9 เมษายน 2546 11:49 น.
อัลมิตรา
สายหมอกบางพรางตาฟ้าสลัว
จันทร์มืดมัวดาวก็หม่นคนยิ่งหมอง
กายนั้นหนาวคราวเปียกฝนปนละออง
ใจนั้นต้องแข็งขืนฝืนสู้ทน
คิดนั้นคิดเพียงในใจไม่กล้าเอ่ย
ไม่อาจเผยเพราะหัวใจคล้ายสับสน
ดั่งหมอกมัวในใจคล้ายวกวน
อัสสุชลรินหลั่งพร่างอุรา
เก็บน้ำคำกล้ำกลืนแล้วฝืนยิ้ม
แสร้งเอิบอิ่มเอมพักตร์สุขหนักหนา
แต่ภายในนั้นฝืนกลืนน้ำตา
เสียงร่ำหาครวญใคร่ไม่ให้ยิน
เพียงรอฟังคำหวานอย่างวารก่อน
คำออดอ้อนรำพันนั้นหายสิ้น
ลืมแล้วหรือเสียงบรรเลงแห่งเพลงพิณ
ที่กล่อมดินเห่ดาวแนบเงาจันทร์
9 เมษายน 2546 10:08 น.
อัลมิตรา
กาลเวลาที่ล่วงเปลี่ยนหมุนเวียนผัน
ความผูกพันก็ร้างเลือนบิดเบือนหาย
กลิ่นดอกรักอบอวลล้วนคลอนคลาย
สิ้นสลายกลับเป็นอื่นไม่คืนมา
จากหลายวันหลายคืนสะอื้นไห้
รันทดใจยามเหงาเฝ้ามองหา
ผ้าผืนน้อยค่อยค่อยเช็ดเกล็ดน้ำตา
วันที่ลาจากกันมันเนิ่นนาน
ไม่มีเหลือเยื่อใยแห่งใจสอง
ในอกต้องเพลิงไหม้ถูกไฟผลาญ
ไม่อยากโทษใครหรือคือมือมาร
ที่มาพาลยึดตนคนของเรา
เคยหยอกเย้าเคล้าคลอพนอสุข
เคยช่วยปลุกปลอบขวัญในวันเหงา
เคยคุ้มครองตระกองกอดพรอดรักเรา
เคยเป็นเงาแนบข้างไม่ห่างกัน
คงไปมีสุขล้นกับคนอื่น
ไม่อยากฝืนใจคิดแต่จิตฝัน
ในยามเหงาเป็นบ้างในบางวัน
ความผูกพันที่ห่างหาย...อยากได้คืน
7 เมษายน 2546 21:43 น.
อัลมิตรา
.....ชวนน้องผ่องพรรณ..........สนุกสุขสันต์...........เที่ยววันสงกรานต์
ไปวัดไปวา.................ใบหน้าชื่นบาน...........ทำบุญสุนทาน
สำราญรื่นรมย์
.....รักสุมรุมเร้า.....................ตื่นนอนตอนเช้า.......ใฝ่เฝ้านานนม
สงกรานต์ปีนี้...............ฤดีอภิรมย์.............ชวนน้องงามสม
เที่ยวชมเทศกาล
.....ผัดหน้าทาแป้ง.................น้ำปรุงจรุงแรง........กลิ่นแปลงหอมนาน
หวีผมชมวาว.................อวดสาวตาหวาน......เสื้อใหม่ใส่สะอ้าน
เยาวมาลย์คงมอง
....กางเกงผ้าไหม..................ผ้าขาวม้าใช้.............สวมใส่สร้อยทอง
ห้อยพระขุนแผน.............หน้าแป้นใจผ่อง......หมายชวนนวลละออง
เที่ยวท่องเคียงคลอ
.....ตักบาตรร่วมขัน..............กรวดน้ำร่วมกัน.........หมายมั่นร่วมหอ
ชีพดับลับไกล................คงได้อิงพนอ.........ทุกชาติอาจขอ-
หลวงพ่อดลใจ
.....ฟังเทศน์มหาชาติ............ไพเราะพิลาส............หวังปรารถน์บุญใหญ่
ให้ทานนกปลา................แมวหมาทั่วไป..........ปราศจนเข็ญใจ
บุญให้รุ่งเรือง
.....ปิดทองไหว้พระ.............น้องอย่าเชียวนะ..........ที่จะขุ่นเคือง
บุญทันตาเห็น................เฉกเช่นชาวเมือง-.......สวรรค์งามเฟื่อง
รุ่งเรืองทันใด
.....ไหว้พระขอพร...............ขอให้งามงอน...........ดวงสมรเห็นใจ
จงชื่นชระมื่นสม...........ชิดชมตลอดไป...........เดชะบุญหนุนให้
ยาใจหมายเคียง
......ก่อเจดีย์ทราย..............วิจิตรการกลาย..........แพรวพรายหมายเรียง
เป็นดั่งวัดงาม.............อารามล้ำเพี้ยง............ปราสาทวังเวียง
ร่วมเคียงรังสรรค์
.....ปักธงทิวแถว................เพ่งมองน้องแก้ว.......มิแคล้วหฤหรรษ์
อำนาจเสี่ยงทาย...........ดั่งคล้ายจำนรร...........ปฏิพัทธ์อัศจรรย์
ตราบวันชีพวาย
.....เดินตามลานวัด.............คนแน่นขนัด..............ต่างนัดคู่หมาย
เล่นสาดน้ำเย็น.............ตื่นเต้นใจชาย............ปะแป้งกล้ำกราย
มุ่งหมายแก้มงาม
.....น้ำใสไหลเย็น...............ดุจรักจักเป็น..............ให้เห็นเป็นความ
สดชื่นรื่นนัก...............ตระหนักทุกยาม............ห่วงไยไถ่ถาม
คนงามเพลิดเพลิน
....มะลิที่มี......................ล่องลอยในนที.............ดุจวจีพี่เกริ่น
หอมนักหากดอม........กาพย์หอมจำเริญ...........กล่อมให้คลายเขิน
แล้วเดินชมงาน
.....มือเกาะแขนเกี่ยว.........แม้นเพียงครู่เดียว.........เศษเสี้ยววันวาร
ดุจนิจนิรันดร์............สมานฉันท์นิจจกาล.........ซาบซ่านดวงมาลย์
มิคร้านโอบอิง
...เอ๊ะไครไหนกัน...............ฉีดน้ำพัลวัล................เด็กนั้นไล่ยิง
สายยางดั่งปืน..........หยิบยื่นแย่งชิง..............น้ำแข็งแท้จริง
ยืนนิ่งสะท้านทรวง
...วันนี้ใจสุข....................เทศกาลวันสนุก............ปราศทุกข์คลายห่วง
พรุ่งนี้วันใหม่...........คงได้เดินควง.................มหาสงกรานต์ล่วง
เดินควงอีกคราว
5 เมษายน 2546 10:07 น.
อัลมิตรา
...จากความคุ้นเคย ความผูกพันที่แสนดี อาจยังมีสิ่งหนึ่งในใจ
...ไม่เคยรู้ตัว จนเมื่อเธอจากไปแสนไกล
...ก็เพิ่งเข้าใจ ว่ามันคืออะไร จนวันที่ต้องไกลห่าง
...หวาดกลัวเหลือเกิน เราห่างโดยไม่รู้ใจ
...ก็เริ่มจะเคว้งคว้าง ในสิ่งหนึ่งที่เหมือนหายไปไกล
...เมื่อไหร่จะได้มาพบ
...เธอเองก็รู้ตัวว่าคิดอย่างไรกับฉัน
...และเธอพยายามที่จะข่มอารมณ์ตัวเอง
...แต่จนแล้วจนรอด ยากนัก เธออ่อนแอ อิดออด
...บ่ายเบี่ยงตัวเองตลอดมา
...พยายามเท่าใด ก็เหมือนยิ่งจะพันลึกไปมากเท่านั้น
...ฉันซึ่งได้แต่เฝ้ามองเธอทรมาณใจ ฉันก็เริ่มที่จะรู้สึกว่า
...ฉันเอง..ปวดใจไปด้วย
...และแล้ววันนี้ ฉันก็เพิ่งจะค้นพบสิ่งที่แอบซ่อนอยู่ในใจ
...เช่นกัน ....เธอและฉันคิดอย่างเดียวกัน
...ความปวดใจนี้ได้แต่เฝ้ามอง ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะช่วยอะไรเธอได้
...รวมทั้งหัวใจของฉันเองด้วย
...เพิ่งรู้... เธอคือสิ่งที่หายไป เธอเป็นยิ่งกว่าหัวใจ
...ไม่อาจทนเมื่อไกลกัน
...เพิ่งรู้...เธอคือสิ่งที่หายไป รอคอยเธอด้วยหัวใจ
...โปรดกลับมารับรู้ใจกัน
...เมื่อไหร่จะได้มาพบ อยากเพียงพบเธอ เพื่อบอกเธอให้รับฟัง
...เพียงเพื่อที่จะบอกคำนั้นกับเธอ
...เพิ่งรู้...
...So many words for the broken heart
...It is hard to see in a crimson love
...So hard to breathe walk with me, and maybe ...
***********************************************************
กับคำถามที่ใจเคยไต่ถาม
กลายเป็นความเร้นลับและสับสน
ใจของฉันกับใจใครบางคน
ไยต้องหม่นทุกทีที่ห่างกัน
ไม่ทันจะเตรียมใจเอาไว้ก่อน
เผลอมองย้อนกลับไปในความฝัน
ความรู้สึกลึกล้ำก่อสัมพันธ์
ผ่านคืนวันแสนหวานสานเยื่อใย
เป็นความรักที่ใจไม่รู้สึก
แต่ฝังลึกจนฉันนั้นหวั่นไหว
ณ วันนี้ที่เผอิญสายเกินไป
เมื่อต้องไกลเกินกว่ากลับมาเคียง
เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ตอนที่ช้ำ
ต้องกลืนกล้ำรันทดหมดทางเลี่ยง
เห็นสายตาตัดพ้อจนพอเพียง
ยังบ่ายเบี่ยงพยายามหนีความจริง
อยากย้อนวันเวลาถ้าทำได้
เพื่อบอกให้เธอประจักษ์ว่ารักยิ่ง
กลับไปขอหัวใจไว้พักพิง
ไปแอบอิงไออุ่นหนุนตักเธอ
4 เมษายน 2546 00:25 น.
อัลมิตรา
...ทวยเทพสถิตย์ถ้ำ.................สุรกานต์
โปรดเมตตาเป็นพยาน............เนื่องข้าฯ
เราซึ่งแม่ทัพหาญ....................นามหัส- ดายุนอ
หวังกอบเกียรติเกริกหล้า..........ซึ่งไท้นครินทร์ ๚
...อรินทราชแกล้ว...................เกริกนาม
บังอาจบีฑาหยาม....................พ่อจ้าว
ชิงเศวตฉัตรราม....................ข่มราษฎร์
เกินข่มเคืองใจร้าว..................จี่งร้างแรมเมือง ๚
...ธาราวดิล้ำ............................เลอสวรรค์
องค์ยุวราชกัญญ์......................แน่งน้อย
พลีชีพเผชิญทัณฑ์..................เพียงเพื่อ- เรานอ
โลหิตนาง ฯ หลั่งย้อย..............จากข้อมืองาม ๚
...หิวโหยโดยสติไร้..................สัมปชัญ- ญะนา
คงชีพจากเลือดอัน..................เหือดเนื้อ
หลุดบ่วงมัจจุราชพลัน..............หากแม่ ดับเฮย
เสด็จสู่สวรรค์เยื้อ.....................สถิตย์เบื้องเมืองแมน ๚
...เราอาจยังชีพไว้....................ควรฤๅ
วอนเทพธรณีถือ.....................สัตย์ข้า ฯ
แหวนหนึ่งซึ่งควรครือ*............ดัชนีแม่
นพรัตนคุณหม้า*...................ดุจอ้างภักดิ์เสมอ ๚
...ตราบดินตราบฟ้าล่ม............มลายสูรย์
ปราศภพปราศธรณีบูร............โลกตั้ง
จิตภักดิ์จิตเกื้อกูล....................เสมอมั่น
อุบัติอุทิศรั้ง...........................มาตรใกล้ดวงสมร ๚
...ธำมรงค์จงเพริศแพร้ว...........ผ่านสมัย
ความรักจักอุปไมย..................ดั่งนั้น
ฝากเทพธรณีไผท...................เพ่งทิพย์ - ญาณเทอญ
เราจักคงหมายหมั้น.................หากย้อนปฏิสนธิ์ ๚
...นางใดไป่เทียบด้วย..............ธารา- วดีเฮย
เราจักมั่นสิเหน่หา....................ห่อนร้าง
ทวยเทพทั่วโลกา.......................ฟังสัตย์ เราเทอญ
อุบัติจักปรารถน์อ้าง...................ชื่นด้วยเยาวมาลย์ ๚
...แผกภพผันโลกแล้ว...............จิตหวัง
หวนครอบครองแหวนดัง............ก่อนครั้น
จิตภักดิจักคงยัง-.......................เคียงคู่- แม่นา
แหวนมุ่งสวมดัชนีนั้น...............เพริศแพร้วดังเดิม ๚
...อธิษฐานพานอื่นแม้ .................อรชร
ปราศจิตปฏิพัทธ์วอน.................แนบเนื้อ
พระแพงเพื่อนอัปสร..................ไป่เทียบ อนงค์แม่
จิตมั่นปรารถน์โอบเอื้อ................แต่เจ้าธาราวดี ๚ะ๛