18 พฤษภาคม 2548 09:02 น.

เรื่องเล่า..เจ้าตุ๊กแก

หมอกจาง


เช้าวันแดดใส ลมหนาวๆพัดมาทักพอแค่หนาว ใช่ถึงกับขนาดว่าหนาวเหน็บ..
กับกาแฟแก้วหนึ่ง.. โต๊ะที่นั่งประจำที่หลังบ้าน.. โรงเก็บของเล็กๆ.. ราวตากผ้า.. สีฟ้าใสๆของท้องฟ้าทาบด้วยเหลืองของลูกมะนาวและเขียวของใบไม้ น่าจะเป็นการเริ่มต้นวันที่สดใสทีเดียว
..ถ้าบังเอิญผมไม่มือบอนไปเปิดเนตเข้า และเจอเรื่อง ..สาบ..
ฟ้าสวยแดดใสก็หายวับไปกับตา
เหมือนกับฟ้าทั้งแผ่นฟ้ามันกลายสีมาเป็นลายตุ๊กแก
ผมยกแก้วกาแฟกลับเข้ามาในห้อง เปิดโปรแกรมพิมพ์งาน เหลือบดูนาฬิกา มีเวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงที่ต้องเขียนเรื่องเจ้าตัวน่ารักนี่ให้เสร็จ
เจ้าตุ๊กแก..
ไม่น่าเลยกู.. ผมส่ายหัวถอนใจกับตัวเองก่อนเริ่มพิมพ์งาน
...........................................................................

ผมกับไอ้เจ้าสัตว์ที่เรียกว่าตุ๊กแกนี่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว..
ตอนเด็กๆสมัยที่บ้านยังมีแต่ทีวีขาวดำดูอยู่ ในมีละครทีวีช่องหนึ่งเล่นเรื่อง ตุ๊กแกผี
ใครที่แก่พอที่จะทันเป็นเด็กในช่วงนั้นน่าจะพอจำกันได้
จำไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องว่าอย่างไร แต่จำได้ว่าตอนเด็กๆกลัวมาก..
ฝังจิตฝังใจ ว่าตุ๊กแกนี่มันโกรธแรง พยาบาทแรง เวลามันโกรธมันเกลียดใครขึ้นมามันจะโดดเข้าเกาะคอแล้วกัดแน่นชนิดไม่ปล่อย แกะก็ไม่ออก..
ไม่รู้ว่าตีนทาด้วยกาวตราช้างหรืออย่างไร..
(ขออนุญาติใช้ ตีน ในกรณีของตุ๊กแก เพราะ ตีนตุ๊กแกน่าจะฟังดูเหมาะมากกว่าที่จะพูดว่า เท้าตุ๊กแกนะผมว่า)
แถมผู้ใหญ่ยังชอบขู่เด็กๆ เวลาที่เรางอแง..
..เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวบอกให้ตุ๊กแกมากินตับเลย..
ตอนนั้นก็งงๆอยู่
ทำไมตุ๊กแกมันต้องเลือกกินแต่ตับด้วย..
ตุ๊กแกนะ ไม่ใช่ซีอุยสักหน่อย
แต่ถึงจะสงสัยอย่างนั้นก็กลัว แค่นึกถึงตีนเหนียวๆ ตัวลายๆ ตาพองๆ แค่นั้นก็สยองแล้ว..
ตอนเด็กๆนี่ผมเป็นเด็กขี้สงสัยตัวยงทีเดียว
เวลาพี่สาวมาขู่ว่าจะไปบอกให้ตุ๊กแกกินตับ ทั้งที่กลัวก็กลัว แต่ยังอุตส่าห์มีหน้าไปย้อนถามเค้า..
พี่ทำไมรู้จักกับตุ๊กแกล่ะ
หา..  พี่สาวมีงง
ไม่รู้จัก
อ้าว ไม่รู้จักแล้วจะไปบอกตุ๊กแกที่ไหนให้มากินตับ แกก็อึ้งๆเถียงไม่ออก
เออ..บอกได้ละกัน
ไปบอกที่ไหนล่ะ ก็ไม่รู้จัก ได้ทีรุกใหญ่
เงียบไปเลย เดี๋ยวโดนตีเลยนี่ อ้าว..มามุกนี้อีกและ ซึ่งผมก็ต้องเงียบแต่โดยดี เพราะไอ้ตุ๊กแกที่กลัวนักกลัวหนาว่ามันจะมากินตับเนี่ย มันไม่เคยมาจริงเสียที แต่พี่สาวผมเนี่ย..ตีจริง อันนี้คอนเฟิร์ม

ตอนผมโตขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยความที่เป็นเด็กขี้โรค เลยผอมโซตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ได้ยินพ่อปรึกษากับแม่ว่ามีคนแนะนำให้จับตุ๊กแกมาย่างให้สุก แล้วแกะเอาแต่เนื้อขาวๆให้กิน รับรองคนไหนคนนั้น ไอ้ที่ว่าผอมๆแห้งๆนี่จะอ้วนขาวขึ้นทันตาเห็น..
จำได้ว่าพอผมได้ยิน ผมคัดค้านสุดชีวิต จากข้าวที่ไม่ค่อยกินก็ตั้งหน้าตั้งตากิน หวังที่จะอ้วนขาวได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาตุ๊กแก ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสให้ผมได้ล้างแค้นมัน เจ้าตัวที่ผมหลงคิดว่าจ้องจะกินตับผมมาตั้งแต่เด็กก็ตามเถอะ..
แค่เห็นก็หนีแล้ว นี่พ่อผมเล่นจะให้กินลงไปเนี่ยนะ..
จำได้ว่าการกินข้าวของผมก็ไม่ได้ช่วยให้ผมพ้นจากสภาพผอมกะหร่องได้มากนักหรอก (จริงๆต้องเรียกว่าไม่ช่วยเลยมากกว่า) แต่พ่อแกคงเห็นความตั้งใจจริงที่หัวเด็ดตีนขาดมันก็ไม่ยอมกินยาผีบอกสูตรนี้ แกเลยเลิกความตั้งใจไป..

วัยเด็กของผมนี่ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ไม่ค่อยมีโอกาสเผชิญหน้าจะๆกับเจ้าตัวลายพร้อยนี่สักที อาจเพราะต่างฝ่ายต่างหลบกันก็เป็นได้ ค่าที่ว่าผมก็กลัวมันกินตับ ส่วนมันก็ระแวงว่าผมอาจเปลี่ยนใจอยากจะอ้วนขาวทางลัดขึ้นมา..
ได้มาเห็นมาเจอจริงๆจะๆก็ตอนย้ายมาอยู่บ้านใหม่ ตอนนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ปิดเทอมทีก็กลับบ้านที..
ระวังนะ ที่หลังตู้กับข้าวตรงในครัวมีตุ๊กแก พี่สาวผมเตือน
ครัวที่บ้านใหม่อยู่นอกตัวบ้าน เอาตู้กับข้าวจากบ้านเก่ามาตั้งไว้เกือบชิดกำแพง แแค่เกือบชิด.. แล้วไอ้ช่องว่างที่ห่างราวๆแค่นิ้วกว่าๆนี่แหละที่ผมไปส่องดูตามคำพี่บอกด้วยความอยากรู้.. พอผมส่องก็เห็นหัวตุ๊กแกโผล่พรวดมาทางผมทันที
เฮ้ย.. ผมผงะถอยกรูด.. ไม่ได้กลัวนะ แค่ถอยมาตั้งหลัก เอ่อ..ในตัวบ้านแค่นั้นเอง ไม่ไกล
ทำไมไม่บอกล่ะว่ามันมีกันหลายตัว ผมโวยเสียงสั่นเอากะพี่สาว
อ้าว ไม่ได้บอกเหรอ พี่ผมทำหน้าทองไม่รู้ร้อน ผมมองหน้า ไม่แน่ใจว่าแกตั้งใจแกล้งผมหรือเปล่า
เห็นไอ้ตัวใหญ่ไหม
เห็น ถึงผมจะดูมันแค่แวบเดียวก็พอจะรู้ว่าพี่ผมหมายถึงไอ้ตัวไหน เพราะมันใหญ่มากเท่าที่ตุ๊กแกจะใหญ่ได้แล้วหละ ถ้าใหญ่กว่านั้นอีกคงต้องเรียกว่าตะกวดแล้ว ซึ่งตามความเข้าใจของผม ตะกวดมันก็ไม่น่าเกาะฝาผนังได้อย่างนั้นนะ..
นั่นแหละไอ้กุด ตัวจ่าฝูงมัน
ไอ้กุดเป็นตุ๊กแกหางกุด ที่กุดไม่ได้กุดเพราะใครกัด แต่หางมันเหมือนพิการ อ้วน สั้น ป้อมและงอๆ เหมือนจะดูตลก แต่ถ้าใครได้เห็นมันแล้วจะรู้ว่าไม่ตลก มันเหมือนเวลาเรามองโจรสลัดพิการที่มีตาเดียว เหมือนมองจอมไสยศาสตร์ที่มีรอยสักลายพร้อยเต็มตัวแต่มีรอยแผลเป็นใหญ่ที่ใบหน้า.. มันน่ากลัวมากกว่าที่จะตลก

การมีตุ๊กแกที่บ้านสร้างปัญหาให้กับคนในบ้านยิ่งนัก เวลาใครจะไปหยิบอะไรที่ตู้กับข้าว บนหลังตู้ก็จะต้องมองแล้วมองอีก ว่าไอ้กุดกับชาวคณะจะโผล่ออกมาไหม บางทีหยิบๆหอมแดงบนหลังตู้อยู่ ตุ๊กแกโผล่พรวดออกมา ก็มีรายการร้องกันลั่นบ้าน หอมเหิมกระจายไปคนละทิศละทาง
จะอาบน้ำทีก็ระแวง เพราะวันดีคืนดีไอ้กุดก็จะเข้าไปหาแมลงกินในห้องน้ำ ก็เป็นอันไม่ต้องอาบน้ำกัน.. โธ่..คุณ ลองนึกภาพว่ากำลังตัวเปล่าอาบน้ำอยู่แล้วเกิดตุ๊กแกมันโดดมาเกาะน่ะ จะทำยังไงล่ะ อยู่ก็ไม่ได้ วิ่งออกมาก็ไม่ได้

ทางบ้านเลยมีมติขับไล่ไอ้กุดและพรรคพวก

อะไรที่เบื่อๆเหม็นๆทั้งหลายแหล่ที่เค้าว่ากันว่าตุ๊กแกทั้งเกลียดและกลัวก็ถูกเอาไปสุมที่ครัวใกล้ตู้กับข้าว
กุดแอนด์เดอะแก๊งค์ก็ยังเฉยๆ ไม่ได้มีทีท่าเดือดร้อนอะไร..
ต่อมาพี่สาวผมทนไม่ไหว รวบรวมความกล้าเอาด้ามไม้กวาดไปกระทุ้งไล่ โดยมีผมยืนให้กำลังใจอยู่ห่างๆ.. (แมนมาก)
มันสู้ครับ
ไอ้กุดมันไล่งับปลายไม้กวาดที่แหย่เข้าไป เหมือนในนิทานที่มังกรสู้กับปลายหอกของอัศวิน
แล้วมันก็พรวดออกมาจากหลังตู้ พี่สาวผมวิ่งอ้าว..
ผมเหรอ..
ผมวิ่งเร็วมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว..

พี่สาวผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน..
ได้รับคำตอบว่าแมว
ที่ไหนมีแมวที่นั่นไม่มีตุ๊กแก เพื่อนแกว่า
วันรุ่งขึ้นพี่สาวผมไปเอาแมวมาจากบ้านเพื่อนทันที
แต่ปรากฏว่ามันเอาแต่วนเวียนอยู่ในบ้านแล้วก็นอน ไม่ทำอะไร เอาไปปล่อยหลังบ้านตรงครัว มันก็ยังไม่ทำอะไร..
งานนี้เลยมีแผน
แผนคือคนนึงจะมีหน้าที่เอาด้ามไม้กวาดเขี่ยไอ้กุดให้ร่วงลงมา อีกคนอุ้มแมวไว้ไม่ให้เดินโต๋เต๋ไปไหน พอไอ้กุดร่วงก็โยนแมวใส่ แล้วแมวก็จะวิ่งไล่ตะครุบตุ๊กแกตามสัญชาตญาณ..

แน่นอนอยู่แล้วครับ.. ที่ลูกผู้ชายอย่างผมต้องเสียสละเป็นฝ่ายที่อุ้มแมว

พร้อม พี่สาวผมเอาด้ามไม้กวาดไปจ่อที่หลังตู้ด้วยหน้าซีดๆหันมาถามผม
พร้อม ผมตอบ..เสียงสั่นไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่
ฮึ่ยๆๆๆ พี่สาวผมทั้งเขี่ยทั้งฟาดทั้งร้อง ไม่นานไอ้กุดก็ร่วงลงบนพื้น มันพรวดออกมาใส่พี่สาวผมทันที
ว้ายๆ พี่สาวผมเผ่นผลุง โยนไม้กวาดหนี ผมตะลึงกับความห้าวของไอ้กุด
 แมวๆ ได้ยินเสียงแกเตือนผมถึงได้สติโยนแมวในมือเข้าใส่ไอ้กุด พลางถอยฉากมาดูผลงาน
แมวกับไอ้กุดประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างต่างจ้อง แมวเริ่มส่งเสียงขู่ แต่ผมว่าเสียงมันสั่นๆยังไงไม่รู้
เอาๆๆ ผมเชียร์ แต่สงสัยว่าจะมีการเข้าใจผิด ไอ้กุดคงนึกว่าเชียร์มัน มันพุ่งพรวดแยกเขี้ยววิ่งคอตั้งเข้าใส่แมวทันที
ครับ..ตุ๊กแกวิ่งไล่แมว ไม่เห็นกะตาผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
งานนี้ก็กระเจิงกันไปทั้งแมวทั้งคน ผู้ชนะก็ยังคงเป็นไอ้กุดและชาวคณะเช่นเคย
อีกวันพี่สาวผมรีบเอาแมวไปคืนเพื่อนทันที
ตอนนี้ผมรู้แล้วหละว่าทำไมที่ไหนมีแมวที่นั่นถึงไม่มีตุ๊กแก..
แมวมันคงไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีตุ๊กแกแบบไอ้กุดนักหรอก..

เวลาผ่านไปไอ้กุดก็ตายไปด้วยความชรา ทิ้งลูกทิ้งหลานไว้บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีตัวไหนสร้างวีรกรรมได้ขนาดมัน
แปลกที่นึกถึงมันทีไรก็รู้สึกผูกมันเหมือนสมาชิกในบ้าน ทั้งๆที่ตอนนั้นรบกันแทบเป็นแทบตาย
ตอนนี้ถ้าบอกกับมันได้คงต้องบอกว่า..
ขอบคุณไอ้กุด กับความทรงจำที่ทำให้อมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง..
ขอบคุณไอ้กุดที่ทำให้วันนี้ มีเรื่องตุ๊กแกมาเล่า..
ลูกผู้ชาย บางครั้งอาจจะหยามได้ ฆ่าไม่ได้ก็จริงอยู่

..แต่การจะยอมโดนหยามเพียงด้วยเรื่องแมลงสาบ ก็ออกจะเกินเลยไปนิดหนึ่ง ว่าไหม?  :)
				
16 พฤษภาคม 2548 10:11 น.

หมาตัวหนึ่งของผม

หมอกจาง

ที่บ้านผมจัดได้ว่าป็นบ้านที่รักหมาเลยก็ว่าได้ 
ตั้งแต่จำความได้ จวบกระทั่งบัดนี้ บ้านผมไม่เคยขาดหมาประจำบ้านเลย มากบ้างน้อยบ้างตามแต่วาระ อย่างน้อยที่สุดที่เคยมีก็หนึ่งตัว ซึ่งไม่นานก็มีมาเพิ่ม ส่วนช่วงมากๆนี่นับได้ร่วมสิบ หน้าตาส่วนใหญ่จะออกไปทางแนวพื้นบ้าน นึกอยู่เหมือนกันว่าอาจจะทำให้ใครที่ผ่านไปผ่านมาเข้าใจผิดเอาว่าที่นี่เป็นสถานเลี้ยงหมาจรจัด.. 


ถ้าจะให้เล่าเรื่องบรรดาตัวแสบทั้งหลายนี่คงเล่ากันไม่หวาดไม่ไหว เพราะหลายเรื่องหลายตัวเหลือเกิน แต่ก็นึกๆว่าอยากจะบันทึกเรื่องเจ้าพวกนี้เก็บไว้เสียหน่อย ก่อนจะหลงจะลืมไป ตอนนี้ก็เลยแคะคุ้ยเอามาเล่าให้ฟังสักหนึ่งตัวก่อน 

มันชื่อไอ้บ๊อก..

ว่าไปไอ้ เจ้าบ๊อกนี่ไม่ใช่ตัวโปรดของผมสักทีเดียวหรอกนะ.. แต่มันมีเรื่องที่ทำให้คนจำมันได้เยอะมาก คุยกันในบ้านว่ามันเป็นหนึ่งในหมาสมองทึบที่สุดเท่าที่ที่บ้านเคยเลี้ยงมาทีเดียวเชียวแหละ..

เจ้าบ๊อกมีพี่น้องร่วมครอกตัวนึงชื่อเจ้าแบ๊ก เกิดมาสองตัว ขาวตัวดำตัว เห่ากันบ๊อกแบ๊กลั่นบ้าน พี่สาวเลยตั้งชื่อรวมๆว่าไอ้บ๊อกแบ๊ก โตมาเลยชื่อบ๊อกตัวนึง ชื่อแบ๊กตัวนึง..
เรื่องของเจ้าแบ๊กนี่ฝากไว้ก่อน เจ้านี่ก็แสบดีเหมือนกัน ไว้มีเวลาค่อยเล่าให้ฟัง..

เจ้าบ๊อกเจ้าแบ๊กนี่เป็นหมาที่ส่ออาการไอคิวน้อยตั้งแต่ครั้งยังเป็นลูกหมา กลางวันวันนึง..เจ้าสองตัวนี้แอบมาลากผ้าขี้ริ้วไปกัดเล่น กัดทึ้งแย่งกันไปมาจนเหนื่อยแล้วก็เลิก ทีนี้พอตกกลางคืนเจ้าสองตัวนี้เห่าขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ เห่ากรรโชกเหมือนมีคนแปลกหน้าหรืออะไรน่ากลัวเข้ามาในบ้าน เห่าแล้วร้อง เห่าแล้วร้อง พี่ชายผมก็เลยถือไฟฉายลงมาดู
มีอะไร ไอ้บ๊อกแบ๊ก
เจ้าสองตัวนี้รีบรี่กระดิกหางประจบมาหาพี่ชายผมทันที แล้วก็เห่าต่อ..หันหน้าตรงไปทางลานบ้านด้วยนะ
สักพักพี่ชายผมก็กลับเข้าบ้าน..
มีอะไรรึเปล่าพี่ ผมถาม พี่ผมส่ายหัวถอนใจ แล้วชูผ้าขี้ริ้วในมือ
มันเห็นผ้าขี้ริ้วที่มันเล่นอยู่เมื่อกลางวันกองตะคุ่มๆตรงกลางลาน คงตกใจนึกว่าตัวอะไรหมอบอยู่ เห่ากันใหญ่
.. โถ กลัวผ้าขี้ริ้ว อนาคตรุ่งแน่หมากู..ผมได้แต่นึกในใจ

ยิ่งโต เจ้าบ๊อกมันก็ยิ่งดูสวย ขนขาวสลับจุดใหญ่ๆสีน้ำตาล หางขาวเป็นพวงทำให้ใครต่อใครที่ผ่านมามองดูมันด้วยความชื่นชม แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่ามันโตแต่ตัว สมองไม่พัฒนาตาม..
ตอนนั้นที่บ้านมีหมาเยอะ หลายตัว นอนกันให้เกลื่อน เวลาพ่อหรือใครจะเล่นกับหมาตัวไหนก็เรียกชื่อ บางตัวก็จะกระดิกหางรับ บางตัวพอได้ยินชื่อก็จะลุกเข้ามาหา เป็นเกมส์การเล่นอย่างหนึ่งของที่บ้าน ลองดูว่าเจ้าหมาๆทั้งหลายเนี่ยจะรู้ชื่อตัวเองไหม .. วันนึงพ่อผมนั่งเล่นอยู่หน้าบ้านก็ลองเรียกมันเล่นๆ
บ๊อก 
อ๊ะ.. เริ่มที่เจ้านี่เลย ผมว่ามันคงไม่รู้จักชื่อมันหรอก แต่ปรากฏว่าผมคิดผิดแฮะ เจ้าบ๊อกกระดิกหางวิ่งหูรี่มาทันที ตัวอื่นมองด้วยอาการอิจฉาเป็นแถว
นึกว่ามันจะไม่รู้ชื่ออีกนะเนี่ย ผมพูดกับพ่อ พ่อแกก็ไม่ได้ว่าอะไร ลูบหัวลูบหลังเล่นกับเจ้าบ๊อกด้วยความชื่นชม พอพ่อละมือสักพัก เจ้าบ๊อกเห็นพ่อเลิกเล่นด้วยก็เดินกลับจะไปนอน

เออ..ใครว่ามันโง่กันนะ

แบ๊ก คราวนี้พ่อเปลี่ยนตัวเรียก ผมว่าเจ้าแบ๊กที่ดูฉลาดกว่าน่าจะรู้ชื่อ ขนาดเจ้าบ๊อกมันยังรู้เลย
เป็นดังคาดเจ้าแบ๊กวิ่งกระดิกหางมาตามคำเรียกทันทีออกอาการดีใจนอกหน้า แต่ที่ไม่ได้คาดคือไอ้เจ้าบ๊อกที่กำลังจะล้มตัวลงนอนทะลึ่งวิ่งหน้าเริดมากะเค้าด้วย
อ้าว ไอ้บ๊อกมาทำไม เรียกไอ้แบ๊กมัน พ่อดุ แต่ไอ้บ๊อกก็ทำไม่รู้ (ผมว่ามันคงไม่รู้จริงๆนั่นแหละ) กระดิกหางกระโดดโลดเต้นยั่งกะไอ้ที่เขาเรียกน่ะชื่อมัน เล่นเอาไอ้แบ๊กที่วิ่งมาด้วยเสียความมั่นใจไปพอสมควรทีเดียว
.. แล้วคราวนี้ความจริงก็เลยปรากฏ ไม่ว่าพ่อจะเรียกชื่อตัวไหน เจ้าของชื่อจะมาหรือไม่มา ไอ้บ๊อกมันก็วิ่งดีใจโมเมเอาว่าเป็นชื่อมันทุกครั้งไป จนสุดท้ายคนเรียกก็อ่อนใจ
ตอนแรกก็หลงนึกว่ามันฉลาด รู้ชื่อ 
พ่อบ่นพึมพำก่อนเดินเข้าบ้าน..

มีอยู่วันไม่รู้พี่ชายผมไปได้เต่ามาจากไหนตัวนึง ขนาดเขื่องพอใช้ พอพี่ชายถือมาบรรดาลูกสมุนที่บ้านก็โดดดมโดดเห่ากันหน้าสลอน บางตัวทำห้าวจะกัดเต่าเอาด้วยซ้ำจนพี่ชายต้องยกหนี
ฮึ่ย..ไอ้พวกนี้นี่ ไปไกลๆเลย มือที่ว่างอีกข้างยกไล่หมา แถมขายังตวัดไล่ ขาโจ๋ทั้งหลายก็เลยต้องถอยไปตั้งหลักกันห่างๆ  พอตัวแสบทั้งหลายกระเจิงไป พี่ชายผมก็เอาเต่าไปใส่ลงในบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงเล็กๆในสวนหย่อม ที่ร้างปลาหางนกยูงไปนานแล้ว..
พอหย่อนเต่าไว้เสร็จ เจ้าหมาทั้งหลายก็กลับมาวนๆดมๆรอบปากบ่อกันสักพักแล้วก็แยกย้ายกันไป มีก็แต่เจ้าบ๊อกที่ทำท่าดมๆอยู่ได้เดี๋ยวเดียวก็กระโจนผลุงลงไปในบ่อโครมเข้าให้
อ้าว ไอ้บ๊อก ผมโวยวายขึ้นมากลัวมันจะไปกัดเต่า
ปล่อยมันซิ ลองดูมัน พี่ชายว่า
ด้วยความที่บ่อมันเล็ก ตัวไอ้เจ้าบ๊อกลำพังก็เต็มบ่อแล้ว ก่อนโดดมันก็คงมั่นใจอยู่ ว่าบ่อแค่นี้ควานพักเดียวก็คงเจอ..
มันเริ่มเอาจมูกดมๆเลาะไปตามขอบบ่อ ไปแถวๆน้ำตรงเท้ามันแล้วก็เริ่มคุ้ย..
จมูกก็ดมขาก็คุ้ยไปไปอย่างขมีขมัน ไอ้ความที่เต่ามันตกใจ ตามสัญชาตญาณ ก็เลยหดหัวไว้ในกระดอง
บ๊อกมันดมไปจนเจอตัวเต่าในเวลาแป๊บเดียว เพราะบ่อมันเล็ก แต่พอไปถึงตัวเต่ามันก็ตื่นเต้นว่าจะได้ตัวแล้วแน่ๆ..
..ต้องอยู่ใต้ก้อนหินนี้แน่ๆ..
ว่าแล้วมันก็เขี่ยไอ้สิ่งที่มันคิดว่าก้อนหินกระเด็นควับไปพ้นทาง แล้วพุ่งเข้าใส่โคลนชุ่มน้ำตรงข้างใต้ทันที..

ซึ่งก็แน่นอน มีแต่ความว่างเปล่า..

บ๊อกมันยังไม่ยอมแพ้ ดมใหม่ๆ
แล้วก็ดมไปเจอหินก้อนเดิม..
ทำไมเต่ามันชอบแอบอยู่ใต้ก้อนหินก้อนนี้จังฟะ.. บ๊อกมันคงคิดอย่างนี้

..ว่าแล้วมันก็เขี่ยเต่ากระเด็นไปอีกทางเหมือนเดิม..

บ่อเล็กนิดเดียว บ๊อกมันหาเต่าอยู่ครึ่งค่อนวันก็หาไม่เจอ จนที่สุดก็ยอมแพ้ขึ้นมาเอง..
ส่วนพวกเราที่ดูอยู่ข้างบนก็ได้แต่หัวร่อกันท้องคัดท้องแข็ง
สิ่งที่มันจะหาอยู่ตรงจมูกมันแท้ๆ มันกลับหาไม่เจอ..
สิ่งที่ดีที่สุดของหมาไม่ใช่สายตา หากแต่เป็นจมูก.. แต่เจ้าบ๊อกมันกลับเลือกที่จะเชื่อสายตามากกว่าจมูกของมัน..

แล้วสิ่งที่ดีที่สุดที่คนเราควรเชื่อล่ะ..
เพื่อนเคยถามผมด้วยคำถามนี้ ผมตอบว่า สมอง.. เพื่อนบอกผมเป็นไอ้บ๊อก แต่มันก็ไม่ยอมเฉลย
.. บางทีคำตอบที่ถูกอาจเป็น หัวใจ ก็ได้มั้ง..

พ่อผมนิยามเจ้าบ๊อกไว้ว่า
..เซ่อ..
ผมฟังที่พ่อนิยามแล้วก็เห็นด้วย
เซ่อ..นี่ต่างจากโง่นะ 
โง่คือไม่มีปัญญาคิด แต่เซ่อคืออาการที่ไม่รู้จักคิด
เจ้าบ๊อกมันออกแนวขี้เกียจคิดมากกว่า..
ช่วงนั้นกิจกรรมที่คนในบ้านชอบทำแต่หมาเกลียดที่สุด คือการจับหมาอาบน้ำ
จะว่าชอบก็ไม่เชิง แต่เนื่องจากแต่ละนายและนาง (และนางสาว)ตัวเหม็นๆกันทั้งนั้น วันหยุดขึ้นมาทีก็เลยต้องมีการไล่จับเอามาอาบน้ำกันยกใหญ่
คนก็ไล่จับกันไป หมาก็วิ่งหนีกันกระเจิงไป ทำเหมือนเจ้าของเป็นเทศกิจ

ตอนหลังๆนี่แค่หยิบสายยางปุ๊บ ทุกตัวก็ลุกจากที่ครึ่งเดินครึ่งวิ่งออกไปหาที่ซ่อนกันแล้ว พอหันควับมามองประมาณว่าจับอาบแน่ๆ.. ก็วิ่งกันกระจาย
ให้ทาย ว่าหมาที่เซ่อที่สุดในบ้านอย่างเจ้าบ๊อกถูกอาบน้ำเป็นตัวที่เท่าไร..
ที่สองครับ..
บ๊อกจะถูกอาบเป็นตัวที่สองเสมอ
ทำไมไม่ใช่ตัวแรกล่ะ..
เรื่องคือพอจะจับอาบน้ำปั๊บ ทุกตัววิ่ง บ๊อกมันก็วิ่งด้วย (ไม่รู้มันรู้ไหมว่าเขาวิ่งกันทำไม) แล้วก็จะมีตัวที่อยู่ใกล้มือที่สุดที่หนีไม่ทัน ถูกลากมาอาบเป็นตัวแรก ตัวอื่นๆก็จะกระจายไปหาที่ซ่อนเงียบๆตามมุมต่างๆ

..แต่นั่นไม่ใช้วิสัยของเจ้าบ๊อก

พอเห็นเพื่อนโดนอาบน้ำ บ๊อกมันจะรี่เข้ามาดูทันที..
ตอนแรกก็ดูห่างๆ เริ่มเห่าล้อเลียน
จากนั้นค่อยๆกระเถิบตีวงเข้ามาใกล้ ทีละนิด ทีละนิด.. ยั่วโมโหเพื่อน แอ๊ะ..โดนอาบน้ำ
สุดท้ายเหิมเกริมขนาดเดินมาเดินมาถึงตัว ยกเท้าขวาด้านหน้าวางปั๊บไปบนหัวเพื่อน ทำนองนักเลงโต
..เหยื่อมาถึงตัวขนาดนี้ ใครจะปล่อยล่ะครับ..
พอโดนคนคว้าขาไว้เตรียมที่จะอาบน้ำ
เจ้าบ๊อกมันจะมองหน้า ด้วยสายตาครึ่งกังวลครึ่งสงสัย 
..เอ พี่มาจับขาหน้าผมไว้ทำไมน่ะ..
พอเหลือบไปดูเพื่อนที่โดนอาบน้ำอยู่ มันก็เริ่มสำนึกได้ว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นกับมัน
คราวนี้เจ้าบ๊อกทั้งดิ้นทั้งตะกายหูตาเหลือก แต่ก็ไม่รอด จำยอมต้องเป็นตัวต่อไปที่โดนอาบน้ำ..
แปลก  ที่มันไม่เคยจำ
อาทิตย์ถัดมา จับหมาอาบน้ำใหม่ มันก็ทำซ้ำแบบเดิม แล้วก็ดิ้นรนแบบนีกไม่ถึงว่าจะโดนจับอาบน้ำเหมือนเดิม..

..หากประสบการณ์คือการเรียนรู้จากอดีต บ๊อกมันก็คงเป็นเป็นหมาที่ความคิดบริสุทธิ์ ปราศจากประสบการณ์ใดๆมาแผ้วพานทั้งสิ้น..
เฮ้อ..

แต่อย่างน้อยการมองดูมัน ก็ทำให้ผมได้เรียนรู้..
ว่าความผิดพลาดใดก็ตาม ที่เกิดกับคุณเป็นคนแรก.. คุณอาจแค่ดวงซวย
ถ้าความผิดพลาดนั้น เกิดกับคุณเป็นคนที่สอง.. คุณก็คงเป็นคนเซ่อ ที่ไม่รู้จักเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
แต่ถ้าเกิดกับคนอื่นก็แล้ว เกิดกับตัวเองก็แล้ว ก็ยังผิดพลาดซ้ำอยู่นั่นแหละ..

..นั่นคุณคงเป็นไอ้บ๊อกแล้วหละ..

ปิดท้ายเรื่องเจ้าบ๊อก ที่ตรงบ้านข้างๆ..
บ้านใหญ่ข้างๆเขาปรับปรุงบ้าน มีกองอิฐสีเทาๆสำหรับก่อสร้างกองอยู่สูงเกือบพ้นกำแพงบ้าน
เวลาตอนเขาเปิดประตู บรรดาลูกสมุนบบ้านผมชอบแวบเข้าไปวิ่งเล่นในนั้น ไม่รู้ทำไม..
เช้าวันหนึ่ง เขาเปิดประตูบ้าน แล้วก็ออกไปทำงาน ปิดประตูไว้เหมือนเดิม
เจ้าบ๊อกมันแอบแวบเข้าไปเมื่อไรก็ไม่รู้..
ทั้งวัน ไม่มีใครเห็นเจ้าบ๊อก
ตกเย็นเวลากินข้าว มันที่มักจะมาเสนอหน้าเป็นตัวแรก ก็ยังไม่มา
ทุกคนเริ่มกังวล ออกไปเดินเรียกหานอกบ้าน เอ..หรือจะโดนรถชนไปแล้วก็ไม่รู้ 
สักพักก็ได้ยินเสียงเจ้าบ๊อก
อู๊วววววว์ ไม่เชิงหอนแต่เหมือนเรียกขอความช่วยเหลือ
เรียกชื่อมันที มันก็  อู๊ววว์ ที
หาตั้งนาน ปรากฏว่ามันไปนั่งอยู่บนยอดกองหินที่ข้างบ้าน ส่งสายตาละห้อยมาทางบ้านตัวเอง ..ออกไม่ได้ ทำไงดี.
อ้าว ไอ้บ๊อก ไปทำอะไรในบ้านเขาน่ะ พี่สาวผมถามไปหัวเราะไปกับท่าทางของมัน
ไอ้บ๊อกไม่ตอบ
พอเห็นคนหัวเราะหนักเข้ามันคงงอน หันหน้าไปอีกทาง ไม่มองมาทางบ้าน
แล้วก็ถอนใจส่งเสียง อู๊วววววว์ อีกครั้งอย่างอับจนปัญญา

....................................................................................................................

				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง