15 มิถุนายน 2550 19:00 น.
ออกญาลับแล
สุนทรภู่ครูกลอนสอนธรรมะ
อักขระภาษาสุดสร้างสรรค์
ร้อยอักษรเป็นกลอนเลิศเพริศลาวัลย์
เป็นสิ่งจรรโลงจิตพินิจนัย
สุภาษิตสอนหญิงท่านลิขิต
แนะชีวิตกุลสตรีทุกสมัย
อัจฉริยะบรมกวีศรีชาติไทย
น้อมดวงใจสดุดีท่านสุนทร
15 มิถุนายน 2550 18:55 น.
ออกญาลับแล
ค่ำคืนกุดั่นเด่น ขณะเห็น ณ ราตรี
ท้องฟ้านภานี้ ก็จะมืดสลัวลง
เย็นเยือกพิรุณพร่าง ณ ระหว่างพนาพง
ชุ่มชื้นวนาดง และก็พรมชโลมเรา
พร่าแสงแถงส่อง ก็เพราะต้องกะเมฆเทา
แสงเดือนสิส่องเขา พิศเหมือนสุวรรณทา
11 มิถุนายน 2550 13:39 น.
ออกญาลับแล
พายุโหมกระหน่ำซ้ำไม่หยุด
ที่ปลายสุดขอบฟ้าไร้สีสัน
องค์ราหูเคลื่อนคล้อยลงอมจันทร์
ทุกอย่างพลันมืดมิดสนิทลง
อสุนีบาตฟาดสายที่ปลายฟ้า
ทั่วนภาปรากฏแสงพิศวง
เป็นเส้นแสงจากปลายฟ้าอันหยักตรง
ที่ฟาดลงจากเวหาสู่ธานี
ทั้งก็เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง
คือเสียงร้องฟ้าคำรามทั่วรัศมี
คล้ายกับเสียงสรวงสวรรค์ขับดนตรี
ในราตรีบรรเลงเพลงคีตา
เป็นครืนครืนคระครื้นคลั่งอึกทึก
เมื่อหวนนึกทำให้ใจผวา
ยามฟ้าฟาดคล้ายฟ้าผ่าอุรา
ดังตัวข้าแยกจากเจ้าตลอดกาล
3 มิถุนายน 2550 10:25 น.
ออกญาลับแล
แสงอรุณจับขอบฟ้าสีแดงเรื่อ
เหล่าผีเสื้อโบยบินตามกลิ่นดอกไม้
กุหลาบหนูพวงชมพูดูวิลัย
บัวกอใหญ่บานไสวอยู่ในบึง
จำปาจำปีสารภีนางแย้ม
งามชแล่มหอมชื่นใจให้ใฝ่ถึง
พุดซ้อนซ่อนข้อคิดจิตคำนึง
ยืนรำพึงจนถึงสายไม่รู้ตัว
28 พฤษภาคม 2550 19:45 น.
ออกญาลับแล
คืนโสมส่องแสงสางสว่างหล้า
แสงจันทราทอประกายฉายรังสี
หมู่เมฆาโบกหัตถ์สวัสดี
ล้อมคีรีเรี่ยบรรพตดูงดงาม
ดาวระยิบระยับประดับฟ้า
เกลื่อนเวหารายเทเวษทั่วเขตขาม
ถักทอแสงอำไพในฟ้าคราม
ยลในยามราตรีที่เงียบงัน
เงียบสงัดไร้เสียงหรีดเจื้อยแจ้ว
มองทิวแถวแมกไม้ในไพรสันต์
สงบเงียบดังต้องมนต์แสงจันทร์
เมื่อไหร่กันสุริยันต์จะมาเยือน
ทอดถอนจิตคิดถึงเจ้าเหงาเหว่ว้า
เปลี่ยวเอกาเดียวดายใครจะเหมือน
นั่งชมฟ้าชมดาราชมดวงเดือน
ยิ่งตอกเตือนตรึงจิตคิดระทม
ฝากแถงแปลภาษาวาจาพี่
ให้น้องนี้รู้ว่าพี่ขื่นขม
ฝากกุดั่นที่ลอยคว้างให้เจ้าชม
ฝากสายลมไปห่มเจ้าเฝ้าข้างกาย
ฝากหมู่เมฆกระซิบว่าข้าคิดถึง
และอนึ่งความรักไม่เหือดหาย
จะเฝ้ารอรอเจ้าจนวางวาย
แม้นมลายก็จะรอเจ้าหวนมา
ติชมบทกลอนกันด้วยนะครับแล้วคราวหน้าจะปรับปรุงให้ดีกว่านี้ครับ