6 มกราคม 2553 00:17 น.
หมอกจาง
ครั้งหนึ่งผมเคยถามปู่ว่า ทำไมคนเราต้องมีความเศร้า..
ปู่บอกว่า เมื่อเราสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไป หัวใจของเราจะมีรูโหว่ และความเศร้านั่นแหละ ที่จะเข้ามาเติมเต็มรูโหว่นั้น เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ว่างเปล่าจนเกินไป
.........................................
ปู่เล่านิทานให้ผมฟังสามเรื่อง
เรื่องแรกเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งรักหิ่งห้อยเป็นชีวิตจิตใจ
เขารักแสงวอมแวมกระจิดริดของมัน แม้ว่ามันจะเล็กจนมองแทบไม่เห็นในที่ที่มีแสงสว่าง แม้ว่าบางครั้งเพียงแค่ในคืนเดือนหงาย แสงมันจะดูอ่อนจางเสียแทบสาบสูญไปก็ตาม
เขาเฝ้าเก็บออมหิ่งห้อยเล็กๆเหล่านั้นทีละตัว ทีละตัว เก็บมันด้วยความรัก ความยินดี ด้วยความรู้สึกขอบคุณ
เขาเก็บหิ่งห้อยเหล่านั้นไว้ในกล่อง เมื่อเต็มกล่องก็เปลี่ยนให้กล่องนั้นใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น กระทั่งสุดท้ายเขาต้องเก็บหิ่งห้อยเอาไว้ในห้องๆหนึ่งในบ้าน จนในที่สุดก็เต็มห้อง
ทุกยามค่ำคืน เขาจะดับไฟในบ้านจนมืดสนิท และเปิดห้องที่มีหิ่งห้อยของเขา หิ่งห้อยตัวน้อยๆจำนวนมหาศาลนั้น จับกลุ่มส่องแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์
เขาปลาบปลื้มใจกับหิ่งห้อยของเขามาก เล่าให้ใครต่อใครฟัง ถึงความงดงามในยามกลางคืนของมัน บางครั้งเขาชักชวนเพื่อนที่พิเศษของเขา ให้มาชมความสวยงามนี้ร่วมกันกับเขา
แล้ววันหนึ่ง จะด้วยความเผลอเรอหรือโชคร้าย ประตูห้องนั้นปิดไม่สนิท หิ่งห้อยหลายพันหลายหมื่นในห้องนั้น พากันบินกรูเกรียวหนีหายไปจนหมดสิ้น
เขากลับมาบ้าน เปิดประตูและพบเพียงความเศร้ารอคอยเขาอยู่อย่างเย็นเยียบ
ชายคนนั้น จมอยู่กับความเสียใจอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน จนกระทั่งวันที่แปด เขาจึงเริ่มต้นออกตามหาหิ่งห้อยของเขา และตั้งใจว่าถ้าหากเขาไม่เจอพวกมัน จะไม่ยอมกลับมาบ้านหลังนี้อีก
เขาเริ่มต้นออกเดินทาง ถามไถ่ทุกผู้คนที่พบเจอ ถึงหิ่งห้อยของเขา หิ่งห้อยตัวที่ใหญ่เท่าห้องๆหนึ่ง และสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์
แน่นอนที่ว่า ไม่มีใครจะเคยเห็นมัน ทุกคนเคยเห็นเพียงแค่หิ่งห้อยธรรมดา ตัวเล็กๆเท่านั้น
และชายคนนั้นก็ไม่เคยได้กลับมาบ้านของเขาอีก เหลือเพียงแค่เรื่องราวให้ชาวบ้านเล่าขานถึงเท่านั้น
..................................................................
เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งกับดอกไม้ของเธอ
หญิงสาวสูงศักดิ์ ผู้เดินทางจากเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง ไปสู่เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งด้วยรถม้า
ระหว่างทาง เธอมองออกมานอกหน้าเพื่อชมทิวทัศน์ ภูเขา ต้นไม้ ลำธารเล็กๆ นกสีสวย กระรอก กระแต
แล้วเธอก็พลันสะดุดตากับดอกไม้ดอกหนึ่ง
ดอกไม้สีแดงสดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ดอกที่ใหญ่งามและสมบูรณ์ เพียงชั่วแวบเดียวที่รถม้าวิ่งผ่าน กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ดอกนั้นก็โชยเข้ามาในตัวรถ มันหอมเสียจนเธอต้องร้องไห้
แต่การเดินทางของเธอเร่งรีบเหลือเกิน เธอไม่มีเวลาหยุดเพื่อชื่นชมดอกไม้ดอกนั้นให้มากกว่านี้ บางที ถ้าหากเธอมีเวลา เธออาจขุดเอามันไปปลูกไว้ที่สวนหลังบ้านของเธอ
เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย และทำธุระเสร็จเรียบร้อย ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นกินเวลาร่วมค่อนเดือน เธอก็สั่งคนขับรถขับกลับทางเดิม ระหว่างทางเธอสอดส่ายสายตามองหาดอกไม้ดอกนั้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็หามันไม่พบ
เธอกลับถึงบ้านของเธอพร้อมกับความเศร้า กินไม่ได้และนอนไม่หลับ เธอนึกถึงกลิ่นหอมของมัน สีสันของมัน และความสวยงามของมันอยู่ตลอดเวลา เธอนึกคิดและทบทวนถึงทำเลและสถานที่ที่เธอพบดอกไม้ดอกนั้น ถามไถ่จากผู้รู้เส้นทาง จนในที่สุดเธอรู้ชื่อสถานที่ที่เธอพบดอกไม้ดอกนั้น เธอรู้กระทั่งชื่อของดอกไม้ดอกนั้น
เธอจึงออกเดินทางอีกครั้งด้วยความหวัง รถม้าจอดลงในทำเลที่คุ้นตา เธอรีบลงจากรถ และพบดอกไม้พันธุ์เดียวกันนั้นบานสะพรั่งแดงสดใส ส่งกลิ่นหอมเต็มท้องทุ่ง
เธอค้นหาและค้นหา เธอค้นหาทั่วท้องทุ่ง ผู้คนที่มาด้วยก็ช่วยกันค้นหา ดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่าผ่านตาเธอ แต่ทุกครั้ง เธอก็บอกว่า นั่นไม่ใช่ดอกเดียวกับที่เธอเคยเห็นครั้งที่นั่งรถม้าผ่าน
จนในที่สุด เมื่อเธอสำรวจดอกไม้จนหมดท้องทุ่ง ก็ไม่มีดอกใดเลยที่เหมือนกับดอกที่เธอจดจำได้จากครั้งนั้น เธอร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด มิไยที่ใครจะปลอบให้นำดอกอื่นไปแทน เธอก็ปฏิเสธ เธอได้แต่พูดซ้ำๆ ว่าไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน
สุดท้ายเธอกลับมาบ้านโดยไม่ได้ดอกไม้ติดมือกลับมาเลยสักดอก เธอเก็บตัวเงียบเชียบอยู่แต่ในบ้าน และตรอมตรม
อีกหลายปีถัดมา เธอก็ตายไปด้วยความตรอมตรมนั้นเอง
..........................................................
เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้หลงรักสายรุ้ง
เขาเฝ้ามองสายรุ้งที่พาดผ่านบนฟ้ามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก และตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่าเมื่อเติบโตขึ้น มีเรี่ยวแรงมากพอ เขาจะออกเดินทางไปตามหาสายรุ้ง
จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตขึ้น เดินทางได้วันละหลายสิบกิโล ตัดไม้ได้วันละหลายสิบต้น และล้มวัวได้ด้วยมือเปล่า เขาจึงบอกลาทุกคนและเริ่มต้นออกเดินทาง
เขาออกเดินทางในหน้าแล้ง แต่เขาพบว่าสายรุ้งไม่ชอบหน้าแล้งเท่าไรนัก เพราะมันแทบไม่ปรากฏออกมาให้เขาเห็นเลย
จนกระทั่งย่างเข้าหน้าฝนที่ฝนตกชุกนั่นแหละ ก่อนหรือหลังฝนตก เขาจะมีโอกาสพบสายรุ้งอยู่บนฟ้าบ่อยๆ
ทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะเห้นสายรุ้งเกิดขึ้นอยู่ทางทิศไหน เขาจะรีบเร่งรุดเดินทางไปทางทิศนั้น แต่ทว่าชั่วไม่ช้าไม่นาน สายรุ้งก็มักเลือนหายไปก่อนที่เขาจะไปถึงเสียทุกที
ปู่เล่าว่าปู่ได้พบกับชายหนุ่มคนนี้ในวันที่ฝนตกหนัก ทั้งสองหลบฝนอยู่ในศาลาริมทางเล็กๆร่วมกัน ภายใต้การพูดคุยฆ่าเวลา ชายหนุ่มเล่าให้ฟังถึงการเดินทางตามหาสายรุ้งที่น่าผิดหวังของเขา
แต่ผมไม่ท้อหรอก ผมจะตามไปจนกว่าจะเจอและจับสายรุ้งมาเก็บไว้ให้ได้- เขาบอกกับปู่อย่างนั้น
ปู่เลยตอบเขาไปว่า เขาไม่มีทางจับสายรุ้งได้เด็ดขาด ไม่มีทางที่ใครจะจับสายรุ้งเอาไว้ได้
ทำไม? – ชายหนุ่มถาม – อย่าบอกนะว่าสายรุ้งไม่มีจริง เพราะเขาได้ยินคำนี้มาจนเบื่อแล้ว สิ่งที่สามารถเห็นได้ด้วยดวงตา เห็นได้พร้อมๆกันทุกคนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงไปได้อย่างไร?
ปู่บอกเขาว่า ใครที่บอกว่าสายรุ้งนั้นไม่มีจริงน่ะ ผิดไปแล้ว อันที่จริงสายรุ้งนั้นมีจริง จริงเท่าๆกับไอน้ำละอองฝน จริงเท่าๆกับแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั่นแหละ
เพียงแต่ความเป็นจริงของสายรุ้งนั้น เป็นเพียงความจริงชั่วครู่ชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน เป็นเพียงความเป็นจริงของละอองน้ำที่กระทบเข้ากับแสงแดดในแง่มุมที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่ถูกต้อง และเมื่อปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดข้างต้นหายไป ความมีอยู่จริงของสายรุ้งก็หายไปด้วย
ชายหนุ่มมึนงงและสงสัย ชายหนุ่มถามปู่ว่า แล้วทำไมเมื่อสิ่งต่างๆที่เป็นจริงนั้น จึงสามารถคงความเป็นจริงอยู่ได้ยั่งยืน แต่ไม่ใช่กับสายรุ้ง?
ปู่บอกว่า สิ่งอื่นๆก็เป็นความจริงแค่ชั่วคราวเช่นเดียวกัน เพียงแต่มันอายุยืนยาวกว่าสายรุ้งอยู่สักหน่อยเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มนั่งทบทวนไปมา และเขาบอกปู่ว่า เขาอาจไม่เข้าใจที่ปู่พูดมาทั้งหมด แต่เขารู้สึกเศร้าที่เขาคงจะไม่สามารถเก็บสายรุ้งที่เขารักเอาไว้ได้
ทำอย่างไรความเป็นจริงชั่วคราวอย่างเช่นสายรุ้ง จึงจะมีอายุยืนนานกว่าที่มันเป็นอยู่ได้บ้าง อย่างน้อยก็นานพอที่เขาจะได้จับต้องมันสักหน่อย สัมผัสมันสักหน่อย ก่อนที่มันจะสลายไป – เขาถาม
แต่งเพลงสิ – ปู่ตอบ – แต่งเพลงถึงสายรุ้งนั้น เขียนบทกวีถึงสายรุ้งนั้น หรืออาจวาดภาพของสายรุ้ง ทุกๆครั้งที่มีคนร้องเพลง ทุกครั้งที่มีคนมองดูภาพหรืออ่านบทกวี สายรุ้งนั้นก็จะกลับมาเป็นความเป็นจริงให้ผู้คนสามารถสัมผัสได้ นั่นเป็นวิถีทางเดียวที่เราจะยึดจับความเป็นจริงชั่วคราวเหล่านั้นเอาไว้ให้เนิ่นนานขึ้น
ปู่เล่าว่า หลังจากวันนั้น ปู่ก็ไม่ได้พบเจอชายหนุ่มคนนั้นอีก แต่ไม่รู้ว่าปู่รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าไม่กี่ปีถัดมา เหมือนกับว่าจะมีเพลงที่ร้องเกี่ยวกับสายรุ้งมากขึ้น และหลายต่อหลายเพลงนั้น ไม่ปรากฏชื่อคนแต่งแต่อย่างใด
.......................................................
ครั้งหนึ่งผมเคยถามปู่ว่า เมื่อคนเรามีความเศร้า คนเราต้องทำอย่างไร?
ปู่ตอบว่า – ปล่อยให้ความเศร้ามันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ปล่อยให้มันเติมเต็มหัวใจเรา อย่างน้อย มันก้ดีกว่าความว่างเปล่า และด้วยธรรมชาติของหัวใจ อย่างช้าๆ ทีละเล็กละน้อย มันก็จะค่อยๆหาอะไรมาเติมเต็มตรงที่ขาดหายไปของมันได้เอง
ถึงเวลานั้น เราก็แค่ปล่อยความเศร้าไปตามทางของมัน เท่านั้นเอง..
เพราะว่าความเศร้า แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ความเป็นจริงชั่วคราวอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน
..........................................