25 มิถุนายน 2548 11:56 น.
หมอกจาง
ระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าม้วนตัวเข้าหาชายหาด แผ่ออกเป็นแผ่นผืน ทิ้งไว้เพียงแค่รอยชื้นที่คล้ายตั้งใจจะจารึก ว่าครั้งหนึ่งมันเคยมาถึง ณ จุดนี้..
ทั้งที่รู้ว่าไม่นานนักแดดนั้นจะลบรอยบนผืนทรายจนเลือนหาย.. แต่ทะเลก็ยังเพียรทิ้งรอยไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่าอย่างไม่ย่อท้อ จนบางครั้ง..ถ้าจะตีความด้วยความคิดของมนุษย์ ก็ยากที่จะแยก ว่านั่นคือความโง่ที่น่าหัวเราะหรือคือความเข้าใจและหยั่งรู้ที่ควรค่าแก่การนับถือครุ่นคิด..
แต่อย่างไร ทะเลก็คือทะเล ไม่ได้โง่งมหรือเข้าใจใดๆกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ ที่โง่งมหรือฉลาด ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของมนุษย์ ผู้ที่เฝ้าชมและคิดตีความอะไรต่อมิอะไรไปร้อยพัน..
ฉันนั่งอยู่บนผืนทรายริมทะเล รับฟังเรื่องราวที่เพื่อนชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งปรึกษากันโดยไม่ออกความคิดเห็น..
ลมทะเลเย็นดีนะ หญิงสาวพูดขณะนั่งกอดเข่าปล่อยผมที่ดำขลับ ยาวเลยต้นคอปลิวไปตามลม.. ผมที่สะบัดไปมาตามสบายนั้นดูร่าเริง อย่างน้อยก็ร่าเริงกว่าแววตาของเธอมาก..
ไม่หนาวหรือ ชายหนุ่มถามด้วยท่าทีแปลกใจ ฤดูนี้ลมทะเลค่อนข้างเย็นจัด
ไม่หรอก ไม่ได้ออกมานั่งสบายๆอย่างนี้นานมากแล้ว
..........................
เงียบงันกันไปสักพัก หญิงสาวก็ถามขึ้นมาใหม่
อีกนานไหม กว่าพระอาทิตย์จะตก
ก็คงสักพักละมั้ง ทำไมเหรอ
เปล่า
.................................
น่าเบื่อนะชีวิตเนี่ย ว่าไหม ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวเต็มตา แปลกใจ..
เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย
เปล่าหรอก ตอบว่าเปล่า แต่ตาดำขลับ ใต้ขนตาดกเป็นแพกลับซ่อนแววบางอย่างไว้ไม่มิด
ชายหนุ่มนั้นได้แต่เงียบ รอและคอยให้เธอพูดต่อ เธอผู้นี้ ดูคล้ายว่าจะมีปัญหามากมายกว่าที่เขาเคยรับรู้
น่าเบื่อน่ะ เธอพูดต่อ เบื่อกับความคาดหวัง เบื่อกับการที่มีใครต่อใครเข้ามายุ่มย่ามในชีวิต
ถอนหายใจเมื่อพูดจบ เขาแค่ยิ้มน้อยๆ รับฟัง ไม่ตอบและไม่ออกความเห็น
ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เธอหันมาล้อยิ้มๆ ทุกทีเห็นช่างพูด ช่างคิดนี่ สอนโน่นสอนนี่ให้วุ่นวาย
ไม่หรอก เขาได้แต่ยิ้มเก้อๆ โตขึ้นบ้างแล้วมั้ง
แล้วที่เคยบอกเคยสอน ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญอย่างเมื่อก่อนน่ะ ยังไม่โตหรอกหรือ
เขาเงียบไป มองหน้าเธอ ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวนักธุรกิจใหญ่ สาวสวยที่เป็นแก้วตาดวงใจของใครต่อใครมาตั้งแต่เล็ก ไม่แปลกที่จะใครต่อใครจะมาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตเธอ ต่างกับเขา..ที่โตมากับการเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวที่มีลูกห้าคน ล้อมวงกินข้าวด้วยกันในทุกเย็น
ตอนนั้นคงยัง เขาพูด ยิ้มน้อยๆ ยังไม่ซึ้งกับคำพูดบางคำมั้ง ตอนนั้นน่ะ
เธอมองเขา.. ตั้งคำถามด้วยแววตา
ต่างคนก็ต่างทาง ต่างอ้างว้างในโลกที่ต่างใบ เขา..ท่องคำพูดออกมาเบาๆ
เธอ..มองหน้า นิ่ง ครุ่นคิด แววตาล้อเลียนจางลงไปจนเกือบหมด
อื้มม
อื้มม
..ความอ้างว้าง..
คนเราอาจแบ่งปันเรื่องราวกันได้ในบางเรื่องราว เข้าใจกันได้ในบางเรื่องราว แต่คงยากที่จะหวังให้ใครมาเข้าใจเราได้ในทุกเรื่องราว แต่ละคนต่างมีโลกใบเล็กๆเป็นของตัวเอง พักพิงและซุกซ่อนอยู่ในนั้น อ้างว้างเดียวดายอยู่ในนั้น..
เงียบไป ด้วยต่างคนต่างครุ่นคิด..
รู้สึกไหมว่าบางที ที่โลกนี้น่าเบื่อเนี่ย เพราะมันดูเหมือนๆกันไปหมดทุกวันนะ เธอเริ่มคุยต่อ และเขา..ก็เริ่มต้นรับฟังเหมือนอย่างทุกที
ตื่นเช้า กินกาแฟ ออกไปทำงาน กลับบ้าน นอน ตื่น เธอเว้นวรรค
รถติดเหมือนเดิม ชีวิตมีคนเข้ามาแล้วก็ผ่านไปเหมือนเดิม เหมือนพระอาทิตย์น่ะ
ขึ้นแล้วก็ตก วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาปล่อยเธอพูดไป ไม่ขัดจังหวะ จนเธอพูดจบจึงแย้ง..
ก็มีอะไรเกิดขึ้นตั้งเยอะไม่ใช่หรือ ถ้าเราจะทำให้มันไม่เหมือนเดิม คราวนี้เธอปล่อยให้เขาพูดบ้าง
หาอะไรใหม่ๆกิน ลองทำอะไรใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ หรือไม่.. เขาเว้นก่อนจะพูดต่อ
ก็เปลี่ยนงานใหม่เสียเลย เธอหัวเราะน้อยๆ
ไม่หรอก เธอแย้ง
ถึงจะเปลี่ยนอะไรใหม่ๆยังไง สักวันมันก็จะเก่า มันก็จะกลับมาเป็นวงจรเหมือนเดิมนั่นแหละ วนเวียน ซ้ำซาก เหมือนคลื่นกระทบหาดไง
ถึงจะเปลี่ยนไปดูหาดไหน มันก็คงสาดเข้ากระทบเป็นจังหวะ เป็นรูปแบบเดิมๆ
ตอนนี้เขาเหมือนจะรู้แล้วว่าที่เธอพูดหมายความว่าอะไร ผู้หญิงคนนี้ คงจะคิดมากและไกลเกินกว่าที่เขาเคยนึกไว้.. มันเป็นความเหนื่อยหน่ายต่อชีวิตที่คนอายุสักห้าหกสิบปีเท่านั้นที่อาจจะนึกถึง ไม่ใช่เธอ..คนที่อายุน้อยกว่าสามสิบอยู่หลายขวบปีคนนี้
เขาถอดนาฬิกาข้อมือ วางลงบนพื้น..
ดูที่เข็มนี่นะ เข็มวินาทีนี่ เธอมองหน้า ไม่เข้าใจว่าเขากำลังเล่นอะไร แต่ก็ทำตามโดยดี เขา..ที่มักมีอะไรแปลกๆมาให้เธอแปลกใจเสมอ
เห็นปูลมไหม เขาชี้ไปที่ปูลมตัวเล็กตัวหนึ่ง ที่วิ่งซอยเท้าถี่ไปยังรูของมัน
อื้อ
ดูนาฬิกาด้วยสิ เธออมยิ้ม มองนาฬิกาสลับกับมองปูลมที่วิ่งไป เข็มวินาทีกระดิกไปเรื่อยๆ.. ปูลมลงรูไป พระอาทิตย์เริ่มต่ำจนแตะขอบน้ำ ระดับน้ำลดลงห่างตัวออกไปทีละน้อย
พระอาทิตย์ดวงสีแดงค่อยๆจมลงต่ำกว่าขอบน้ำที่ปลายฟ้า..
ดูเข็มวินาทีไปด้วยสิ เขาเตือน เธอทำตามโดยดี
ลมพัด ผมเธอพลิ้วมาบังตา เธอยกมือขึ้นรวบ
ดูนาฬิกานะ เขาย้ำเสียจนเธออมยิ้ม ค้อนให้น้อยๆ ..ตาบ้านี่..
พระอาทิตย์จมน้ำหมดทั้งดวง ปูลมอีกตัวที่ใหญ่กว่าเดิมวิ่งผ่านหน้าเขาและเธอ หยุดมองเหมือนสงสัยก่อนวิ่งผ่านไป เธอดูทุกสิ่งทูกอย่างสลับกับดูนาฬิกาโดยที่เขาไม่ต้องบอก ไม่มีคำพูด ไม่มีคำถาม..
รู้ไหม เขาเริ่มพูดขึ้น
ตอนเข้าเรียนปี1 ผมถ่ายรูปกับต้นคูนใหญ่หน้าตึกเรียนไว้รูปนึง ผมชอบต้นคูนน่ะ แล้วต้นคูนต้นนั้นก็สวยมาก
ถ่ายเก็บไว้อย่างนั้นเอง จากนั้นก็เริ่มต้นใช้ชีวิตสนุกสนานในมหาลัย ทุกอย่างดูคุ้นเคยขึ้นทุกวัน
กว่าจะจบปีสี่ก็คุ้นเคยกับทุกอย่างในคณะ ต้นไม้ ตัวตึก ผู้คน โดยเฉพาะต้นคูนต้นนั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไร มันก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ยังร่มรื่นสวยงาม ออกดอกให้ดูทุกหน้าร้อนเหมือนเดิม เป็นเพื่อนที่คุ้นเคย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พอจบปีสี่ ผมถ่ายรูปกับต้นคูนต้นนั้นอีกครั้ง
แต่พอเอามาเทียบกับรูปตอนปีหนึ่ง อยากรู้น่ะว่าผมเปลี่ยนไปจากสี่ปีก่อนแค่ไหน
แล้วเปลี่ยนเยอะไหม เธอเพิ่งถามหลังจากปล่อยให้เขาพูดมานาน
เยอะ.. แต่ที่ตกใจคือต้นคูน
คุณรู้ไหมว่าเพื่อนที่ผมเห็นอยู่ทุกวันและคิดว่าไม่เคยเปลี่ยนน่ะ จริงๆมันเปลี่ยนไปเยอะกว่าผมอีก เธอเลิกคิ้ว..
ต้นมันสูงขึ้นจากเดิมร่วมฟุต แต่ดอกสีจางลง ดูไม่สดใสชุ่มชื่นเหมือนครั้งสี่ปีก่อนนั้น มันคงแก่ลงแล้ว แปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น
คุณเห็นมันทุกวันมั้ง
นั่นสิ บางทีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันมันคงน้อยเกินกว่าจะสังเกตได้น่ะ
ทั้งๆที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เธอต่อคำ ทบทวน..
อื้อ เขารับคำ เก็บนาฬิกาผูกเข้าที่ข้อมือเหมือนเดิม
พรุ่งนี้ถ้าคุณว่างคุณมาที่นี่ใหม่สิ ดูพระอาทิตย์ตกดิน เอานาฬิกาคุณมาดูเข็มวินาทีด้วย เพราะผมคงไม่ว่างมา ดูซิว่าทุกอย่างมันจะเหมือนวันนี้ไหม
ฉันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะถ้าทำอย่างนั้น ไม่มีคุณนั่งข้างๆ ปูลมที่วิ่งผ่านอาจไม่ใช่ตัวเดิม หรือเมฆอาจครึ้มจนไม่เห็นอาทิตย์ แล้วทุกอย่างมันจะเหมือนกับวันนี้ได้ยังไง เขาหันมอง สบตาเธอเต็มตา
คุณจะได้..รู้..ไง ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเว้นก่อนพูดต่อ
"วินาทีที่ปูลมวิ่งผ่านหน้า พระอาทิตย์จมไปครึ่งดวง ผมคุณปัดมาเคลียแก้ม"เขาหยุด..ยิ้ม
"ขณะทีผมนั่งตรงนี้..แอบมองขนตาคุณอยู่"
"ทุกอย่างในวินาทีนั้นมันไม่เกิดขึ้นพร้อมกันซ้ำสองหรอก ทุกอย่างในทุกวินาที"
ผมอยากให้คุณมาที่นี่อีก เพื่อที่คุณจะได้รู้ ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปมันไม่เหมือนเดิมหรอก.." เขาเว้นช่วงอีกครั้ง "ขึ้นอยู่กับว่า คุณละเอียดอ่อนพอที่จะสังเกตมันได้ไหม..เท่านั้นเอง
เธอนิ่งเงียบ ลุกขึ้นปัดทรายอย่างช้าๆ เก็บของเดินคู่กับเขาขึ้นจากชายหาดที่เริ่มมืด หากแต่ในความมืดนั้น ก็ยังสว่างพอที่จะได้เห็นมือเธอเอื้อมไปกุมมือเขา ในวินาทีที่บางสิ่งบางอย่างนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม..
ความละเอียดอ่อนในมุมมองของเขา อาจแตกต่างอย่างยิ่งจากภาพรวมอันกว้างใหญ่ที่เธอเห็น..
ยาก ที่เธอจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด และเขาก็คงไม่อาจเข้าใจโลกของเธอได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน..
..แต่แม้ว่าความอ้างว้างของโลกที่ต่างใบนั้นไม่อาจแบ่งปันให้กันและกันเข้าใจได้ หากบางที..ความอ้างว้างนั้น ก็อาจถูกผ่อนเบาได้เพียงด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน..ที่ส่งผ่านสู่กัน..จากโลกแต่ละใบ..