8 ธันวาคม 2548 05:53 น.

ความคำนึงถึงสายน้ำ

อนาลัย


5 ธันวาคม 2548
	
	ถ้าจะนับวันนี้เป็นวันครบ 44 ปีเต็ม ก็คงจะไม่ผิด เพราะพรุ่งนี้ ก็ถึงวันเกิดของเราแล้ว นั่งเขียนบันทึกริมหนองน้ำเก่า ที่เราเคยชอบมานั่งเล่น ดูนกเป็ดน้ำและดวงตะวัน
	ยังคงมีนกบินเป็นฝูงอยู่เหนือหนองน้ำนี้ แต่ว่าเหลืออยู่ฝูงนิดเดียว  เสียงนกร้องหายไปแล้ว ได้ยินแต่เสียงรถมอเตอร์ไซด์ดังอยู่ทางฝั่งโน้น   กลางบรรยากาศอย่างนี้ก็มีผู้คนอีกหลายกลุ่มมานั่งเล่นดูนกและพระอาทิตย์ตกดิน  ในโลกของความวุ่นวายปัจจุบัน คงมีผู้คนอีกมากที่ต้องการความสงบเงียบเพื่อพักผ่อน..แม้จะเพียงชั่วครู่
	ท้องฟ้าทิศตะวันตกเริ่มเป็นสีส้มอมเหลือง เมฆสีทะมึนขลิบทองก้อนใหญ่ดูลึกลับ  แต่สวยงามอย่างน่าพิศวง  เหนือก้อนเมฆนั้นเป็นวิมานของทวยเทพองค์ใดหนอ หรือเป็นแค่เพียงกลุ่มละอองไอน้ำที่รอคอยเวลากลั่นตัวมาเป็นหยดน้ำในไม่ช้านี้
	มองไปข้างหน้าที่หนองน้ำฝั่งโน้น กำลังมีการก่อกองไฟ  ไอควันสีเทาลอยตัวขึ้นสู่ฟ้าอย่างอ้อยอิ่ง  แค่เพียงชั่วครู่เปลวไฟสีเหลืองอมส้ม ก็โชติช่วงท่ามกลางกลุ่มไอควันสีเทานั้น  กองไฟดูสวยงามอย่างน่าประหลาดใจ  เราไม่เคยมองเห็นได้อย่างนี้มาก่อน  
	พระอาทิตย์ดวงกลมโตใกล้จะลับขอบฟ้าแล้ว 
	ลมหนาวโชยมาปะทะใบหน้า....	หนองน้ำฝั่งที่เรานั่งนี้คงไม่อบอุ่นและสวยงามเท่ากับฝั่งโน้นหรอกนะ เสียงหัวเราะประสานกันดังแว่วมา  ท่ามกลางความจริงใจของผองเพื่อน จะมีความสุขสำราญใดเล่ามาเปรียบเปรยกันได้
	กลางหนองน้ำมีนกเป็ดน้ำ 2 ตัว ลอยคออยู่ ก่อนโน้นมีผักตบชวากอใหญ่และหมู่นกเป็ดน้ำมากมาย 	แต่วันนี้มองเห็นเพียงน้ำใสๆ  กอผักตบชวาหายไป นกเป็ดน้ำก็เลยหายไปด้วย ....
	คิดถึงเธอนะ...เพื่อนของฉัน กับยามเย็นอย่างนี้ เธอคงอยู่กับครอบครัวที่อบอุ่น ฉันได้แต่หวังให้เธอมีรอยยิ้มที่แจ่มใส  และมีความสุขที่เบิกบาน
	ได้แต่บอกความห่วงใยไปกับสายน้ำ  ละอองน้ำที่กำลังระเหยล่องลอยไป  บอกความรู้สึกไปกับสายลม  บ้านของเราอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่ ไม่เกินค่ำคืนนี้ เธอก็คงรับรู้ได้
	แสงสว่างของพระอาทิตย์ใกล้จะหายไปแล้ว กลิ่นกองไฟลอยตัวมาถึงฉัน เหมือนอยากจะบอกว่า คงอีกไม่นานหรอก กลิ่นไอความคิดถึงของฉันก็จะพัดพาไปถึงเธอเช่นกัน
	พื้นผิวน้ำกระเพื่อมพริ้ว สะท้อนแสงสีแดงอมส้มของพระอาทิตย์ที่ลับหายไปแล้ว แมลงกลางคืนเริ่มส่งเสียงร้อง  คงส่งสัญญาณหากันและกัน และฉันก็คงต้องกลับบ้านเสียที
	ฝากความรักและความปารถนาดีไปถึงเธออีกครั้ง  ฉันยังหวังอยู่เสมอนะว่าเราคงจะได้พบกัน   แต่ไม่เคยคิดหรอกว่าจะเป็นเมื่อไหร่   วงเวียนและถนนแห่งชีวิตของเราแตกต่างกันมากมาย  เราต่างมีสิ่งที่จะต้องรับผิดชอบ  เราต่างก็มีคนที่เรารัก ต้องใส่ใจดูแล แค่ความเป็นเพื่อน และความสุขในวัยเด็กที่มีอยู่ในใจ  เป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว 
	แมลงปอจับคู่ล้อเล่นลมเหนือผิวน้ำ  ฉันยืนมองอย่างอัศจรรย์ในใจ  ไม่เคยเห็นลีลาแมลงปอจับคู่บินโฉบเฉี่ยว  เหมือนคู้เต้นรำโยกพลิ้วสวยงามในสนามแข่งขัน    ชีวิตของแมลงปอเช่นพวกเจ้านั้นสั้นนัก   แต่ฉันขอให้ชีวิตของเจ้านั้นมีความสุขอย่างนี้ตลอดไป
	แสงของพระจันทร์เสี้ยว  และดาวประจำเมืองเริ่มดูเรื่อเรืองงามจับตา  ฉันคงต้องจบบันทึกฉบับวันนี้แล้ว 
	ลาก่อนนะหนองน้ำ ดวงดาวและแสงตะวัน  อีกไม่นานพระจันทร์ดวงเสี้ยว และ ดาวประจำเมืองก็คงจะลับหายตามไปด้วย   ขอฝากความปรารถนาดีไปมอบให้เพื่อนของฉันด้วย ขอให้ค่ำคืนนี้เพื่อนทุกคนคงหลับและฝันดี   และถ้ามีเวลาอีกเมื่อไหร่  ฉันก็จะกลับมาที่นี่อีก ความสุขของฉันมีอยู่ที่นี่มากมายจริงๆ 
	ลาก่อนนะแมลงปอเพื่อนใหม่  และหนองน้ำใสที่ดูเหมือนว่ากำลังจะหลับตา  ระลอกคลื่นที่กระเพื่อมไหวกระทบฝั่ง คล้ายจะรับรู้กล่าวคำอำลา  แม้ฉันอาจจะหวังถึงวันที่จะได้พบกับใครๆ  แต่ฉันก็รู้ดีว่า สำหรับหนองน้ำที่นี่แล้ว  อีกไม่นานหรอก  ฉันคงได้กลับมานั่งเล่นและเขียนความรู้สึกอย่างนี้เก็บไว้บอกหัวใจตัวเองตลอดไป


     ในความวุ่นวายของหัวใจ	
กับความอาลัยที่ก่อตัว
เป็นความรู้สึกที่น่ากลัว	
หม่นมัวหมองเศร้าร้าวราย
   บอกเล่าได้เพียงกับสายน้ำ
หวังความขื่นขมจมหาย
บอกเล่าเรื่องราวร้ายร้าย
หวังเรื่องกลายไปเป็นดี
   บอกเล่าไปกับสายลม
เก็บความขื่นขมไว้ในใจนี้
ฝากไปแต่ความหวังดี
ขอให้มีแต่ความชื่นบาน
   ฝากบอกไปกับละอองไอน้ำ
จดจำแต่คำอ่อนหวาน
ความรู้สึกที่สุขสำราญ
ซึมซับผ่านไปให้เธอ
   ฝากบอกไปกับดาวและเดือน
ย้ำเตือนว่าห่วงเสมอ
แม้ไม่มีวันได้พบเจอ
ดาวและเดือนเป็นเพื่อนเธอทุกดวง
				
2 พฤศจิกายน 2548 00:32 น.

หลงทาง

อนาลัย


   ถนนสายหนึ่งทอดยาวลดเลี้ยวผ่านป่าละเมาะ หมู่แมกไม้เข้าสู่แนวเขาสีเทาหม่นเบื้องหน้า  สีดำของคืนนี้เงียบเหงานัก ฉันห่อตัวซุกร่างบนเบาะเก่ากลิ่นอับๆ อยากจะหลับตาลงให้พ้นจากความเหน็บหนาว ยังอยู่ไกลเหลือเกินหนอกว่าจะถึงจุดนั้น  ความอ้างว้างเริ่มก่อตัวอีกครั้ง จะให้ฉันเหน็บหนาวทั้งกายและใจหรืออย่างไร   แค่นี้ก็หนาวเหน็บสุดจะทน   ไม่สมใจหรือ...
	ดวงดาวอยู่นั่นไกลลิบลับ มองเห็นฉันไหม หรือเพียงประกายระยิบระยับที่จะบอกให้รู้ว่า มิใช่เพียงฉันที่อ่อนแอ หยาดน้ำตามิใช่หยดน้ำค้างหรอกนะ  อย่างน้อยเธอก็ยังมีฉันที่คอยห่วงใย แม้จะไม่มีโอกาสรู้ว่า เธอเห็นฉันเป็นเพื่อนแค่ไหน
	หลับตาลง... ฉันจะลืมหลายคนที่จากมา  ความรักและความหลังถูกทอดทิ้งให้อยู่ที่นั่น   ใครคนหนึ่งให้ฉันสัญญาว่า..จะกลับมาและอยู่ที่นี่เมื่อถึงวันสิ้นสุดนั้น
	...ใช่ฉันหรือที่ผิดคำ  คนที่จากไปนานแสนนาน  นานจนเธอบอกใครๆว่า  ฉันคงไม่กลับมา  ลืมสัญญาและความหมาย..  ฉันสินะ..ถ้าเพียงแต่เธอจะเข้าใจ
	คืนเหงา..แมลงเศร้าร้องไห้..ดาวหล่นเดือนลับดับไป....
	เพลงของใครเคยร้องหนอ..จำได้แต่เพียงลางลาง...
	....ดาวดวงนั้นดับไปแล้ว  เหมือนกับเพลงแมลงร้องไห้  จะให้ใครมาปลอบใจเล่า  กลางค่ำคืนมืดหม่นอย่างนี้    เพียงสายตาแรกพบกันวันที่ฉันกลับมา   ความแปลกใจทอประกายเจิดจ้า เธอสบตาอ้ำอึ้ง ขณะที่ฉันหวั่นไหว   ความฝันหลุดลอยไปลิบลับแล้ว...
	จะมีประโยชน์อะไรที่ฉันต้องอยู่ที่นี่อีก  เก็บความเจ็บช้ำไว้ส่วนลึก  รอเวลาให้เลือนราง  อาจจะนานแสนนานเมื่อฉันจดจำ  แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ อย่างน้อยเธอก็ไม่เจ็บช้ำเท่าฉัน
	ทุ่งนา..ท้องฟ้า และดอกตะแบกบานไสวอยู่ในใจ  แต่ก็คงไม่มีดอกตะแบกบานในความเป็นจริงอีกต่อไป  ฉันจะจากไปให้ไกลจากที่นี่  ไปอยู่กับความแตกต่าง ที่เธอไม่เคยอยู่
	ลมหนาวหวีดหวิวปะทะใบหน้าหยาดน้ำตาเมื่อครู่แห้งเหือด   ดาวหนึ่งดวงบนฟ้าวูบดับ  ทางเบื้องหน้ามืดมิด ฉันอาจจะหลงทางในค่ำคืนเปลี่ยว แต่ฉันจะต้องไม่หวั่นไหวมากไปกว่านี้
	ดาวบนฟ้าทุกดวงจากไปแล้ว ทิ้งแนวเขาสีเทาหม่นไว้เบื้องหลัง  ฉันโดดเด่นท่ามกลางคนแปลกหน้า  ความเหน็บหนาวของค่ำคืนก็จากไป   ดวงตะวันทอแสงจ้าเหลือเกินในเช้าวันนี้  แม้หยาดเหงื่อจะมิใช่หยาดน้ำตา แต่ฉันก็เจ็บช้ำยิ่งกว่า   ภาพดอกตะแบกและเด็กน้อยสองคนวิ่งเล่นอยู่กลางท้องทุ่งเด่นชัดเต็มหัวใจ ....  เหมือนเสียงใครหนอ..เรียกให้ฉันกลับไป...
	 เอี๊ยดดดดด..... ปัง ..   เจ็บที่หัวใจและมือทั้งสองข้าง   ใครบอกกันหนอว่าแสงตะวันอบอุ่นและร้อนรุ่ม   ทำไมวันนี้เย็นเยียบและเหนียวหนึบ    สีแดงชื้นๆมิใช่น้ำตา   ดาวบนฟ้าเหมือนกลับมาลอยตัวอ้อยอิ่งอยู่ใกล้ๆ  เอื้อมมือจะคว้า  แต่ทำไมหนักนักก็ไม่รู้...
	ลุงเห็นเขายืนอยู่ตรงนี้นานแล้ว  บอกว่าเพิ่งมาจากบ้าน  ยังถามลุงเลยว่า หิวไหม  จะข้ามถนนไปฝั่งโน้น....   ก็พอดีกับรถคุณ....
	ชายแก่บอกชายหนุ่มแต่งตัวดีที่ยังยืนตกตะลึงกับเหตุการณ์เบื้องหน้า   ไม่น่าจะเป็นนางหนูคนนี้เลย.. ชายแก่ก้มหน้าซ่อนหยาดน้ำตา   ก้มลงหยิบขันเก่าๆใส่ย่ามสีคล้ำแล้วเดินจากไปอย่างเลื่อนลอย .
				
31 ตุลาคม 2548 00:45 น.

คงแค่คิดถึง

อนาลัย


กลางห้องพักบนตึกสูงกลางเมือง

18.00 น.
  พรุ่งนี้วันอาทิตย์แล้ว ตำรวจดับเพลิงจะเข้ามาสอนวิธีการดับไฟในชุมชนหลังวัด ฉันควรจะต้องประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านได้รับรู้มากกว่านี้
18.30 น.
   เดินเข้าไปในชุมชน ชาวบ้านให้การต้อนรับฉันเป็นอย่างดี บางคนบอกว่าไม่รู้จะกลับมาทันหรือเปล่า เพราะยังเป็นช่วงเวลาทำงานอยู่ ฉันบอกว่าไม่เป็นไร ให้คนที่ไม่ได้ไปทำงานมาช่วยกันฟังก็ได้ แต่ก็อยากให้มาฟังกันเยอะๆ 
   ทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใสและสนใจ ทำให้ฉันมีกำลังใจที่จะทำงานอย่างนี้มากขึ้น
   ทางเดินคับแคบและน้ำท่วมขังเพราะฝนเพิ่งจะหยุดตก แม่บ้านวัยกลางคนกวาดขี้ฝุ่นลงมาถูกตัวฉัน เขาตกใจและร้องขอโทษเสียงดัง  ฉันโบกมือให้และหัวเราะ  ตอบไปอย่างจริงใจ ไม่เป็นไร  ไม่เป็นไรจริงๆ เพราะฉันรู้ว่า เขาไม่ได้ตั้งใจ
   เสื้อผ้าแขวนตากกันระโยงระยาง ฉันค่อยๆเดินลอดผ่านเข้าไป  ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า อยากให้ชาวบ้านมาร่วมอบรมวิธีดับไฟให้มากที่สุด
   เหนื่อยนะ ฉันบอกตัวฉันเอง ......และฉันก็คิดถึงเธอ
   ฉันคิดถึงเธอเสมอ  ยามที่ฉันอ่อนล้า และเกิดความรู้สึกที่ไม่กล้าจะคาดหวัง
 ...คิดถึงมิตรภาพของเรา  คิดถึงงานของเรา ที่ดูห่างเหินและแตกต่างกันมากขึ้นทุกวัน  
 ..เธอเติบโตในหน้าที่การงานอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ฉันยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
   ชีวิตที่เดินอยู่อย่างนี้  กลางกลุ่มคนเหล่านี้  ที่แม้แต่ฉันบางครั้งก็ไม่อาจเข้าใจได้  นอกจากทำต่อไปตามที่ใจคิดว่าควรจะเป็น
  เธอเคยคิดถึงฉันบ้างไหมหนอ....
  เธอเคยคิดถึงวิถีชีวิตของฉันไหม วิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากที่เคยเป็นอยู่กับเธอ
  วิถีชีวิตที่ฉันแยกตัวเดินออกมาเพียงลำพัง และเธอก็ยังคงอยู่ตรงจุดนั้น  กับคนที่เธอต้องการอยู่กับเขา ไม่ใช่ฉันที่เธอบอกว่า เราแตกต่างกันเหลือเกิน  
..แม้แต่ดาวบนฟ้าที่เราเคยนอนดูอยู่ด้วยกัน เธอยังบอกมาให้เสียใจว่า  ..เราเฝ้าดูดาวกันคนละดวง....
   ดวงดาวของเธอนั้นสวยงาม  ความเป็นจริงของเธอจึงสดใส  แม้แต่โลกของเสียงเพลง และเสียงดนตรีที่เธอขับขาน ก็บอกเล่าถึงความฝันและความอ่อนไหวที่เธอและฉันมีแต่ไม่เหมือนกัน
	
21.00 น.
   วันนี้..เวลานี้  ฉันกลับมาที่ห้องพักแล้ว 
   ตั้งใจจะทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จสิ้น แต่อาจจะอ่อนล้าเกินไป ฉันจึงไม่สามารถทำต่อไปได้
  ดาวบนฟ้าไม่มีให้เห็นสักดวง
  เธอเองก็คงไม่ได้คิดถึงฉัน เหมือนดังกับที่ฉันไม่อาจคาดหวังถึงผลตอบแทนของงานได้
    ค่าตอบแทนที่อาจจะสูญเปล่าจากสังคม
    พร้อมกับความเป็นเพื่อนระหว่างเธอกับฉันที่สูญหายไป
.....
ขอให้เธอนอนหลับและฝันดีนะ
ไม่ว่าเราจะยิ่งห่างกันหรือแตกต่างกันมากอย่างไร ฉันก็ยังคงคิดถึงเธอเสมอ
ก็เพียงแค่คิดถึงเท่านั้น
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
							อนาลัย..


				
13 กันยายน 2548 22:23 น.

จดหมายถึงเธอ

อนาลัย



          ขอบคุณตัวอักษรทุกตัวที่เป็นเพื่อนที่แสนดีของฉันเสมอ
									....อนาคิน....
				
ป.ล. 	อนาคิน เป็นนามปากกาใหม่ที่ฉันคิดว่าน่าจะเหมาะกับฉันมากกว่านามปากกเดิมที่เคยตั้งไว้ว่า ...อนาลัย...เธอเห็นดีด้วยใช่ไหม
				
24 กรกฎาคม 2548 21:08 น.

แผ่นดินตรงรอยต่อ(2)

อนาลัย


/9 ธ.ค. 2544
	ตรงบริเวณสุดแผ่นดินของอีสาน ฉันยืนมองดูเหมือนเงียบๆ แต่ความรู้สึกหลายๆอย่างผุดพลุ่งขึ้นมา ฉันอยากเขียนนิยายขึ้นมาสักเรื่องหนึ่ง 
แผ่นดินตรงรอยต่อ นี่คือชื่อเรื่องที่ฉันนึกขึ้นมาได้ 
อนาลัย คือ นามปากกาที่ฉันตั้งให้ตัวเองมานานแล้ว
	เธออยากอ่านนิยายเรื่องนี้ของฉันไหม นี่คือบทที่ 2 ต่อจากบทแรกก่อนหน้านั้น


23 ก.ค. 2548
    ฉันกลับมาทบทวนสิ่งที่ฉันเขียน เพราะฉันยังหวังที่จะเขียนบางสิ่งางอย่าง บอกเล่าให้เธอสนใจที่จะอ่าน ฉันยังคิดถึงความรู้สึกนั้น บนโขดหินของดินแดนสุดแผ่นดิน บนผืนแผ่นดินที่ถูกยกให้สูงขึ้นจนกลายเป็นที่ราบสูง แบ่งแยกออกจากแผ่นดินพื้นราบภาคกลาง แบ่งแยกจนทำให้แผ่นดินทั้งสองในอดีตที่ผ่านมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งทางด้านภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และหรืออาจจะแม้กระทั่งภูมิปัญญาท้องถิ่น  ซึ่งเป็นคำที่พวกเราเริ่มรู้จักกันในยุคปัจจุบัน
20.00 น.
   ฉันรู้สึกว่าการเขียนนิยายสักเรื่องไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ฉันเองก็ไม่เคยหัดเขียน หรือลองเขียนหรือฝึกเขียนมาก่อน ฉันอาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ (นี่แหละคือตัวตนของฉันละ) เขียนเป็นแบบความเรียงบอกเล่าความรู้สึกดีกว่า ฉันอาจจะเขียนอะไรออกไปได้เรื่อยๆ แต่จะน่าสนใจไหม นี่เป็นคำถามที่ฉันถามตัวเองออกมาเมื่อเขียนถึงบรรทัดนี้ ฉันก็คงต้องลองเขียนดู  เขียนอย่างที่ฉันเขียน  เขียนอย่างที่ฉันรู้สึกได้ก่อนดีกว่า 	ฉันจะต้องลองเริ่มต้นดูอีกสักครั้ง


22.05 น. (ฉันจำเป็นต้องเขียนเวลาบอกตัวฉันเองเพื่อฉันจะได้รู้ว่า ฉันเสียเวลาไปกับสิ่งที่ฉันทำอะไรไปไม่ได้นานแค่ไหน ฉันอาจจะเหมือนคนย้ำคิดย้ำทำ ภาษาของฉันอาจจะวกไปวนมา แต่ฉันก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะนี่แหละคือฉันอย่างแท้จริง)
    ความรู้สึกบางอย่างบอกให้ฉันหยุดแล้วทบทวนสิ่งที่ฉันเขียน แต่ฉันบอกตัวเองทันทีว่าไม่ ฉันจะต้องเขียนต่อไปเรื่อยๆ เขียนไปเผื่อบางทีฉันอาจจะได้ความคิดดีๆที่สอดคล้องกับนิยายที่ฉันอยากจะเขียน หรือเผื่อบางทีฉันอาจจะมีความคิดอะไรดีๆบอกเล่าให้เธอได้อ่าน และสอนตัวของฉันเองได้
    ก่อนอื่นต้องบอกว่าฉันไม่ใช่นักเขียนหรอกนะ และเดี๋ยวนี้ฉันก็ไม่ใช่นักอ่านด้วย ฉันเป็นพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยหนัก  การทำงานของฉันวนเวียนอยู่กับผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางครั้งผู้ป่วยนั้นก็จะหายมีชีวิตกลับคืนสู่สุขภาพชีวิตที่ดี    แต่บ่อยครั้งที่ผู้ป่วยเหล่านั้นต้องจากไป 
    ฉันอยู่ตรงจุดนี้มาเนิ่นนาน จนฉันกล้าบอกตัวฉันเองได้ว่า อดทนเถิดนะ   อย่าเหนื่อยหรือท้อกับงานที่แสนจะเหนื่อยล้าและหดหู่นั้น ผู้ป่วยสูงอายุบางคนก็เป็นช่วงชีวิตสุดท้ายของเขา และเราอาจก็จะเป็นคน สุดท้ายที่ได้อยู่กับเขาบนโลกแห่งชีวิต  บนโลกที่มีแต่ความแตกต่างนี้  เพราะว่าแม้แต่เวลาแห่งการสิ้นสุดชีวิต  ผู้ป่วยหนักแต่ละคนยังจบชีวิตไม่เหมือนกัน
   มีบางสิ่งกระซิบบอกฉัน ให้ฉันเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตตรงรอยต่อสิ อาจจะดีก็ได้นะ มีหลายสิ่งหลายอย่างวิ่งไปมาในความรู้สึกของฉัน มีตัวหนังสือมากมายวิ่งวนอยู่ในสมองและฉันก็ไม่อาจจับมาเรียงให้ได้ใจความอย่างที่ใจของฉันอย่างที่ฉันนึกได้  ฉันคงต้องนั่งนิ่งๆสักพัก.
	...........................
    22.23 น.
    แผ่นดินตรงรอยต่อ.......... 
    บนผืนแผ่นดินตรงจุดนี้ ยังเป็นผืนแผ่นดินแห่งการพลัดพราก เป็นทั้งการพลัดพรากจากคนที่รัก(เหมือนอย่างนิยายที่ฉันอยากจะเขียนครั้งแรก) แต่มันยังเป็นแผ่นดินที่พลัดพรากมากกว่านั้น เพราะมันเป็นผืนแผ่นดินที่เราจะต้องพลัดพรากไปหมด แม้กระทั่ง จิตวิญญาณ และร่างกายของตัวเราเอง
    ภาพของเธอที่โบกมือลาฉันในนิยายเรื่องแรกที่ฉันเขียนชั่วโมงที่ผ่านไปนั้น เปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นภาพตัวของฉันเอง กับผู้ป่วยอีกคนหนึ่ง ฉันยืนมองดูร่างของเขาที่นอนสงบนิ่งอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ และเขายืนอยู่ใกล้ๆกับฉันที่กำลังอาบน้ำเช็ดตัวให้  .ก่อนที่จิตวิญญาณของเขาจะลอยเลื่อนหายไป
   แผ่นดินตรงจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวสูงขึ้น แผ่นดินอีกจุดหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้ามา แผ่นดินตรงนี้ไม่ได้หยุดนิ่งหรือเกิดขึ้นได้เพียงครั้งเดียว เหมือนเช่นภูมิประเทศสุดแผ่นดินอีสาน แต่ผืนแผ่นดินตรงนี้มีการพลัดพรากเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เตียงแล้วเตียงเล่า วันคืนผ่านพ้นไปทุกวันทุกคืน ฉันอยู่ตรงนี้มากี่ครั้งกันแล้วนะ บนผืนแผ่นดินตรงรอยต่อ  บนผืนแผ่นดินของความพลัดพราก      บนผืนแผ่นดินแห่งการร่ำลาที่เราแม้ยืนอยู่ใกล้ๆก็ไม่ได้ยิน
 แผ่นดินตรงนี้ไม่ใช่แผ่นดินตรงรอยต่อของพื้นที่ราบกับพื้นที่สูงอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นแผ่นดินตรงรอยต่อระหว่างชีวิตกับชีวิต หรืออาจจะใช่...เป็นแผ่นดินตรงรอยต่อระหว่างร่างกายที่ไร้ชีวิตกับจิตของวิญญาณ.
	
22.43 น. 
     ความรู้สึกของฉันสะดุดลง จนฉันต้องนั่งนิ่งๆ แล้วทบทวนสิ่งที่ฉันได้เขียนลงไป ฉันเริ่มเข้าใจแล้วว่า แท้ที่จริงฉันไม่สามารถเขียนเรื่องราวที่รู้สึกได้ในหัวใจให้เป็นนิยายได้  ฉันควรจะจบความเรียงบทนี้เพียงเท่านี้ แต่มีบางสิ่งในหัวใจฉัน ถามตัวฉันเองว่า คำร่ำลาระหว่างจิตวิญญาณกับร่างกายของแต่ละผู้คนนั้น   มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรหนอ   แต่ละคนพร้อมที่จะพลัดพราก      จากกันไหม หรือยังมีความห่วงใยผูกพันในร่างกายเดิมของตัวเองอยู่  หรือยิ่งกว่านั้น เขาอาจจะยังคงห่วงหาใคร แล้วเขาเอ่ยคำร่ำลากันได้อย่างไร เพราะแม้แต่ฉันที่อยู่ใกล้ๆยังมิเคยจะได้ยิน
  อีก 2 นาทีก็จะห้าทุ่ม ฉันควรจะจบบทความบทนี้ ฉันอยากจะส่งให้เธอได้อ่าน เพราะเธอยังคงเป็นคนแรกที่ฉันนึกถึงเสมอ  ไม่ว่าเราจะแตกต่าง  หรือจะยิ่งห่างจากกัน..ไกลออกไปทุกๆนาที
   ลาก่อนนะ  ฉันยังคงหวังอยู่เสมอว่า เธอจะยังคงเข้มแข็ง ดูแลตัวของเธอเองได้ และยังมีหัวใจที่ใฝ่ฝัน  มีพลังที่จะแต่งเติมชีวิตของตนเองได้สมบูรณ์	
   ในช่องว่างของเวลาและความคิดคำนึงนั้น ฉันระลึกถึงเธอและอวยพรให้เธอเสมอ
						จากฉัน อนาลัย(นามปากกาของฉันไง)
	23.05 น. 23 ก.ค. 2548
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอนาลัย
Lovings  อนาลัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอนาลัย
Lovings  อนาลัย เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟอนาลัย
Lovings  อนาลัย เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงอนาลัย