20 กันยายน 2550 18:51 น.
หมอกจาง
บางการสบตามีความหมายมากกว่าคำพูดนับพันคำ
ผมกับเธอเจอกันเป็นครั้งที่สอง เพียงแค่ครั้งที่สอง คุยกันไม่เกินสิบประโยค รวมๆแล้วไม่น่าจะเกินร้อยคำ คุยกันด้วยเรื่องราวธรรมดาที่คนธรรมดาซึ่งเพิ่งจะถูกแนะนำให้รู้จักกันพึงจะคุยกัน หรืออีกความหมายหนึ่ง คือคำทักทายที่เปล่ากลวงหาสาระใดๆไม่ได้นั่นเอง
แต่หากจะนับรวมเอาคำพูดที่ผ่านสายตาเข้าไปด้วย เราคงคุยกันอย่างจริงจังไปแล้วไม่ต่ำกว่าหกเจ็ดพันคำ
.........................................................
ทุกเสียงหัวเราะในกลุ่มเพื่อน เราจะหันมาสบตาเพื่อที่จะหัวเราะด้วยกันสองคน
และทุกสายตาที่กวาดผ่านกันและกันโดยความบังเอิญและความไม่บังเอิญ เราจะทักทายกันอยู่ในสายตา
เปล่า..เราไม่ได้สบตากันและกันนานกว่าปกติที่ควรจะเป็น แต่เราสบตากันลึกกว่าปกติที่ควรจะเป็น
มีการสั่นไหวที่จับต้องไม่ได้ และกลิ่นหอมที่สูดดมไม่ออก เจือปนอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบๆตัว
......................................................
อาจเร็วไปสำหรับคำว่ารัก และผิวเผินไปสำหรับคำว่าผูกพัน
แต่เหมือนเมฆที่ตั้งเค้าจนครึ้มฟ้า จนเชื่อได้ว่าน่าจะมีฝนตก
รอยยิ้มที่หลบอยู่ตามซอกหลืบการรับรู้ของผู้อื่นนั้นหวานเย้ายวน
คำอำลาที่ว่า แล้วว่างๆเจอกันใหม่นะคะ นั้นติดจมอยู่ในเบื้องลึกของใจ จากน้ำหนักในความหมายของมัน
....................................................
และในวันฟ้าใส
ด้วยข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผลของผม และเหตุผลที่ไม่สมจะมาเป็นข้ออ้างของเธอ ทำให้เรามาเดินอยู่ในสวนพฤกษชาติลำพังเพียงสองคน
ผมถ่ายรูปเธอหลายสิบรูป ในทุกรูปดวงตาเธอพูดกับคนข้างหลังกล้อง
เหมือนนิทานของคนว้าเหว่สองคนที่พอใจจะเขียนวันเวลาเป็นเรื่องราวสวยงามสักเรื่อง โดยไม่เคยสนใจว่าเรื่องราวนั้นจะสมจริงหรือไม่
เพราะความเปลี่ยวเหงานั้นต้องการเรื่องราว มิใช่ต้องการความเป็นจริง
...................................................
หากจะมีอะไรสักอย่างที่ทำให้แฮมเบอร์เกอร์เย็นชืดมีรสชาติ
ก็คงเป็นสิ่งเดียวกันที่จะทำให้คนสองคนยังเดินคุยกันเลียบริมถนนในยามย่ำเย็นที่สายลมหนาวนั้นพัดแรง
ใบไม้แห้งกรอบร่วงลงจากกิ่ง ก่อนที่ใบใหม่จะผลิบาน
เราเอ่ยคำอำลา เพื่อที่จะนัดหมายครั้งต่อไป
..................................................
เรานัดหมายกันครั้งต่อไป และครั้งต่อไป
เหมือนว่าเราเสพติดความรู้สึกที่เราได้อยู่ร่วมกัน
ดอกไม้ ทะเล ภูเขา ร้านแฮมเบอร์เกอร์ ข้าวราดแกง ผลัดเปลี่ยนเวียนไปในการพบเจอแต่ละครั้ง โดยมีเราสองคนเป็นจุดศูนย์กลาง
ในวันเวลาที่งดงามนั้นเราไม่เคยตั้งคำถามใดๆ
มนุษย์ที่มีความสุขมักคร้านที่จะตั้งคำถามใดๆ
......................................................
รู้ไหม..ว่าดอกกุหลาบที่ไร้รากนั้น เบ่งบานได้
กุหลาบตูมที่โตเต็มที่และปักไว้ในแจกันใส่น้ำนั้น บานได้ไม่แตกต่างจากดอกกุหลาบบนต้นที่ยืนหยัดอยู่บนรากอันแข็งแรง
ที่แตกต่างคือดอกกุหลาบบนต้นนั้น เมื่อร่วงโรยก็ยังสามารถมีดอกใหม่บานสืบต่อกันไป ในขณะที่ดอกกุหลาบในแจกันนั้น บานเพียงครั้งเดียวเพื่อที่จะโรยรา
แต่เราจะแยกความแตกต่างนั้นได้อย่างไร ถ้าหากเราไม่เคยมองหารากของมัน ?
ผมเคยคิด ว่ามันเป็นเพราะว่าเราไม่ใส่ใจจะมองหา แต่มาคิดๆดูอีกครั้ง บางทีอาจเพราะเราหลับตาเพื่อที่จะไม่มอง
.......................................................
และในวันหนึ่งของสายธารวันเวลาที่ยาวนาน ก็เป็นวันสิ้นสุดของเรื่องราวบางเรื่อง
ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและรากดอกกุหลาบ
ผมรู้สึกว่ากลิ่นหอมที่สูดดมไม่ได้ซึ่งเคยล่องลอยอยู่ในอากาศนั้น กลับกลายเป็นของโจรซึ่งถูกขโมยมา จนต้องเก็บงำซ่อนเร้นมันไว้ด้วยความละอาย
และความสั่นไหวรอบๆในยามที่ได้อยู่ใกล้กันนั้นก็กลับแรงขึ้นเหมือนสายลมที่พร้อมจะเขย่าเอนต้นไม้ผุสักต้นให้ล้มลง
ผมยิ้มให้เธอและเขาอย่างจืดชืด
วินาทีนั้นผมอยากเล่นละครให้เก่งกว่าที่ทำไป
....................................................
เหมือนมีคำถามมากมาย และแต่ละคำถามก็เหมือนว่าจะมีคำตอบที่เหมาะสมของมัน
แต่ชีวิตไม่ใช่เลขคณิตและไม่ใช่ปัญหาเชาว์ ที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลงได้ด้วยคำตอบ
บางอย่างในชีวิตนั้น แม้จะมีคำตอบ แต่ก็ยังคงมีความค้างคา
...................................................
ผมบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นลงในอีกหนึ่งหน้าของนิทานคนเหงา
นิทานที่แต่ละเรื่อง ต่างมีจุดเริ่มและจุดจบ หากแต่ไม่เคยสมบูรณ์พร้อม
และหน้ากระดาษก็ดูเหมือนจะมีหน้าว่างพอที่จะบรรจุนิทานกระท่อนกระแท่นเหล่านั้นอยู่เสมอจนคล้ายไม่รู้จักพอ
บางที ที่ผมทำอยู่ คือมองหานิทานสักเรื่องที่สามารถเติมเต็มทุกหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า
แต่ผมเองก็ไม่มีความมั่นใจ ว่านิทานเรื่องนั้นจะมีอยู่จริง
เพราะทุกครั้งของการมองหา มักจะจบลงด้วยนิทานที่ขาดพร่องอีกเรื่องหนึ่งเสมอมา
.................................................