10 กรกฎาคม 2548 12:38 น.
หมอกจาง
ตอนผมเป็นเด็กอยู่บ้านนอก ผมมีปู่อยู่กับเขาคนนึง..
ปู่ไม่ใช่ปู่แท้ๆของผมหรอก ปู่แท้ๆของผมตายไปก่อนที่ผมจะได้ทันจำหน้าแกได้ด้วยซ้ำ ปู่ที่ผมเรียกว่าปู่นี่เป็นปู่เพราะสนิทกับที่บ้านผม บ้านอยู่ใกล้กัน พ่อกับแม่ผมเคารพปู่เหมือนญาติผู้ใหญ่ มีแกงส้มต้มผักอะไร ผมก็มักจะได้รับหน้าที่ถือถ้วยน้ำชามแกงไปให้ปู่ที่บ้านเสมอมาตั้งแต่ครั้งยังเล็ก
ผมไม่รู้หรอกว่าปู่คนนี้ ต่างกับปู่แท้ๆของผมอย่างไร ค่าที่ผมไม่เคยรู้จักพูดคุยกับปู่แท้ๆของผม ผมรู้แต่ว่าตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ ผมเรียกแกว่าปู่อย่างเต็มปากเต็มใจทุกครั้ง
ปู่แกอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูกมีหลาน เก็บผักหาปลาของแกไปตามเรื่อง ขายบ้างแจกบ้าง แต่จะหนักไปทางแจกเสียมาก พออยู่พอกินของแกไปไม่เคยเดือดร้อน ว่างแกก็สานกระบุง ตระกร้าไปขายในตลาด
เก็บเป็นเงินเอาไว้บ้าง เผื่อจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง แกอธิบายเมื่อผมถามแกตามประสาเด็กว่าแกจะสานไปทำไม ในเมื่อข้าวปลาแกก็หากินได้ไม่เคยขาดแคลนอยู่แล้ว
ผมรักแกเป็นปู่ แกก็รักผมเป็นหลาน ตอนเล็กๆช่วงโรงเรียนปิดเทอม ผมขลุกอยู่บ้านปู่มากกว่าบ้านตัวเอง ปู่ชอบเล่า ชอบสอน ผมก็ชอบฟัง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไอ้ที่จำได้ บางทีก็ใช่ว่าจะเข้าใจ
ตอนนั้นเวลานั้น ผมไม่เคยคิดว่าปู่แปลกหรือพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน จนกระทั่งโตขึ้น นึกย้อนไปนั่นแหละ ผมถึงเพิ่งรู้ว่าปู่แปลกไปกว่าชาวบ้านทั่วๆไป ในสังคมบ้านนอกนั้น..
เรื่องราวระหว่างผมกับปู่ที่มักใช้ชีวิตวันๆหมดไปกับการทำโน่นทำนี่ด้วยกันมีมากจนจดจำไม่หวาดไม่ไหว แต่แค่ที่จำได้ก็มีมากพอจะเล่าได้เป็นวันๆ ผมคงจะหยิบเรื่องราวของปู่มาเล่าสักแค่สองสามเรื่อง จากเรื่องราวทั้งหมด เท่าที่ผมพอจะจำได้..
----------------------------------------------------------------------------------------------
ปู่ไม่ชอบการทำบุญ แทบจะไม่เคยไปทำบุญเลยก็ว่าได้ ปู่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับวัดหรือพระ
แต่ปู่บอกว่าเป็นเพราะปู่เองที่ไม่ชอบคำว่าทำบุญ
ปู่ไม่เข้าใจ ปู่เล่าให้ผมฟังในวันหนึ่ง
ว่าทำไมใครต่อใครถึงชอบพูดว่า ไปทำบุญ จะได้ได้บุญ จะได้เป็นคนดี ได้ขึ้นสวรรค์
ลองคิดดูสิ ว่าเราหอบข้าวหอบของตั้งมากมายไปวัด แต่ไม่ได้คิดที่จะไปเพื่อให้ หากแต่คิดจะไปเพื่อเอาบุญเท่านั้นเอง ผมนั่งฟังตาแป๋ว รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าปู่แกจะไม่ใส่ใจ แกอยากพูดให้ฟัง แกก็พูด ผมจะรู้เรื่องหรือเปล่าแกก็ไม่เอาเป็นธุระ
ถ้าเราไปทำบุญด้วยความมุ่งหมายว่าจะไปเอาบุญ ปู่ไม่เห็นว่ามันจะทำให้คนเป็นคนดีขึ้นมาตรงไหน คนก็ยังเห็นแก่ตัว ยังทำทุกอย่างเพื่อตัวเองกันอยู่นั่นเอง ตอนนี้เอามาย้อนนึกๆ ก็จริงของแกแฮะ
ปู่แกเลยสรุปว่านั่นแหละ ที่ทำให้แกไม่ยอมไปทำบุญไม่ว่าจะวันพระใหญ่ วันพระเล็ก ปู่แกยังคงเคารพนับถือพระแบบพุทธศาสนิกชนที่ดี จะต่างตรงแกไม่ทำบุญเท่านั้น
ทำทานดีกว่า สบายใจ ทำทานของปู่ คือการช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ เกื้อกูลใครต่อใครไปตามประสา ช่วยเหลือดูแลแม้แต่หมาแต่แมว จนชาวบ้านที่แม้จะมองแกว่าแกเป็นคนแปลกๆก็ยังรักแกกันทุกคน
ทำทาน จบแล้วก็จบ ให้แล้วก็ไม่ต้องรอรับ ไม่ต้องสะสมไว้เหมือนบุญ ไม่หนักดี คำพูดของปู่หลายๆคำ ผมจำได้แม่น ถึงแม้ว่าแกจะพูดให้ฟังเพียงครั้งเดียวก็เหอะ ค่าที่ว่ามันมักจะแปลกประหลาดกว่าคำพูดของใครคนอื่นๆที่ผมรู้จัก แต่ถึงแม้ว่าผมจะใช้เวลาชั่ววิบตาเดียวในการจดจำ แต่บางทีผมอาจต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิต เพื่อที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่ปู่พูด
ปู่เคยเล่า ว่าป้าละเอียด เมียกำนันน่ะ เมื่อก่อนเคยเป็น ชิ้น เก่าของปู่
อะไรคือ ชิ้น เหรอปู่ ผมนึกไปถึงชิ้นเนื้อ ชิ้นหมู ขนมเป็นชิ้นๆ
ก็คล้ายๆกับแฟนเดี๋ยวนี้นั่นแหละ ผมเลยถึงบางอ้อ
เมื่อก่อนรักกันมาก ละเอียดเขาอ่อนกว่าปู่อยู่หลายปี พ่อแม่เขาก็กีดกัน ตอนแรกปู่นึกว่าเขากีดกันเพราะว่าอายุ ปู่แกเล่าไปเรื่อยๆ ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องรักแต่หนหลังของแกนัก
มารู้ทีหลังว่ากำนันเขามาทาบทามไว้ ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นกำนันหรอกนะ แต่ว่ารวย..ค้าควาย เงินทองคล่องมือทีเดียว
ละเอียดมันก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย ปู่เองก็นึกจะพาหนีแต่ไม่มีโอกาส สุดท้ายเขาก็แต่งงานกันไป ตอนนี้ป้าละเอียดแกมีลูกมีหลานกับลุงกำนันเต็มไปหมดนี่นา
แต่ดูป้าแกก็มีความสุขดีอยู่นี่นะปู่ ตอนนี้น่ะ พูดไปแล้วก็สะดุ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าปู่แกจะเคืองความปากพล่อยของผมบ้างหรือเปล่า แต่พอมองหน้าแก แกก็ยังยิ้มเรื่อยๆ ยิ้มของปู่บางทีก็มองเหมือนยิ้มของพระในวิหาร..
อยู่ๆไปเขาก็รักกัน ตอนนี้ละเอียดเค้าคงลืมเรื่องของเค้ากับปู่ไปแล้วมั้ง ปู่พูดเฉยๆ หากแววตาอ่อนโยน.. ไม่รู้เรื่องป้าละเอียดนี่หรือเปล่า ที่ทำให้ปู่ไม่ยอมแต่งงาน
ปู่ไม่เสียใจเหรอ ผมถาม เพราะแปลกใจที่ปู่เล่าเรื่องอย่างนี้ด้วยใบหน้าที่สงบ ไม่ฟูมฟาย ไม่มีแววกล่าวโทษใคร ไม่ว่าป้าละเอียดที่เปลี่ยนใจ หรือลุงกำนันที่มาแย่งคนรักไปจากแกแบบไม่เป็นธรรมนัก..
แรกๆก็เสียใจอยู่ ปู่บอกเนิบๆตามแบบแก
ผ่านไปๆ แก่ขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น ปู่ก็เรียนรู้ แกหยุด มองหน้าผมด้วยแววตาปราณี ค่อยๆพูด..ช้าและชัด เหมือนตั้งใจจะให้ผมจดจำ
ว่าคนเราสามารถมีความสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างที่อยากได้หรอก
ผมจำคำพูดนั้นแม่น ค่อยครวญค่อยคิดมาจนบัดนี้ ผมไม่เคยแน่ใจว่าผมเข้าใจคำพูดของปู่จริงๆหรือยัง บางอย่างเราเคยคิดว่าเราเข้าใจ แต่เมื่อใดที่เราเข้าใจมันจริงๆ เราถึงจะรู้ ว่าที่ผ่านมา เราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย..
บางทีผมพยายามที่จะเอาหลักเกณฑ์ที่ใครต่อใครสอนผม ถึงความ ถูกผิดดีเลว มาตัดสินปู่ แต่ผมก็ไม่เคยตัดสินปู่ลงไปได้เสียที ว่าเป็นคนแบบไหน
ปู่อาจดูเป็นคนบาป คนไม่ดี ถ้ายึดตามคำสอนที่โรงเรียน ที่สอนในวิชาพุทธศาสนาว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป
แต่ปู่แกก็หาปลาของแกทุกวัน วางข่ายดักปลาหมอปลาดุกตามบึงร้างข้างนา ได้ปลาเต็มข้องกลับมาแจกคนโน้นคนนี้ หลายคนที่ไม่อยากทำบาปก็ขอร้องให้ปู่ช่วยทุบปลาให้ก่อนจะเอามาให้ เพื่อที่ว่าบาปจะไม่เปื้อนมือตัว ปู่ก็ทุบให้ตามคำขอ..
ผมยังแปลกใจมาตลอด ว่าการบอกให้คนอื่นฆ่าให้ กับการฆ่าด้วยมือตัวเองนั้นมันต่างกันตรงไหนในวิถีของบาป-บุญ
แม้ว่าปู่จะฆ่าปลามาเสียนักต่อนัก แต่เวลาที่มีปูนามาติดข่ายปู่กลับปฏิบัติอีกแบบ
บางครั้งเวลาฝนตก น้ำดี จะมีทั้งปูทั้งปลาติดข่ายให้ยัวะเยี๊ยไปหมด ปูนี่ตัวร้าย ด้วยความที่มันมีก้ามมีขาให้ยุ่บยั่บ จะปลดออกจากข่ายลำบากมาก บ่อยครั้งก็หนีบมือคนปลดเอาเสียด้วย แถมยังเป็นตัวการทำให้ข่ายขาดอยู่บ่อยๆ เพราะปลดไปดึงไป ข่ายไหนที่มีปูติดเยอะและบ่อยมักจะใช้ได้ไม่นาน ผมเคยเห็นคนหาปลาหลายคนเลือกที่จะใช้หินทุบให้ปูมันตาย ขาและก้ามแหลกหลุดออกจากตัว จากนั้นเพียงสะบัดๆ ส่วนที่เหลือก็จะหลุดออกจากแหอย่างง่ายดาย
..แต่นั่นไม่ใช่วิธีของปู่..
ปู่จะยอมเสียเวลา บางทีเป็นครึ่งค่อนวัน เพื่อที่จะค่อยๆปลดปูออกจากข่ายทีละตัว ใส่กระแป๋งสังกะสีไว้ จากนั้นก็เอามันไปปล่อยลงหนองน้ำ ที่ไม่ค่อยมีคนไปหาปลากัน
เราไม่ได้กินเขา ก็อย่าไปฆ่าเขา ปู่แกะปูไป สอนผมไป..
นี่แหละที่ผมมักจะสับสน ว่าตกลงปู่เป็นคนยังไงกันแน่ จะว่าเป็นคนดี..ซึ่งในใจผมค่อนข้างเชื่ออย่างนั้น..ปู่ก็ไม่ใช่คนดีตามตำรา ครั้นจะว่าเป็นคนไม่ดี อันนี้ไม่ต้องกางตำราไหนมา ผมก็พร้อมที่จะเถียงขาดใจ หากใครจะว่าปู่ของผมอย่างนั้น..
พอผมเล่าเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าปู่เป็นคนแบบไหนกันแน่ให้ปู่ฟัง ปู่ก็หัวเราะน้อยๆ เอื้อมมือมาขยี้หัวผม
แล้วเราจะตัดสินทำไมล่ะ มือปู่เหม็นปู แต่ผมก็ไม่รังเกียจ
ปู่ก็เป็นปู่อย่างที่เอ็งเห็นนี่แหละ มันจำเป็นมากนักเหรอที่จะต้องตัดสินลงไปให้ได้ว่าใครเป็นคนดีคนเลวน่ะ
..นั่นสินะ ว่าไปผมก็มองไม่เห็นความจำเป็นอะไรสักหน่อยกับการที่จะเที่ยวไปตัดสินใครต่อใครน่ะ..
ปู่ตายไปแล้วหลายปี..
แต่ผมยังจำได้ดีเสมอ ว่าปู่รักผมแค่ไหน..
ปู่ที่ไม่เคยเข้าวัดมานาน พาสังขารมาวัดในวันที่ผมบวช ตอนนั้นหน้าปู่ยับย่น ผมก็ขาวโพลนหมดแล้ว แต่ตาแกที่มองดูผมดูอิ่มเอิบและมีความสุข..
จำได้ว่า ผมเข้าไปกราบปู่ทั้งชุดนาค..
ผมไม่ได้เอาบุญเข้าไปฝากปู่หรอก เพราะผมรู้ว่าปู่คงไม่ต้องการมัน..
..ผมรู้ว่าปู่ของผมอิ่มแล้ว พอแล้ว..
วันนั้นผมกราบปู่ กราบ..ด้วยหัวใจเดียวกับที่กราบพระประธาน..
4 กรกฎาคม 2548 20:05 น.
หมอกจาง
บนถนนเต็มไปด้วยรถ..
ผมเดินอย่างหงุดหงิดหัวเสียอยู่ริมถนน ปากก็ก่นด่าอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย กวาดตาไปทางโน้นทางนี้ แต่ก็ดูเหมือนกับว่ากวาดตาไปเจอกับอะไรมันก็ดูจะขวางหูขวางตาไปเสียหมด..
บนถนน รถบีบแตรผมหันไปทำปากมุบมิบด่า ท่าทางเหมือนจะพร้อมที่จะโดดลงไปในถนนเพื่อเอาเรื่องเจ้าคนที่บีบแตร หลายคนที่ขับผ่านไปบนถนนคงสังเกตเห็นอาการของผม เพราะเขามองผม..มองด้วยสายตาที่เราใช้มองคนไม่ปกติ มองด้วยสายตาที่ใช้มองคนที่เราคิดว่า..บ้า
และในความเป็นจริงแล้ว เขาก็คงมองไม่ผิดเท่าไรนัก ผมกำลังหงุดหงิด..หงุดหงิดจนแทบบ้าทีเดียว
เรื่องอะไรน่ะเหรอ..ทุกๆเรื่องนั่นแหละ
คุณรู้ไหม บางวัน มันไม่ใช่วันสำหรับเรา ไม่ใช่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไรมันจะดูผิดพลาด ดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และวันนี้มันก็คือวันนั้นนั่นแหละ วัน..ที่ไม่ใช่วันของผมเลย
ตื่นมาเพื่อทำงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จ เพราะมีกำหนดนัดว่าจะส่งพรุ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะงานที่ยากเกินไป หรือเพราะตัวผมเองที่ไม่มีสมาธิ งานที่หวังจะให้คืบหน้าไปเร็วที่สุด กลับไม่คืบไปเลยแม้แต่น้อย.. ไม่คืบก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งไม่คืบ นี่เป็นวงจรนรกที่คนที่ต้องทำงานกับความคิดเจอกันมาแล้วทุกคน
นั่งแต่เช้าจรดบ่ายสี่โมงเย็น โดยที่ไม่มีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นมาเลย
มีนัดกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย บอกแกไว้ว่าจะแวะเอาจดหมายรับรองไปให้แกเซ็น แกคงอยู่ถึงห้าโมง รีบน้ำอาบท่า ตั้งใจจะจับรถเมล์เที่ยวสี่โมงสิบนาที คงถึงมหาลัยราวสี่โมงครึ่ง จวนเจียนหวุดหวิด แต่ก็คงทัน..
วิ่งออกมาที่ป้ายรถเมล์ ทันเวลาพอดี รถเมล์อยู่ที่ป้ายและกำลังเคลื่อนออกไป ผมตะโกนโบกไม้โบกมือ แต่ไม่เป็นผล..
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู รถมันมาถึงป้ายก่อนเวลา..นรก!! ผมสบถด้วยความหงุดหงิด เดินเหมือนหนูติดจั่นอยู่ที่ป้ายรถเมล์ คิดวนไปวนมา จะรอหรือไม่รอ ถ้ารอรถเที่ยวต่อไปก็อีกครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไม่รอ เดินไปถนนอีกเส้นหนึ่งซึ่งห่างออกไปราวห้าป้ายรถเมล์อาจจะเร็วกว่า แค่อาจจะ..
ผมตัดสินใจออกเดิน ยังไงเสียมันคงน่าหงุดหงิดน้อยกว่าการยืนอยู่เฉยๆ อย่างไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย..
ผมออกเดิน ไปเรื่อยๆ อย่างหงุดหงิด หนึ่งป้าย สองป้าย สามป้าย คิดถึงงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้แต่ไม่คืบหน้า คิดถึงอาจารย์ที่คงกำลังรออยู่ตามนัด ห้าโมงเย็น ถ้าผมไม่ไปแกคงกลับ และคงโกรธไม่น้อยที่ผมผิดนัด..
เดินไปได้สักพักดูนาฬิกา เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว แต่แค่ข้ามถนน ผมก็จะถึงป้ายรถเมล์ของถนนอีกสายหนึ่งตามที่ตั้งใจไว้ ถ้าโชคดี รถมาภายในห้านาทีนี้ คงทันอาจารย์
ผมข้ามถนนได้ครึ่งทาง..
ครับ..แค่ครึ่งทาง ติดอยู่ตรงเกาะกลางถนน ที่รถวิ่งกันขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกงาน
ตรงเกาะกลางถนนนั่นแหละที่ผมยืนมองรถเมล์มันมา..จอดป้าย..แล้วก็ออกไป
ตกลงว่าวันนี้ผมทำอะไรไม่สำเร็จแม้แต่อย่างเดียว.. แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ..อย่างขึ้นรถเมล์
ผมพยายามข่มใจให้เย็น ข้ามถนนเดินต่อไป ผ่านป้ายที่จะขึ้น เดินเลยไปอีก หนึ่งป้าย สองป้าย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินไปให้ได้อะไรขึ้นมา ระงับอารมณ์มั้ง.. ฝรั่งผู้ชายที่นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ผมเดินผ่านแอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆ และเบือนหน้าหลบเมื่อผมหันไปสบตา..
บางเรื่อง โดยตัวของมันเองอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามันพร้อมใจกันเกิดขึ้นซ้ำกับคุณในวันเดียวกันละก็ คุณจะเข้าใจได้ดีทีเดียว ว่าคำที่ว่า..ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลา.. มันเป็นอย่างไร
ตอนนี้ผมกำลังรอฟางเส้นนั้นอยู่ ถ้ามีใครเอามันมาวางลงเมื่อไหร่ ผมอาจจะสติแตกทำอะไรขึ้นมาก็ได้..
หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์ รอรถเมล์คันต่อไป คันที่ผมได้ขึ้นก็คือคันเดียวกับที่ผมสมควรรออยู่ที่ป้ายแรกสุดนั่นแหละ ผมใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เดินฝ่าความหงุดหงิดด้วยหวังว่าจะไปถึงมหาลัยได้เร็วขึ้น เพื่อที่จะมาขึ้นรถเมล์ คันที่ผมสมควรลำบากแค่เพียงนั่งรอ..
ผมมองฟ้า ขมุบขมิบปากด่า..
ที่สุด..ห้าโมงสิบนาที ผมก็มาอยู่ที่มหาลัย อาจารย์คงกลับไปแล้ว แล้วผมจะมาทำไมเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเอง..
หันรีหันขวางอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ก็มีเสียงทัก
ขอโทษครับ ผมหันไปมอง คนทักเป็นผู้ชาย หน้าตาเหมือนแขก อายุน่าจะยังไม่น่าเกินยี่สิบ เขาส่งภาษาอังกฤษออกมา ฟังยาก..
คุณต้องการอะไร เขามีสีหน้าลำบากใจเมื่อผมถาม พยายามอธิบายอีกครั้ง..
ฟังอยู่พักนึง สรุปได้ว่า..จะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไม่มีเงิน.. เฮ้อ หลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่นี่มีกรณีอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน
บ้านอยู่ไหน? ไม่ตอบ ท่าทางดูกระสับกระส่าย
ขาดค่ารถเมล์อีกเท่าไรล่ะ เขาบอกเขาไม่รู้ คิ้วยังคงขมวด..ยังไงกันเนี่ย
เป็นนักเรียนที่นี่หรือเปล่า? เขาบอกใช่
ผมมองหน้าเขา ชั่งใจ..แค่ค่ารถเมล์ ไม่ใช่เงินที่เยอะอะไรนักหนา แต่ผมไม่ชอบถูกหลอก โดยเฉพาะในวันแย่ๆอย่างวันนี้.. ผมกลัวว่ามันจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายน่ะ..
..............
เป็นนักเรียนที่นี่นะ
ใช่
งั้นก็คงมีบัตรนักเรียน เขาพยักหน้ารับ
ถ้างั้นคุณเอาไปสองเหรียญ น่าจะพอ ค่ารถเหรียญเจ็ดสิบถ้าโชว์บัตรนักเรียนให้คนขับดู ผมบอกเขาพร้อมกับตัดสินใจควักเงินให้ไปสองเหรียญ
ขอบคุณ สีหน้าเด็กหนุ่มดูผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก.. กับเงินสองเหรียญ
คุณชื่ออะไร เขาถามผม พอผมบอกชื่อไป เขาก็บอกว่าเขาจะขอใช้คืนให้ได้ไหม พรุ่งนี้ หรือ มะรืน..
ไม่เป็นไรหรอก ผมยิ้ม.. จากสีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้ ทำให้ผมเชื่อเขาสนิทใจแล้ว ว่าเขาเรียนที่นี่จริง และกำลังเจอปัญหาอยู่จริงๆ
เพิ่งมาเรียนเทอมแรกเหรอ
วันแรก เขาตอบ
..วันแรกในต่างประเทศ ตัวคนเดียว มันโหดร้ายแค่ไหน ทำไมผมจะไม่รู้..
จริงๆผมมีเงินนะ เขาควักกระเป๋าเงินออกมา ดึงแบ๊งค์ใบละ 100 เหรียญออกมาจากช่องลึกที่สุดของกระเป๋าออกมาให้ดู.. ผมถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
.. บางทีเราต้องการเงินแค่ 2 เหรียญเท่านั้น ไม่ใช่แบ๊งค์ 100 เหรียญ สำหรับการขึ้นรถเมล์..
..และบางทีเราต้องการแค่เท่าที่เราต้องใช้ มากไป..ไม่จำเป็นว่าจะดีกว่าเสมอไป..
ในขณะที่ผมเชื่อใจเขา ผมรู้ว่าเขาก็เชื่อใจผมสนิทใจเช่นกัน คงไม่มีใครควักแบ็งค์ 100 เหรียญออกมาโชว์คนแปลกหน้าเล่นๆในเวลาพลบค่ำหรอกมั้ง..
ผมขอตัวและบอกให้เขาไปขึ้นรถเมล์ได้แล้ว..ก่อนที่จะมืดค่ำเสียก่อน เขาขอบคุณอีกครั้ง ผมขอบคุณเขากลับ ท่าทางเขาคงแปลกใจ ที่ผมขอบคุณเขากลับ..
เขาไม่รู้หรอกว่าผมขอบคุณเขาซ้ำๆ อีกหลายครั้งเมื่อเดินออกมา..
ผมขอบคุณเขา ที่เลือกผม.
อย่างน้อย ในวันที่แย่ๆ ในวันที่ล้มเหลวของผมวันนี้ ผมยังทำอะไรสำเร็จอย่างหนึ่ง และเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นใจเสียด้วย..
ผมช่วยเด็กคนหนึ่งที่ออกมาเผชิญชีวิตต่างแดนวันแรก ให้พ้นจากปัญหาที่เขากำลังหาทางออกไม่ได้ ให้เขารู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีความช่วยเหลืออีกมากมาย ที่รอ..เพียงแค่ให้เขาเอ่ยถาม
ถ้าไม่เจอกับเขา และเขาไม่เข้ามาถาม ผม..คงกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกแย่ๆกับตัวเอง กับชีวิต..
ผมขอบคุณเขา ที่เขาให้โอกาสผมได้ช่วยเหลือ ให้โอกาสผมได้ทำสิ่งที่ดีๆ และที่สำคัญ..ผมทำมันสำเร็จ
ผมขอบคุณเขา ที่ทำให้วันนี้ของผม งดงามกว่าที่มันได้เป็นมา..