10 กรกฎาคม 2553 03:45 น.

ห้วงรัก..(ต่อกลอนกับเพียงกมล)

หมากสีสุก

๐ เพียงได้พบแล้วพรากเพื่อฝากแผล
ดังถูกแส้โบยส่งสิ้นสงสาร
กระหน่ำซ้ำสาสมจนซมซาน
เพื่อล่มรานด้วยร้าวเมื่อคราวร้าง

๐ ปล่อยคืนวันผันวนผ่านพ้นหวัง
เคยสุมสั่งคล้ายแสงแห่งรุ่งสาง
มืดดับแล้วพรายรุ้งยามเลือนราง
ย่อมอ้างว้างว่างวาบตราบวางวาย....(เพียงกมล)

๐ ตะวันรอน ผ่อนแสง อ่อนแรงล้า
พร้อมน้ำตา ราดริน มิสิ้นสาย
เหลือเพียงใจ บางเบา เหงากับกาย
ที่สลาย กับกาล เนิ่นนานเนา

๐ ยังประทับ กับฝัน วันฟ้าสวย
คงพอช่วย ปลอบขวัญ ในวันเหงา
เรื่องความหลัง ยังเห็น เป็นภาพเงา
อาจบรรเทา ทุกข์เหลือ ให้เจือจาง....(เพลีย-กมล)

๐ เพียงเงาภาพทาบทรวงเป็นบ่วงคล้อง
อาจจำจองพ้องกันแต่หวั่นหมาง
กับรูปรอยแฝงเร้นเช่นภาพราง
คงไม่ต่างความฝันอันเลื่อนลอย

๐ กลับจะทุกข์ถาโถมโหมกระหน่ำ
หากถลำหลงเงาจนเศร้าสร้อย
และจะยิ่งทรมานกับการคอย
เหมือนฝากรอยแผลร้ายจวบวายปราณ....(เพียงกมล)

๐ หนามสะกิด นิดเดียว ที่เรียวก้อย
แล้วค่อยค่อย ลามแผล จนแผ่ซ่าน
แต่แผลกาย หายได้ ในไม่นาน
ยากสมาน สานแผล เกิดแก่ใจ

๐ หวังเพียงฟื้น ตื่นมา ครารุ่งสาง
แผลใจจาง ล้างข่ม อารมณ์ไหว
ทีปักลึก ผนึกแน่น ถึงแก่นใน
เพื่อรอฝัน วันใหม่ ไว้เชยชม....(เพลีย-กมล)

๐ หากรู้เท่ารู้ทันยามฝันชื่น
เพียงปลุกใจเต็นตื่นคลายขื่นขม
ยอมรับรสพจน์หวานผ่านอารมณ์
แล้วเก็บบ่มความฝันนั้นแนบใจ

๐ ที่ห้วงลึกแดดาลอันหวานซึ้ง
ย่อมตราตรึงรอยรูปอยู่วูบไหว
และย่อมรู้รูปนั้นเพียงฝันไป
หาดังใช่สิ่งหวังที่ยั่งยืน....(เพียงกมล)

๐ แต่เมื่อหวัง ยังไม่ ไร้จนสิ้น
ยังถวิล รักหมาย คลายขมขื่น
แม้เคยพลั้ง พังยับ กับวันคืน
ยังหมายชื่น ฝันใหม่ ใครสักคน

๐ แม้ระโหย โรยแรง แทบแห้งเหือด
ถึงโดนเชือด เลือดหลั่ง กี่ครั้งหน
อดีตเจ็บ เหน็บหนาว ร้าวกมล
มิจำนน ค้นหา รักมาเคียง....(เพลีย-กมล)

๐ คือดิ้นรนแห่งใจจะไขว่คว้า
ปรารถนายามหลากก็ยากเลี่ยง
ยังวาดหวังมีใครไว้ร่วมเรียง
แม้เป็นเพียงภาพฝันไม่หวั่นคอย

๐ จะกี่ครั้งกี่คราวที่หนาวเหน็บ
จะกี่เจ็บฤๅจะจำแม้ช้ำ, บ่อย
หรือกี่คราลาร้างจืดจางรอย
แม้เพียงน้อยรอยหวานให้ผ่านเยือน....(เพียงกมล)

๐ แม้ผ่านร้อน ย้อนหนาว กี่คราวครั้ง
ภาพความหลัง ครั้งอคีต ตามกรีดเฉือน
ถึงจะเจ็บ เหน็บนัก ยามรักเลือน
ยังแชเชือน หารัก พิงพักใจ

๐ ต้องตรอมตรม ซมซาน มานานนับ
ใจประทับ กับรอย แผลน้อยใหญ่
ยังไม่ล้า ราโรย หาโหยใคร
มารักษา แผลใน หัวใจตัว....(เพลีย-กมล)

๐ เพราะหลายครั้งหลายคราวที่ร้าวรัก
คงเจ็บหนักจักผสานก็รานทั่ว-
ทั้งอกใจโดนเค้นจนเต้นรัว
คงน่ากลัวแท้เทียวจะเยียวยา

๐ ปล่อยลาลับกับกาลให้ผ่านพ้น
ความหมองหม่นใช่จักต้องรักษา
ไม่ช้านานผ่านล่วงที่ลวงตา
จะพบว่าแสงสว่างยังพร่างพราย....(เพียงกมล)

๐ เวลากลบ ลบเลือน ได้เหมือนว่า
คล้ายกับยา มาล้าง ให้จางหาย
แผลในใจ ใหญ่น้อย อาจพลอยคลาย
ดีกว่าหมาย ตะกายฝัน อันวังเวง

๐ ฝันใดเล่า เท่าฝัน วันสิ้นโศก
อยู่ในโลก ที่ไร้ ใครข่มเหง
แม้นมิอาจ ฝืนห้าม ความวังเวง
กอดตัวเอง ดีกว่า หาใครควง....(เพลีย-กมล)

๐ ฝันใดเล่าเท่าฝันในวันเหงา
เพียงมีเงาเป็นเพื่อนเหมือนคอยหวง
มีพจน์หวานดังตาลผ่านสู่ทรวง
อื่นใดปวงฤๅล่วงห้วงคะนึง

๐ เสียงขลุ่ยคลอยามค่ำแสนฉ่ำหวาน
แทนคำขานเคยถามยามคิดถึง
เนิ่นนานแล้วแว่วเสียงเพียงรำพึง
เก็บความซึ้งซ่อนอยู่ไม่รู้เลือน....(เพียงกมล)

๐ เสียงขลุยแผ่ว แว่วครา ยามฟ้าหลัว
ช่างหมองมัว หัวใจ หาใดเหมือน
เสียงขลุ่ยครวญ หวนช้ำ มาย้ำเตือน
รอยอดีต กรีดเฉือน ย้อนเยือนตน....(เพลีย-กมล)

๐ จันทร์เจ้าแฝงดวงรางคล้ายพรางงาม
จนผ่านยามราตรีทีมัวหม่น
ใจหนอยิ่งเย็นชืดมืดเสียจน
ห้วงเวหนห่างหายพรายดาวเดือน

๐ เพียงขลุ่ยครวญคล้ายปลอบและตอบรับ
จะคว้าจับรูปรอยก็คล้อยเคลื่อน
อยู่ท่ามกลางซ่อนเร้นเห็นรางเลือน
ยังแชเชือนเหมือนหลอกยั่วหยอกจินต์....(เพียงกมล)

๐ เมื่อจันทร์แจ่ม แย้มพราย หลังกรายหลบ
กลับไม่พบ หน้านวล ครวญถวิล
อยู่กับความ เหว่ว้า จนชาชิน
จนไร้สิ้น น้ำตา เคยบ่านอง

๐ เก็บความช้ำ คร่ำครวญ ในส่วนลึก
ปิดผนึก เอาไว้ ใต้ความหมอง
ลืมความสุข ทุกเสี้ยว เคยเกี่ยวดอง
แล้วไปมอง ท้องฟ้า สบตาจันทร์....(เพลีย-กมล)

๐ เป็นจันทร์เพ็ญเด่นนวลให้หวนถึง
จะคว้าดึงย่อมได้เพียงในฝัน
มิไยที่เพ้อคำร่ำรำพัน
คงไร้วันที่หวังจะรั้งรอ

๐ คงหลุดลอยคล้อยเคลื่อนคล้ายเดือนลับ
โศกเศร้ากับอาวรณ์หากวอนขอ-
ให้เพ็ญจันทร์ผ่องพรายฉายแสง, ทอ
ประกาย ยอนวลพร่างลงกลางทรวง....(เพียงกมล)

๐ ล่วงอีกคืน ฝืนร่าง อย่างเหน็บหนาว
แสงเดือนพราว วาววับ ทาบทับสรวง
มีดาวแจ่ม แซมเห็น เป็นรุ้งรวง
งามโชติช่วง ห้วงฟ้า ดาราราย

๐ รักเคยสร้าง ทางฝัน อันเจิดจ้า
เหมือนนภา ราตรี มีจันทร์ฉาย
เมื่อโรยรา พาคว้าง อย่างเดียวดาย
เหมือนจันทร์กราย ย้ายเคลื่อน สู่เดือนแรม....(เพลีย-กมล)

๐ ยามเดือนแรมรูปเรียวซีดเซียวหม่น
แต่เกลื่อนหนด้วยดาวยังพราวแต้ม
คืนผ่านพ้นวนวันจวบจันทร์แย้ม
เพ็ญกลับแจ่มกลางหาวอีกคราวครั้ง

๐ ต่างจากแสงข้างในที่ใจนั่น
กลับนับวันมัวหม่นจนสิ้นหวัง
ไร้วี่แววเรื่อรองส่องนวล,ดัง
ชีพไร้ฝั่งกลางมืดดับชั่วกัปกาล....(เพียงกมล)

๐ คืนเดือนแรม แก้มช้ำ น้ำตาไหล
สู้หมายใจ ได้ปอง ละอองหวาน
หวังครองคู่ ชูชื่น ยั่งยืนนาน
กลับร้าวราน รักลา ช่างน่าชัง

๐ จะกี่ปี กี่เดือน ดูเหมือนว่า
ใจที่ล้า รารอ หมายก่อหวัง
ถ้อยสัญญา ครานั้น ใจฉันยัง
เตือนให้ยั้ง รอคอย บนรอยเดิม.(เพลีย-กมล)

๐ ได้ประจักษ์ในจิตซึ้งพิษรัก
ไม่หมายภักดิ์ผู้ได้มาไว้เสริม
เมื่อสิ้นแล้วไม่ขอรอต่อเติม
ไม่มีเริ่มไม่มีจบลบอาลัย

๐ มิเหลือใจแสนเจ็บไว้เก็บกัก-
ด้วยตรึงปักเงาหม่น..ยากพ้นได้
ยังมืดดำคล้ำเศร้าและเหงาใจ
จนไม่เหลือเยื่อใยมอบใครครอง

๐ สายเสียแล้วสายฝันเมื่อผันช่วง
ไม่อาจพ่วงพันให้หัวใจสอง
ได้สานเกลียวเหนี่ยวนำเข้าจำจอง
แม้หมายปองคล้องไว้ด้วยนัยเดียว

๐ แต่ว้าเหว่หวั่นไหวก็ไม่หยุด
เหมือนตามยุดฉุดเร้าด้วยเปล่าเปลี่ยว
แม้ว่ามานขาวซีดนั้นรีดเรียว
เกิดกว่าเกี่ยวสายฝันสู่วันไกล....(เพียงกมล)

๐ ดึกคืนนี้ มีดาว พร่างพราวแสง
แต่ฤาแข่ง แสงจันทร์ อำพันใส
ฟ้าสกาว พราวสวย โปรดอวยชัย
ช่วยเปลี่ยนใจ ใครหนึ่ง ซึ่งหมายปอง

๐ เธอถูกรัก หักอก จนหมกไหม้
เมื่อรักจาก พรากไป จนใจหมอง
แม้มีชาย หมายเมียง คู่เคียงครอง
ไม่แยแส แลมอง แม้ต้องตา

๐ ยังอาลัย ใจภักดิ์ ในรักเก่า
อยู่ใต้เงา เศร้าสร้อย ละห้อยหา
ทนอาวรณ์ นอนเดี่ยว เปลี่ยวเอกา
แม้เวลา จะผ่าน เนิ่นนานแล้ว

๐ วอนฟ้าสวย ช่วยให้ เผยใจนาง
ให้กระจ่าง พร่างพราย ประกายแก้ว
อาจบางที ที่.รัก จักฉายแวว
ให้เพริศแพร้ว อีกครา ใต้ฟ้างาม

๐ ทุกทำนอง สองเรา เคยก้าวผ่าน
ยังร้าวราน หวนไห้ เกินไหวหวาม
เมื่อนัยน์ตา มีน้ำ ผุดฉ่ำวาม
มิเหลือความ เข้มแข็ง แห่งดวงใจ

๐ จะเริ่มรัก ถักฝัน นั้นแสนยาก
เพราะรอยบาก ถากลึก ผนึกให้-
ใจหมางเมิน เกินจัก คิดรักใคร
จมหมองไหม้ เหมือนดั่ง กำลังล้า

๐ เส้นขอบโค้ง ตรงนั้น ตะวันตก
ยังพลิกผก ตะวัน ผันเจิดจ้า 
แต่ความรัก ที่ร้าง และห่างตา
มิกลับมา อีกแน่ รู้แก่ใจ

๐ ความทรงจำ ทำร้าย เวียนร่ายภาพ
และเจ็บปลาบ ทุกครั้ง เกินยั้งได้
คนหนึ่งพราก จากกัน พลันมีใคร
พร้อมก้าวไป สู่ฝัน ลืมกันแล้ว....(เพลีย-กมล)

๐ หากอีกใจยังคงดำรงมั่น
ไม่แปรผันวาดหวานแม้ผ่านแผ่ว-
เรียวรีดรอยพิศสวาทฤๅคลาดแคล้ว
กลับตรึงแนวบอบบางลงกลางทรวง

๐ ด้วยไม่อาจลบรอยที่คอยหลอก
ยังยั่วหยอกรุมเร้าให้เฝ้าหวง
รู้รักเช่นเสน่หา..แค่ค่าลวง
ยังติดบ่วงพ่วงพันสุดบั่นทอน

๐ เสียงเพรียกจากหัวใจไม่เคยหยุด
และยากฉุดเหนี่ยวรั้ง..สิ้นหวัง,ถอน
สลักนั้นตรึงมั่นนิรันดร
และคอยย้อนรอยย้ำทุกค่ำคืน

๐ จันทร์เจ้าเอยนวลใยที่ในฟ้า
เคยเจิดจ้าอาบผ่านบนมาน, ผืน
กลับกลายหมองหม่นคล้ำให้กล้ำกลืน
สิ้นแสงโสมโลมรื่น..เหลือขื่นทรวง.(เพียงกมล)

๐ ยินเสียงใจ บอกจันทร์ วันฟ้ากว้าง
ดูเหมือนนาง วางใจ มิใคร่หวง
ราวจะบอก ความใน ใจทั้งปวง
ว่าแดดวง หนึ่งนี้...มีผู้ใด

๐ หรือจะอำ ความนัย มิใคร่เผย
ก็เกินเลย อันมนุษย์ สุดวิสัย
ถนอมนวล ชวนชื่น รื่นฤทัย
หรือเกรงใจ ใครอื่น ที่ชื่นครอง

๐ แม้ใจนาง ร้างใคร ที่ใฝ่ฝัน
ขอผูกพัน มั่นอยู่ เป็นคู่สอง
กับโฉมงาม ทรามวัย ที่ใฝ่ปอง
ขอจับจอง ห้องใจ มิไคลคลา....(เพลีย-กมล)

๐ สรวงฟ้าเอยเผยให้เพียงได้ฝัน
เพื่อใครนั้นเฝ้าคอยละห้อยหา
เพียงร่ำพากย์ฝากให้ผู้ไกลตา
ด้วยหมายตราตรึงขวัญเกี่ยวพันไว้

๐ โปรดรับรู้อาวรณ์อันอ่อนหวาน
ที่จดจารจากขวัญผู้ฝันใฝ่
โปรดรับรู้ห่วงหาและอาลัย
มอบจากใจคนเหงาคอยเคล้าคลอ....(เพียงกมล)

๐ ค่ำคืนนี้ มีดาว สกาวใส
มีหนึ่งใจ ใครหมอง ร่ำร้องขอ
ให้หนึ่งใจ ใครนั้น ที่ฝันรอ
กลับมาก่อ ทอฝัน เหมือนวันวาน

๐ คิดเอย คิดถึง คนึงนัก
มอบใจภักดิ์ รักเอย เคยหอมหวาน
หมายสลัก รักไว้ ให้แสนนาน
หากร้าวราน ซานซม ฤาสมควร....(เพลีย-กมล)

๐ รวยรินรา- ตรีหอมรอบล้อมถิ่น
ให้โชยกลิ่นรื่นหวานผ่านลมหวน
ออในอกผู้ร่ำคำคร่ำครวญ
ว่ารักรวนแรมร้างจืดจางแล้ว

๐ เพื่อปลอบขวัญคนไกลผู้ไฝ่ฝัน
คลายไหวหวั่นอาวรณ์ให้ผ่อนแผ่ว
แม้หนึ่งหวังเลือนรางเคยพร่างแพร้ว
อย่าคลาดแคล้วอีกหวังจนพังครืน....(เพียงกมล)

๐ ถึงเพียงแม้ แค่ฝัน อันลางเลือน
มิแชเชือน ชะตา หากฟ้ายื่น
ขอหัวใจ..ได้ซึ้ง แค่หนึ่งคืน
แม้เมื่อตื่น ลืมตา รักราโรย

๐ เพียงปลายก้อย น้อยหนึ่ง ก็ซึ้งค่า
กับอุรา ครวญคร่ำ ร่ำหาโหย
เหมือนดินแห้ง แล้งหมาย พระพายโชย
พาฝนโปรย พรายพร่าง หลังร้างไกล....(เพลีย-กมล)

๐ สายฝนหล่นจากฟ้าสู่หล้าโลก
ให้ชุ่มโชคใจฝันผู้หวั่นไหว
รื่นเย็นอยู่เช่นนั้นทุกวันไป
จวบพบใจอีกใจฝากให้กัน

๐ ที่แสนไกลสุดเหลียวจะเกี่ยวก้อย
เพียงเฝ้าคอยพบได้แค่ในฝัน
ยังสบตาฝากไว้ในเพ็ญจันทร์
เพื่อพ่วงพันสายใยเป็นนัยเดียว....(เพียงกมล)

๐ ระยะทาง หว่างฟ้า ใช่สาเหตุ
ถึงห่างเนตร เจตจินต์ มิสิ้นเหนี่ยว
หากผูกพัน มั่นหมาย มิคลายเกลียว
ให้สุดหล้า ฟ้าเขียว ยังเกี่ยวพัน

๐ แต่หากใจ ไม่มั่น ยังหวั่นไหว
ถึงอยู่ใกล้ ไม่ต่าง กับร้างฝัน
หากมั่นใน ใจสอง ที่คล้องกัน
ห่างเพียงไหน ไม่หวั่น สัมพันธ์เลือน

๐ ขอเพียงใจ แน่นหนัก ในรักนี้
ห่มฤดี ที่รัก ฤๅจักเลื่อน
จะลาร้าง ห่างหาย หลายปีเดือน
ก็อุ่นเหมือน อยู่ใกล้ แนบใจกัน

๐ แต่หากชัง หวังใกล้ กับไกลห่าง
เพราะจินต์สร้าง กำแพง แอบแฝงกั้น
เบื่อและหน่าย คลายรัก หักสัมพันธ์
นั่งมองกัน แต่ใจ ไงกลับชัง....(เพลีย-กมล)

๐ ยากยิ่งนักแยกได้คำใครนั้น
หากสานต่อทอฝันก็หวั่นหวัง
จะจบสิ้นถวิลหาถึงคราพัง
จึงควรรั้งใจตน..อาจกลลวง

๐ ปล่อยเวลาเผยเร้นที่เป็นอยู่
ว่าควรคู่หรือไม่ ที่ใจหวง
อาจสิ้นลบจบไปไม่ถามทวง
จึงกันทรวงพ้นช้ำเข้ากล้ำกราย

๐ เกรงเจ็บช้ำซ้ำหนจนยากหัก
ยามสิ้นรักดังวันขวัญสลาย
หากหลงลมเพลี่ยงพล้ำกับคำชาย
อาจต้องตายทั้งเป็นโดนเข่นทรวง

๐ ฉันใดหนอเชื่อได้นะใจนั้น
หลอกให้ฝัน..ปั้นคำร่ำว่าหวง
พิสูจน์ได้อย่างไรว่าไม่ลวง
หวั่นช้ำทรวงยิ่งนักหากรักใคร....(เพียงกมล) 

๐ หวังเอยหวัง ตั้งไว้ อย่าให้สิ้น
มิสมจินต์ เลยหรือ ฤา.ไฉน
เย็นน้ำค้าง ร่างสั่น หวั่นฤทัย
เฝ้าคอยใคร ให้กลับ ประทับทรวง

๐ เห็นน้ำค้าง พร่างพราย กลางสายหมอก
ราวเย้าหยอก หมอกพราย ก่อนหายล่วง
เมื่อตะวัน สาดแสง เต็มแดงดวง
ก็เกินหน่วง ห้วงฝัน อันพราวแพรว....(เพลีย-กมล) 				
3 กรกฎาคม 2553 20:04 น.

๑ลำนำ คะนึงน้อง๑ (ต่อกัน ที่ปัญญาไท)

หมากสีสุก

๏ สิเน่ห์น้องยิ่งน้าว        เรียมร้อนผ่าวทุกคราวท่วง
แทรกชิดสนิททรวง        ระเริงร่ำทุกค่ำไช๚ะ
 
๏รำพึงเพียงมิขาด          พิษสวาทกระหวัดไหว
มนต์ดำหรือมนต์ใด        ที่ครอบเด่นดุจเร้นดึง๚ะ

๏คืนลาใช่ทันรุ่ง            ละเมอพรุ่งเพ้อรำพึง
ผูกจิตพ้องตราตรึง         คะนึงนาถไม่คลาดคลา๚ะ

๏ไหวไหวอยู่วับวับ         เนื่องจะนับใจหน่วงหา
ลมเอ๋ยรำเพยพา             ฝากคำร้อยถ้อยลำนำ๚ะ

๏สดับรับเถอะแม่            วลีแบบ่งบอกคำ
หมายแล้วใช่บ่ายคำ        สถิตย์มั่นปานศิลา๚ะ...(ท่านกิ่งโศก) 

๏ดาวใจที่ในทรวง          เหนือดาวดวงห้วงเวหา
พันอื่นหมื่นดารา            แห่งห้วงฟ้ามิมาเทียม๚ะ

๏ดอกฟ้าเลอค่านัก          เพราะต่ำศักดิ์ตระหนักเจียม
รักล้นกมลเปี่ยม              สูงสุดเยี่ยมเรียมเผยอ๚ะ...(หมากสีสุก) 

๏ละอองฝนโปรยปราย        ใจวับหายเพราะห่วงเธอ
หลงพร่ำคำละเมอ	         จนพลั้งเผลอเอ่ยรักไป๚ะ

๏สุดแสนจะคิดถึง          เพียงคนหนึ่งจึงหวั่นไหว
โอ้อกสะท้านไกว            นี่นะหรือคือความรัก๚ะ...(ท่านประภัสสร) 

๏รักงามมอบข้ามฟ้า          จากอุรามาสลัก
ด้วยซึ้งตราตรึงนัก         มั่นใจภักดิ์ถักทอฝัน๚ะ

๏มั่นคงด้วยหลงใหล      แม้ฤทัยอาจไหวหวั่น
หมายย้ำความสัมพันธ์    ทุกคืนวันฝันร่วมเรียง๚ะ...(หมากสีสุก) 

๏แว่วแว่วแล้วหายวับ         สิ้นทั้งศัพท์และสำเนียง
อกเอ๋ยคนเคยเคียง	          กลับหลีกลี้หนีห่างไกล๚ะ

๏ที่นอนหมอนห้องหอ     ยังแอบพ้อรออุ่นไอ
นี่คนมีหัวใจ                    ย่อมต้องเหงาเฝ้าแต่รอ๚ะ...(ท่านดาว อาชาไนย) 

๏เศร้าช้ำระกำหมอง          เพราะใฝ่ปองจำร้องขอ
หวังเจ้าเคล้าเคลียคลอ      สุดทดท้อพนอครวญ๚ะ

๏ร้าวรอนสะท้อนหนัก      อกถูกหักสิ้นรักหวน
ฝันเอยเคยรัญจวน	            กลับผันผวนป่วนชีวิน๚ะ...(หมากสีสุก) 

๏แว่วคำสดับถ้อย          ที่เรียงร้อยเป็นสร้อยศิลป์
งามคำที่หลั่งริน               จากจินต์ส่งตรงถึงเธอ๚ะ

๏รับคำเถอะเธอจ๋า            รอเวลามาเสนอ
รักหนาพาละเมอ              เพ้อครวญคร่ำรอยจำนรรจ์๚ะ...(ท่านครูพิม) 

๏สะท้านเกินต้านแล้ว        เหลือเพียงแนวแววเศร้าศัลย์
น้ำตาความจาบัลย์	            หลั่งยืนยันสิ้นฝันตน๚ะ

๏ไม่สุขก็ทุกข์หมอง         รักสนองในสองผล
ไหวอ่อนหรือร้อนรน         ใครเล่าพ้นแห่งกลรัก๚ะ...(หมากสีสุก) 				
29 มิถุนายน 2553 18:06 น.

หนุ่มสะตอขอฝากตัว..( 'มาชิก ใหม่ครับ)

หมากสีสุก

โอ้ละหนอ....
หนุ่มสะตอ ยอกร ขึ้นวอนไหว้
แขม่วพุง มุ่งอ้อน บ้านกลอนไทย
ด้วยมีใจ ใหลหลง แวดวงวรรณ

โอ้ละหนา....
อยู่นราฯ ฟ้าไกล กลางไพรสัณฑ์
เคยอยู่ดี มีสุข ในทุกวัน
ต้องมีอัน ฝันร้าว ทุกคราวคืน

โอ้ละหน่าย....
สุขมลาย หายวับ ทั้งหลับตื่น
มิตรภาพ ฉาบหวัง ต้องพังครืน
ต้องทนฝืน กลืนกล้ำ  ทั้งน้ำตา

โอ้ละเห่
เหมือนห้วงฝัน หันเห ให้เหว่ว้า
ความสุขสันต์ วันก่อน โปรดย้อนมา
ชุบชีวา ฟ้าคราม งามละออ

โอ้ละเหนอ....
เหมือนคนเพ้อ เหม่อจ้อง ยืนร้องขอ
ความสงบ จบไป ยังใฝ่รอ
ทั่วถิ่นแคว้น แดนสะตอ ยังรอคอย... 				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมากสีสุก
Lovings  หมากสีสุก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมากสีสุก
Lovings  หมากสีสุก เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมากสีสุก
Lovings  หมากสีสุก เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมากสีสุก