21 มิถุนายน 2551 22:29 น.
ห้วงคำนึง
เขา เอามาทำเป็นโล่ ตอนบุกทำเนียบ ตำรวจจะได้ไม่กล้าตี
http://www.thai-grassroots.com/index.php?pid=1ga85g132adbe&id=655
2 เมษายน 2550 18:15 น.
ห้วงคำนึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคนหนึ่งชื่อคิม ฟุค
คิม ฟุค คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้นซึ่งช่างภาพอเมริกัน
ได้ถ่ายไว้ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย
แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ
แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง 65 เปอร์เซ็นต์
เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง 14 เดือน
และผ่านการผ่าตัดถึง 17 ครั้งกว่าจะหายเป็นปรกติ
เธอยังโชคดีเมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก 2 คน
ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวนั่นคือเหตุการณ์ที่เกิด
ขึ้นในปี 2515 เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ 3 ปี ต่อมา
ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย
แต่แล้ววันหนึ่งในปี 2539
คิม ฟุค ก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกันซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม
เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การได้มาเผชิญหน้ากับกลุ่มคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ
ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น
ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก
แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่าสงครามนั้น
ได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า
มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า
คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้
เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า
"ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้
แต่เราควรพยายามทำสิ่งดี ๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจจุบันและอนาคต"
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที
อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ
เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง
เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริง ๆ"
คิมเข้าไปโอบกอดเขาแล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย
คิม ฟุค เล่าว่าเหตุการณ์ ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและใจ
จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้วเธอก็พบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน
หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง
" ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้"
เธอพยายามสวดมนต์และแผ่เมตตาให้ศัตรู
และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า
" หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้น เรื่อย ๆ
เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด"
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้
แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้
เราไม่อาจเลือกได้ว่ารอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารักพูดจาอ่อนหวาน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่าจะทำใจอย่างไรเมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิม ฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า
" ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตของฉันก็ดีขึ้น"
บทเรียนของ คิม ฟุค คือ
ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้
เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต
แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ
"การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่นนั้น
ทำให้ฉันเห็นคุณค่าของการให้อภัย"
8 กุมภาพันธ์ 2550 14:39 น.
ห้วงคำนึง
สวัสดีครับ พี่น้อง ชาวบ้านกลอนไทยทุกคนครับ ตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนในรั้วมหาลัยก็ประสบปัญหาหลายๆอย่าง ทั้งยังต้องปรับตัวอีกมาก ประจักษ์ในชีวิตทุกวันนี้ว่าต่างกับช่วงเรียนมัธยมอย่างสิ้นเชิงเลย ครับ อยู่นี่เป็นการปิดตัวจากโลกภายนอกมากๆ ข่าวสารไม่ค่อยได้รับรู้ เนื่องจากมีเวลาไม่มากเท่าไหร่นัก แล้วด้านการเรียนที่มหาโหด กิจกรรมที่มหาศาล ทำให้ต้องแบ่งเวลาส่วนอื่นไปให้กับสิ่งเหล่านี้ นึกว่ามาเรียนมหาลัยแล้วจะสบาย ที่ไหนได้ ดันหนักกว่าเดิมซะนี่
วิชาที่สาหัสมี
ฟิสิกส์ + Lab
คณิต
แคลคูลัส
เคมี+ Lab
Programing+ Lab
อังกฤษ
(ปีสอง ต้องเลิกวิชาเสริมของคณะมนุษฯอีก)
พวกวิชาคำนวณ ยิ่งเรียนก็ยิ่งประจักษ์ว่า ไม่รู้จะเรียนไปทำไม เรียนไปไม่ได้ใช้เลย วิชาที่ใช้ในอนาคตจริงๆ ก็มีแต่ Program กับ English เท่านั้นแหละ ตอนม.หก คิดไว้ว่า เรียนไปเพื่อสอบเข้ามหาลัย แต่เมื่อมาเรียนมหาลัย เรียนไปก็ยิ่งน่าเบื่อหน่าย เรียนไปเพื่อเอาเกรดเท่านั้น ครับ
ในเทอมแรก ผมเรียนตั้งแต่ 8.00 19.30 น. ในวันจันทร์- ศุกร์ (มีช่วงพักระหว่างวิชาบ้าง) จากนั้นก็ต้องทำกิจกรรมของคณะ ของมหาลัยอีก วันเสาร์อาทิตย์ ก็มีกิจกรรมไม่เว้นครับ กว่าจะได้นอนแต่ละวันไม่ต่ำกว่าตีสอง แล้วผมก็ทำอย่างนี้มาตลอด กีฬาแทบจะไม่ได้เล่นเลย หนังสืออ่านเล่น ที่เอามาก็ไม่ได้แตะ ผมสนุกกับการเรียนนะครับ กิจกรรมก็สนุกบ้างไม่สนุกบ้าง(แต่ต้องทำ เพราะเป็นหน้าที่) แต่ที่เสียดายคือ เวลาว่างที่สูญเสียไป ผมอยากมีเวลาอ่านหนังสือกลอน อ่านนิยาย เล่นกีฬา ให้เต็มที่ อยากทำในสิ่งอื่นๆที่ชอบ ส่วนวันที่ปราศจากกิจกรรม ก็ต้องมาปั่นงาน ปั่น project ส่งอาจารย์ เฮ้อ.........
ในเทอมสอง ถึงแม้ว่ากิจกรรมจะลดลง แต่ก็ยังมีทุกเสาร์อาทิตย์ ร่างกายผมเริ่มเหนื่อยล้าครับ แล้วก็เริ่มสะสมความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่าตัวเองจะไม่ไหว บางครั้งตื่นสาย ต้องจำใจขาดเรียนคาบนั้น (ใจจริงก็อยากจะขาดทุกคาบ แต่ว่ากลัวเรียนไม่รู้เรื่อง) เรียนหนักเรื่อยๆ สมองผมก็โง่ลงเรื่อยๆ เคยมีความรู้สึกขี้เกียจเรียนเหมือนกันแต่ก็ต้องทำใจ พ่อแม่อุตส่าห์ส่งมาเรียน แม้กำลังใจจากทางบ้านช่วยให้ผมพยายามมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้หายเครียดได้เลยครับ
แต่ผมก็มีวิธีคลายเครียดบ้างเล็กน้อย ในยามที่ทำโปรแกรมส่งอาจารย์ หากคิดไม่ออก ก็พักผ่อน มา อ่านกลอนในเว็บบ้าง เล่น chat บ้าง แต่งกลอนบ้าง แต่ก็มีบางช่วงเวลาที่มีกิจกรรมหนักจริงๆ ผมอยากจะแต่งกลอนคลายเครียด แต่กลับแต่งไม่ได้ อารมณ์ไม่บังเกิด บางช่วงที่อยากจะอ่านหนังสืออ่านเล่น แต่พรุ่งนี้มีสอบเก็บคะแนน ทำไปเหมือนรู้สึกฝืนทำเลยครับ หากได้อ่านหนังสืออ่านเล่น ก็สอบเก็บคะแนนไม่ได้อีก จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ (วิธีคลายเครียดก็ทำแค่นี้แหละครับ เพราะว่าเกมส์ก็ไม่เล่น ไปเที่ยวก็ไม่เคยไป ไม่รู้จะทำอะไร แหะๆ) เวลาก่อนนอน ก็อ่านหนังสือกลอนนิดหน่อยครับ อ่านไปก็หลับคาหนังสือเกือบทุกครั้ง (หนังสือเรียนก็อ่านนะ) ผมเสียดายที่สุดคือ ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้เล่นกีฬานี่สิ จันทร์ถึงศุกร์เล่นไม่ได้แน่นอน เพราะว่าเลิกเรียนช้า เสาร์อาทิตย์ก็มีกิจกรรม เวลาน้อย ได้เล่น แต่ ปิงปอง (เพราะมีโต๊ะอยู่ใกล้หอ) ก็ไม่ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพเท่าไหร่เลย
เพื่อนที่ทำกิจวัตรแบบผมก็มีไม่น้อยนะครับ แล้วก็ซีเรียสเหมือนกัน แต่ว่าหลายคนมีทางออก (เช่น ไปเที่ยวกับคนรัก เล่นเกมส์ อ่านการ์ตูน) แต่ว่าส่วนมากที่ผมเห็นคือ เพื่อนๆผมไม่เครียดเพราะว่า ติดเกมส์ ไม่เข้าเรียน ไม่อ่านหนังสือ ครับ แต่พวกนี้ก็มักจะเครียดตอนใกล้ๆสอบ แล้วผมต้องรับภาระติวให้เพื่อนอีก มีเพื่อน สองคน ก่อนสอบมาหาผมถึงห้อง(มาทุกวัน) ให้ผมติวหนังสือให้ทั้งคืน แล้วบ่นให้ฟังว่ากลัวติด F ผมอยากบอกเพื่อน ทำไมไม่เข้าเรียนเล่า ผมเห็นเพื่อนๆหลายคน เตรียมสอบ Entrance ใหม่ เนื่องจากบอกว่า ยาก เรียนไม่ไหว ผมไม่อยากเป็นอย่างนั้น แต่ ผมไม่สามารถใช้วิธีคลายเครียดของเพื่อนได้ครับ เกมส์ก็เล่นไม่เป็นอ่ะครับ อยากไม่อ่านหนังสือเหมือนกัน แต่กลัวเรียนไม่รู้เรื่อง อยากเกาะคนเก่งๆ แต่ว่าก็กลัวทำข้อสอบไม่ได้ ผมจึงตั้งหน้าตั้งตาเรียน(อย่างเดียว)
ผมก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนะครับ พอทนได้ แต่ถ้าหากจะต้องทำอย่างนี้อีกจนเรียนจบ ผมคงสมองแตกตายแน่เลย เคยปรึกษาพี่คนหนึ่งอยู่ เค้าช่วยไม่ได้ เค้าบอกว่า เรียนหนักแบบนี้ ออกไปสอบ En ใหม่เลยน้องเอ๊ย เอาคณะอักษรฯ ก็ได้ เราคงจะไปรอดแหละ ผมก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน แต่ว่าผมอยากเรียนทางด้านนี้มากกว่าครับ เก็บความสามารถทางด้านอักษร ไว้เป็นความสามารถพิเศษดีกว่า อีกอย่าง เรียนอะไรก็ยากแหละ
วิชาที่เรียนอยู่ปัจจุบันผมก็รักครับ แต่ก็รักในวรรณศิลป์ ผมเคยตั้งปณิธานไว้ว่า จะเรียนcom นี่แหละ แล้วแต่งกลอนเป็นงานอดิเรกไปเรื่อยๆ ดีไม่ดี อาจจะได้ทั้งสองทาง แต่นึกไม่ถึงว่าจะเรียนหนักขนาดนี้ ผมไม่อยากทิ้งความสามารถพิเศษนี้เลย
ทุกวันนี้ฝีมือการแต่งร้อยกรอง ถดถอยลงมาก จากเดิมแต่งโง่อยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งโง่ไปอีก ไม่อยากให้เป็นอย่างนี้เลย
ปรึกษากับพ่อแม่ ท่านก็บอกให้อดทน ถ้าไม่ไหว ท่านอนุญาติให้สอบ en คณะง่ายๆกว่านี้ได้
เมื่อวานก็ไปหาหมอ หมอก็แนะนำอะไรไม่ค่อยได้ ให้วิตามิน กับ ยานอนหลับมา บอกว่าจะทำให้สมองโล่งดี แต่อย่ากินบ่อย
ผมจึงอยากรู้วิธีการคลายเครียดของพี่ๆ ที่เคยมีประสบการณ์ในรั้วมหาลัยแล้ว หรือมีกิจวัตรคล้ายคลึงกับผมครับ
และอยากถามวิธีคลายเครียด ของ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เมื่อเกิดความเครียดในเรื่องอื่นๆ ด้วยครับ เผื่อผมจะได้นำมาใช้บ้าง
ขอบคุณครับ
ปล.ร่ายมาซะยาว ขอบคุณที่อดทนอ่านผมบ่น จนจบครับ
20 ตุลาคม 2549 21:08 น.
ห้วงคำนึง
ตามที่กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.)ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้จัดงานเทศกาลประเทศไทย 2006 ในเยอรมนี (Thailand Festival 2006 in Germany) ณ ศูนย์การประชุมนานาชาติ หลุยส์ อัลเบิร์ต ฮอลล์ เมืองออเบอร์ฮาวสัน สหพันธรัฐเยอรมนี นายสมเศียร พานทอง หรือ ชาย เมืองสิงห์ ศิลปินแห่งชาติสาขา ศิลปะการแสดง กล่าวว่า ตนได้มาร่วมงานโดยได้ร้องเพลงให้ทั้งชาวไทยและชาวเยอรมันได้ฟัง อาทิ เพลง 60 ปี ใต้ร่มพระบารมี พ่อหลวงในดวงใจ ซึ่งพบว่า ทั้งชาวไทยและเยอรมันต่างตั้งใจฟังเพลงอย่างมาก และเพลงไหนที่มีท่วงทำนองสนุกสนานก็จะลุกขึ้นมาเต้นตามจังหวะเสียงเพลง จึงทำให้บรรยากาศของงานมีความสนุกสนานและยังทำให้ชาวต่างชาติรู้จักเพลงลูกทุ่งของไทยมากขึ้นด้วย ในขณะเดียวกันผู้มาร่วมงานยังได้ซึมซับถึงเอกลักษณ์ความเป็นชาติไทย คือ ภาษาไทย ที่นำมาแต่งเป็นเนื้อร้อง ผสมผสานกับเทคนิคการร้องแบบเพลงไทยโบราณและเพลงไทยสากล ซึ่งทำให้ฟังง่ายและเป็นของแปลกที่สามารถ เรียกความสนใจ จึงทำให้ชาวเยอรมันประทับใจในเพลงลูกทุ่งของไทยเป็นอย่างมาก
นางสุคนธ์ พรพิรุณ ครูเพลงอาวุโส กล่าวว่า ตนได้นำคณะนักร้องวงดนตรีสากล กรมประชาสัมพันธ์มาร่วมแสดงให้ชาวเยอรมันได้เห็นความสุนทรีของเสียงเพลง ซึ่งครั้งนี้ได้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ มาขับร้องให้ผู้ที่เข้าร่วมงานได้รับฟัง และได้รับทราบถึงพระอัจฉริยภาพทางด้านดนตรีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งการได้มาร่วมงานครั้งนี้ทำให้พบว่ามีคนไทยในต่างประเทศและชาวต่างชาติจำนวนมากที่ให้ความสนใจกับวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงลูกทุ่ง แต่น่าเสียดายที่คนไทยซึ่งอู่ในประเทศกลับไม่ค่อยให้ความสนใจมากนัก โดยเฉพาะเด็ก และเยาวชนในปัจจุบันที่หันไปสนใจวัฒนธรรมอื่น ๆ เช่น เพลงสตริง แถมยังร้องโดยออกเสียงภาษาไทยแบบผิด ๆ เช่น คำว่า เธอ รัก หรือ ฉัน เป็นต้น ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงการร้องเพลงที่ออกเสียงภาษาไทยแบบไม่ถูกต้องเป็นอย่างมาก เพราะจะส่งผลกระทบต่อการใช้ภาษาไทยของเยาวชนตน จึงอยากให้คนไทยหันมาสนใจภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยให้มากกว่านี้
ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับ วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ.2549
24 กันยายน 2549 22:22 น.
ห้วงคำนึง
INNเกาะติดสถานการณ์
>
>โดยทีมข่าว INN News 20 กันยายน 2549 03:30:36 น.
>
>18.30 น. มีข่าวลือสะพัด กำลังทหารเตรียมเคลื่อนกำลังพล
>โดยมีรายงานว่าหน่วยรบพิเศษจากลพบุรีราว 1 กองพันเคลื่อนกำลังด่วนเข้ากรุงแล้ว
>19.00 น. ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ยืนยัน
>ไม่มีการเคลื่อนไหวกำลังพล
>19.30 น. แม่ทัพภาค 3 ยืนยัน ไม่มีการเคลื่อนกำลัง ยังฝึกปกติ
>20.00 น. นายทหารคนสนิทประธานองคมนตรี ยืนยัน มีการเข้าเฝ้า เมื่อช่วงเย็น
>เรื่องทำบุญ หม่อมหลวงบัว
>21.00 น. ทหารรบพิเศษ สองคันรถบัสเคลื่อนพลเข้ากองบัญชาการกองทัพบก
>สั่งปิดไฟสลก.
>21.20 น. มีทหารเฝ้าประตูวังสุโขทัย มากกว่า 20
>21.20 น.นายกฯสั่งช่อง 11 เตรียมการถ่ายทอดสดทางโทรศัพท์ จากนิวยอร์ค
>21.35 น. เลขาธิการนายกฯเข้าทำเนียบ
>21.40 น. รถถ่ายทอดททบ.5เคลื่อนเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก
>22.40 น. นายกฯสั่งช่อง 9 เตรียมถ่ายทอดสดจากนิวยอร์ค
>21.45 น. เลขาฯนายก หอบเอกสารปึกใหญ่ นั่งรถ
>รองนายกฯชิดชัยออกจากทำเนียบรัฐบาล
>22.00 น. กองบัญชาการตำรวจนครบาลสั่งปิดประตู
>พร้อมวางกำลังเจ้าหน้าที่อาวุธครบมือประจำการประมาณ
>22.10 น. ทหารเตรียมเคลื่อนกำลังออกจากม.พัน 4
>22.13 น. ยานหุ้มเกราะ 20 คันเคลื่อนจากเกียกกายสู่ลานพระรูป ขณะที่รถถัง 3-4
>คันเคลื่อนไปทำเนียบ
>22.14 น. ทหารเคลื่อนพลปิดล้อมทำเนียบ รัฐบาลแล้ว
>22.14 น. รถถัง 3 คันประจำการแยกเกียกกาย บ้านสี่เสาเทเวศน์
>รถถังสองคันพร้อมรถบรรทุกกำลังพล 5 คันเคลื่อนออกจากกองพันทหารปืนใหญ่
>22.20 น. วิทยุและโทรทัศน์ทหารเปิดเพลงมาร์ชกระหึ่ม ทหารยึดอสมท.
>22.24 น. ทหารเคลื่อนกำลังพลปิดบ้านนายกฯ
>ขณะที่นายกฯประกาศใช้พรก.ฉุกเฉินต้านทันควัน พร้อมสั่งย้าย
>ผบ.ทบ.เข้ารายงานตัวกับชิดชัย ตั้งผบ.สส.เป็นผู้มีอำนาจสั่งการตามพรก.
>22.26 น. ทหารสั่งตัดไฟสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ขณะนายกฯกำลังประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน
>22.40 น. มีการตัดสัญญาณ ฟรีทีวีทุกช่อง
>22.41 น. Cnn รายงานสถานีวิทยุและโทรทัศน์ไทย ถูกปิดหมดแล้ว
>และมีรายงานการประกาศใช้พรก.ฉุกเฉิน
>22.44 น. ทหารสั่งกักบริเวณ ผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล
>22.55 น. ทหารปล่อยให้สื่อมวลชนกลับบ้านแล้ว
>23.00 น. ทหารควบคุมตัวพลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
>รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
>23.05 น.
>มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองซึ่งประกอบด้วยสี่เหล่าทัพขอความร่วมมือจากประชาชนหลัง
>ควบคุมสถานการณ์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลไว้ได้โดยไม่มีการต่อต้าน
>23.10 น.เจ้ากรมกิจการพลเรือนทหารสั่งสถานีวิทยุ ในเครือกองทัพ( ๑๐๑
>)เตรียมรับสัญญาณถ่ายทอดสดจากสถานีวิทยุ ๙๙.๕
>23.15 น. ทหารสั่งปลดอาวุธเจ้าหน้าที่ตำรวจรักษาความปลอดภัยทำเนียบรัฐบาล
>และกักบริเวณไว้หน้าตึกไทยคู่ฟ้า
>23.27 น. พลตรี ประพาส สกุนตนารถ ที่ปรึกษาททบ.๕
>ออกแถลงการณ์ประกาศคณะปฏิรูปอย่างเป็นทางการ
>23.30 น. มีข้อความแพร่ไปทาง มือถืออ้างพลเอกเปรมปฏิวัติแต่ในหลวงไม่เอาด้วย
>23.31 น.
>ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศเป็นศัตรูกับรัฐบาลที่ทำการยึดอำนาจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
>23.40 น. มีการสั่งปลดอาวุธ ตำรวจหน่วยอรินทราชและคอมมานโดทั้งหมด
>23.50 น. มีประกาศจากคณะปฏิรูปการเมืองครั้งที่ ๒
>แจงก่อเหตุเพราะมีการบริหารราชการแผ่นดินส่อไปในทางทุจริตอย่างกว้างขวางองค์กรอิสระถูกครอบงำไม่เป็นไปตามเจตนารมย์รัฐธรรมนูญ
>การดำเนินกิจกรรมทางการเมืองมีอุปสรรค
>หมิ่นเหม่ต่อการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระมหากษัตริย์อยู่หลายครั้ง
>คณะปฏิรูปไม่ประสงค์จะยึดอำนาจเพื่อบริหารเอง
>แต่จะคืนอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินอันมีพระมหากษัตริย์
>เป็นประมุขให้ปวงชนชาวไทยโดยเร็วที่สุด
>23.55 น. มีการตัดสัญญาณ โทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก ( ยูบีซี ) ช่อง ๕๓
>ของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น
>23.59 น.
>ผู้บัญชาทหารทุกเหล่าทัพเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระตำหนักจิครลดารโหฐาน
>พระราชวังดุสิต
>00.24 น. มีรายงานการปะทะกันที่บริเวณกองพันทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์บางเขน
>00.28 น. พลตรี ประพาส สกุนตนารถ ที่ปรึกษาททบ.๕
>อ่านแถลงการประกาศกฎอัยการศึกบังคบใช้ทั่วประเทศตั้งแต่ ๒๑.๐๕ น.ของวันที่ ๑๙
>กันยายน ๔๙ โดยมีพลเอก สนธิบุญรัตนกลิน เป็นหัวหน้าคณะปฏิรูปฯ
>00.30 น. มีประกาศคณะปฎิรูป การปกครองฯฉบับที่ ๒ สั่งห้ามเคลื่อนย้ายกำลังทหาร
>โดยไม่ได้รับคำสั่งจากคณะปฏิรูป
>00.41 น. แกนนำพันธมิตร สนธิ ลิ้มทองกุล
>ประกาศยกเลิกกำหนดนัดชุมนุมพันธมิตรในเย็นวันนี้
>00.43 น. มีประกาศคณะปฏิรูปฯฉบับที่ 3 ให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540
>,วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร
>คณะรัฐมนตรีและศาลรัฐธรรมนูญสิ้นสุดลง,องคมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและให้ศาลยุติธรรมยังคงมีอำนาจในการพิจารณาอัฐคดีและตามประกาศคณะปฏิรูปฯ
>
>01.15 น.
>ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพเข้าหารือในกองบัญชาการกองทัพบก
>
>01.29 น. มีประกาศคณะปฏิรูป ฉบับที่ 4
>ให้บรรดาอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีเป็นอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิรูปหรือผู้ได้รับมอบหมาย
>และให้ปลัดกระทรวงแต่ละกระทรวงมีอำนาจปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง
>
>02.15 น. คณะปฎิรูป เผยแพร่ภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
>ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก
>และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เพื่อกราบบังคมทูลถวายรายงาน
>ถึงสถานการณ์บ้านเมืองและการเข้ามาปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
>เพื่อรักษาความสงบเรียบร้องของบ้านเมือง
>
>02.30 น. คณะปฎิรูป ออกประกาศให้ วันนี้ ( 20 ก.ย. ) หน่วยงานราชการ ตลาดหุ้น
>ธนาคาร เป็นวันหยุดราชการ และให้หัวหน้าส่วนราชการรายงานตัวต่อต้นสังกัดในเวลา