20 ตุลาคม 2547 05:01 น.
อตอม
* In my dreams
I'll always see your soul above the sky
In my heart
There always be a place for you for all my life
I'll keep a part of you with me
วันวานคืออดีต ไม่มีปัจจุบันจริงๆ เพราะทุกๆ วินาทีที่เขียนอยุ่นี้
ผ่านไปเพียง วินาที เดียว ก้อกลายเป็นอดีต
จึงไม่แปลกเลยที่คนเราจะอยู่กับอดีตมากกว่า ปัจจุบัน
ที่เคยบอก ว่าจะอยุ่กับ "ปัจจุบัน" ฉันก้ออยุ่ .... เว้นไว้ไม่พิมพ์ 1 นาที
คำว่า "ปัจจุบัน" ก่อนหน้านี้ก้อกลายเป็นอดีต เหมือนกัน
"อยากอยุ่ในฝันไม่อยากตื่นขึ้นมา" ทำไม??
ก้อเพราะเวลาในฝันไม่มีอดีต และ ปัจจุบัน
ไม่ต้องมีคนถูกวางไว้ในอดีต และไม่ต้องมีคนแอบอ้างในปัจจุบัน
แล้วจะสุข จริง หรือเปล่า ... ไม่หรอก ...
แค่ความฝัน พอตื่นขึ้นมา มันก้อหายไป แต่บางครั้ง ความสุขจากในฝัน
มันก้อส่งผลต่อความรู้สึกตอนตื่น อาจจะ ดีใจ หรือศร้าใจ ที่มันได้แค่ในฝันเท่านั้นเอง
แต่!!! คนเราส่วนใหญ่ก้อ พร้อมใจที่จะอยุ่กับความฝัน ถึงจะ ลม ๆ แล้ง ๆ ก้อตาม
เพราะ อย่างน้อย ก้อ สุข กว่าความจริงที่โหดร้าย ที่ปัจจุบันก้อกลายเป็นอดีต
เจ็บปวด... กับการถูกวางไว้ข้างหลัง
เจ็บปวด... กับเวลาที่เปลี่ยนไป
เจ็บปวด... ที่ไม่สามารถรักษาบางอย่างที่สำคัญได้
เจ็บปวด... กับภาพความหลัง
เจ็บปวด... ที่เห็นเงาใครทับเงาเดิม
ในฝัน .. ฉันไม่เห็นใคร ที่ฉันไม่อยากเห็น สามารถเก็บรักษาหรือทำอะไรก้อได้
ตามแต่จิตใต้สำนึกจะนำพา เห็นเธอที่ฉันรัก เดินเข้ามาหา มาปลอบโยน อยู่ข้างๆ
เห็นเพียงสองเราเดินคู่กัน ไม่มีเวลาเริ่มและหยุด ไม่มีอดีตและปัจจุบัน
ฉัน -- คนของอดีต ... หายใจได้ด้วยความสุขปลอม ๆ เหล่านั้น
เรียก กำลังใจ เล็ก ๆ จากภายใน ด้วยความฝันที่ล่องลอย ลม ๆ แล้ง ๆ
ฉัน เห็นเธอเคียงข้าง จากภาพบางเบาในวันวาร
แล้วมาบอกทำไม?????
เพราะ อยากให้รับรุ้ไว้ ..... ที่ที่ฉันยืนอยู่ อาจจะเป็นคำว่า ปัจจุบัน ของใคร ๆ
แต่มันคือ คำว่า อดีต ในความหมายของฉัน
เมื่อเธอเห็นฉัน .... เห็นการกระทำของฉัน ก้อขอให้โปรดเข้าใจ
ว่า ฉัน ก้อได้อยู่กับ ปัจจุบัน อย่างที่เคยบอกไว้แล้วจริง ๆ
แล้วมีความสุขจริง ๆ มั้ย....... ไม่หรอก
แต่อย่างน้อย มันก้อทำให้ฉันเข้าใจอะไรมากขึ้น
เจ็บมากขึ้น ขณะเดียวกันก้อมองเห็นอะไรที่ตามองไม่เห็นมากขึ้น
ไม่ต้องอาศัยแสงที่ตกกระทบ อาศัยแค่เสียงกระซิบของใจ
นั่งดู อีวิล กับ แองเจิ้ล ตีกัน ดูมันเหมือนละคร
คุ้มมั้ย ที่เจ็บจนชาเพื่อแลกกับการรับรู้ในสิ่งที่ไม่รู้
แต่มีผลต่อการตัดสินใจ ที่จะถอยหลัง หยุดนิ่ง หรือก้าวไป
สำหรับฉัน -- มันคุ้มในส่วนหนึ่ง
เพราะมันทำให้ฉันได้ร้องไห้ได้มากขึ้น ได้ระบายได้มากขึ้น
ขณะเดียวกันมันก้อจะทำให้ฉันอ่อนแอและเข้มแข็งได้มากขึ้นเช่นกัน
แล้วนั่นคือฉันหรือเปล่า ...... ใช่
คนเรามี องศาที่ต่างกัน
นั่น คือ ฉันในอีกองศานึง ที่เธออาจจะไม่เคยรับรู้
มันเลยกลายเป็นว่า ฉันเปลี่ยนไป...
เช่นเดียวกันกับเธอ ... มันดูเหมือนเธอเปลี่ยนไป
จริงแล้ว เธอ และฉัน ....
อาจจะไม่ได้เปลียนไป จริง ๆ
บางสิ่งในองศาเดิม ยังคงอยู่
และบางสิ่งแสดงมาจากองศาใหม่
ฉันร้ายในแบบของฉัน เธอดีในแบบของเธอ
แต่ทั้งหมด มันคือ ฉัน และทั้งหมด มันก้อคือ เธอ
ตอนนี้ .... อดีต และ ปัจจุบัน
เธอคือคนที่ฉัน รู้สึก "รัก"
คือคนที่ฉัน ห่วงหา อยากอยู่ใกล้ ๆ
เธอ ยังเป็น ที่สุด ของฉัน
ตอนนี้ ... ปัจจุบัน ของเธอ
ฉันคือคน ที่ เธอจะเป็นกำลังใจให้
ไม่ต้องเข้าใกล้ ไม่ต้องไปไกล อยู่ในที่ที่ฉันอยุ่
เป็นเพียงแค่ "คนที่เคย"
คนที่อยุ่ใน ความทรงจำ ของเธอ
คนในอดีตของเธอ... เท่านั้น!!!
องศาของเธอ หมุนไปไกล กว่าองศาของฉัน
** คำว่า ปัจจุบัน ของ เธอ กับ ฉัน มันจึงต่างกัน **
21 กันยายน 2547 19:37 น.
อตอม
วันแรก.... ที่ฉันจะได้ไปที่บ้านของเธอ เธอตื่นเต้น ดีใจ ที่จะได้แนะนำฉัน
ให้พ่อแม่เธอได้รู้จัก ในฐานะ "แฟน" ฉันรับรู้ได้จากสีหน้าที่ยิ้มอย่างเขินอาย จากการแซวของเพื่อนบ้านตลอดระยะทางที่ "เรา" เดินผ่าน ... ฉันมีความสุข
..."หุหุ บ้านเราน่ะเหมือนสลัมนะ สงสัยต้องรื้อแล้วสร้างใหม่" คำแรกที่เธอบอกเมื่อเราไปถึง ในความคิดของฉัน มันไม่ใช่สลัมหรอก อาจจะแค่ชุมชนแออัดธรรมดา...ตลอดทางที่เราเดินผ่าน ฉันมองตลอดสองข้างทาง ..ทางรถไฟ บ้านเรือน ผุ้คนมากมาย และรถมอเตอร์ไซค์ที่มานะพยายามวิ่งผ่านทางเดินที่มีความกว้างแค่สองคนยืน เธอจะให้ฉันเดินนำหน้าเธอเพราะเธอจะเดินกันรถข้างหลังให้ฉัน ตอนนั้นฉันหัวเราะในใจว่า "ทำอย่างกับจะไปบ้านฉันแน่ะ ทั้งที่ฉันไม่รู้ว่าจะไปทางไหนแท้ ๆ" แต่ฉันมั่นใจ!! ถึงแม้ทางข้างหน้าฉันจะมองไม่เห็นหลังของเธอ แต่ฉันก้อรู้ว่าเธอไม่ทิ้งให้ฉันหลงทางแน่ ๆ เสียงนุ่มนวลที่คอยบอกทางฉัน มือของเธอที่คอยกันฉันออกจากรถมอเตอร์ไซค์ และสิ่งกีดขวาง เพราะเธอรู้ดีว่าฉันซุ่มซ่ามแค่ไหน...ฉันเคยถามเธอว่าทำไมชอบเดินตามหลังฉัน คำตอบของเธอทำให้ฉันดีใจ เธอบอกว่า "เธอจะได้เห็นฉัน จะได้รู้ว่าฉันไม่ได้หายไปไหน แต่ถ้าฉันเดินข้างหลังเธอ เธอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน" ...ฉันพยายามจดจำเส้นทางที่จะไปบ้านเธอที่ลดเลี้ยวไปตามทางเดินเล็ก ๆ .. ที่นี่ซินะ คือที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา เป็นเธอ ที่ "ฉันรัก" และ "รักฉัน"..
เมื่อเราไปถึง... ฉันเห็นบ้านตรงสุดทางเดิน เป็นบ้านไม้ 1 ชั้น ครึ่ง เพราะมีใต้ถุนบ้านเล็ก ๆ ปลูกอยู่ริมน้ำ ที่ครั้งนึงเคยใสสะอาดและคงจะร่มรื่นมาก ๆ ภายในบ้านตกแต่งง่าย ๆ ข้าวของวางเป็นระเบียบดี ฉันค่อย ๆมองสำรจสิ่งต่างๆ ภายในบ้านเธอเหมือนจะทำความรู้จักกับสถานที่ใหม่ ๆ ที่อนาคตฉันอาจจะได้มาอยู่ก้อได้..
ที่ฝาผนังบ้านเธอจะมี ใบประกาศเกียรติคุณอยู่หลายอัน ทั้งชนะเลิศการประกวดบทกลอนในวาระต่าง ๆ ของวิยาเขต หรือประกาศนียบัตรเรียนดี .. นีเพียงแค่คร่าว ๆ ที่ยังไม่ใส่กรอบยังมีอีกหลายอัน ... ฉันแอบภูมิใจใน "แฟน" ฉันคนนี้ลึก ๆ
หลังจากที่เรา ได้กินขนม และ "น้ำส้ม" กันสักพัก แม่เธอก้อกลับมาจากที่ทำงาน
ฉันตื่นเต้นมาก แม่เธอก้อแปลกใจเหมือนกัน เราก้อคงทำได้แค่ยิ้มให้กันอย่างเขินๆ ก้อแน่ล่ะ ฉันเป็น "แฟน" คนแรก และเป็น "เพื่อน" คนแรกที่เธอพามาบ้านนี่
- -ขากลับ เธอก้อไปส่งฉันถึงบ้านเลยเพราะมันค่อนข้างเย็นแล้วและเธอก้อทำเป็นปกติใน 365 วัน จะมีวันที่เธอไม่มารับส่งก้อแค่วันที่ไม่ได้ไปเรียนกับปิดเทอมแค่นั้นแหละ นอกนั้นทั้งรับทั้งส่งเป็นประจำ... ฉันมีความสุขมาก
...ที่วิทยาเขต เราเรียนห้องเดียวกัน เธอเป็นหัวหน้าห้องที่สมาชิกในห้องยอมรับในความสามารถและสยบกับความดุของหน้าตา 555 ฉันเองก้อเป็นหนึ่งในสมาชิกนั้น ๆ แน่นอนเธอสอบได้ที่ 1 ได้รับรางวัลหลายอย่างและยังได้เป็นตัวแทนไปแข่งขันวิชาการที่เชียงใหม่ด้วย อีกทั้งเธอยังนักดนตรีตัวยงเชียวล่ะ ... เสียงกีตาร์ของเธอกับเสียงร้องเพลงของเพื่อนกว่าครึ่งห้องมันทำให้บรรยาศของเพื่อนใหม่ดูอบอุ่นจนน่าหยุดเวลาไว้แค่นั้น ... ถ้าทำได้จริง ๆ
เคยมีเพื่อนถามฉันเหมือนกันว่า ทำไมถึงเลือกคบกับเธอ ..เธออาจจะไม่ใช่คนที่หน้าตาดีอะไร แต่ฉันก้อ "รัก" ในสิ่งที่เธอเป็น รักที่นิสัยและความคิด ของเธอ ฉันภูมิใจเสมอเวลาที่มีใครชื่นชมเธอหรือเวลาที่เธอแนะนำกับใครว่าฉันเป็น "แฟน" เธอ ตอนนั้นฉันคิดนะว่าอาจจะเป็นพรหมลิขิตก้อได้ เพราะจริง ๆ แล้วทั้งฉันและเธอ เราเรียนที่เดียวกันตั้งแต่ตอน ปวช แต่เราไม่รู้จักกัน ตอนนั้นฉันเรียนรอบเช้าส่วนเธอเรียนรอบบ่าย บางทีเราอาจจะเคยเดินมาเจอกันแล้วก้อเดินผ่านไปก้อได้ ... 3 ปีผ่านไป เมื่อเราขึ้นปวส ฉันพยายามสอบเข้าแทบตายแต่เธอได้โควต้าเรียนดี ...สุดท้ายเราก้อได้เรียนและได้รู้จักกัน
ตลอดสองปีที่เรียนปวส เราเป็นคู่ที่หวานแหววและถูกแซวตลอดปีไม่รู้จักเบื่อ จากที่เราเคยเขิน ๆ ก้อเริ่มชิน เพราะกว่าเราจะคบกันอย่างเปิดเผยอย่างนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เราต้องฝ่าฟันอะไรด้วยกันหลายอย่างเพื่อจะให้ที่บ้านฉันที่หวงลูกสาวมากยอมรับเรา อีกทั้งความต่างเรื่องศาสนาก้อยังเป็นอุปสรรคอยู่ แต่เราสองคนก้อมี พันธะสัญญากัน เราคบกันจริงจังและคิดไกล...
"เธอ" เป็นผู้ชายคนหนึ่ง ที่ เข้มแข็งและอ่อนไหว ดุดันและเมตตา จริงจังและมีความคิดมาก จนบางครั้งฉันก้อกลัวกับการคิดมากของเธอ บ่อยครั้งที่เราทะเลาะกันเรื่องเพื่อน เรื่องความไม่เข้าใจและเอาแต่ใจของฉัน --ผุ้หญิงธรรมดาคนนึง--
คนรอบข้างมักจะมองว่าเธอจะทำอะไรได้ทุกอย่าง เธอเก่ง แต่หารู้ไม่ว่ากว่าที่เธอจะมีวันนี้ได้ กว่าที่เธอจะมีความสามารถอย่างนี้ได้เธอต้องเจอกับอะไรบ้าง เธอต้องพยายามแค่ไหน กับฐานะทางบ้านที่ไม่ได้เอื้อหนุนเท่าใดนัก .. ภาระหลายๆ อย่างที่เธอต้องแบกรับไว้ ทำให้เธอรู้สึกท้อ เหนื่อย --ฉัน ผุ้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง-รู้สึกดีมากที่จะได้ปลอบโยนเธอ ได้เห็นความอ่อนแอของชายผู้เข้มแข็งคนนึง ที่ไม่มีใครมีโอกาสได้เห็น ... ฉันภูมิใจและมีความสุขมาก
..แต่วันเวลามันหมุนไป เราต่างต้องโตขึ้น เรียนรู้โลกกว้างและรู้จักคนมากขึ้น เราสอบเข้าปริญญาตรีต่อเนื่องคนละที่กัน เธอติดดาวได้ทุนเรียนและต้องทำงานไปด้วย -เราแทบไม่มีเวลาได้เจอหรือพูดกันเช่นเคย -- เมื่อความห่างเข้ามาแทรกแซงเบียดเบียนความเข้าใจระหว่างกัน ..และ"เค้า" อีกคนเข้ามา "ฉัน ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง" ที่หวั่นไหวเป็น ก้อทำให้เธอเจ็บปวดแต่เพราะเราพูดกันตรง ๆ เสมอ ฉันจึงบอกเธอ แม้มันเป็นเวลาไม่นานที่ฉันเผลอไป และกลับมาเหมือนเดิมกับเธอ แต่มันก้อนานพอที่จะทำให้เธอเปลี่ยนไป ยิ่งห่างกัน ความเข้าใจกันมันยิ่งน้อยลง --เธอเจ็บ-- เธอหาทางดับทุกข์ด้วยธรรมะกับวิทยาศาสตร์
ฉัน-- คนที่ต่างศาสนากับเธอย่อมไม่เข้าใจในสิ่งที่เธอทำ มันเหมือนเห็นความต่างที่เราพยายามกลบมันไว้ ฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง....และสุดท้าย --ฉัน ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง-- ก้อทำให้เธอต้องพูดคำว่า ..."จบ"
ผ่านไป 5 เดือนแล้ว กับการห่างกัน... "ฉัน" และ "เธอ" ได้เรียนรุ้ความรู้สึกอะไรบางอย่างของตัวเอง "ฉัน" เรียนรู้ว่าเราจะเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่เมื่อสูญเสียมันไป เหมือนที่ฉันรู้ตัวว่า "รักเธอ" มากกว่าที่เคยเป็น ... "เธอ" ได้เรียนรู้ในโลกของศีลธรรมและการวางจิตใจในการดับทุกข์ ถึงแม้เธอจะบอกว่า เธอ "ยังรักทุกอย่างที่เป็นฉัน" แต่เราก้อไม่สามารถกลับมาคบกันได้อีกแล้ว เราต่างมองไม่เห็นอนาคตที่จะเป็นคู่ชีวิตกันได้ ได้แต่หวังว่ามันคงจะมีสักวันที่จะมีทางออกที่ดีกว่าการแยกกัน
แล้วเราก้อได้กลับมาเจอกัน .. "ฉัน" ตอนนี้ไม่มีใครร่วมทาง แต่ "เธอ" มี "เค้า" ที่พร้อมจะเดินกับเธอเข้ามา .. แต่เธอ ก้อยังไม่ได้ตัดสินใจ เธอบอกว่ายังมองไม่เห็นว่าจะมีใครสามารถเดินร่วมทางไปกับเธอได้ -- ฉัน-- ได้แต่หวังลึก ๆ ว่าอาจจะเพราะ "เธอ" ยังมี "ฉัน" อยู่ในใจ - -แต่เธอ-- ก้อจะให้ฉันเป็นเพียง " เพื่อนธรรมดา " คนนึงเท่านั้น ... ฉันเสียใจ..
วันสุดท้าย... ที่ฉันได้ไปบ้านของเธอ เธอรู้สึกลำบากใจ ฉันรับรู้ได้จากสีหน้านิ่ง ๆ และการถอนหายใจของเธอ คำแรกที่เธอพูดกับฉัน "ถ้าเราไม่อยู่บ้านจะทำไง" "มีอะไรอีกหรือเปล่า" ฉันนิ่งพูดอะไรไม่ออก
ฉันได้แต่นั่งมองบ้านของเธอ ที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย มองแม้กระทั่งแผ่นกระดานที่เธอนำมาติดไว้ข้างฝาบ้าน มองที่นอนและหมอนที่เธอหนุนนอน ,มองหนังสือ , กองของขวัญที่ฉันเคยให้เธอในโอกาสต่าง ๆ และ มองแผ่นหลังของเธอที่สนใจแต่คอมพิวเตอร์ ผ่านไปนาน เธอก้อยังไม่หันมาสนใจฉัน.... ฉันเสียใจ
เธอเปิดธรรมะให้ฉันฟัง -- ฉันอึดอัด ไม่ใช่เพราะฟังธรรมะ แต่เพราะเธอไม่พูดกับฉัน ฉันจึงเขียนสิ่งที่ต้องการบอกลงในกระดาษให้เธออ่าน ทั้งที่จริง ๆ แล้วฉันพูดได้ เมื่อเธอได้อ่าน เธอก้อหันมาคุยกับฉัน แต่ ฉันพูดอะไรไม่ออกแล้ว ฉันนั่งกลั่นน้ำตาที่มันจะเอ่อตลอดเวลา เธออยากเห็นรอยยิ้มของฉัน แต่ฉันสามารถทำได้แค่นั่งนิ่ง ๆ เท่านั้น ฉันไม่สามารถฝืนหัวใจที่ร้องไห้ ให้ยิ้มได้เลย
ฉัน-- นั่งมองทุกอย่างรอบตัวฉันเหมือนครั้งแรกที่ฉันมา แต่แตกต่างกัน
วันแรก..ฉันมองเพื่อทักทายกับสิ่งใหม่ จดจำเพื่อเรียนรู้ความเป็นเธอ
วันสุดท้าย..ฉันมองเพื่อบันทึกไว้เป็นความทรงจำ มองเพื่อร่ำลา
วันแรก.. เธอดีใจที่ฉันมาหา
วันสุดท้าย.. เธอลำบากใจที่เห็นหน้าฉัน
วันแรก.. เธอต้อนรับฉันด้วยขนม และ "น้ำส้ม"
วันสุดท้าย.. เธอต้อนรับฉันด้วยน้ำตาฉันเองไม่มีแม้แต่ "น้ำเปล่า"
วันแรก... ฉันมองไม่เห็นหลังของเธอแต่ฉันก้ออบอุ่นที่รู้ว่าเธอเฝ้ามองฉันอยู่
วันสุดท้าย.. ฉันมองเห็นหลังของเธอ จิตใจฉันสั่นไหวเพราะเธอมองไม่เห็นฉันเลย
ชีวิตคนเรามันไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของของเรา อย่ายึดมั่น ถือมั่น เธอเคยบอกฉัน ไม่มีที่ที่เป็นของเรา ...ฉันเข้าใจ เพราะตอนนี้มันไม่มีที่ของฉันจริง ๆ
อย่างที่ฉันเคยให้เพลง "ช่วงชีวิตหนึ่ง" กับเธอ และเธอให้เพลง "หมดแล้วหมดเลย" กับฉันนั่นแหละ....ฉันไม่โกรธ ฉันจะพยายามเข้าใจ
แต่อะไรบางอย่างก้อบอกฉัน ให้ฉันเข้าใจว่า ..ถึงเวลาแล้วที่ฉันต้องไป
ไปเรียนรู้โลกกว้าง เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ ๆ และต้องเรียนรุ้ตัวเองให้มากขึ้น
เผื่อว่าสักวันนึงข้างหน้า ... เราอาจจะได้มีโอกาสกลับมาร่วมทางกันอีกครั้งหนึ่งและครั้งนั้นฉันจะรักษามันไว้อย่างดีเชียว...
** จะจำไม่ลืม ว่าในชีวิตช่วงหนึ่ง
ได้เคยซึ้งใจ กับคนที่ดีอย่างเธอ
จะรวมทุกความทรงจำ ที่เราทั้งสองต่างเจอ
คงอยู่ภายในใจจนนิรันดร์**
สำหรับคนที่ได้อ่านบันทึกนี้... ลองถามตัวเองซิว่าคุณให้ความสำคัญคนที่อยู่ข้างๆหรือยัง แล้วเค้าคือคนที่สำคัญสำหรับคุณหรือเปล่า... ถ้าใช่.. รักษาเค้าไว้ให้ดีนะ
เวลาไม่คอยใคร เค้าเองก้ออาจจะไม่คอยคุณเช่นกัน.. ต่อให้คุณมารู้ตัวว่า
คุณรักเค้ามากแค่ไหน มันก้อสายไป สุดท้าย คนที่เสียใจก้อคือ ..คุณ...