8 เมษายน 2548 13:44 น.
หมอกจาง
วันนี้จริงๆไม่ใช่วันที่เหมาะจะมานั่งเขียนเรื่องสั้น บทความอะไรเลย..
วันนี้มันเป็นวันที่น่าเบื่อและน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับผมต่างหาก..
แต่ก็เพราะเหตุนี้นั่นแหละ ผมจึงมานั่งตรงนี้ พิมพ์อะไรก๊อกๆแก๊กๆ..
อย่างน้อยใจมันก็สบายขึ้น เวลาที่ได้เขียนอะไรออกมา
...............................................
ครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว ผมบวชพระ..
ตอนแรกก็คิดจะบวชไปงั้นๆแหละ บวช 8 วัน 10 วัน จะไปได้อะไรนักหนา..
ชีวิตในวัดของผมเลยมีแต่นั่งๆนอนๆ..
ก็พยายามที่จะเป็นพระที่ดีด้วยการเอาหนังสือธรรมะมาอ่านเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ลงอีหรอบเดิม.
ฟุบหลับมันที่หน้าหนังสือนั่นแหละ
บวชแค่ 8 วัน 10 วัน อาจไม่พอที่จะเรียนรู้ธรรมะอะไรให้ลึกซึ้ง แต่ก็เข้าไปเห็นอะไรต่อมิอะไรในมุมมองของ "พระ" บางอย่างเราไม่เคยฉุกใจคิดเมื่อยู่ในฐานะของฆราวาส
เรื่องง่ายๆอย่างนึงก็เรื่องข้าวที่ใส่บาตรนี่แหละ..
เวลาไปบิณฑบาตร ญาติโยมหลายคนหวังให้ข้าวที่ใส่ให้พระนั้นจะหอมน่ากิน บางครั้งด้วยความที่บ้านตัวเองไม่ได้กินข้าวหอมมะลิ เพราะว่ามันเกินฐานะ เวลาใส่บาตรจึงเอาดอกมะลิใส่ลงไปในข้าวด้วย เพื่อที่จะได้หอมๆ..
หารู้ไม่ว่า เจ้าดอกมะลิหอมๆนั้น สร้างปัญหาให้กับพระเวลาจะฉันนัก ฉันกันไปก็ต้องคอยเขี่ยดอกมะลิกันไป บางทีผลุบเข้าปากก็ต้องคายออกก็มี..
ดอกมะลิเหมาะแต่เพียงแค่ดม ไม่เหมาะที่จะเอามากิน..
ประโยคข้างบนนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากวัด..
เวลาออกไปบิณฑบาตร ต้องตื่นแต่ตีสี่ตีห้า ออกมาทำวัตรเช้า แล้วก็ตั้งแถว แบ่งสายเพื่ออกไปบิณฑบาตร ตอนที่บวชอากาศก็หนาวเอาเรื่อง ตั้งแถวไปก็สั่นไป..
พระอาวุโสอยู่หัวแถว ไล่เรียงลำดับไปถึงพระใหม่ที่ท้ายแถว..
บวชใหม่ จีวร สบงอะไรก็นุ่งไม่ถนัดนัก เดินบิณฑบาตรไป ก็ห่วงไปว่าสบงจะหลุด ต้องคอยดึงคอยรั้งกันอยู่เรื่อยๆ เจอบ้านไหนที่มีหมาดุก็มักจะโดนเห่าโดนไล่เพราะว่าอยู่ท้ายสุด จะหนีก็ไม่ได้ต้องสำรวม จะไล่ก็ไม่ได้ ต้องสำรวมอีก ก็ได้แต่นึกว่าไอ้เจ้าหมาพวกนี้นี่มันไม่กลัวเกรงบาปกันเสียนี่กระไร เห่าพระกัดพระนี่หมาจะตกนรกไหมนะ.. เดินไปก็สงสัยไป
บิณฑบาตร ต้องเดินไปกลับราว 6 กิโลเมตร ไม่ไกลนักแต่ก็ไม่ใกล้ถ้าคิดว่าต้องย่ำเท้าเปล่าไปบนทางลูกรัง หินสีเทาๆก้อนๆที่ปูถนนนั่นแหละตัวดี เหยียบไปก็โหย่งไป เจ็บจนแหยง..
บางครั้งเจอโยมแก่ๆใจดีตั้งแต่ต้นทาง ออกจากวัดได้นิดนึงแกก็มาใส่บาตร เห็นเป็นพระใหม่แกก็ยิ่งใจดี ใส่เรื่อยมาทุกองค์จนครบ พอปิดท้ายที่พระใหม่แกมีกล้วยน้ำว้าหวีงามๆใส่ให้บนฝาบาตรอีกหนึ่งหวี..
ตกลงวันนั้นเลยต้องแบกกล้วยหวีนั้นเดินต่ออีกร่วม 5 กิโล ..
มีอยู่วัน เดินๆเลาะอยู่กันบนริมถนนใหญ่ มีรถกะบะคันนึง แซงปร๊าดผ่านหน้าไปแล้วปาดหน้าแถวพระที่เดินบิณฑบาตรอยู่ทันทีพร้อมเหยียบเบรคฝุ่นตลบ คนขับท่าทางนักเลงใส่เชิ๊ตแบะอก สร้อยทองเส้นใหญ่ ใส่แว่นตาดำ เดินลงมา พระในแถวมองหน้ากันเลิ่กลั่ก..
แกมาถึงปุ๊บแกก็ควักเงินออกมา เจียดถวายรูปละ 20 บอกว่าเห็นพระแล้วอยากทำบุญ แต่ไม่มีกับข้าว ไม่มีกระทั่งซองใส่เงิน เลยหยิบเงินออกมาจากกระเป๋าทำบุญกันบ้างถนนใหญ่นั่นแหละ..
นี่แหละนะหัวใจคนไทย เรื่องบาป-บุญ-พระ-เจ้าที่ฝังแน่นในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง อย่างที่ชาติอื่นยากจะเข้าใจ..
..วันนั้นพอกลับถึงวัด คุยกันถึงเรื่องนี้ หลวงพี่องค์หนึ่งแกหันมาทางผมแล้วบอกยิ้มๆ..
"พอเห็นรถปาดหน้า ผมก็นึกว่าท่านไปมีเรื่องเอากับใครไว้ก่อนบวชเสียอีก" ..เป็นงั้นไป
เด็กวัดก็เป็นอีกสีสันหนึ่งในวัด..
ที่วัดมีเด็กวัดหลายคน แต่ที่ผมจำได้แม่นสุดคือไอ้มุ้ย..
ไอ้มุ้ยอายุราวๆ 6 ขวบได้ เด็กกว่าเขา แต่แสบไม่แพ้ใคร มีอยู่วัน ตอนเย็น มันเข้ามาขอให้ผมต้มน้ำให้เพื่อจะกินมาม่า ผมก็ต้มให้
"ยืมชามกับช้อนด้วย หลวงพี่" เอ้า ขอยืมก็ให้
พอมันต้มมันลวกมาม่าเสร็จมันก็นั่งกินในกุฏินั่นแหละ..
"อื้อฮือ หอมจัง" กินไม่กินเปล่ายังทำหน้าทำตาประกอบเหมือนยั่ว เพราะรู้ว่าพระใหม่ยังไงก็ยังอดหิวมื้อเย็นไม่ได้..
"มุ้ย ออกไปกินข้างนอก".. ก็ยังเฉย สักพักมีเสียงซี๊ดซ๊าดท่าทางว่าอร่อย แถมยังลามปามยกชามมาให้ดมตรงหน้า..
"หลวงพี่ หอมไหม"
"ไอ้มุ้ย" เสียงเริ่มเข้ม "ออกไปกินข้างนอก" มันก็ยังงอแงไม่ออก สักพักก็เอาใหม่
"หลวงพี่ ฉันไหม ผมไม่บอกใครก็ได้" ยังมาทำหน้าทะเล้นใส่ แล้วหลวงพี่ก็เลยฟิวส์ขาด
"ไอ้มุ้ย จะออกไปดีๆ หรือจะโดนพระเตะ"
คราวนี้มันยกชามออกไปแต่โดยดี สงบเสงี่ยม กินเสร็จก็เดินจ๋องเอาชามที่ล้างแล้วมาคืน..
..ส่วนผมก็ต้องไปปลงอาบัติ..
นึกๆย้อนไปแล้ว มีเรื่องราวโน้นนี้ให้จำมากมาย แม้จะบวชไม่กี่วัน แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่ได้อะไรในทางศาสนาเพิ่มขึ้นกว่าตอนก่อนบวชแม้แต่นิด..
แล้วนี่เราจะบวชทำไมนะ..
บวชให้เป็นประเพณีแค่นั้นเองหรือ..
จะดีไหม ถ้าเปลี่ยนให้คนที่บวชต้องบวชนานๆ บวชเพราะรักที่จะบวช จะศึกษาจริงๆ ไม่ใช่บวชแค่ฉาบฉวย พอให้เรียกได้ว่าบวชเรียนมาแล้ว แต่ถ้าอย่างนั้นจะมีสักกี่คนล่ะที่จะบวช ในสังคมอย่างปัจจุบันนี้..
หรือว่าทางที่เป็นอยู่นี้มันก็ดีอยู่แล้ว..
คิดไปต่างๆนาๆ แต่ก็หาคำตอบที่เหมาะใจให้ตัวเองไม่ได้..
จนวันนึง ได้ไปคุยกับเพื่อนสนิทที่บวชทีหลังปีนึง มันก็บวชสั้นๆเหมือนกัน ราว 10 กว่าวัน ถามขณะที่เพื่อนยังครองผ้าเหลือง ว่าบวชแล้วรู้สึกได้อะไรบ้างไหมจากการบวช คุ้มไหมกับการเสียเวลางาน เสียเงินเสียทอง เพื่อมาบวชตามประเพณี..
เพื่อนนิ่งคิดนิดหนึ่งแล้วค่อยตอบช้าๆ
"ไม่รู้สินะ แต่วันที่บวช เห็นโยมแม่ร้องไห้ปลื้มใจที่เห็นชายผ้าเหลืองลูก แค่นั้นก็พอแล้วหละ"
.......................................................