17 เมษายน 2548 18:55 น.
หมูก้อย
..จิ๊ป จิ๊ป จิ๊ป..
เสียงนกเจี๊ยวจ๊าวจ้าละหวั่นแต่หัววัน เธอทนนอนต่อไปไม่ไหว จึงจำใจต้องลืมตาตื่นแล้วสำรวจกับห้องใหม่ที่แปลกตา เตียงสองเตียงกับผ้าห่มและผ้าปูที่สีขาวสะอาดตา หน้าต่างหนึ่งบานคั่นกลางระหว่างเตียงทั้งสองซึ่งประดับด้วยผ้าม่านผืนบางๆสีลาเวนเดอร์ที่กำลังโบกสบัดคล้ายกับเป็นการต้อนรับผู้ที่เข้ามาอาศัยคนใหม่ในห้องนี้ สุดปลายเตียงมีตู้ใส่เสื้อผ้าสองตู้คู่กันชิดกับผนังห้อง แล้วดูเหมือนจะมีเด็กผู้หญิงร่วมห้อง. นั่งจัดสัมภาระของแอนนี่เข้าตู้ให้อยู่เสียด้วย และด้วยความเกรงใจของแอนนี่อย่างสูงจึงต้องขัดการจัดสัมภาระเข้าตู้ของบุคคลผู้นั้น
อะ เอ่อนั่น
เอ่อ..นี่เหรอ แหะๆฉันคงจะยุ่มย่ามกับสัมภาระเธอมากไปล่ะมั้งเนี่ย ว่าแต่ว่า เมื่อวานพอฉันกลับมาถึงห้อง เธอก็หลับอยู่บนเตียงซะแล้ว ยังไม่ทันคุยอะไรกันเลย เฮ่อน่าเสียดาย น่าเสียดาย เจ้าหล่อนมีผมสีน้ำตาลไหม้ยาวประบ่า นั่งหันหลังจัดสัมภาระให้พลางถอนหายใจเฮื๊อกใหญ่ แต่ก็ยังไม่วายหยุดจัดเสียที เธอเป็นเด็กใหม่ใช่ม้า ประธานพาชมหอรึยังล่ะ? ฉันพาไปทัวร์ให้เอามั้ย
เออ ฉันคงถูกเกลียดขี้หน้าซะล่ะมั้ง ก็เลยยังไม่ค่อยได้ดูได้ชมซักเท่าไหร่ เอ่อ..ยังไงดีล่ะ รบกวนด้วยนะ
คราวนี้เจ้าหล่อนหันหน้ามาคุยกับแอนนี่ตรงๆ เห็นได้ชัดว่าเจ้าหล่อนหน้าตาดูดีทีเดียว ใบหน้ารูปไข่ คล้ายกับใครบางคน แว่นเล็กๆกะทัดรัดวางอยู่บนดั้งจมูก ดวงตากลมโตสุกใสออกสีน้ำตาลอ่อนๆ แกมนวลขาวออกชมพูเรือๆ
แล้วเธอไปรู้ได้ไง คุณพี่นั่นเค้าออกจะเย็นชาจะตาย ช่างเถอะเราออกไปข้านนอกกันเถอะ
**************************************************************************
ซื๊ด
แอนนี่หายใจเข้าพลางๆคิดว่า เรื่องราวทั้งหมดเป็นความฝันหรือว่าเป็นเรื่องจริงกันแน่ แต่แล้วเธอจำเป็นต้องหยุดห้วงคิด เพราะเพื่อนข้างๆตัวสะกิดเรียกเธอ หลังจากที่ออกจากห้องนอนมาซักพัก
เธอเป็นไรรึเปล่า ดูใจลอยจังนะ
ปะเปล่าจ้า แค่กำลังคิดอะไรเพลินๆไปหน่อยหน่ะ นั่นน่ะคืออะไรหรอ???
อาใช่แล้ว ไอนั่นหน่ะ เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของโรงเรียนเราเลยเชียวแหละ ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าเข็มชี้บนหน้าปัดแต่ละหน้านั้นต่างกันใช่ม้า นั่นหน่ะเค้าจะไว้บกคะแนนของแต่ละหอ แล้วก็นะ หน้าปัดแต่ละหน้าจะหันไปยังหอแต่ละหอ ซึ่งถ้ากลับไปอยู่ที่ห้องก็จะเห็นคะแนนได้ชัดเจนเลยทีเดียว ช่ายๆ แล้วยังมีเรื่องเล่าของหอนาฬิกาที่สืบทอดต่อๆกันมาด้วยนะ ว่ากันว่า ถ้าใครไปยืนอธิฐานหรือไม่ก็เก็บดอกไม้ใต้หอนั่นล่ะก็คำอธิฐานจะสมปรารถนาด้วยล่ะ.
ว้าว!ยอดเลยสาวน้อนคนฟังอุทานออกมา พร้อมคิดไปต่างๆนานา แล้วหยุดความคิดตรงที่
ถ้าแคตตี้ได้ยินเข้า คงต้องพากันไปสำรวจแน่
แต่ มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องเล่ามันก็แค่เรื่องเล่า
อ๊า ทำไมล่ะ???
ก็เพราะฉันเองก็เคยไปสำรวจมาแล้วน่ะสิ เธอบอกเสียงเศร้าๆ พลางส่ายหัวไปมา แล้วพูต่อ ฉันก็เคยอยากจะขอพรซังกะบ๋วยนั่นมั่งน่ะสิ แบบว่านะ ฉันหน่ะไม่เคยมีเพื่อนเลย ไม่สิๆ กระต่ายที่ฉันเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของฉัน แต่แล้วพอเข้าโรงเรียนมาไม่นาน จู่ๆ มันก็ตายถึงตอนนี้น้ำตาของเจ้าหล่อนเริ่มคลอเบ้า แอนนี่พยายามที่จัดขัดขึ้นแต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ฉันพยายามอย่างมากที่จะชุบชีวิตมันอีกครั้ง ฉันจึงคิดที่จะไปหอนั่นซักครั้ง แต่ยิ่งเดินเข้าใกล้เท่าไหร่ก็กลับยิ่งไกลมาขึ้น ท้ายที่สุด พอรู้ตัวอีกทีก็เดินมาถึงหอพัก กลับมายังจุดเริ่มต้น แล้ว แล้ว ฮึก เจ้าหล่อนเริ่มครวญครางร้องไห้ออกมา
พอแล้วๆ ฉันไม่ฟังแล้ว! แอนนี่ตัดสินใจเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เพื่อนใหม่ข้างๆต้องนึกถึงเรื่องอดีตที่แสนเจ็บปวดออกมาอีก
อ๊ะ ขอโทษ ฉันเข้าเรื่องตัวเองไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย คงเพราะอย่างงี้ล่ะมั้งถึงไม่มีคนคบล่ะ
อื่อ! เอ๊ย ไม่ใช่ๆหรอกนะ
อาาาา เจ้าหล่อนน้ำตาคลอเบ้าอีกครั้ง แล้วโผเข้ากอดแอนนี่ หยั่งงี้เหรอๆ เสียงของเจ้าหล่อนพึมพำออกมา แล้วคลายมือที่กอดออก พูดกับแอนนี่ว่า0เราเป็นเพื่อนกันได้มั้ย??? นะ?
แอนนี่ประหลาดใจกับคนตรงหน้านี้ รึเค้าคิดว่า ฉันเป็นแค่รูมเมทของเค้าเท่านั้น งั้นเหรอ ฉันคิดไปเองคนเดียวรึว่า เค้าเป็นเพื่อนฉัน น่ะ น่าน้อยใจจัง ลองแหย่เล่นดูหน่อยดีกว่า
ว่าไง?
เอ๋.. เอาไงดีน้า
ก็เป็นเพื่อนกับฉันไง
อืมม... ถ้าตอบว่าไม่ล่ะ สีหน้าบูดบึ้งเริ่มปรากฎให้เห็นเด่นชัดบนใบหน้ารูปใข่ตรงหน้า บ่งชัดถึงความไม่พอใจ
- -แหมสำเร็จ- -
ขอโทษจ้าๆ ฉันล้อเล่นหน่ะล้อเล่น แหมก็มันน่าน้อยใจนี่นาที่คิดไปเองคนเดียวว่าเธอเป็นเพี่อนแล้วอ่ะ
เธอ เจ้าหล่อนพึมพำ น้ำตาเอ่อคลอในดวงตาคู่กลมอีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เธอกระอักกระอวลใจอีกครั้ง เพราะไม่รู้ว่าเธอไปพูดผิดอะไรตอนไหน และที่น่าประหลาดใจที่สุดของสุด ก็คือเพื่อนใหม่ตรงหน้ากระโดดเข้ากอด ร้องไห้ฟูมฟาย
ส่วนคนถูกกอดก็ทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจทำหน้าที่ปลอบใจให้กับเพื่อนใหม่ตรงหน้า เพียงเท่านั้นคนกระโดดเข้ามากอดหยุดฟูมฟาย แล้วตั้งคำถามกับผู้ปลอบใจตนตรงหน้า
เธอปลอบใจฉันเรื่องไรอ่ะ?
!?
..
ก็เธอกำลังร้องไห้ ฉันเป็นเพื่อนก็ต้องปลอบเพื่อนสิ
อืม~~~ ฉันร้องไห้ไม่ใช่เพราะเสียใจ แต่ร้องเพราะดีใจต่างหาก
เหรอ แหะๆ
~_~ เพื่อนใหม่ตรงหน้าแสดงท่าทีเหนื่อยหน่ายใจเป็นครั้งแรกกับความซื่อของเธอ และในเวลาต่อมาก็แสดงถึงท่าทีที่นึกบางสิ่งบางอย่างออก แล้วเปิดใจพูดกับเธออย่างหมดเปลือก
เราคุยถูกคอกันมาตั้งนานแต่ดันลืมถามชื่อ แย่จังเลยเนอะ ฉันชื่อ เทียร์น่า ล่ะ เทียร์น่า เมย์โครว เกิดวันที่ xx / xx / xxxx เลือดกรุ๊ป x.. เป็นการแนะนำตัวที่ยาวเยียดแม้แต่ผู้แต่งก็ไม่มีความสามารถพอที่จะเขียนลงมาได้หมด
แหะ เอาเป็นว่าให้ฉันเรียกเธอว่า เทียร์น่าใช่มั้ยอ่ะ
ใช่ คำตอบสั้นๆ ง่ายๆ แต่ได้ใจความชัดเจน แล้วตั้งต้นประโยคถามขึ้นใหม่ หากแต่ยังไม่สามารถพูดออกมาได้ เนื่องจากขบวนแห่อะไรสักอย่างเข้ามาขัดขวางการสนทนา
ขบวนอะไรหน่ะ???
ขบวนแห่พวก พ่อยอด/แม่ยอดTopTenน่ะสิ
เหรอ~~~มีการแห่แบบนี้ด้วยรึนี่ มันทำเอาฉันไม่กล้าไต่ขึ้นมาเป็นท๊อปเท็นเลยนะ
อืม~~~ เทียร์น่าทำสีหน้าครุ่นคิด เนื่องจากเจ้าหล่อนลืมคำถามที่กำลังจะตั้งต้นถามเพื่อนสาวเมื่อครู่ไปเสียแล้ว
คิดอะไรอยู่เหรอ เห็นคิดตั้งนานแล้วนะ
ใช่ เทียร์น่าใช้เวลาคิดนานมาก จากขบวนแห่ที่หนึ่ง จนบัดนี้ขบวนที่ห้า ขบวนสุดท้ายแล้ว อ้อ! ลืมไป โรงเรียนแห่งนี้มีห้าระดับชั้น และในแต่ละขบวนก็จะมีสิบคนที่ได้นั่งในลำดับที่พิเศษ นั่นก็คือ นักเรียนที่ได้ท๊อปเท็นในแต่ระละดับชั้น ซึ่งวัดจากระดับคะแนนจากผลสอบ จากความอัธยาศัย หรือจากด้านกานกีฬา ฯลฯ คละกันไป ซึ่งก็หมายความว่า นักเรียนท๊อปเท็นไม่ได้อาศัยแค่ความฉลาดเพียงอย่างเดียว
อ๊ะ! จริงสินึกออกแล้ว ชั้นอยากถามเธอว่า เธอชื่อ
ออกห่างจากยัยนั่นซะ เทียร์น่า น้ำเสียงกึ่งดุกึ่งวางอำนาจโผล่ออกมาจากหัวขบวนท๊อปเท็นปีห้า
ยัยนั่นคือทายาทที่น่าชิงชังคนนั้น แอนนิต้า คลู ดิลูสนั่น คราวนี้หล่อนมาด้วยความมาดมั่นดังนางพญา ไม่แสดงออกให้เห็นถึงความหวาดกลัวอย่างเมื่อครั้งก่อน แววตาที่แสนเย็นชาชี้ชัดถึงแรงอาฆาตภายใต้กรอบแว่นจ้องมองแอนนี่ไม่หลงเหลือคราบของความอ่อนโยนหลงเหลืออยู่เลย
จะจริงรึพี่? ในเวลานี้เทียร์น่าต้องการแต่ความจริง จึงหันมาเค้นความจริงจากแอนนี่อีกครั้ง เพราะไม่อยากเชื่อว่า เพื่อนใหม่/เพื่อนคนแรกของเขานั้นจะเป็นทายาทที่น่ารังเกียจคนนั้นไปได้
อืม ฉันคือ แอนนิต้า คลู ดิลูส
[-:-โปรดติดตามตอนต่อไป-:-]
31 มีนาคม 2548 11:09 น.
หมูก้อย
ตอนที่2 สายเลือดที่น่ารังเกียจ
ท่ามกลางเหล่ามวลไม้น้อยใหญ่ บรรดาสัตว์ที่รักสงบกลับตื่นกลัวบางสิ่งบางอย่างที่บุกรุกเข้ามาทางถนนที่ตัดผ่านไปยังบ้านหลังใหญ่ พวกเขาเดินทางสายนี้มุ่งตรงไปเรื่อยๆ และหยุด ณ บ้านหลังนั้น
~~กริ๊งก่อง~~
อ้าว! โอ๊ะโอ๋!!! เพื่อนแอนนี่หรือจ๊ะ มาๆเข้ามาก่อน เธอเป็นหญิงร่างท้วม ใส่ผ้าคลุมไหล่กำมะหยี่สีเขียว เดินนำเข้าไปในบ้าน
พวกเขาเดินตามนางเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านที่มืดๆสลัวๆนี้กับตกแต่งด้วย โคมไฟ[แม้จะเป็นแสงเทียนก็เหอะนะ]ต่างๆนานาหลากหลายชนิดทั่วบ้าน โซฟาสีเขียวอ่อนๆ[แซมเด็กชายหน้าตาขี้เล่นต้องเพ่งพิจารณาอยู่นาน เนื่องด้วยแสงสลัวๆจากเทียน] ผนังทุกด้านทาสีแดงเข้มจนน่ากลัวแต่กลับมีลวดลายนานาชนิด มีรูปภาพน้อยใหญ่แขวนอยู่มากมาย และมีนาฬิการูปร่างแปลกตาอยู่บนผนัง ซึ่งแน่นนอนว่าต้องมีแสงเทียนส่องสว่างเพื่อให้เห็นได้ชัด และท้ายที่สุดมีกองหนังสือที่ตั้งเรี่ยราดอยู่ทุกตารางนิ้ว ซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีพื้นที่ที่ว่างเพียงพอสำหรับเด็กทั้ง4คน ได้นั่งเพียงพอ นางกระวีกระวาดจัดตั้งหนังสือเมื่อมองดูและคิดคำนวนว่าจะจัดกองหนังสือไว้ที่มุมห้อง
มาหาแอนนีรึจ๊ะ แอนนี่ไม่อยู่แล้วล่ะจ้า นางพูดเมื่อนางจัดกองหนังสือเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วจัดแจชี้ไม้ชี้มือให้นั่ง นั่งก่อนสิ อา แอนนี่ เอ่อ.. แอนนิต้า คลู ดิลุสไปเข้าโรงเรียนในฟาเลสก้าแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ เขาไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วล่ะ เอาเป็นว่าฉันจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังก็แล้วกันนะ
เรื่องมันมีอยู่ว่า.
**************************************************************************
ขณะเดียวกัน เด็กผู้หญิงผู้มาเข้ารับการศึกษาจากโรงเรียนเซนต์ลูเซีย ซึ่งเป็นโรงเรียนสหศึกษาสำหรับเหล่าผู้วิเศษล้วนๆ เด็กหญิงเดินตรงลิ่วไปที่หน้าประตูบานใหญ่มหึมา สีดำตามที่คุณน้าบอกมา เมื่อเธอหยุดและเคาะประตูทันที
เข้ามา
เธอข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไปแล้ว เดินมุ่งตรงไปยังจุดหมายข้างหน้า หยุดอยู่ตรงหน้าชายชราผู้มีสง่าราศีจนดูน่าเกรงขาม มีผมยาวสีเงินคลุมไปยังไหล่ มีผ้าคลุมสีกรมท่าปะปรายกับลวดลายต่างๆไปจนถึงพื้น ชายผู้นั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้หลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าเธอ บรรยากาศไม่เคร่งเครียดอย่างที่คิดแต่กลับอบอุ่นอย่างน่าประหลาด เธอเดินเข้าไปใกล้เขาอีกครั้งแล้วหยิบซองสีขาวในเสื้อคลุม ยื่นส่งไปให้กับชายชราตรงหน้า พร้อมกับแนะนำตัว
เอออ.. แอนนิต้า คลู ดิลูส จากคลูเลสก้าค่ะ แอนนี่เริ่มต้นกล่าวทักทาย ในขณะที่ชายชราตรงหน้ากำลังแกะซองเปิดอ่านข้างใน ไล่ตาจาซ้ายไปขวาแล้วก็ซ้ายไปขวานานออยู่หลายครั้ง เมื่อเขาอ่านจบ เขาก็ทำอะไรบางอย่างกับเข็มกลัดเสื้อทั้งสี่อันที่มีรูนก เต่า มังกรและเสือ ที่วางอยู่บนโต๊ะเขา
อา สงสัยอย่างงั้นรึ? เขาเอ่ยเป็นประโยคแรก ซึ่งในขณะที่แอนนี่กำลังเหม่อมองเข็มกลัดทั้งสี่อยู่นั้น เขาก็ถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงขบขันปนเอ็นดู
อะ ค่ะ
อืมมันเป็นเข็มกลัดที่เอาไว้ใช้เรียกประธานหอมารวมกันตรงที่ผู้เรียก ซึ่งประธานหอก็จะมีเข็มกลัดแบบนี้อีกอันเป็นเครื่องรับล่ะ โดยที่หอแต่ละหอจะมีรูปสัตว์เป็นสัญลักษณ์ประจำหอ นก:หอใต้ คัดเลือกจากหญิงทีมีปัญญาเฉียบแหลม เต่า:หอเหนือ จากหญิงเหล็กผู้มีกำลังกาย มังกร:หอตะวันออก ชายผู้มีความคิดล้ำเลิศ และสุดท้ายคือ เสือ:หอตะวันตก คัดจากชายผู้มีกำลังกายแข็งแกร่ง.เขาอธิบายจบก็ยิ้มให้แอนนี่ที่ทำหน้าอย่างครุ่นคิดเอาเป็นเอาตาย
- - แล้วฉันจะได้อยู่หอไหนล่ะเนี้ย >-พุ่งพรวดเข้ามาในห้องทันทีทันใด
อาจารย์ใหญ่มีอะไรให้รับใช้คะ??? หญิงหนึ่งในสี่ที่เข้ามาเปิดประเด็น เธอแต่งตัวตามระเบียบเป๊ะๆ จมูกโด่ง พร้อมจัดแว่นให้เข้ากับใบหน้ารูปไข่ของเธอ หญิงคนถัดมาเป็นคนรูปร่างสันทัด ใส่เสื้อผ้าหลุดดรุ่ย ทำให้ดูเหมือนเป็นคนเรียบง่าย ถัดมาอีกเป็นผู้ชาย ค่อนข้างรวยกล้าม นอกนั้นไม่มีอะไรเด่น ดูไปดูมากเหมือนพวกสมองกลวงเสียด้วยซ้ำ และคนสุดท้าย นักเรียนชายผมเรียบแปร้ แต่งตัวเรียบร้อยเข้าทีที่สุดสำหรับคนทั้งห้อง ซึ่งทั้งหมดน่าจะประธานหอ เดาได้ไม่ยากเพราะแต่ละคนที่เข้ามานั้นติดเข็มกลัดซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประธานหอ
นี่นักเรียนใหม่ของเรา เขาจะอยู่กับเราในหอเหนือหรืออาจจะเป็นหอใต้ ซึ่งที่ฉันเรียกพวกเธอมาก็ไม่มีอะไรอื่น นอกจากมาเป็นสักขีพยานในการคัดเลือกหอ และเมื่อคัดเลือกออกมาแล้วก็ขอให้ประธานหอเป็นผู้รับผิดชอบพาไปแนะนำสถานที่ต่างๆภายในโรงเรียน เอาล่ะเริ่มล่ะนะ ชายชราผู้น่าเกรงขามตรงหน้าตอบคำถามให้กับบรรดาสมาชิกร่วมห้องคนใหม่ที่เข้ามาถึง พร้อมกับกำลังหาของบางอย่างจากโต๊ะเบื้องหน้าของเขา
และเมื่อหาอะไรบางอย่างที่ว่าเจอ ซึ่งมันคล้ายกับลูกแก้วสีใส มีขนาดพอๆกับลูกเบสบอลก็ไม่ปาน แล้วชายผู้เป็นอาจารย์ใหญ่หันกลับมาคุยกับแอนนี่อีกครั้ง
เอาล่ะ ต่อไปฉันจะส่งลูกแก้วนี้ไปให้เธอ ขอให้เธอรับมันไว้ ไม่ว่าลูกแก้วนี้จะเป็นไปเป็นสีอะไรก็ตาม !!อย่าปล่อยมือจากมันเด็ดขาด จำไว้อย่าปล่อยมือ เขาพูดกับเธอจบก็หันหน้าไปเผชิญหน้ากับนักเรียนทั้งสี่ของเขาอีกครั้ง แล้วเสียงประกาศอันดังกึกก้องซึ่งเล็ดลอดออกมาจากปากของเขาว่า แอนนิต้า คลู ดิลูส เธอจะมาเป็นสมาชิกใหม่ของเรา ซึ่งตามปรกติแล้วน่าจะมีเสียงปรบมืออันกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณ แต่กลับไม่มีเสียงอะไรซักแม้เพียงเสียงเข็มหมุดตก บรรยากาศอันอบอุ่นหายไปชั่วพริบตา หลงเหลือเพียงแต่บรรยากาศอันเคร่งเครียดต่างจากเมื่อครู่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ชวนน่าอึดอัดใจยิ่งนัก
อะแฮ่ม เสียงของอาจารย์ใหญ่ทำให้เธอตื่นจากภวังค์อีกครั้ง เธอยื่นมือออกไปรองรับเจ้าลูกแก้วตรงหน้าจากอาจารย์ใหญ่ที่พยายามจะส่งให้เธอ เธอรับไว้ แต่แล้วลูกแก้วที่ควรจะเป็นสีสดใสกลับไม่ใช่สีสดใสอีกต่อไปแล้ว เนื่องจากมีควันสีแดงพวยพุ่งอยู่ภายในลูกแก้ว เธอพยายามสบตากับคนในห้อง ซึ่งเริ่มไล่จากประธานหอทั้งสี่ เธอสังเกตเห็นว่า ประธานหอทุกคนพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบเลี่ยงสายตาของเธอ แต่กระนั้งก็ยังเห็นได้ชัดเจนอยู่ดีว่าใบหน้ารูปไข่หลังกรอบแว่นดูซีดลงต่างจากตอนแรก
อา เป็นอันตกลง เธอได้ไปอยู่หอใต้ มาเรียจะเป็นคนพาชมโรงเรียน ส่วนของ เอ้อ สัมภาระของเธอฉันจะให้คนมาขนไปไว้ที่ห้องของเธอเอง คุณครูใหญ่พูดจบพลางพยักเพยิดไปทางหญิงผู้ซ่อนใบหน้าไว้หลังกรอบแว่น
**************************************************************************
เธอเดินตามระเบียงมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ยังไม่มีบทสนทนาแม้เพียงคำเดียว มีเพียงบรรยากาศอันเคร่งเครียดชวนน่าอึดอัดใจยิ่งนัก เธอเลยสร้างคำพูดทำลายบรรยากาศในตอนนี้ แต่กลับได้คำพูดที่คาดไม่ถึงกลับมา
รุ่นพี่คะ ไอนั่นหน่ะคืออะไรหรอคะ??? เธอชี้ไม้ชี้มือไปที่หอนาฬิกาสี่ด้านตั้งอยู่กลางโรงเรียน ซึ่งแต่ละด้านนั้นบอกเวลาไม่ตรงกัน
คะคลู ดิลูส ทายาทคนน่ารังเกียจมาโรงเรียนฉัน อยู่หอพักฉัน แย่ล่ะต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นกับหอพักฉันล่ะเนี่ย ใบหน้าที่ขาวซีดครุ่นคิดอย่างหนักราวกับคนเสียสติ
คะ ตะกี้รุ่นพี่ว่าอะไรนะคะ ใบหน้าของแอนนี่เลิกคิ้วสูงขึ้น แต่คิ้วในยามนี้ของเธอยังไม่สูงเท่ากับของรุ่นพี่มาเรีย ที่ในตอนนี้ใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าเก่า มีเพียงความคิดเดียวที่พุ่งขึ้นมาจากใจเธอ
หลอนอ่านใจคนได้
ไม่ต้องเสแสร้ง พอแค่นี้แหละ ฉันจะพาเธอกลับห้อง อยากรู้อะไรก็อ่านใจคนอื่นเอาเองก็แล้วกัน คำสนทนาประโยคแรกของรุ่นพี่มาเรียพร้อมทั้งส่งสายตาอันเหยียดหยามพุ่งตรงมาที่เธอ ก่อนเดินนำหน้าไป เหลือทิ้งไว้แต่ความตื่นตระหนกให้แก่ผู้ฟังที่ยืนอยู่เบื้องหลัง
[-:-โปรดติดตามตอนต่อไป-:-]
27 มกราคม 2548 12:28 น.
หมูก้อย
ตอนที่1 แตกแยก
เมื่อนานมาแล้ว มีประเทศหนึ่งซึ่งตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเล ซึ่งห่างจากแผ่นดินใหญ่หลายร้อยกิโลเมตร มีชื่อว่าฟาคลูเลสก้า แต่ต่อมาสมาพันธุ์ผู้วิเศษเกิดการเข้าใจผิด จึงบุกยึดสถานที่สำคัญต่างๆ ทางฝ่ายมนุษย์ธรรมดาก็ไม่ได้อยู่เฉยจึงรับมือป้องกัน ทำให้เกิดสงครามระหว่างผู้วิเศษกับมนุษย์ธรรมดา และก็ยุติลงได้ตรงที่มีผู้วิเศษคนหนึ่ง แบ่งแยกดินแดนผืนนี้ออกเป็น2ส่วน ส่วนหนึ่งคือชุมชนของเหล่าผู้วิเศษ ฟาเลสก้า และอีกส่วนคลูเลสก้าพื้นดินที่ซึ่งมนุษย์ธรรมดาแห่งนี้
นี่คือเหตุการณ์ที่หำให้มีคลูเลสก้าแห่งนี้ มีใครจะถามอะไรอีกมั้ย ผู้หญิงวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่บริเวณหน้าห้องเรียนพูดจบ
มือๆหนึ่งชูขึ้นในอากาศ มีค่ะ งั้นทำไมทุกวันนี้ถึงไม่ติดต่อกันล่ะค่ะ ทั้งๆที่สงครามนั้นยุติลงแล้ว สาวน้อยอายุราว13-14 มีผมยาวสยายสีทอง นัยน์ตาสีฟ้า ดวงหน้ารูปไข่บ่งบอกถึงความฉงน ยกมือขึ้นถามอย่างชัดเจน
ถามได้ดีแอนนิต้า สงครามครั้งนั้นยังไม่จบ มันจะประทุขึ้นมาได้ตลอดเวลาเหมือนกับภูเขาไฟนั่นล่ะ มีคำถามกันแค่นี้ใช่มั้ย เงียบกันไปสักพัก เธอจึงพูดต่อไปว่า ตกลง ตามที่สัญญาเสาร์นี้เจอกันที่เฟเวอร์เบียส สวนดอกไม้บนหน้าผานะจ๊ะ หวังว่าฉันคงจะเจอทุกคนล่ะ เลิกเรียน เธอพูดจบก็เดินออกนอกห้องไปโดยไม่ฟังเสียงทำความเคารพเสียด้วย ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาหลังโรงเรียนเลิก เสียงของเหล่าเด็กๆยามเย็นจึงเริ่มจอแจขึ้น
กลับบ้านกันเถอะ! แอนนี่ เด็กหญิงรูปร่างสูงโปร่ง และเพื่อนๆอีก3คน เป็นเด็กผู้หญิง1คน เด็กผู้ชาย2คน ถลันเข้ามาหาแอนนิต้า
พวกเธอนั่นเอง เอ่อ เจน แคตตี้ แซม แล้วเธอ เออ
เอ็ด เด็กหนุ่มพูดแทนเพื่อต่อให้จบประโยค
**************************************************************************
ณ ยอดเหว เวลา 9.00AM
ที่นี่เป็นสวนดอกไม้ที่สวนที่สุดและอันตรายที่สุดอีกด้วย มันมักจะมีต้นไม้ ดอกไม้แปลกๆ รวมทั้งสัตว์ อย่าไปยุ่งกับพวกมันเชียวล่ะคุณครูยังพูดสาทะยายต่อไปอีกเรื่อยๆ แต่ไม่ใครสนใจอีกแล้วทั้งหมดต่างพูดคุยกันอย่างตื่นเต้น แต่แล้วทั้งหมดก็ต่างเงียบกริบมุ่งความสนใจไปที่จุดเดียวกันอีกครั้ง หญิงวัยกลางคนซึ่งบัดนี้แต่งตัวด้วยชุดไปรเวท ซึ่งต่างจากชุดที่เคยใส่ไปสอนที่โรงเรียนอย่างสิ้นเชิง หล่อนตั้งต้นประโยคว่า
เอ้าๆสนใจฉันหน่อย ตอนนี้ฉันจะให้พวกเธอหาพื้นที่เหมาะๆเพื่อที่จะสำรวจต้นไม้เหล่านั้น แล้วมารวมตัวกันตรงนี้เวลาบ่ายสามนะจ๊ะครูพูดจบ เหล่านักเรียนนอกเครื่องแบบทั้งหลายก็กระจัดกระจายกันไปในที่ต่างๆ โดนมีเหล่าแอนนี่กับเพื่อนกระจายไปอยู่ ณ ยอดผาที่สูงที่สุดเท่าที่เด็กเหล่านั้นจะขึ้นไปได้
ณ ที่นั้นมีเหล่าดอกไม้ที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ซึ่งมันเดินได้ และมีกลุ่มดอกไม้ที่ประหลาดที่สุด ในบรรดาดอกไม้เหล่านั้น คือ มันกำลังพูดคุยอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจอาคันตุกะที่มาเยือนเลยสักนิด
เมื่อเวลาล่วงเลยมาแล้วครึ่งวัน เหล่าเด็กๆกลุ่มนี้ต่างสำรวจสิ่งมีชีวิต ณ บริเวณนั้นจนไม่เหลือแล้ว ต่างจึงพากันเบื่อหน่าย และเพียงเวลาหนึ่งเด็กหญิงผู้มีผมสั้นหยิกดำ ใบหน้ากลมมล ผิวสีแทน ผู้มีนามว่าแคตตี้เอ่ยปากออมาว่าเราขึ้นไปสำรวจดูเข้าบนต่อมั้ย เผื่อว่าจะมีต้นไม้ประหลาดๆอีก เธอพูดซ่อนด้วยยิ้มอย่างมีเลศนัย
ก็ดีนี่ ฆ่าเวลาด้วย อ่ะแต่ว่าเธอคงไม่ได้หวังให้มีการผจญภัยนะ เธอก็รู้ เราทั้งหมดไม่ชอบพวกผู้วิเศษ ถ้าเจอกับมันซึ่งๆหน้าเราจะเอาอะไรไปสู้กับพวกนั้น เด็กชายผู้ชื่อเอ็ดเอ่ยปากออกมา
เอาน่าๆ ฉันว่าแถบนี้คงไม่มีพวกนั้นอยู่หรอก เราไปผจญภัยกันเถอะเพื่อนรัก แซมเด็กชายผู้มีแววตาเจ้าเล่ห์เอ่ยออกมาบ้าง
แต่มันอันตรายเอาหน่า ทั้งชันทั้งมีหมอกคลุมเอ็ดให้ความเห็น
ไม่ต้องห่วงหรอก แบบนี้สิเค้าถึงเรียกว่าการผจญภัย ไปกันเลย!!!Let Go!!! ถึงเวลานี้แคตตี้ไม่ฟังคำเตือนของเหล่าผองเพื่อน เธอบุกนำเข้าไป ต่อด้วยแซม~เจน~แอนนี่~เอ็ด ต่อแถวเรียงกันตามลำดับ
พอยิ่งลึกเข้าก็แทบไม่มีเหล่าบรรดาต้นไม้ให้สำรวจ มาจนถึง ณ จุดๆหนึ่งซึ่งแค่ก่อนอาจเป็นที่แวะพัก แอนนี่สังเกตเห็นป้ายคำเตือนเขียนบอกไว้ด้วยภาษาที่ไม่รู้จัก แต่ก่อนที่จะบอกกับสี่เพื่อนซี้ แคตตี้ได้ลื่นไหลตกลงไปซึ่งเป็นเพราะเธอไปยื่นตรงขอบเหวพร้อมกับเพื่อนทั้งสามที่กำลังช่วยกันคว้ามือเธออย่างชุลมุน แอนนี่ได้เฝ้ามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความตกตะลึงอย่ายิ่ง และเมื่อสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วนก็ได้แต่ตะโกนเรียกหาเพื่อนทั้งสี่ที่ตกลงไปในเหวลึกแต่ไม่เป็นผล เธอร้องไห้คร่ำครวญเฝ้าวิงวอน
..ได้โปรดใครก็ได้ๆ ช่วยเพื่อนของชั้นที ได้โปรดเถอะ..
..ได้สิ เราจะช่วยท่าน..
เสียงประหลาดดังขึ้นก้องอยู่ในสมอง ไม่ทันไร ลมที่อยู่รอบๆกายพัดโหยหวนราวกับมีชีวิตและเสียใจไปพร้อมๆกับแอนนี่ ต้นไม้ใบไม้เชียวชะอุ่มจนผิดตาไปจากทีแรก แล้วผลัดใบหลุดร่วงจากลำต้นในเวลาอันรวดเร็วเคลื่อนไหวไปตามสายลมราวกับเต้นระบำพัดพาไปยังหุบเหว ในไม่ช้า สิ่งที่เธอวิงวอนก็เป็นจริง
ปาฏิหาริย์ คำแรกที่ผุดขึ้นในใจของแอนนี่ เธอแทบไม่เชื่อสายตา ใบไม้ที่หลุดร่วงลงสู่หุบเหวนำพาร่างเพื่อนทั้งสี่ขึ้นมา พร้อมทั้งรักษาแผลให้เสร็จสรรพ
ละเหลือเชื่อ แอนนี่พูดด้วยความตกตะลึง ยังอยู่ครบ32มั้ย
ใช่! เหลือเชื่อจริงๆ แซมผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดเอ่ยขึ้น ให้ตายสิ! เธอเห็นพวกเราเป็นอะไรหลอกกันได้ขนาดนี้ สะใจแล้วใช่มั้ย สมใจรึยังล่ะความโกรธจัดขึ้นหน้า พร้อมทั้งปลุกทั้งสามที่ยังหลับอยู่
ไม่ ฉันไม่รู้
ไม่รู้เรื่องอีกล่ะสิ จะพูดงี้ใช่มั้ย เอาคำอื่นมาพูดสิ บางทีฉันอาจจะเชื่อ เพราะฉันฟังคำๆนี้มาจนเบื่อแล้วล่ะ เขาหยุดตวาดพร้อมทั้งเล่าเรื่องให้คนงัวเงียทั้งสามฟัง
เมื่อฟังจบ สายตาทุกคู่พุ่งตรงไปที่แอนนี่เพียงคนเดียว แต่สายตาทั้งหมดที่จับจ้องนั้น เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ดะเดี๋ยวสิ แอนนี่พูดด้วยน้ำเสียอันสั่นเครือปะปนไปด้วยความโศกเศร้า ซึ่งใบหน้าในขณะนี้เต็ไปด้วยความหวาดผวาและรอยคราบน้ำตาซึ่งกำลังบังเกิดขึ้นมาอีกระลอก งะงั้น เรากลับกันก่อน ละแล้วค่อยว่ากันใหม่
**************************************************************************
+-+หลายวันต่อมา+-+
หมู่นี้ไม่เห็นแอนนี่เลยนะ,ว่ามั้ย แคตตี้เริ่มเรื่อง หรือเธอแซม[เธอชี้มือไปที่แซม]ที่พูดแรงไป
อ่า เพื่อนสองได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยกับแคตตี้ แซมก็ได้แต่อ้ำอึ้ง
เราจะไม่ไปเยี่ยมกันหน่อยเหรอ?เจนพูดเข้าทีที่สุด สุดซี้ทั้งสามต่างเห็นด้วย หารู้ไม่ว่าแอนนิต้าไม่ได้อยู่บ้านเสียแล้ว
[-:-โปรดติดตามตอนต่อไป-:-]
26 สิงหาคม 2547 17:51 น.
หมูก้อย
ภาคพิเศษ
ไม่ให้ฉันไปส่งจริงๆเหรอ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่ง หน้าตาคมเข้ม กล่าวขึ้น
ไม่ต้องหลอก ยูกิ ถ้าเธอไปแล้วยูเอะกับอายะกะจะอยู่กับใครล่ะ เสียงใสๆดังมาจากหญิงสาวที่กำลังจะก้าวขึ้นรถ
พ่อกับแม่ก็อยู่ หรือไม่ก็เอาไปด้วยก็ได้นี่ ยูกิยังไม่ยอมแพ้
รบกวนท่านเปล่าๆ ยิ่งเอาไปด้วยไม่ได้เพราะถึงเมืองBจะอยู่ไม่ไกล แต่ก็ไม่ใกล้เลยนะ หญิงสาวให้เหตุผล
งั้นรีบกลับนะ นายยูกิกล่าวเสียงระห้อย
จ้า คงไม่เกิน 3 วันหลอก หญิงสาวลากเสียงล้อเลียน
คุณแม่รีบกลับนะค่ะ เด็กหญิงตัวเล็กๆกล่าวขึ้น
จ้ะ อยากจะได้อะไรเป็นของฝากล่ะฮึยูเอะ หญิงสาวกล่าวอย่างรักใคร่
อะไรก็ได้ค่ะ ยูเอะตอบ
ให้สึบารุหรือคนอื่นไปเป็นเพื่อนไหม นายยูกิยังไม่คลายกังวน
เกินไปมั้ง ฉันแค่ไปหาเพื่อนเองนะ ให้ฉันอยู่เป็นส่วนตัวกับเพื่อนๆไม่ได้เหรอ หญิงสาวพูดพลางหัวเราะ
ฉันเป็นห่วงเธอนี่อายูมิ นายยูกิกล่าว
ไม่ต้องห่วงอะไรนักหนาหลอกค่ะ ฉันไม่ใช่เด็กเล็กๆเสียหน่อย อายูมิกล่าวพลางเข้ามากอดยูเอะ นายยูกิ และหอมแก้มอายะกะซึ่งเป็นทารกน้อยในอ้อมแขนของนายยูกิ เป็นการร่ำลา เธอยิ้มและโบกมือให้สามพ่อลูก ก่อนก้าวขึ้นรถไป
ยูกิเหม่อมองจนลับสายตา เขารู้สึกไม่ค่อยดีเลย เหมือนกับ..เหมือนกับว่า.เธอจะจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
วันนี้เป็นคืนที่ 2 นับจากวันที่อายูมิจากไป ขณะที่นายยูกิกำลังเล่นกับยูเอะอยู่ในห้อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
กริ๊ง กริ๊ง กริ๊ง
นายยูกิรีบลุกไปรับโทรศัพท์
สวัสดีครับ นายยูกิพูอย่างกระตือลือล้น
กรี๊ดดดดดดดด ตุ๊บ ปัง! ปัง! ปัง! ไม่มีเสียงใสๆของผู้ที่นายยูกิรอคอย แต่กลับเป็นเสียงกรีดของเธอและเสียงปืนแทน
อายูมิ! อายูมิ! เธอเป็นอะไรไป! เกิดอะไรขึ้น! นายยูกิพูดอย่างร้อนรน
ฮ่า ฮ่า ฮ่า สะใจจริง แต่น่าเสียดายนะสวยๆทั้งนั้น เสียงหนึ่งแทรกมา จากน้ำเสียงบ่งบอกว่ายังเป็นเด็กหนุ่ม
แกนี่จริงเชียว ชินยะ เสียงเด็กหนุ่มอีกคนดังขึ้น
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด เพียงเท่านี้สายก็หลุด
นายยูกิอึ้งอยู่สักพักจนมีมือเล็กๆมาดึงแขน
ให้หนูคุยกับคุณแม่บ้างสิค่ะ ยูเอะกล่าวอย่างร่าเริงด้วยความอยากพูดคุยกับมารดา
ไม่ใช่โทรศัพท์แม่หลอกจ้ะ นายยูกิตอบอย่างเลื่อนลอย
ว้า. ยูเอะถอนใจอย่างเสียดายก่อนเดินไปเล่นของเล่นต่อ
เธออย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะอายูมิ ฉันจะไปช่วยเธอเดี๋ยวนี้แหละ นายยูกิกล่าวกับตัวเองก่อนหุนหันออกไป ขณะที่ยูเอะมองตามอย่างไม่เข้าใจ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นายยูกิขับรถมุ่งตรงไปยังเมืองB ด้วยความเร็วสูงพร้อมกับสึบารุและคนสนิทอีก3 4 คน แต่กว่าจะถึงเมืองB ก็เป็นเวลาเช้าตรู่แล้ว
เมื่อนายยูกิไปถึงเมืองB ก็สอบถามคนรู้จักจนรู้ว่าอายูมิไปเที่ยวกับเพื่อนที่ถนนจุนจิ พวกเขารีบรุดไปในทันที แต่ข่าวที่ได้รู้แทบทำให้นายยูกิล้มทั้งยืน.อายูมิและเพื่อนของเธอ.ได้เสียชีวิตแล้ว.เหตุการณ์นี้ทำให้นายยูกิสะเทือนใจอย่างมาก
เขาคิดแต่จะแก้แค้นให้อายูมิ ในที่สุด.เขาก็สืบทราบมาว่า คนที่ฆ่าอายูมิและเพื่อนๆของเธอคือ..ชินโด โควะและชินโด ชินยะลูกชายคนโตกับคนรองของชินโด คาเครุผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองB !
ยูกิเริ่มปฏิบัติการณ์แก้แค้น.เริ่มจากการลอบสังหารโควะและชินยะ ผู้เป็นต้นเหตุ แต่เขาไม่พอแค่นั้น เขารู้มาว่าคาเครุยังมีลูกชายตัวเล็กๆอีก 1 คนเป็นลูกหลง นั่นคือชินโด ฟูมะ
เขาและลูกน้องคิดลอบสังหาร ลูกชายคนเล็กของคาเครุ พวกเขาลอบเข้าไปในคฤหาสน์ ยูกิเห็นฟูมะวิ่งเล่นอยู่ที่สนามหญ้า เขาเล็งปืนขึ้นยิง แต่ชินโด มีน่า ภรรยาของคาเครุเอาตัวเข้าบังลูกน้อย เธอจึงกลายเป็นเหยื่อกระสุนของยูกิแทนฟูมะ เสียงปืนทำให้คนในคฤหาสน์ไหวตัว และเกิดปะทะกับพวกของยูกิ ในที่สุดยูกิและสึบารุก็หนีมาได้ แต่ลูกน้องคนอื่นๆต้องทอดร่างอยู่ที่นั่น.
คาเครุโกรธแค้นมาก ในที่สุดเขาก็สืบทราบว่าผู้ที่กระทำการณ์ครั้งนี้คือยูกิ เขาจึงส่งคนไปทำร้ายคนในครอบครัวของยูกิบ้าง ซึ่งในครั้งนี้นายยูกิเตรียมรับมือแล้ว แต่เขาก็ยังไม่อาจปกป้องพ่อของเขาได้ ต่อมาแม่ของเขาก็ตรอมใจตายตามพ่อของเขาไป นายยูกิตัดสินใจเปิดศึกกับคาเครุ ในครั้งนี้ทำให้ผู้คนล้มตายมากมายทั้ง 2 ฝ่าย จนในที่สุดเรื่องนี้รู้ถึงนายพลไรท์ ผู้เป็นที่เคารพของทั้ง 2 นายพลไรท์ได้ออกมาห้ามปรามกึ่งของร้อง ทั้งคู่ได้สงบศึกชั่วคราว แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเมื่อไรที่นายพลผู้เฒ่าเสียเมื่อนั้นศึกใหม่จะระเบิดขึ้น
ในตอนนี้ท่านก็เสียไปแล้ว 3 เดือน ถึงเวลาที่ยูกิจะแก้แค้นแล้ว!
(จบภาคพิเศษ)
20 สิงหาคม 2547 23:32 น.
หมูก้อย
ในกลางดึกของคืนที่เงียบสงัด แสงไฟในห้องของยูเอะยังสว่างอยู่ มันเป็นเรื่องที่ผิดปกติเพราะไม่บ่อยนักที่ยูเอะจะนอนดึกเช่นนี้
ยูเอะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้อง ทั้งที่ตอนนี้ใจเธอไม่ได้อยู่กับหนังสือเล่มนั้นเลย
ทันใดนั้น! ยูเอะศอกไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว! แต่มือใหญ่แข็งแรงก็รับศอกของเธอไว้ได้
ยูเอะลุกพรวดขึ้นมา ตั้งท่าพร้อมต่อสู้!
แต่คู่ต่อสู้ของเธอกลับเป็นเซนจิ!
ประสาทไวดีนี่ เซนจิกล่าว
คุณมาทำอะไรที่นี่ ยูเอะถามอย่างหวาดระแวง
ชั้นไม่ได้มาฆ่านายยูกิหลอกน่า แต่ชั้นมา เซนจิเว้นช่วงอย่างลำบากใจ
ยูเอะไม่คาดคั้นแต่คอยอย่างใจจดใจจ่อ
ชั้นมาลาเธอ เซนจิกล่าวออกมาในที่สุด
เขาไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาต้องดั้นด้นมาถึงนี่เพื่อบอกลาผู้หญิงคนนี้ ยิ่งเมื่อรู้ว่าชีวิตนี้จะไม่ได้พบกับเธออีกยิ่งทำให้เศร้าอย่างประหลาด
ยูเอะยิ้มรับอย่างเศร้าๆ ไม่กล่าวอะไร ก็จะต้องพูดอะไรอีกล่ะ ยังไงเธอก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้ต้องมาถึง เขามาบอกก็ดีแล้ว
เซนจิเห็นรอยยิ้มของยูเอะแล้ว ความเศร้า ความสงสารเข้าจู่โจมหัวใจทันที เขาไม่อยากเห็นรอยยิ้มแบบนี้อีก!
ห้องเธอนี่เข้าออกสะดวกดีนะ หนีเที่ยวกับยายตัวแสบบ่อยล่ะสิ เซนจิพยายามเปลี่ยนเรื่อง
เปล่านะ ครั้งนั้นครั้งแรกและครั้งเดียว ยูเอะรีบแก้
อ้อ ครั้งแรกก็ประสบการณ์ไม่ดีเลยนะ เซนจิกล่าว
ไปกับชั้นอีกครั้งสิ เซนจิรีบต่อ
คำกล่าวนั้นทำให้ยูเอะชะงักมองหน้าเซนจิ
แววตาของเซนจิในตอนนี้อ่อนโยนและขอร้อง เพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทำให้ยูเอะรับปากแล้ว
ก็ได้ ยูเอะรับคำเบาๆ
เซนจิยิ้มออกมาอย่างแจ่มใสที่สุด ทำให้ยูเอะเหม่อมองอย่างชื่นชม
หน้าชั้นมีอะไรผิดปกติเหรอ เซนจิถามอย่างประหลาดใจ
ไม่เคยเห็นนายยิ้ม ยูเอะตอบ
นั่นสินะนานเท่าไรแล้ว เซนจิเหม่อนึกถึงอดีต
ชั้นขอโทษนะ ยูเอะกล่าวอย่างเสียใจ
เธอไม่ได้ทำอะไรผิดนี่ เฮ้อ.สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ เซนจิถอนใจ
ไปกันเถอะ เซนจิกล่าวพร้อมจูงมือยูเอะ
ถ้าเขาหันมามองสักนิดจะเห็นว่าหน้ายูเอะแดงไปทั้งหน้าเลยทีเดียว
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
นี่..เจ้าของพื้นที่นำเที่ยวบ้างสิ เซนจิกล่าว เมื่อยูเอะเอาแต่เดินตามตน
เอ่อชั้นไม่ค่อยรู้น่ะ ยูเอะกล่าว
ว้าเอาเหอะ พาไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น อ้อ..อย่าพาเข้าที่ผับเดิมนะ ชั้นอยากไปจากเมืองนี้ด้วยความทรงจำที่งดงามหน่อย เซนจิเย้า
จ้า ยูเอะกล่าวยิ้มๆ
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ที่ที่ยูเอะพาเซนจิมาก็คือทะเลสาปมิคาเงะ
นี่ล่ะ ที่ที่ชั้นพอจะพามาได้ เพราะนอกนั้นก็ห้องสมุดแล้วก็พิพิธภัณฑ์ ซึ่งป่านนี้ก็ปิดไปนานแล้ว ยูเอะกล่าว
โห อย่างนั้นเขาไม่เรียกที่เที่ยวแล้วล่ะ เซนจิกล่าว
ก็ไม่ค่อยรู้นี่ค่ะ ยูเอะกล่าว
ที่นี่ก็ดีนะ ดูสวย สง่า ลึกลับดี เซนจิกล่าว
ชั้นก็เพิ่งเคยมาที่นี่ตอนดึกอย่างนี้ ดูน่ากลัวพิลึกนะ ยูเอะกล่าว
ทุกอย่างมีความต่างในตัวอยู่แล้ว เซนจิกล่าว
เซนจิ พวกเธอจะกลับแล้วจริงหรือ ก็แสดงว่าคุณพ่อกับคาเครุตกลงกันได้แล้วสิ ยูเอะกล่าว
คาเครุน่ะตั้งใจจะให้เรื่องมันจบเลยถอนตัวออกมา แต่นายยูกินี่ชั้นไม่รู้ เซนจิกล่าว
ขอให้มันจบสักทีเถิด ยูเอะกล่าว
ชั้นก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เซนจิสนับสนุน
เอ่อเซนจิ ช่วยเล่าเรื่องที่ทำให้พ่อกับคาเครุเป็นศรัตรูกันให้ฟังหน่อยได้มั๊ย แต่ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร ยูเอะถามอย่างไม่มั่นใจ
อืมก็ได้ เซนจิชั่งใจ ก่อนเล่าให้ยูเอะฟัง(ในภาคพิเศษค่ะ)
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ความจริงก็ผิดทั้งคู่นะ เซนจิสรุป
ความแค้น..ให้อะไรแก่ใครบ้างนะ ยูเอะกล่าวทั้งน้ำตา
เซนจิรู้สึกเจ็บปวดใจเมื่อเห็นน้ำตาของยูเอะ เขาไม่น่าเล่าให้เธอฟังเลย
ขอโทษนะ ชั้นไม่น่าเล่าให้เธอฟังเลย เซนจิกล่าวอย่างรู้สึกผิด
ไม่ใช่ความผิดเธอสักหน่อย ชั้นให้เธอเล่าเอง ดีเหมือนกันชั้นจะได้รู้อะไรกับเขาบ้าง ยูเอะกล่าว
เอ่อ.ชั้นมีอะไรให้เธอ เซนจิกล่าว
ยูเอะหลบตา หน้าแดงขึ้นมาทันที จนเซนจิเอาบางสิ่งยัดใส่มือของยูเอะ เธอจึงมองสิ่งนั้น
มันคือสร้อยนาฬิกาท่าทางเก่าแก่!
มันเป็นของที่อยู่กับชั้นมาตลอดตั้งแต่คเครุเจอชั้น เซนจิอธิบาย
ในเมื่อเป็นของสำคัญขนาดนี้ชั้นรับไม่ได้หลอก ยูเอะกล่าวพร้อมส่งคืน
ไม่หลอกชั้นให้เธอ เซนจิกล่าว
ชั้นขออะไรสักอย่างเป็นที่ระรึกได้มั๊ย อะไรก็ได้ เซนจิกล่าว
ยูเอะคิดอยู่พักหนึ่ง เธอไม่ได้นำของมีค่าอะไรออกมาด้วย
แต่ในที่สุดเธอก็คิดได้!
เธอเอื้อมมือไปข้างหลังแกะผ้าผูกผมที่เธอใช้มัดผมเสมอเวลาอ่านหนังสือออกมามอบให้เซนจิ
มันอาจไม่มีค่านะ แต่ชั้นก็ไม่มีอะไรจะให้แล้ว ยูเอะกล่าว
แค่เป็นของๆเธออะไรก็ได้ เซนจิกล่าวพร้อมเก็บผ้าผูกผมใส่กระเป๋า
จะเช้าแล้วชั้นไปส่งนะ เซนจิกล่าว
ก็ได้ค่ะ ยูเอะกล่าว
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
ในตอนเช้าคาเครุ ฟูมะ เซนจิ กำลังขึ้นรถเตรียมตัวกลับ เซนจิยังคงมองบรรยากาศรอบๆ อย่างอาลัย อาลัยอะไรกัน!
ขึ้นรถกันได้แล้ว คาเครุกล่าว พร้อมทำท่าจะเปิดประตูนั่งที่คนขับ
เดี๋ยวผมขับเองครับ ฟูมะกล่าว
นายแน่ใจนะว่าจะถึงบ้าน เซนจิหยอก
อ้าว..ถึงสิฝีมือระดับนี้ ฟูมะเถียง
อย่าทำคนแก่หัวใจวายแล้วกัน คาเครุกล่าวขำขำ
ครับไม่ต้องห่วง ฟูมะกล่าวทั้งรอยยิ้ม
ใช่สิเขากำลังจะได้กลับบ้านไปพบกับหญิงอันเป็นที่รักของเขาอีกครั้ง
อีกไม่นานเราจะได้พบกันแล้วนะมายะ ฟูมะคิดอย่างอิ่มใจ
เดี๋ยวผมไปรับตรงโน้นก็ได้ครับ ฟูมะกล่าว เพราะสัมพาระต่างวางกองอยู่ห่างออกไป แม้ไม่มากนัก แต่ก็ลำบากเอาการถ้าต้องขนมาถึงรถ
มือของฟูมะเอื้อมมือเปิดประตู
บึ้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่น
ชั่ววินาที ทุกอย่างเงียบสงบไม่มีแม้เสียงนกร้อง
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยย ฟูมะ นายไม่เป็นไรใช่มั๊ย เซนจิกรีดร้องเหมือนคนบ้า
ส่วนคาเครุจมอยู่ในความเงียบ มีเพียงน้ำตาที่ไหลรินลงมา เขาค่อยๆเดินเข้าไปหาเซนจิ ที่ทรุดลงกับพื้น
ความสุขมักไม่อยู่กับใครนานจริงๆ
ยูกิ!!!!!!!!!! เซนจิตะโกนอย่างเครียดแค้น
>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>>
(โปรดติดตามตอนต่อไป)