30 กรกฎาคม 2551 19:25 น.
หมอกจาง
จาโบเป็นมนุษย์แปลง มนุษย์แปลงแบบเดียวกับตระกูลไอ้มดแดงทั้งหลาย เป็นมนุษย์แบบเดียวกับพวกขบวนการห้าสีทั้งหลาย เป็นมนุษย์แปลงแบบที่เราเคยเห็นทั่วๆไปตามหนังการ์ตูนญี่ปุ่น หรือหนังการ์ตูนฝรั่ง
จาโบไม่ได้มีหน้าตาเหมือนไอ้มดแดง หน้าตาของจาโบจะออกไปทางเจ้าหนูปรมาณู ของอาจารย์โอซามุ เท็ตสึกะซะมากกว่า ตัวเล็กๆแต่มีพลังอันเหลือเชื่อ ผมเคยเห็นจาโบยกรถสิบล้อที่บรรทุกทรายอยู่เต็มคันด้วยมือแค่ข้างเดียว จาโบมีดวงตาสดใสสีเขียว มีเขาเล็กๆอ่อนๆอยู่บนหัวคู่หนึ่ง มันเหมือนเสาอากาศมากกว่าเขา จาโบเคยบอกผมว่าเจ้าเขาเล็กๆคู่นี้มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งวัดทิศทางลม ทั้งตรวจจับสัญญาณแม่เหล็ก ขยายเสียงเบาๆให้ได้ยินชัดขึ้น กระทั่งสามารถส่งคลื่นรบกวนจิตใจของศัตรูได้
ผมรู้จักจาโบ ตั้งแต่วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองแห่งนี้
เรื่องราวมันไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก ผมแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งและเธอเป็นคนของเมืองนี้ ซึ่งตามกฎของเมืองแล้ว ใครที่แต่งงานกับผู้หญิงของที่นี่ ก็ต้องนับเป็นประชากรของที่นี่ ต้องมาตั้งรกรากอยู่ที่นี่
ผมรู้กฎข้อนี้นานแล้ว ภรรยาผมบอกผมตั้งแต่ครั้งที่เราเริ่มคบกันใหม่ๆ ผมขอเธอแต่งงานในวันที่ผมรู้สึกว่ารักธอมากพอที่จะทิ้งทุกอย่างแล้วย้ายมาอาศัยที่เมืองแห่งนี้ได้ อันที่จริงแล้ว เมืองแห่งนี้มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรเลย เพียงแต่ผมต้องเริ่มต้นทุกอย่างใหม่หมดเท่านั้นเอง ไม่ว่าหน้าที่การงาน มิตรภาพหรือแม้กระทั่งการเรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ
จาโบเป็นฮีโร่ของที่นี่ หน้าที่ของจาโบคือปกป้องเมืองให้พ้นอันตรายจากแมมโบ แมมโบเป็นศัตรูของชาวเมือง เป็นสัตว์ประหลาดที่ตัวใหญ่กว่าคนธรรมดาสักสองเท่า มีมือนับสิบๆมือ มีหนวดยัวะเยียะยุบยับนับไม่ถ้วน มียางสีเขียวๆเหนียวหนืดยืดย้อยอยู่รอบตัว สารรูปน่ารังเกียจ แมมโบมักออกมาทำลายความสงบสุขของชาวเมืองเสมอ ซึ่งแต่ละครั้งที่แมมโบออกมาก่อความเดือดร้อน ชาวเมืองก็ได้จาโบนี่แหละออกมาปกป้อง
วันแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองนี้ จาโบกับแมมโบกำลังสู้กันอยู่ที่หน้าโรงพยาบาลประจำเมือง คนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่เล่าว่าแมมโบพยายามโจมตีรถพยาบาลที่บรรทุกคนไข้อาการหนัก แต่จาโบก็ออกมาขัดขวาง ผมจำได้แม่นว่าวันนั้นจาโบใช้หมัดทรงพลังต่อยเจ้าแมมโบที่มียางสีเขียวยืดหยำแหยะและหนวดยุบยับนั้นกองลงกับพื้น ก่อนที่จะกระดิกเขาเล็กๆบนหัวให้สั่นอย่างรุนแรงเพื่อรวบรวมพลังปล่อยลำแสงจอมพลังออกจากมือทั้งสอง เสียงระเบิดดังกึกก้องทีเดียวแหละ พอฝุ่นควันสงบลง เจ้าแมมโบนอนท้องแตกไส้ทะลักเรี่ยราดอยู่บนพื้นถนน ชาวบ้านตบมือดีใจกันใหญ่ ผมเองก็พลอยปรบมือไปกับเขาด้วย รู้สึกดีใจที่เมืองนี้มีจาโบคอยปกป้อง
ผมตกใจกับเหตุการณ์วันนั้นพอสมควร แต่ก็โล่งใจว่าเจ้าตัวประหลาดที่ชื่อแมมโบอะไรนั่นมันตายไปแล้ว และเหตุการณ์น่าตกใจแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ ปกติถ้าไม่มีสัตว์ประหลาดนี่จาโบจะทำอะไรนะ ผมนึกสงสัย แต่ไม่นานก็ได้คำตอบ เจ้าแมมโบปรากฏตัวอีกครั้ง คราวนี้มันบุกโรงเรียนอนุบาล ชาวบ้านโกรธแค้นมาก จาโบเข้าไปต่อเป็นพัลวัน ครั้งนี้เจ้าแมมโบมันเก่งขึ้นมากทีเดียว กว่าจาโบจะเอาชนะมันได้ก็สะบักสะบอมน่าดู เพราะไปพลาดท่าโดนหนวดยุบยับสีเขียวของเจ้าแมมโบเข้าไปอุดหลอดลมจนแทบหายใจไม่ออก ดีที่ได้ลำแสงจอมพลังช่วย แต่ต้องยิงถึงสองครั้งแน่ะ กว่าเจ้าแมมโบจะตาย
ผมถามแม่ยายของผมว่าแมมโบมันตายไปแล้วไม่ใช่รึ แม่ยายผมหัวเราะพร้อมกับบอกว่า แมมโบมันฟื้นคืนชีพได้เสมอนั่นแหละ เราไม่มีทางรู้หรอกว่าเมื่อไหร่เราจะเอาชนะมันได้เด็ดขาด ทุกครั้งที่จาโบฆ่ามันตายไป อีกไม่กี่วันถัดมา แมมโบก็ออกอาละวาดอีก เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ตอนนั้น ผมรู้สึกเห็นใจจาโบขึ้นมาทันที
.................................................
แล้ววันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้คุยกับจาโบ
เนื่องเพราะวิชาความรู้ที่ผมเล่าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์นี่แหละ ทำให้ผมได้เข้าทำงานในแผนกวิทยาศาสตร์ของหน่วยงานดูแลความสงบสุขของเมืองนี้ สิ่งที่ผมไม่คาดคิดก็คือ จาโบก็สังกัดหน่วยงานรักษาความสงบสุขนี้ด้วย
“มีไม่กี่คนหรอกที่รู้ว่าผมก็มีสังกัดน่ะ” จาโบพูดพลางหัวเราะ ดวงตาสีเขียวของเขาทอแสงระยิบระยับอย่างอารมณ์ดี
“แสดงว่าคุณทำงานภายใต้คำสั่งของหน่วยงานตลอด ยังงั้นรึ?” ผมออกจะแปลกใจที่ฮีโร่มนุษย์แปลงของผมก็มีสังกัด ก็รับเงินเดือนเหมือนกับผมด้วย
“จะว่ายังงั้นก็ใช่” จาโบรับ “ผมทำงานนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย อีกส่วนก็จากความสมัครใจของผมเอง”
“ผมสมัครใจที่จะมาเป็นจาโบเอง”
..
..
สมัครใจที่จะเป็นจาโบ??
“คุณกำลังหมายความว่า คุณไม่ได้เป็นยอดมนุษย์แบบนี้มาตั้งแต่เกิดรึ ?”
“ไม่มีใครเป็นยอดมนุษย์มาตั้งแต่เกิดหรอกคุณ” เขาหัวเราะน้อยๆ “ผมเข้ารับการดัดแปลงเป็นจาโบเพื่อที่จะหน้าที่ฮีโร่พิทักษ์เมืองนี้เอง มันเป็นความใฝ่ฝันของผมมาตั้งแต่เด็กน่ะ ฝันที่จะได้เป็นจาโบเพื่อออกต่อสู้กับเหล่าวายร้าย”
“เจ้าแมมโบนั่นก็ร้ายใช่ย่อยนะ มันฟื้นคืนชีพได้ทุกครั้งที่คุณฆ่ามันตายเลย คุณไม่รู้สึกท้อบ้างรึ จาโบ”
“ไม่หรอก” เขาส่ายหน้า “อันที่จริง ผมก็เคยท้อเหมือนกัน แต่มานึกๆดูอีกที..”
“จาโบคงไม่มีความหมายอะไรสำหรับเมืองนี้หรอก ถ้าไม่มีแมมโบ หรือไม่จริง ?” เขาหันมาถามผมด้วยดวงตาทีเล่นทีจริง
............................................
เมื่อเข้ามาทำงานในหน่วยงานรักษาความสงบสุข สิ่งที่รู้ที่เห็นจากที่นี่ ต้องถูกถือว่าเป็นความลับระดับสุดยอด ไม่อาจเอาไปบอกข้างนอกได้เด็ดขาด
แรกเลยผมก็ไม่เข้าใจ ว่าเพราะอะไร แต่หลังจากอยู่นานเข้า คุ้นเคยและได้รับความไว้ใจมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ทำ ผมก็ได้พบความลับที่น่าตกใจอีกหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือเรื่องของแมมโบ
ในแฟ้มลับที่ผมได้อ่าน แมมโบก็มีสังกัด ซ้ำร้ายยังมีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งที่คอยสนับสนุนแมมโบด้วยซ้ำ
สังกัดของแมมโบ เป็นหน่วยงานอีกหน่วยงานหนึ่ง ทำหน้าที่คล้ายๆกับหน่วยงานของจาโบ ต่างแต่ตรงที่ว่า หน่วยงานของแมมโบนั้น วางแต่แผนการร้ายและชอบก่อความไม่สงบ
ผมนึกไม่ออกจริงๆ ว่าการตั้งหน้าตั้งตาก่อการร้ายและสร้างความวุ่นวายให้กับเมืองนั้นมันจะมีประโยชน์อะไรกับพวกแมมโบ และชาวบ้านที่ชอบการกระทำของเจ้าแมมโบนั้นคงต้องเป็นคนชั่วร้ายอย่างไม่ต้องสงสัย
จากหน้าที่ที่ผมคอยดูแลและซ่อมบำรุงชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆให้จาโบ ทำให้เราได้คุยกันอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดเขาก็กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของผมในเมืองนี้
ทุกครั้งที่เขาออกไปจัดการเจ้าจาโบได้ เมื่อกลับมา หลังจากได้รับการแสดงความยินดีจากเพื่อนร่วมงานทั้งหลายแล้ว เขาจะปลีกตัวมาคุยกับผม มานั่งเล่าเรื่องราวการต่อสู้ของเขาให้ผมฟังอย่างละเอียดเสมอ แววตามีความภาคภูมิใจในสิ่งได้ทำลงไปเพื่อเมืองเล็กๆแห่งนี้ ผมเองก็ชื่นชมเขาเช่นกัน อีกทั้งยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกิน ที่ได้รู้จักกับฮีโร่คนนี้
“ผมคงได้หยุดพักสักสี่ห้าวันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวเจ้าแมมโบมันก็ฟื้นขึ้นมาใหม่” เขาหัวเราะ แต่แววตาฉายแววกังวลอะไรบางอย่าง
“ดูเหมือนคุณกังวลนะจาโบ”
“ ไม่มีอะไรหรอก ผมคงคิดมากไปเองนั่นแหละ”
“ อยากเล่าให้ผมฟังไหม ?”
เขานิ่งไปอึดใจ..
“ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเจ้าแมมโบมันแข็งแกร่งขึ้นทุกที จนชักจะตึงมือผมแล้ว”
“แต่คุณไม่มีทางแพ้หรอกจาโบ คุณเป็นมนุษย์แปลง เป็นฮีโร่ที่แข็งแกร่งที่สุดนี่นา คุณเป็นพระเอกและผมเองก็ไม่เคยเห็นพระเอกที่ไหนแพ้ให้ผู้ร้ายเสียที”
เขาหัวเราะ
.............................................
หลังจากที่เราคุยกันวันนั้น เจ้าแมมโบหายเงียบไป ไม่ออกมาป่วนเมืองเหมือนอย่างเคย ผมเคยนึกภาวนาว่าครั้งนี้เจ้าแมมโบคงไม่ฟื้น
แต่มื่อผมออกไปจ่ายตลาดในวันหยุด ผมก็พบว่าเจ้าแมมโบมันกำลังอาละวาดอย่างบ้าคลั่งอยู่ที่หน้าตลาด นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมเห็นเจ้าแมมโบกับตาของผมเอง ร่างกายมันดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าเดิมมาก สีเขียวบนร่างกายเข้มขึ้นเล็กน้อย เหมือนมันจะมีหนวดที่เส้นใหญ่กว่าเดิมและมากกว่าเดิมด้วย แต่ผมคงอุปทานไป
ผมยืนหลบมุมอยู่ข้างตึก รอดูเหตุการณ์อย่างสงบ เชื่อว่าจาโบคงรู้เรื่องนี้แล้ว และเขาคงกำลังจะมา
นั่นไง ฮีโร่ของผม มนุษย์จอมพลังที่อยู่ในรูปร่างที่เหมือนเด็กแปดขวบ ดวงตาใสเป็นประกายสีเขียวและผมสีเขียวจ้าของเขาสะท้อนกับแสงแดดสีทอง จาโบโดดเข้าปะทะกับเจ้าแมมโบที่กำลังอาละวาดอยู่ทันที มันเป็นการต่อสู้ที่ดูน่าอึดอัด ผมรู้สึกเหมือนว่าจาโบจะเป็นรอง หนวดที่ยุบยับเหนียวหนืดและแข็งแรงของเจ้าแมมโบดูเหมือนจะรัดเขาเอาไว้แน่น
“ปล่อยแสงจอมพลังสิ ปล่อยแสงจอมพลังจาโบ” ผมตะโกน จาโบพยายามขยับเขาเล็กๆบนหัวสร้างแรงสั่นสะเทือน แต่เจ้าแมมโบก็พ่นเมือกเหนียวหนับมาโปะทับไว้จนมันสั่นไม่ได้
ผมกำมือแน่น เชื่อแน่ว่าจาโบกำลังคิดหาวิธีแก้ทางอยู่ และเขาต้องคิดได้อย่างแน่นอน พระเอกย่อมไม่เคยแพ้ ผมเบิ่งตาจ้องมองเขาอย่างไม่กระพริบ
หนวดอันแข็งแรงของแมมโบหลายเส้นรัดคอจาโบแน่นขึ้น แน่นขึ้น หนวดอีกเส้นเลื้อยขึ้นมาพันที่ขมับ จาโบหันมองมาที่ผม เราสบตากัน ผมพยายามส่งกำลังใจให้เขาเห็น แต่แววตาเขาสิ้นหวัง เหมือนกำลังบอกลา
หนวดที่รัดคอและขมับของจาโบถูกกระชากไปคนละทิศ หัวของเขาขาดกระเด็น เลือดสดๆฉีดขึ้นท้องฟ้าเป็นสายเหมือนกับน้ำพุ
ผมเบิ่งตา ไม่ใช่เพราะอยากมอง แต่อวัยวะทุกอย่างในร่างกายผมมันเหมือนแข็งค้าง
และผมไม่แน่ใจ ว่าหูผมแว่วไปเองหรือเปล่า ที่ได้ยินเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีให้กับแมมโบ
............................................
จาโบตายแล้ว ฮีโร่ของผมตายแล้ว
เพื่อนของผมตายไปแล้ว
ผมนั่งร้องไห้อยู่หลายวัน พิธีศพของจาโบถูกจัดขึ้นอย่างหรูหราสมเกียรติวีรบุรุษ มีการกล่าวคำสดุดีอย่างยิ่งใหญ่ แต่งานศพครั้งนี้จัดแค่เฉพาะในหน่วยงานดูแลความสงบสุขเท่านั้น มันถูกปิดเงียบจากชาวบ้านภายนอก ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม แต่แม่ยายและภรรยาของผมก็ดูช่างไม่ทุกข์ร้อนอะไรมากมายกับการที่ฮีโร่ของเราตายไปเลย ซึ่งก็เป็นที่น่าแปลกใจสำหรับผม
หลังพิธีศพผ่านไปได้ไม่นาน เจ้าแมมโบก็ออกอาละวาดอีกอย่างย่ามใจ แล้วทีนี้ใครกันล่ะที่จะหยุดยั้งมันได้ ภาพในทีวีกำลังถ่ายทอดสดเจ้าแมมโบวิ่งเข้าไปโจมตีธนาคาร
ผมหันหลังให้กับทีวี แต่ก็ต้องหันไปดูอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้อง
และทันใดนั้นเอง ผมก็เห็นจาโบปรากฏตัว..
.................................................
“จาโบ นายฟื้นคืนชีพได้จริงๆ แถมเก่งขึ้นอีกด้วย ฉัน.. ฉัน..” ผมดีใจจนพูดอะไรไม่ออก เมื่อจาโบนำชัยชนะกลับมาที่หน่วยของเราอีกครั้ง แต่จาโบกลับยิ้มให้ผมอย่างห่างเหิน
“ขอโทษนะครับ ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน..” จาโบแกะมือผมที่จับแขนของเขาออกอย่างเย็นชา ตาสีเขียวไม่ทอแววว่ามีมิตรไมตรีใดๆ ผมมองตาม งุนงง เกิดอะไรขึ้น
“เก่งไหมล่ะ จาโบ113 ของเรา” ผมหันไป เห็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยของหน่วยเรายืนยิ้มอย่างภาคภูมิ
“จาโบ113 ?”
“ใช่ มนุษย์แปลงตัวที่ 113 ของเรายังไงล่ะ จาโบ112 ที่คุณรู้จักนั่นน่ะ แทบจะไม่มีจุดอ่อนก็จริง แต่ยังด้อยกว่าจาโบ113ตัวนี้หลายอย่างเลยหละ”
“จาโบ112 ?” ผมยังคงงุนงง
“ใช่สิ” หัวหน้าฝ่ายวิจัยยิ้มน้อยๆ “คุณคิดว่าจาโบมีแค่ตัวเดียวหรือยังไงล่ะ เรามีจาโบมาแล้ว 112 ตัว แต่ตัวที่ 113 นี่เก่งที่สุด ทีนี้เจ้าพวกแมมโบคงต้องเร่งพัฒนากันยกใหญ่ทีเดียวหละกว่าสร้าง
มนุษย์ดัดแปลงตัวใหม่ๆที่ดีกว่าเราได้น่ะ”
.........................................................
“ทีนี้เจ้าพวกแมมโบคงต้องเร่งพัฒนากันยกใหญ่ทีเดียวหละ กว่าสร้างมนุษย์ดัดแปลงตัวใหม่ๆที่ดีกว่าเราได้”
อะไรกันนี่ ?
เจ้าแมมโบก็ถูกดัดแปลงมาจากมนุษย์เหมือนกับจาโบอย่างนั้นรึ ? ไม่ใช่ปีศาจอมตะอย่างที่ผมเคยคิด ว่าทุกครั้งที่จาโบฆ่ามันตาย มันก็ฟื้นคืนชีพกลีบมาได้ทุกครั้งหรอกหรือ ?
ผมนึกถึงเสียงโห่ร้องชื่นชม เมื่อวันที่แมมโบฆ่าจาโบเพื่อนของผม
บางที แมมโบพวกนั้นก็อาจไม่ต่างอะไรกับจาโบเลย พวกเขาต่างเป็นมนุษย์แปลงเหมือนกัน เป็นมนุษย์แปลงที่ต่างมีความมุ่งมั่น มีอุดมการณ์เป็นของตัวเอง มีเป้าหมาย มีหน้าที่ มีเพื่อน มีคนรักและมีคนร้องไห้ให้ เมื่อเขาต้องตายจากไป
ตลอดมา ผมไม่เคยเข้าใจจุดมุ่งหมายของพวกแมมโบเลย ว่าสิ่งเลวร้ายต่างๆที่เขาทำนั้น มันเพื่ออะไร แต่บางที พวกแมมโบก็อาจไม่เคยเข้าใจในจุดมุ่งหมายของเราเช่นกัน เราต่างอาศัยอยู่บนโลกคนละใบที่ซ้อนทับกัน โลกของผมมีจาโบเป็นฮีโร่ ในขณะที่โลกอีกใบหนึ่งนั้น แมมโบคือวีรบุรุษ คือผู้เสียสละ บางทีในสายตาของพวกที่สนับสนุนแมมโบแล้ว จาโบต่างหาก ที่เป็นสัตว์ประหลาดตัวสีเขียว หนวดเครายุบหยับ เต็มไปด้วยเมือกหยำแหยะน่าเกลียด
แล้วใครกันแน่ คือฮีโร่ที่แท้จริง ?
..............................................
ผมวางดอกไม้บนหลุมฝังศพของจาโบ แล้วถามเขาในใจ
ว่าโลกยังต้องการฮีโร่อีกสักกี่คนกันถึงจะเพียงพอ ?
...................................................
23 กรกฎาคม 2551 07:55 น.
หมอกจาง
ตอนเช้า กาแฟหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอน ใส่น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน
เปิดทีวีดูรายการข่าว พิธีกรเล่าเรื่องราคาน้ำมันที่กำลังขึ้นแตะเพดานสี่สิบบาทต่อลิตร
ลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ เสียงพิธีกรยังคงเจื้อยแจ้ว กาแฟยังคงค้างอยู่ครึ่งค่อนแก้ว
เดินลงมาชั้นล่าง เดินดูแปลงดอกไม้ ดอกกุหลาบเริ่มโรยลงบ้างแล้ว นึกอยากปลูกดอกใหม่แต่ไม่มีที่ว่างเหลือ
นั่งทำงานที่ยังค้างคา จากสาย ไปเป็นเที่ยง ไปเป็นบ่าย
ออกไปหาข้าวกลางวันกิน กลับบ้าน หยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้ครึ่งเล่มขึ้นมาอ่าน
ใกล้ค่ำ งานยังคงไม่คืบหน้าไปไหน เดินลงไปดูแปลงดอกไม้ ออกจากบ้านไปคุยกับเพื่อน
ฟ้ามืด นั่งคิดอะไรเรื่องเปื่อย เสียงข่าวภาคค่ำพูดถึงเรื่องนายกฯไปเยือนจีน
นั่งมองโทรศัพท์ หยิบขึ้นมากดเบอร์..
วางโทรศัพท์ ถอนใจ ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะโทร
................................................................
ตื่นเช้า พร้อมด้วยกาแฟหนึ่งแก้ว ใส่น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน นึกถึงบางคนที่เคยบอกว่าชอบดื่มกาแฟที่ใส่น้ำน้อยๆ
เปิดทีวีดูรายการข่าว ราคาน้ำมันยังคงขึ้นไปใกล้แตะสี่สิบบาท
ปล่อยทีวีให้เปิดค้าง ปล่อยกาแฟให้หลงเหลืออยู่ในแก้ว เดินลงไปดูดอกไม้ที่สวนข้างล่าง
ดอกกุหลาบดูสลดลงนิดหน่อย มองหาที่ว่าง อยากปลูกดอกใหม่ที่มันสดชื่น แต่ก็มองไม่เห็นที่ว่างตรงไหน
ขึ้นมานั่งทำงานจนบ่าย งานไม่คืบหน้าจากเดิม
ออกไปหาข้าวกลางวันกิน กลับมาหยิบหนังสือที่อ่านค้างไว้เมื่อวานมาอ่านต่อ
รู้ตัวอีกทีตอนเย็นมากแล้ว ปิดหนังสือค้างไว้ที่ครึ่งเล่ม ลงมากวาดลานบ้านข้างล่าง ใบไม้ร่วงจนดูรก
มองใบว่านบางใบที่เหี่ยวเฉาตรงขอบใบ ใครบางคนเคยบรรจงใช้กรรไกรอันเล็กขลิบตรงสีน้ำตาลนั้นออก
ค่ำ ข่าวยังคงรายงานเรื่องนายกฯไปเยือนประเทศจีน
ออกมายืนนอกระเบียง ดาวบนฟ้าทอประกายระยิบระยับ
หยิบโทรศัพท์มาพลิกๆดูแล้ววาง
...................................................................
...
...
...
...
...
...
...
...
...
......................................................................
กาแฟหนึ่งแก้ว น้ำตาลสองก้อน คอฟฟี่เมทสองช้อน
ข่าวภาคเช้ายังคงเป็นราคาน้ำมันที่แตะหลักสี่สิบบาท
วางแก้วกาแฟทิ้งไว้หน้าจอทีวี ควันสีขาวลอยกรุ่นทักทายพิธีกรที่อ่านข่าวเจื้อยแจ้ว
ไม่ชอบชุดพิธีกรหญิงวันนี้เลย มันทำให้นึกถึงใครบางคน
มองหาไปรอบๆ ยังคงไม่มีที่ว่างที่จะปลูกกุหลาบอีกสักดอก
นั่งทำงานนานกว่าทุกวัน แต่เมื่อลุกออกไปกินข้าวกลางวัน งานก็ยังคงอยู่ที่เดิม
หยิบหนังสือมาอ่าน พลิกดูหาว่าอ่านไปถึงหน้าไหน ที่คั่นหนังสือคั่นไว้ตรงครึ่งเล่ม
ลมเย็นๆพัดผ่านมาเยือกหนึ่ง ฝนคงตกไกลๆ เจ็บแปลบในอกอย่างประหลาด
วางหนังสือและลุกขึ้นเดิน ทุรนทุรายในความรู้สึก
หยิบโทรศัพท์มือถือมากดเบอร์จนครบ กดออก แต่แล้วก็วางสาย
...............................................................
..
....
..
....
..
....
..
....
.........................................................................
ตื่นตอนเช้า พยายามกินกาแฟให้หมด แต่ก็ไม่หมด
นั่งดูข่าวเรื่องราคาน้ำมัน แต่ก็เหมือนกับทุกๆวัน ซึ่งราคากำลังจะแตะหลักสี่สิบบาท สุดท้ายก็ลุกขึ้นเดินลงไปข้างล่างขณะที่พิธีกรยังคงอ่านข่าวไม่จบ
นั่งมองดอกกุหลาบนานกว่าปกติ มันโรยแล้ว กลีบเป็นสีน้ำตาลไหม้ แต่ยังหรอก มันยังไม่โรยสักหน่อย กลีบด้านในมันน่าจะยังสดอยู่บ้างแหละ
เปิดงานขึ้นมาทำ หมดเปลืองเวลาไปค่อนวัน เพื่อจะได้งานเท่าตรงจุดเริ่มต้น
มองนาฬิกาเพื่อดูเวลาข้าวกลางวัน แต่ก็นึกแปลกใจ ทำไมเข็มนาฬิกาต้องเดินเป็นวง ทำไมไม่เดินหน้าไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ นะ
นึกถึงนาฬิกาอยู่ดีๆ ก็ไพล่ไปนึกถึงตุ้มหูของใครบางคน ที่เพียรเสยผมอวดด้วยกลัวว่าจะมองไม่เห็นตุ้มหูคู่สวยอันนั้น
หยิบหนังสือมาเปิดอ่านตรงหน้าเดิม หน้าเดียวกับทุกๆวัน
บางทีกุหลาบต้นนั้นมันอาจเหี่ยวเฉาไปนานแล้วก็เป็นได้
ถ้าไม่ถอนออก ก็คงไม่มีที่ว่างจะปลูกดอกใหม่
หนังสือเมื่อจบหน้า ถ้าไม่พลิกหน้าต่อไป เรื่องราวก็คงไม่อาจดำเนินไปไหนได้
ข่าวนายกฯไปเยือนจีนดังออกมาจากทีวีช่วงข่าวภาคค่ำเป็นรอบที่ร้อย
บางที คืนนี้อาจจะกลั้นใจกดโทรศัพท์ให้ครบหมายเลขและโทรออกเสียที..
13 กรกฎาคม 2551 23:51 น.
หมอกจาง
แล้ววันหนึ่งฉันจะนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ความทรงจำ
ศพของฉันอาจเน่าเฟะ เต็มไปด้วยหนอนและน้ำหนอง
ดอกไม้สีขาวทิ้งกลีบคลุมศพฉันบางบาง
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ยังคงเห็นรอยยิ้มที่ฉาบอยู่บนใบหน้า
สักวันหนึ่งฉันจะละทิ้งร่างนี้
ทิ้งความทุกข์และความปวดร้าวประดามีที่ทนแบกรับ
ก้าวไปข้างหน้า ถึงแม้ว่าไม่มีชีวิต
ฉันเลือกที่จะตายเพื่ออยู่รอด และรักษาดวงวิญญาณเอาไว้
ด้วยว่าหากฉันยังมีชีวิตอยู่ จิตวิญญาณฉันคงพังทลายลงในสักวัน
ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้สีขาว
สวยงามและหอมหวน
ทุกทุกกลีบดอกไม้ ล้วนแต่มีเรื่องราวเขียนอยู่
แต่ทว่ามีเพียงฉันที่มองเห็น มีเพียงฉันที่เข้าใจ
และก็มีเพียงฉัน ที่ยังทนปวดร้าว
วันหนึ่งเธอจะพบว่า ฉันนอนตายอยู่ใต้ต้นไม้ความทรงจำ
ภายใต้สายลมสดชื่นและกลิ่นหอมของดอกไม้สีขาว
ฉันทิ้งความปวดร้าวไว้ที่ตรงนั้น ปล่อยให้มันผุพังและเปื่อยสลาย
เพื่อที่จะนำพาไปเพียงแต่ดวงวิญญาณ ..ที่หลงลืมทุกสิ่งอย่าง