6 ตุลาคม 2547 09:21 น.
หมอกจาง
สายลมนอกหน้าต่างพัดอยู่เงียบๆ สม่ำเสมอ พาการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลใหม่ค่อยคืบเคลื่อนเข้ามา..
แดดจ้า ฉันรู้สึกตัวว่าขืนนอนขี้เกียจอยู่ต่อไปคงไม่ดีแน่ ค่อยลุกขึ้นจากที่นอน อย่างแช่มช้า เกียจคร้าน ไม่รู้ว่าใจหรือกายที่คร้านจนไม่อยากที่จะลุก บางที อาจจะทั้งคู่..
กับกาแฟหนึ่งแก้ว ฉันไปนั่งอยู่ที่ประจำหลังบ้าน ซึ่งเงียบและสงบจนน่าแปลกใจ ยิ่งเป็นยามสายวันอาทิตย์อย่างนี้ด้วยแล้ว ความเงียบนั้นเหมือนว่าจะทำให้กำแพงสีเขียว เรือนเก็บของหลังเล็ก หลังคาปูหญ้าฟาง และดอกไม้ใบไม้ที่งอกเงยขึ้นงามอย่างเงียบๆ ช่วยกันหมุนโลกย้อนกลับไปสักยี่สิบปี ยี่สิบปีก่อนครั้งเมื่อฉันยังเป็นเด็ก มีบ้านเป็นแพที่ลอยอยู่ริมแม่น้ำ..
ในความสงบ นึกอยากอ่านหนังสือ อยากเขียนหนังสือ..
การอ่านและการเขียนหนังสือ ต่างก็เป็นความรื่นรมย์ แต่รสชาติของความรื่นรมย์นั้นผิดกัน การได้อ่าน ได้ซาบซึ้งและเรียนรู้ ก็เป็นความสุขแบบหนึ่ง การได้เขียน สิ่งที่เรารู้เราคิดอยู่ในใจออกมาเป็นเรื่องเป็นราวก็เป็นความสุขอีกอย่างหนึ่ง..
.. แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร ในช่วงหลังๆนี้ถ้อยคำที่ฉันอยากเขียนเหมือนว่าจะวิ่งหนีหายไปจนหมดสิ้น..
..บางครั้งก็เหมือนยามที่เราจะได้เจอคนที่คิดถึงหนักหนา คล้ายว่ามีเรื่องราวต่างๆมากมายจะบอก จะเล่า แต่พอเมื่อได้พบหน้ากันจริงๆ กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไร..
บางที ฉันอาจคิดถึงการได้เขียนหนังสือมากไปหน่อยก็เป็นได้
ในสายลมที่พัด ฉันนั่งดูต้นหญ้า..
หญ้าที่ขึ้นกันเป็นลานอยู่หลังบ้านไกวไปมาเหมือนล้อเล่นอยู่กับลมอย่างสนุกสนาน ฉันอดยิ้มให้กับมันไม่ได้..
เธอรู้ไหม ว่าครั้งหนึ่งต้นหญ้าเคยสอนให้ฉันเข้าใจชีวิตมากขึ้น..
บางช่วงของชีวิตที่ทุกคนน่าจะเคยเจอ วันเวลาที่ดูเหมือนทุกอย่างจะเลวร้ายไปหมด เรื่องทุกข์ร้อนต่างๆนาๆ โถมเข้ามาเหมือนดังกับว่าจะแกล้ง..
ใครแกล้ง.. ฉันโทษว่าคนบนฟ้าแกล้ง
ฉันรู้สึกว่าอะไรต่อมิอะไร มันเลวร้ายเสียจนยิ่งกว่าความบังเอิญ เหมือนใครก็ตามที่อยู่บนฟ้า ที่มีอำนาจเหนือสิ่งต่างๆบนพื้นโลกเกิดหมั่นไส้เราขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ..
แล้ววันนึงที่ฉันเดินผ่านทุ่งหญ้า ฉันหยุดมอง ยกเท้าขึ้น หญ้าข้างล่างยุบลงไปเป็นรูปฝ่าเท้า..
วันนั้น ฉันหัวเราะเยาะตัวเอง..
ถ้าหญ้าต้นใดต้นหนึ่งที่ถูกฉันเหยียบ ลุกขึ้นมาโวยวายหาว่าฉันเลือกที่จะเหยียบมัน ด้วยความหมั่นไส้ส่วนตัว ในฐานะว่ามันเป็นหญ้าที่โดดเด่น ที่ไม่ยอมสยบให้ฉัน หรืออะไรก็ตามแต่ ฉันก็คงหัวเราะเยาะมันเหมือนอย่างที่ฉันหัวเราะเยาะตัวเองนั่นแหละ..
โถ..หลงตัวเองอะไรขนาดนั้นเจ้าต้นหญ้า ใครเลยจะใส่ใจว่าหญ้าต้นหนึ่งแตกต่างอย่างไรจากหญ้าอื่นๆในสนาม และเมื่อไม่เห็นความแตกต่าง แล้วจะเลือกปฎิบัติได้อย่างไร..
ฉันก็เป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็กคนนึงแค่นั้นเอง.. หากคนบนฟ้ามีอยู่จริง ฉันก็คงไม่สลักสำคัญอะไรที่เขาจะต้องมาใส่ใจกลั่นแกล้ง..
มันเป็นแค่ความบังเอิญแค่นั้นเอง เหมือนเท้าที่เหยียบลงไปในทุ่งหญ้านั่นแหละ แล้วมันก็จะผ่านไป..
วันนี้ ฉันเป็นต้นหญ้าที่สดใส ล้อลมเล่นได้ดังเดิม..
ฉันยังคงนั่งอยู่อย่างเกียจคร้านที่บนเก้าอี้หลังบ้าน แก้วกาแฟว่างเปล่าวางบนโต๊ะ กระดาษและปากกาวางอยู่ถัดออกไป บนหน้ากระดาษนั้นว่างเปล่า..
..ตัวหนังสือหายไปไหนแล้ว..
ลมคงพัดไปเสียแล้วกระมัง
ฉันหยิบปากกาขึ้นมาเขียนอะไรยุกๆยิกๆบนกระดาษ
ตัวหนังสือโย้ๆเย้ๆ บทกวีบูดๆเบี้ยวๆ..
สายลมจากทิศเหนือ
พัดมาแผ่วแผ่ว
นกน้อยทบทวนเพลงเมื่อปีก่อน
เงาใบไม้ไหววูบวาบ
คงเพราะสายลมพัด
พัดใบไม้ไกวหรือพัดจนแดดไหว
ด้วยคำถามที่มากมาย
ฉันจึงวุ่นวายกับการค้นหาคำตอบ
วันนี้ฉันหยุดตั้งคำถาม
ฉันก็ได้รู้ว่าคำตอบเหล่านั้น ช่างจำเป็นน้อยกระไร
ฉันเขียนเอง อ่านเอง มันแลดูตลกจนไม่คล้ายบทกวี แต่ฉันถือว่าอะไรที่เขียนออกมา ฉันก็จะยอมรับมันตามแต่ที่มันจะออกมานั่นแหละ
บางที วันนี้ไม่ใช่วันดีสำหรับฉันที่จะเขียนหนังสือจริงๆ
ฉันวางทุกอย่างลง เอาเก้าอี้สามตัวมาต่อกันเข้า แล้วเอนกายนอน ในสายลมที่พัดคลอๆ ในแดดยามสายที่ทออยู่ตรงริมชายคา ในวันที่นอกจากเสียงนกร้องแล้วไม่มีอะไรนอกจากความเงียบ..
..ช่างมันเถอะ เจ้าตัวหนังสือ บางที เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะนับเป็นความสุขสำหรับฉัน ในวันที่แสนเกียจคร้านอย่างนี้..