18 เมษายน 2551 19:44 น.
หมอกจาง
ฉันเอาดอกไม้หย่อนลงปลายกระบอกปืน
จ่อเข้าที่หัวของฉันเอง
และลั่นไก
เปรี้ยง!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
หัวฉันแตกกระจาย มันสมองตกเปรอะเปื้อนพื้น
คนกวาดถนนถือไม้กวาดเดินมากวาด
เธอค่อยๆกวาดเศษสมองฉันทีละชิ้นใส่ลงในที่ตัก
ฉันมองดูพลางพึมพำขอโทษ
เธอบอกไม่เป็นไร
เลือดฉันไหลเหมือนลำธาร
มันเป็นสีแดงใส
ไหลไป ไหลไป ลัดเลาะข้ามถนน
ผ่านพงหญ้า ป่าละเมาะ
ปลาตัวโตหน้าตาหน้าเกลียดแหวกว่ายในลำธารนั้น
เด็กเด็กพากันไล่จับปลาสนุกสนาน
บางคนกระโดดลงดำผุดดำว่าย
“ตรงนี้มีเศษสมองอยู่ชิ้นหนึ่ง”
เสียงบางคนตะโกน
คนเล่าลือต่อต่อกันไป
ใครต่อใครพากันเล่าลือต่อต่อกันไป
ถึงผู้ชายที่ใช้ดอกไม้ระเบิดสมองตัวเอง
หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าว
รายการข่าวทุกช่องรายงานอย่างเร้าใจ
ชาวบ้านแห่กันมาดูแน่นขนัด
ทุกคนรู้ แต่ไม่มีสักคนเข้าใจ
ฉันกลายเป็นดารา
เป็นคนที่ทุกคนต่างสนใจ
ทุกคนขอดูแผลบนหัวฉัน
และทำหน้าแสยง เมื่อเห็นว่ามันสมองฉันหายไป
หนังสือพิมพ์ทุกเล่มตีพิมพ์รูปบาดแผล
กล้องทีวีเก็บภาพฉัน ไม่ว่าในยามนั่ง ยืน หรือเดิน
เด็กเล็กเล็กฝ่าผู้คนมาเพื่อได้จับมือกับฉัน
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเดิม
เวลาผ่านไปและผ่านไป
ดอกไม้สีแดงหงิกงองอกขึ้นที่ริมลำธาร
มันสมองของฉันคงถูกเผาทิ้งรวมไปกับกองขยะ
เด็กน้อยบางคนด้อมมองหาปลาในน้ำสีแดง และกลับไปด้วยสีหน้าผิดหวัง
ฉันเดินผ่านไปยังใจกลางเมือง ไม่มีใครสนใจฉัน
ฉันเดินขึ้นไปยังสำนักงานหนังสือพิมพ์
พวกเขาบอกให้ฉันนั่งรออยู่ครึ่งวัน เพื่อจะบอกว่าทุกคนกำลังทำงานวุ่นวายมาก
สถานีโทรทัศน์ก็เช่นกัน
โลกไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม เพียงแค่ฉันอ่อนล้าลงไป
ฉันเอาดอกไม้หย่อนลงปลายกระบอกปืน
จ่อเข้าที่หัวของฉันเอง
และลั่นไก เปรี้ยง!!
ดอกไม้ปลิวหวือผ่านกะโหลกศีรษะที่ว่างเปล่า
ไม่มีเลือด ไม่มีมันสมอง
ไม่มีแม้กระทั่งใครสักคนจะหันมาดู
..............................................
3 เมษายน 2551 15:48 น.
หมอกจาง
ผมเป็นคนที่โง่เรื่องดอกไม้โดยแท้
ครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่อ ตาเบบูญ่า ผมได้ยินมันจากปากหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวร่างบาง ผมดำขลับและดวงตาดำเป็นประกาย
“ฉันชอบดอกตาเบบูญ่า” เธอบอกผมในวันหนึ่ง ที่เราเดินเคียงข้างกันบนถนนอันเงียบเชียบ ใบไม้แห้งร่วงรายตามพื้นเพราะเป็นฤดูใบไม้ร่วง แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมันเป็นฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีฤดูร้อนอันสดใสรออยู่ ต่อมาภายหลังผมจึงรู้ ว่ามันคือฤดูหนาวต่างหากที่ทอดรอตรงเบื้องหน้า
“ดอกตาเบบูญ่ามีสีอะไร?” ผมถามอย่างคนไม่รู้ และเธอหัวร่อคิก
“นี่คุณไม่รู้จริงๆรึ”
“ก็จริงน่ะสิ”
..
..
“ดอกตาเบบูญ่ามีสีชมพูนะ คุณชอบดอกไม้สีชมพูมั๊ย?”
ผมไม่ได้ตอบ ผมมัวแต่มองดวงตาดำขลับของเธอ และคิดว่าถ้านั่นคือดอกไม้ มันจะเป็นดอกไม้ที่ผมชอบมากที่สุดในโลก
........................................
ถ้ารอยเท้าที่ย่ำลงบนพื้นจะทำให้พื้นหินสึกกร่อนลงไปได้ ทางที่เราเดินเคียงกันเป็นประจำคงสึกกร่อนเป็นร่องเป็นรอยไปแล้ว
โชคดีที่น้ำหนักของเท้านั้นเบากว่าก้อนหินและโชคดีที่น้ำหนักของความคิดถึงนั้นเบากว่าดวงตา
บางคำว่าคิดถึงในโลกถูกเอ่ยออกโดยปราศจากความรู้สึกคิดถึง แต่เราสองคนคิดถึงกันโดยไม่เคยเอ่ยคำว่าคิดถึง เราปล่อยให้สายลมที่พัดผ่านหัวไหล่ของเราสองคนขณะเดินเคียงกันกระซิบคำนั้นแทนเรา โดยมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้เรารู้ว่าเราต่างไม่ได้หูฝาด บางสิ่งที่คลับคล้ายความรัก
และนั่นเป็นเรื่องที่ผ่านมาจนเนิ่นนานมาแล้ว
..........................................
ทุกๆครั้งที่ผมเห็นดอกตาเบบูญ่า ผมมักหยุดยืนมองมันเสมอ มันทำให้ผมคิดถึงเธอทุกครั้ง ตาเบบูญ่าสีชมพู สีที่เธอชอบ
.........................................
“บอกสิว่าคุณไม่รักผม ?” ผมถามด้วยดวงตาที่แตกร้าว แววตาเธอก็แตกร้าวเช่นกัน
“ฉันไม่รักคุณ” เธอตอบ “ทำไมชั้นต้องรักคุณด้วยล่ะ ตอบมาสิ มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะต้องรักคุณ คุณลองบอกมาสิ”
นั่นสินะ
มันไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่เธอจะต้องรักผม
เธอมีใครบางคนอยู่แล้ว ใครบางคนที่เพียบพร้อมกว่าผมนับร้อยเท่า ใครบางคนที่เธอกับเขาคบกันมายืดยาวหลายปี ก่อนที่เธอจะมาเรียนต่อ ใครบางคนที่เธอกำลังจะกลับไปหาในอีกไม่เกินหนึ่งเดือนข้างหน้า
นี่ยังไม่นับ ว่าผมเองก็มีใครบางคนรอคอยอยู่เช่นกัน
เธอไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะมารักผม อันที่จริงผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไปรักเธอเช่นกัน
มันไม่มีเหตุผลเลย
“การที่ฉันจะรักคุณน่ะ มันคงเป็นไปไม่ได้พอๆกับการที่ตาเบบูญ่าจะออกดอกเป็นสีเหลืองนั่นแหละ”
ผมจำประโยคนี้ของเธอติดใจ
...............................................
“ถ่ายรูปให้กูหน่อย”
“ถ่ายรูปอะไรวะ”
“ต้นไม้ต้นนั้นน่ะ ต้นตาเบบูญ่าสีเหลืองต้นนั้น” ผมชี้มือเหมือนคนเหม่อลอย หนึ่งปีหลังจากกลับมาเมืองไทย หนึ่งปีหลังจากไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากเธอเลย ในบ้านสวนของเพื่อน ริมน้ำแม่กลอง ผมเห็นดอกตาเบบูญ่าสีเหลือง
ผมอยากบอกกับเธอเหลือเกิน ว่าตาเบบูญ่าสีเหลืองมันมีอยู่จริงๆ
..................................................
ไม่ยากที่ผมจะหาที่ทำงานของเธอ เพื่อนบางคนของเราเป็นเพื่อนคนเดียวกัน ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเราติดต่อกันไม่ได้ เพียงแค่เราคงเลือกที่จะไม่ติดต่อกันเท่านั้น
ชีวิตของเธอดีอยู่แล้ว ผมไม่อยากเข้าไปทำให้เธอวุ่นวายอีก
แต่ครั้งนี้ ผมแค่อยากบอกเธอ ว่าดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองมีอยู่จริง
“มาได้ยังไง” เธอนิ่ง อึ้ง เมื่อเห็นผมเดินเข้าไปทัก เธอสวยกว่าที่ผมเห็นครั้งล่าสุดเสียอีก ผมอยากพูดอะไรหลายอย่าง แต่ความเจ็บเสียดในหน้าอกทำเอาพูดไม่ออก
เธอก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
“สบายดีไหม?” ผมถาม เธอตอบว่า สบายดี
เวลาผ่านไปช่วงใหญ่เราจึงเริ่มพูดคุย พูดคุยอะไรที่ไม่สลักสำคัญ อาจมีสิ่งเดียวที่สำคัญ เธอบอกว่าเธอกำลังจะแต่งงาน
“กับคนที่รักกันตั้งแต่ตอนนั้นหรือ?”
“เปล่า” เธอตอบ ก้มหน้า
ผมมีรูปถ่ายดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองติดตัวมาด้วย ตั้งใจว่าจะเอามาให้เธอดู ตั้งใจว่าจะบอกเธอ
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
ผมท่องประโยคนี้ซ้ำๆ หลายร้อยหลายพันเที่ยวก่อนจะมาหาเธอ
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
“จะมางานแต่งงานฉันมั๊ย ?”
“คงไม่ วันนั้นผมไม่ว่างน่ะ”
เธอพยักหน้า เข้าใจ
“แล้วฉันจะส่งรูปไปให้ดูนะ”
“อื้มม”
สุดท้าย ผมก็ไม่ได้บอกกับเธอ ว่าดอกตาเบบูญ่าสีเหลืองมีอยู่จริง
มันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะบอก
............................................
ผมเปิดซองจดหมายขนาดใหญ่ด้วยมือสั่นเทา
จ่าหน้าคนรับถึงผม ผู้ฝากส่งเป็นชื่อเธอ แต่ในที่อยู่ผู้ฝากกลับระบุเป็นประเทศออสเตรเลีย ทั้งๆที่ไปรษณีย์ต้นทางอยู่ในกรุงเทพฯ
ผมขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ แต่ก็ปล่อยผ่านเลย
เธอส่งรูปงานแต่งมาให้ตามสัญญา
เพื่อนหลายคนที่ไปงานแต่งเธอ บอกเล่า ว่างานนั้นจัดใหญ่โต แขกเหรื่อมากมาย เจ้าบ่าวดูดี และเป็นคนมีชื่อเสียงในวงสังคมพอดู
ผมดีใจ ที่ผมไม่ได้ไปงานวันนั้น
ข้างในมีรูปอยู่หนึ่งบาน ผมกลั้นใจดึงรูปออกมา เธอคงอยู่ในชุดเจ้าสาว ใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
ใบหน้าเธอในรูปนั้นเปี่ยมรอยยิ้มจริงๆ
เป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ในชุดนักศึกษา คงถ่ายไว้เมื่อหลายปีที่แล้ว
เธอยิ้มอย่างสดใส ที่ด้านหลังที่เธอยืน มีดอกตาเบบูญ่าดอกสีเหลืองออกดอกบานสะพรั่ง
..
..
“รู้มั๊ย ว่าดอกตาเบบูญ่าที่เป็นสีเหลืองก็มีนะ”
..
..
ผมซบหน้าลงกับรูป และเริ่มต้นร้องไห้
..................................................