26 กันยายน 2548 21:20 น.
หมอกจาง
วันนี้วันว่าง อากาศค่อนข้างสดใส แรกก็คิดที่จะทำงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ แต่ปลายสัปดาห์อยากให้หัวตัวเองได้พักผ่อนบ้าง ผมเลยเลือกที่จะออกไปเดินเล่นข้างนอก
ในเมืองเล็กๆที่ผมอยู่ ที่ที่จะให้ไปเดินเล่นมีไม่เยอะ อีกอย่างผมเป็นคนที่มักไม่ค่อยมีความคิดใหม่ๆอะไรเท่าไรในเรื่องเที่ยว ที่ไหนที่ผมเคยไป ผมก็ชอบที่จะไปมันซ้ำๆอยู่นั่นแล้ว แม้ว่าผมจะรู้จัก จะจดจำมันได้แทบทุกซอกทุกมุมแล้วก็ตาม
ตวัดเป้ขึ้นหลัง ซาวอะเบาท์ใส่ไว้ในเป้ ไว้ฟังฆ่าเวลาขณะนั่งรถเมล์เข้าเมือง
จากบ้านเข้าไปในเมืองค่อนข้างไกล ฟังเพลงได้เกือบจบแผ่น ตลอดทางมีฝรั่งบ้าง เอเชียบ้าง ขึ้นรถลงรถกันเป็นระยะ เท่าที่ผมสังเกตดู คนเอเชียในเมืองนี้เพิ่มมากขึ้นจนเห็นได้ชัด เรียกได้ว่าถ้าผมเดินสวนกับคน 10 คน ในนั้นจะต้องเป็นเอเชียอย่างน้อยสี่คน
ถึงที่หมาย เป็นแหล่งชอปปิ้งเซ็นเตอร์เล็กๆใจกลางเมือง อากาศดี มีคนเดินค่อนข้างมาก สำหรับผม ส่วนใหญ่ที่จะแวะก็มีเพียงแค่ร้านซีดีกับร้านหนังสือ แล้วก็ตบท้ายด้วยการเข้าไปนั่งร้านกาแฟ สั่ง Latte สักแก้วละเลียดกิน แล้วจากนั้นก็ค่อยกลับบ้าน
ก็เป็นอยู่อย่างนี้ วนเวียนอยู่อย่างนี้ ซ้ำไปซ้ำมาแทบทุกอาทิตย์
ที่ตรงลานเล็กๆ ตรงกลางชอปปิ้งเซ็นเตอร์แห่งนี้ จะมีคนมาเปิดการแสดงแลกเงินในทุกๆวันหยุด ภาษาบ้านเราคงเรียกว่า วณิพก ที่นี่เขาก็มีศัพท์เรียกเหมือนกัน น่าเสียดายที่ผมจำไม่ได้
พวกนักแสดงแลกเงินเหล่านี้เป็นนักแสดงกันจริงๆ ไม่ใช่แค่เพียงสักแต่เล่นอะไรไปตามเรื่องตามราวแล้วขอเศษเงินที่จะให้ด้วยความสงสาร เขาฝึกซ้อมกันอย่างจริงจัง แสดงและเล่นเป็นอาชีพ พวกที่แสดงกายกรรม การละเล่นผาดโผนเช่น มัดตัวเองด้วยโซ่แล้วพยามยามดิ้นให้หลุดด้วยการกระแทกทุ่มตัวลงกับพื้น หรือมีคนหนึ่งซึ่งขี่จักรยานล้อเดียวที่สูงราวสี่ห้าเมตรพร้อมวางแก้วน้ำไว้บนหัว จากนั้นโยนมีดสามเล่มสลับไปมาโดยที่พยายามทรงตัว ไม่ให้แก้วนั้นหล่นและจักรยานล้ม คนพวกนี้จะมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก มีการโน้มน้าวคนดู เรียกร้องความสนใจให้คนเข้ามาเยอะๆ ตรึงคนดูให้อยู่จนจบการแสดง และทำให้คนดูสามารถหย่อนเงินลงในหมวกเขาที่เปิดรับได้เมื่อการแสดงจบ ผมว่างๆก็จะแวะเข้าไปดู และส่วนใหญ่ที่แวะเข้าไปดูก็มักจะเสียเงินทุกที อย่างน้อยสิ่งที่เขาทำทั้งหมดนับตั้งแต่การฝึกซ้อม การแสดง เรียกรอยยิ้ม เสียงหัวเราะและเสียงปรบมือจากคนดู เขาก็น่าจะได้อะไรตอบแทนกลับไปบ้าง
มีบ้างบางคนมาเล่นดนตรี มีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบมาสีไวโอลินด้วยท่าทางตั้งใจ ผู้ปกครองนั่งมองให้กำลังใจอยู่ห่างๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าอายของคนที่นี่ที่จะให้ลูกเปิดการแสดงแบบเปิดหมวก ที่ริมทาง เขาคงแค่อยากให้ลูกเขาได้เรียนรู้ที่จะแสดงออก เงินที่ได้เป็นแค่รางวัลเล็กๆที่ไม่สำคัญ หากแต่น่าปลื้มใจสำหรับเด็กผู้หญิงคนนั้น
ครั้งหนึ่ง ตรงตรอกเล็กๆข้างลานโล่งเห่งนี้ ตรอกที่น้อยคนจะเดินแวะเวียนเข้าไป ผมเห็นชายหนุ่มคนหนึ่ง ท่าทางอารมณ์ดี เป็นศิลปินเต็มตัว กำลังเล่นกีต้าร์ของเขาอยู่ เล่นด้วยความตั้งใจ มองหน้าและส่งยิ้มให้ผู้ชมของเขาซึ่งมีเพียงคนเดียว ซึ่งเป็นเด็กชายอายุราวสี่ห้าขวบเท่านั้น ในมือเด็กชายมีเหรียญ 50 เซ็นท์ซึ่งแสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจะไม่วางให้จนกว่านักดนตรีจะเล่นเพลงจบ ผมฟังเสียงกีต้าร์ ฟังเสียงร้องและรอยยิ้มที่มีความสุขบนใบหน้าของเขา มันเหมือนกับว่าเขาไม่ได้กำลังเล่นให้เด็กชายตัวเล็กๆฟัง หากแต่กำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟัง
แต่ไม่หรอกมั้ง..บางทีถ้าเขากำลังเล่นให้โลกทั้งโลกฟังจริงๆ มันคงไม่กินใจขนาดนี้ และเขาก็อาจไม่มีความสุขขนาดนี้ก็เป็นได้
สุดท้าย..เด็กชายก็วางเหรียญ 50 เซ็นต์นั้นลงพร้อมรอยยิ้มกว้าง ผมรู้เมื่อผมได้เห็นรอยยิ้มของเด็กคนนั้น..ว่าที่หนุ่มนักดนตรีต้องการ ไม่ใช่เหรียญ 50 เซ็นต์นั้นหรอก..
รอยยิ้มนั้นมีค่าเท่าไรไม่รู้ ผมรู้แต่ว่า..มันคงไม่อาจแลกมาได้ด้วยเงินทอง ไม่ว่าเท่าไรก็ตาม
อีกครั้งหนึ่งที่ลานเล็กๆแห่งนี้ มีนักร้องผู้หญิงอายุราวสัก 4-50 ปีได้เธอมาพร้อมกับเครื่องขยายเสียงอันเล็ก มาตอนเย็นที่ใครต่อใครพากันกลับบ้านเกือบหมดแล้ว ลานดูว่างจนแทบจะร้าง ผม..ซึ่งเดินผ่านเธอเพื่อจะไปยังป้ายรถเมล์เพื่อกลับบ้าน ก็ยังอดนึกสงสัยไม่ได้ ว่าทำไมเธอถึงมาเอาป่านนี้ ยังนึกขำอยู่ในใจว่า เธอมาเปิดแสดงเอาตอนนี้แล้วใครจะให้เงินเธอ
แล้วผมก็ได้คำตอบในเวลาไม่นานเลย
เธอเตรียมอุปกรณ์เสร็จแล้วก็เริ่มร้องเพลง ร้องสดๆ ไม่มีดนตรีประกอบ ในขณะที่ลานร้างผู้คน ตะวันจรดอยู่ตรงขอบฟ้า ร้านรวงปิดหมดทุกร้าน แต่เธอก็ร้อง ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง..เธอร้องเพลง Smoke Get In Your Eyes..
ผมเคยฟังเพลงนี้มาก่อน หลายครั้ง หลายคนร้อง แต่อาจจะด้วยบรรยากาศ หรือน้ำเสียงของเธอที่เติมชีวิตลงในลานว่างแห่งนั้น ผมสาบานได้ ว่าเพลง Smoke Get In Your Eyes ในวันนั้น เพราะที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมาในชีวิต
ผมหยุดฟังจนจบเพลง เดินย้อนกลับไป หยิบเงินในกระเป๋าหย่อนให้เธอพร้อมทั้งเอ่ยขอบคุณ..
วันนั้นผมหวังเพียงว่าเธอจะกลับมาที่นี่อีก มาเติมเต็มความว่างเปล่าด้วยเสียงเพลงของเธออีก แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยพบเธอ
บางครั้ง บางเวลา ความว่างเปล่าที่เกิดขึ้นในยามที่ผมเดินคนเดียวบนลานที่เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่จะดึงความทรงจำของผมกลับไปสู่เพลงนั้นเสมอ
..Smoke Get In Your Eyes..
วันนี้หนุ่มนักดนตรีไม่อยู่ตรงที่เก่า มองหาตรงตรอกเล็กๆนั่นก็ไม่เห็น นักกายกรรมก็อยู่ในช่วงพักรอสำหรับจะขึ้นแสดงรอบต่อไป
สิ่งที่สะดุดตาผมกลับเป็นคุณลุงร่างผอมคนหนึ่ง หน้าตาที่ยับย่นดูออกว่าเป็นคนเอเชีย แกใส่วิกผมผู้หญิง สวมกระโปรงยาว ยาวชนิดที่เรียกว่าแกยืนอยู่บนกล่อง ชายกระโปรงยังคลุมลงมาถึงพื้น บนหัวสวมพวงมาลัยดอกไม้ปลอมคล้ายสาวฮาวาย ที่เอามีห่วงฮูลาฮูปที่แกต้องเต้นส่ายเอวเลี้ยงเอาไว้ตลอดเวลา แกเต้นไปพร้อมทั้งปรบมือตะโกนเรียกความสนใจจากผู้คนที่เดินผ่านไปมา
ผมหยุดยืนมองแกนิดหนึ่งแล้วก็เดินผ่านไป รู้สึกแปลกๆ ที่เห็นคนแก่อายุขนาดนี้ มาแต่งตัวเป็นผู้หญิงเต้นฮูลาฮูปแล้วเต้นเพื่อแลกเศษเงิน มันออกจะดูเกินไปอยู่บ้าง
ผ่านไปครึ่งค่อนชั่วโมงผมเดินย้อนกลับมาทางเดิม ก็ยังเห็นแกยืนเต้นอยู่เหมือนเดิมโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุดพัก นึกแปลกใจเลยหยุดดู ผ่านไปสิบนาที สิบห้านาที แกก็ยังคงเต้นส่ายเอวอยู่อย่างนั้น ปรบมืออยู่อย่างนั้น ถามฝรั่งไว้หนวดที่ยืนดูอยู่ใกล้ๆ เขาบอกว่าเขายืนดูอยู่ก่อนหน้าผมนานแล้ว เขาก็ไม่เห็นแกหยุดเต้นเหมือนกัน
ด้านหน้าแกมีแผ่นกระดาษเขียนเป็นภาษาอังกฤษด้วยลายมือโย้เย้ เห็นฝรั่งหลายคนเดินเข้าไปอ่านแล้วก็โยนเศษเงินลงในกล่องข้างหน้าแก แกก็ขอบคุณทุกคนไป ผมอยากรู้เลยเดินเข้าไปอ่านบ้าง ข้อความบนกระดาษนั้นมีใจความว่า
ผมเป็นทหารผ่านศึกจากสงครามเกาหลี ที่ขาข้างหนึ่งต้องพิการไปเพราะกระสุนเจาะผ่าน (คุณสามารถเปิดผ้าที่คลุมอยู่ดูได้ หากคุณต้องการ) ที่ผมออกมาเต้นที่นี่ ก็เพื่อรวบรวมเงินกลับไปสร้างโบสถ์คริสต์ในถิ่นทุรกันดารที่บ้านเกิดผม เกาหลีใต้ เพื่อให้ชาวบ้านยากไร้ที่นั่นได้มีโอกาสพบและรู้จักกับพระเจ้า หากคุณต้องการช่วยเหลือ กรุณาหย่อนเงินของคุณลงในกล่อง
ผมถอยออกมา มองหน้าแกด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปจากเดิม จากที่เข้าใจผิดว่าแกทำทั้งหมดนี้เพื่อตัวของแกเอง..
ผมเปิดกระเป๋า หยิบเงินออกมา มันไม่ใช่เศษเงิน..ผมรู้ แต่ผมก็เต็มใจที่จะให้แก
ขอบคุณ ขอบคุณ แกขอบคุณผมด้วยภาษาอังกฤษสำเนียงแปร่งๆ ปากพยายามเหยียดออกส่งยิ้มหากแต่ดูเหนื่อย ผมรู้ว่ายิ้มแกจริงใจจากแววตา..
คุณก็เป็นคริสต์เหรอ ผมนึกว่าคุณเป็นพุทธเสียอีก คนเอเชียที่ผมเคยคุยด้วยส่วนใหญ่เป็นพุทธ ฝรั่งไว้หนวดคนเดิมชวนผมคุย
เปล่าหรอก ผมปฏิเสธ ตายังคงมองที่ลุงคนที่เต้นอยู่บนกล่องนั่น ผมเป็นพุทธ
ฝรั่งคนเดิมมองหน้าผมด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
แล้วคุณบริจาคทำไมล่ะ เขาเขียนไว้ว่าจะเอาไปสร้างโบสถ์คริสต์ คุณอ่านไม่ออกเหรอ
ผมอ่านออก ผมจบบทสนทนาแค่นั้นแล้วเดินออกมา คร้านที่จะอธิบาย
จริงๆแล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม..
ผมให้ไปก็เพราะตื้นตันกับสิ่งที่แกทำ ด้วยความรู้สึกอยากให้ ไม่สำคัญว่าศาสนาอะไร แต่กับสิ่งที่แกทำ ผมรับรู้ได้ ว่ามันดี มันยิ่งใหญ่
พอมาย้อนนึกๆ ผมก็คิดว่าผมเริ่มจะเข้าใจ
บางทีศาสนาไม่ใช่สิ่งสูงสุดหรอก
ศาสนาคือสิ่งที่เกิดขึ้นทีหลัง ในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษย์นับหมื่นๆปี ศาสนาเพิ่งเกิดมากันได้ไม่กี่พันปีเอง
ศาสนา..เกิดจากมนุษย์
แล้วอะไรล่ะที่อยู่ก่อนหน้านั้น อะไรที่อยู่เบื้องหลังที่ทำให้เกิดเป็นศาสนาขึ้นมา
ผมเชื่อ..ว่าความดีงามในจิตใจของคน มีมาก่อนศาสนาใดๆเนิ่นนานแล้ว
ความห่วงใยผู้อื่น ความรัก ความเอื้ออาทร ความรู้สึกดีที่ได้เห็นผู้อื่นมีความสุข มีรอยยิ้ม
ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกปลูกฝังขึ้น หากแต่มีอยู่แล้วในหัวใจทุกดวง
ความรักนั้นเรามีมากันตั้งแต่แรก แต่การแบ่งแยกต่างหากที่ถูกปลูกฝังขึ้นทีหลัง
กับลุงนักเต้นคนนั้น การที่จะตื้นตันไปกับสิ่งที่แกทำ ผมไม่จำเป็นที่จะต้องนับถือศาสนาเดียวกันกับแก
เราทุกคน ต่างมีหัวใจดีๆอยู่เหมือนกันคนละหนึ่งดวง
และนั่นก็เพียงพอแล้ว...
10 กันยายน 2548 08:40 น.
หมอกจาง
ไอ้หรั่ง..
ฟังเหมือนชื่อเรียกฝรั่งที่มาอยู่เมืองไทย
หรือคนไทยหน้าคล้ายฝรั่ง
หรือลูกครึ่ง..
ผิดหมดครับ..
ไอ้หรั่งมันเป็นหมา
สมัยก่อน ผมเปิดร้านขายของอยู่กับเพื่อน อยู่ที่ใต้ถุนหอพักแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม..แฮ่ม) ก็ร้านขายของชำที่จะพบได้ทั่วๆไปตามใต้ถุนหอพักนี่แหละ คนที่หอเรียกมันว่าร้านสโตร์ แต่ผมเรียกร้านผมเองว่าร้านโชห่วย ฟังแล้วได้อารมณ์ดี
ตอนนั้นวันๆก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอกครับ สลับกับเพื่อนมาเฝ้าร้านขายของ เฝ้าร้านนี่เป็นงานที่น่าเบื่อไม่ใช่เล่น ก็เลยเริ่มพอจะเข้าใจ ว่าทำไมร้านส่วนใหญ่ถึงมักจะมีแต่คนแก่ๆเฝ้าร้านกัน โถ..ให้หนุ่มๆสาวๆมานั่งเฝ้าร้านทั้งวันทุกวัน เฉาตายกันพอดี
แต่ผมก็เฝ้าอยู่ได้หลายปีอยู่ละนะ..
กิจกรรมยามว่างตอนเฝ้าร้านคือดูทีวี อ่านหนังสือ ฟังเพลง บางทีก็นั่งดูลูกค้าสาวๆน่ารักๆให้พอแช่มชื่นหัวใจ หรือไม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระกับใครก็ได้ที่มาแวะนั่งคุยด้วย แต่พออยู่นานๆไปที่แวะเวียนมาประจำกลับกลายเป็นแก็งค์เด็กๆที่ไม่รู้ว่ามาติดใจอะไรกันนักหนา ป่วนเสียจนสาวๆหนีกระเจิงหมด ไอ้ครั้นจะไล่เด็กก็ใช่ที่ เดี๋ยวเสียภาพรักเด็กหมด
ทีนี้นอกจากเด็กแล้วยังมีหมาอีก
ไอ้หรั่งนี่แหละครับ..
ไอ้หรั่งเป็นหมาพันธุ์..เอ่อ..อะไรก็ไม่รู้ ตัวใหญ่ๆ หน้าตาทู่ๆ สีขาวสลับดำ ปนกันมั่วป้ายกันไปป้ายกันมาจนไม่รู้จริงๆมันเป็นหมาสีดำแต้มขาวหรือขาวแต้มดำ บางทีขาวก็ไปโผล่บนดำหรอมแหรมสามสี่เส้น ดูเหมือนหมาผมหงอกยังไงไม่รู้
ไอ้หรั่งมันชอบมานอนที่หน้าหอพัก ใกล้ๆโต๊ะยาม บางทีก็ข้ามมานอนหน้าร้านผม หรือบางวันก็หน้ามึนเดินเข้ามาในร้านเลยก็มี..
ถามคนแถวนั้น เขาบอกว่าไอ้หรั่งน่ะมันเป็นหมาของบ้านตรงกลางซอย แล้วทีนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้หรั่งมันไม่นึกอยากอยู่บ้านขึ้นมาซะเฉยๆ ย้ายนิวาสถานมาอยู่ที่หอพัก วันๆนึงก็กลับบ้านสักหนสองหนแล้วก็ออกมาใหม่ ประมาณว่าไม่ให้เจ้าของลืมหน้า ข้าวปลาก็ไม่ค่อยสนใจจะกินที่บ้าน นอนหิวมันอยู่ที่หน้าหอนั่นแหละ ท่าทางเป็นหมาอารมณ์ติสท์เอาเรื่อง
ไอ้หรั่งเป็นหมาไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่อันธพาล มันมานอนหน้าหอ หรือนอนหน้าร้านผมก็ตามที มันไม่เคยกัดใครหรือขู่ใคร ก็นอนของมันเฉยๆ มีแต่คนที่จะกลัวกันไปเอง เพราะตัวมันใหญ่ และที่สำคัญหน้ามันไร้อารมณ์
ครับ..ไอ้หรั่งมันเป็นหมาไร้อารมณ์จริงๆ หรืออย่างน้อยก็พอจะพูดได้ว่า มันไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นทางสีหน้าให้ใครเห็น
จะหิว จะอิ่ม ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ หน้าไอ้หรั่งมันก็เหมือนเดิมตลอด
ผมยังเคยพูดกับเพื่อน ว่าถ้าไอ้หรั่งมันเป็นคนเนี่ย น่าจะจับไปชกมวย เพราะหน่วยก้านดี เก็บอารมณ์โคตรเก่ง เดินตีหน้าเฉยขู่กินเปล่าลูกเดียว
ไม่เฉพาะแต่หน้า เอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างของหมาไอ้หรั่งมันก็ไม่เคยแสดงออก
ไอ้หรั่งมันไม่เคยกระดิกหางครับ..
เดินไปไหนมาไหน ไอ้หรั่งมันก็เดินชูหางของมันไปทื่อๆอย่างนั้นแหละ
บางทีคนที่อยู่บนหอพัก เห็นว่าไอ้หรั่งมันคงจะหิว เพราะข้าวปลาไม่ค่อยสนใจจะกิน หุ่นที่ล่ำก็ดูซูบๆไป เขาก็เอาข้าวมาให้มันกิน ซึ่งไอ้หรั่งมันก็กิน กินด้วยท่าทีไร้อารมณ์เหมือนเดิม หูไม่รี่ หางไม่กระดิก กินอิ่มแล้วก็ไปนอน ที่สำคัญกว่านั้น มันไม่แสดงอาการอะไรพิเศษกับคนที่เอาข้าวเอาขนมมาให้มันด้วย เจอกันวันหลังมันก็ไม่ทักเหมือนเดิม อย่างมากยกหัวมามองนิดนึงแล้วก็นอนต่อ
..ก็เอาข้าวมาให้มันกินเองนี่ ไม่ได้ขอสักหน่อย
ไอ้หรั่งเลยดูไม่ค่อยเหมือนหมาเท่าไรนัก เพราะหมาส่วนใหญ่คนคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นมิตรกับคน ต้องรู้คุณคน แต่ไอ้หรั่งมันดูเหมือนจะไม่รู้คุณใคร..
ไอ้จ๊อบ เด็กป.1ที่มาเล่นที่ร้านผมบ่อยๆนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากะไอ้หรั่ง
พี่สโตร์ๆ ช่วยจ๊อบด้วยดิ ไอ้จ๊อบตัวแสบที่ไม่เคยกลัวใคร วิ่งพรวดหน้าตาตื่นเข้ามาในร้านผม
มีอะไร จ๊อบ
ไอ้หรั่งมันไล่กัดจ๊อบ
อ้าว
คือไอ้จ๊อบเนี่ย มันเป็นลูกที่บ้านกลางซอยครับ บ้านไอ้หรั่งนั่นแหละ จะเรียกว่าไอ้จ๊อบเป็นเจ้าของไอ้หรั่งก็ไม่ผิดไปเท่าไรนัก
ไอ้หรั่งนี่มันหมาจ๊อบไม่ใช่หรือไง
ก็ใช่อ่ะดิ จ๊อบมันพูดไปหอบไป
อ้าว แล้วมันไล่กัดจ๊อบทำไม ธรรมดามันไม่เคยกัดใคร จ๊อบมันมองหน้าผม ทำหน้าเหมือนกันผมถามอะไรโง่ๆ
จ๊อบจะไปรู้เรอะ
เออ..ก็จริงของมัน ผมน่าจะไปถามไอ้หรั่งต่างหากนะ
ตอนเย็นๆว่างๆ ผมจะออกไปนั่งรับลมหน้าร้าน บางทีก็หยิบขนมออกไปนั่งกินด้วย มีวันนึง เห็นไอ้หรั่งวนเวียนมาใกล้ๆผมเลยบิขนมในมือเสนอให้
อ้ะ พอยื่นไป ไอ้หรั่งมันก็เล็งๆยื่นจมูกมาดมๆอยู่สักแป๊บแล้วก็งับป๊าบ
เฮ้ยๆ ให้กินหนม ไม่ได้ให้กินนิ้ว แต่ให้อีกชิ้นไอ้หรั่งมันก็งับทั้งขนมทั้งนิ้วเหมือนเดิม ท่าทางจะกินอาหารจากมือไม่เป็น ผมเลยเปลี่ยนเป็นเอาขนมมาวางที่พื้นให้มันกินแทน ไม่อย่างนั้นผมคงจะเสียนิ้วใดนิ้วหนึ่งให้มันไปแน่ๆ
พอขนมหมดมันก็มองหน้า
หมดแล้ว ผมแบมือให้ดู
ไหนมาลูบหัวทีซิ ที่บ้านผมเลี้ยงหมาค่อนข้างเยอะ ชอบเล่น ชอบลูบหัวกับมันเป็นประจำ พอมาอยู่กรุงเทพ ไม่มีหมาให้ลูบหัวก็เหงามือเหมือนกัน
ผมค่อยๆเอื้อมมือไป ไอ้หรั่งมันก็มอง เหมือนไม่ไว้ใจ..
ผมก็ไม่ไว้ใจเหมือนกันนั่นแหละ หวั่นๆว่ามันจะแว้งเอา แต่ใจนึงก็อยากลองดู
พอมือผมแตะลงบนหัวปั๊บ ไอ้หรั่งมันก็สะดุ้ง ผมก็สะดุ้งชักมือกลับ..
ท่าทางคงไม่ค่อยมีคนกล้าลูบหัวมันสักเท่าไรแฮะ ดูไม่ค่อยชินมือ
ผมค่อยๆเอามือไปวางบนหัวมันใหม่ คราวนี้มันไม่สะดุ้ง แต่หน้ายังไร้อารมณ์เหมือนเดิม
ผมค่อยๆลูบเบาๆ กลัวว่าแรงไปหรือกดไปเดี๋ยวพี่แกไม่พอใจขึ้นมาจะมีเรื่อง
เออ..ยอมให้ลูบแฮะ
วันนั้นไอ้หรั่งมันยอมให้ผมลูบหัวเล่นสักพักมันก็ไป
วันต่อๆมาวันไหนที่ผมออกไปนั่งเล่นหน้าร้าน แล้วไอ้หรั่งอยู่แถวนั้น ผมก็จะไปลูบหัวมันเล่น ซึ่งไอ้หรั่งมันก็ยอมแต่โดยดี โดยที่หูมันไม่รี่ หางไม่กระดิกอยู่เหมือนเดิม
เคยคิด ว่าที่มันยอมให้ลูบเนี่ย มันหวังขนมหรือเปล่า แต่ก็ไม่บ่อย ที่ผมจะมีขนมติดไม้ติดมือออกไปให้มัน ส่วนใหญ่จะลูบหัวมันเฉยๆเสียมากกว่า ระยะหลังไอ้หรั่งมันก็มีทำตาพริ้มๆเหมือนจะเคลิ้มบ้างเวลาถูกรูปหัว แต่ก็อย่างที่บอก ไม่มีอารมณ์ออกทางสีหน้าท่าทางเหมือนเดิม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบางทีไอ้ที่พริ้มๆเนี่ย เป็นเพราะผมลูบดึงหนังหัวมันขึ้นจนตาหยีก็เป็นได้
ส่วนใหญ่ผมปิดร้านดึก ตีหนึ่งตีสองถึงจะได้กลับบ้าน เป็นประจำทุกวัน
ซึงนานๆไปผมก็เบื่อๆกับชีวิตที่ร้านเหมือนกัน
ทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นกิจวัตร ลูกค้าไปแล้วก็มา หยิบของ เช็คของ ทำบัญชี มองออกไปก็เห็นแต่ประตูหอ โต็ะยาม แล้วก็ไอ้หรั่งนอนหน้าทื่อ เหมือนเดิมทุกวัน
ซอยที่ร้านผมอยู่จะออกไปถนนใหญ่ค่อนข้างลึกและเปลี่ยว แรกๆก็กลัว พอนานเข้าก็กลัวจนชิน
วันนึง ปิดประตูร้าน เป้ขึ้นหลัง ออกเดินเพื่อที่จะกลับหอพักตัวเอง เดินไปได้สักแป๊บ ก็เห็นไอ้หรั่งวิ่งเหยาะแซงไป
เที่ยวกลางคืนเหรอ ไอ้หรั่ง ก็แซวมันไป เอาเสียงเป็นเพื่อน แต่ถ้ามันตอบขึ้นมาก็คงวิ่ง ยังดีที่มันไม่ตอบ
ไอ้หรั่งมันก็วิ่งเหยาะๆของมันไปจนถึงปากซอย จู่ๆก็หยุดหันมามองหน้าผม ทำท่าเหมือนเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ หันหลังวิ่งกลับหอ
อ้าว ผมก็งงกับพฤติกรรมมัน แต่ก็นึกอุ่นใจว่าบังเอิญได้มันเดินออกมาเป็นเพื่อนก็ยังดี
แต่ที่ผมคิดว่าบังเอิญน่ะ ผมมารู้ทีหลังว่าคิดผิด
หลังจากนั้นเกือบทุกครั้ง ทุกวัน ถ้าผมปิดประตูร้าน แล้วเดินออกมาปากซอย ไอ้หรั่งมันจะวิ่งไม่รู้ไม่ชี้ออกนำเหมือนเดิม
หูไม่รี่ หางไม่กระดิก หน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ
แล้วพอถึงปากซอยมันก็หันหัวกลับเอาดื้อๆเหมือนเดิม..
ผมว่าผมคงไม่ได้เข้าใจผิดไป ว่าไอ้หรั่งมันออกมาส่งผม..
------------------------------------------------------------------
เขียนเรื่องนี้ หลังจากที่ได้รู้เมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าไอ้หรั่งมันตายไปแล้ว คงเพราะอายุเยอะ
ผมไม่ได้กลับไปที่หอนั้นนานโข ไม่ได้เจอได้ลูบหัวไอ้หรั่งเล่นก็นาน แต่ยังจำท่าทางทื่อๆ เฉยๆของมันได้ดี
ส่วนตัว เวลาที่มองหมาที่ข้างทาง ข้างหอ เห็นคนให้อาหาร ให้ข้าว แต่ไม่มีใครกล้าลูบหัวมัน อาจด้วยกลัวมันกัด กลัวมันมีพิษสุนัขบ้า
แต่ลึกๆ ผมว่าหมาพวกนั้นก็เหมือนกับคน ต้องการสัมผัส ต้องการความรัก มากกว่าแค่เศษข้าว เศษอาหารที่ใครต่อใครให้เพื่อประทังชีวิตมัน
ผมเชื่อ ว่าไอ้หรั่งมันก็มีความรู้สึก มีอารมณ์เหมือนหมาทั่วไปเหมือนกัน เพียงแต่มันไม่แสดงออกแค่นั้นเอง
เรื่องนี้..ผมเขียนเป็นที่ระลึกให้กับมัน
-------------------------------------------------------------------