัลมิตรา
๏ เขาและเธอตรงข้ามในความคิด
สองดวงจิตเคยรักสมัครสมาน
มาถกเถียงเปล่าเปลืองเรื่องวันวาน
ต่างบาดเจ็บร้าวรานหวานมิคืน
ต่างคนต่างน้อยใจในคนรัก
จึงจมปลักความระทม,ความขมขื่น
ต่างคนต่างทระนงตรงจุดยืน
ต่างแข็งขืนบอกปัดขัดแย้งกัน
เรื่องราวของ เธอ-เขา คล้ายเรานี้
คล้ายตรงที่เราทะเลาะเพราะเหตุนั่น
ต่างคนต่างอธิบายนัยสำคัญ
ต่างดื้อรั้น,ไม่อ่อนข้อ,ไม่ง้อใคร
ในที่สุดพวกเราต่างเศร้าหมอง
ฤๅเรียกร้องเหตุผลจากคนไหน ?
รักที่เราปรารถนาเกินกว่าใด
ที่เหลือไว้คือน้ำตามาครอบครอง ๚ะ๛
24 มีนาคม 2550 09:55 น.
อัลมิตรา
๏ เพราะสับสนดวงจิตเหมือนติดขัด
แสนอึดอัดเหนื่อยหน่ายใจหม่นหมอง
ทุกคราวที่ร่ายคำพร่ำทำนอง
กลอนดันพ้องกระทบใครวุ่นวายจริง
ครั้นเขียนเรื่องสังคมโสมมมฉาว
ยามอ่านข่าวบ้านเมืองเรื่องร้อนยิ่ง
ทั้งไฟใต้,ควันเหนือ เบื่ออ้างอิง
คนโดนยิง,เด็กสูญหาย ข่าวรายวัน
ยิ่งเขียนยิ่งอดสูหดหู่จิต
ชักตะหงิดรัฐบาลสมานฉันท์
นโยบายห่วยแตกยิ่งแยกกัน
ไทยทั้งนั้นที่ตายเลือดไหลนอง
ยามกลั่นกลอนรักหวานดุจตาลอ้อย
เขาก็คอยหมั่นเกี้ยวหวังเกี่ยวข้อง
ตูบหยอกไก่กระมังเราหยั่งตรอง
ใช่อยากดองจริงจังจึงยั้งใจ
คราวเขียนปาด/ปรัชญาก็ว้าวุ่น
เพื่อนเคืองขุ่นเรางงงสุดสงสัย
ผิดกาละเทศะ ฤๅ กระไร ?
เหตุไฉนจิตแผลงระแวงเรา
อยากเขียนกลอนรื่นรมย์แต่ขมขื่น
แม้นยามคืนเพ่งจันทร์ไหวหวั่นเหงา
โลกทั้งโลกล้วนหมองมองสีเทา
ธรรมชาติเล่าเคยสวยสดพลันหมดงาม
เหมือนรอยร้าวบนอุราเริ่มปรากฏ
ความรันทดทุกข์ทุรนเพิ่มล้นหลาม
เขียนโน่นนี่ก็อั้นใจบางใครปราม
จนอยากถาม "บทกวี" มีค่าอะไร ?" ๚ะ๛