23 มิถุนายน 2546 10:52 น.

เรื่องของแม่มด...

หมอกจาง

 คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงแจ่มฟ้า เด็กหญิงตัวเล็กๆนั่งมองดวงจันทร์อยู่ที่ประตูหลังบ้าน ใกล้ๆสระน้ำเล็กๆสำหรับเลี้ยงปลาหางนกยูงของพ่อ ใกล้พุ่มดอกเข็มของแม่ และใกล้ๆลานดินเล็กที่เธอติ๊ต่างว่าเป็นของเธอ ... ก็มันสมควรมีอะไรบางอย่างที่เป็นของเธอบ้างนี่นา
     คืนนี้เธอออกมานั่งเล่นที่นี่เหมือนทุกคืน แม่ดูละคร พ่อทำงานอยู่ในห้อง เธอจะถูกเรียกให้เข้าไปนอนก็ต่อเมื่อละครที่แม่ดูจบลงนั่นแหละ แม่เคยชวนให้นั่งดูละครด้วยกันเหมือนกัน แต่เธอดูไม่รู้เรื่อง ก็ทำไมพี่ผู้หญิงในละครเวลาถูกคนอื่นแกล้งต้องมาร้องไห้กระซิกๆด้วยนะ นี่ถ้าเป็นเพื่อนที่โรงเรียนมาแกล้งเธอละก้อ.. ได้พกรอยฟันกลับบ้านไปอวดแม่ทุกคนไปสิน่า
     เธอนั่งมองดวงจันทร์ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นิทานเรื่องโน้นเรื่องนี้ที่คุณครูเล่า เรื่องกระต่ายในดวงจันทร์ที่เคยฟังจากแม่ตอนเด็กๆ พ่อก็เคยเล่าเรื่องตากับยายบนดวงจันทร์ให้ฟังเหมือนกัน แต่เธอสับสนว่าเรื่องตากับยายนี่จริงๆแล้วมันเป็นยังไงกันแน่ เพราะพ่อเล่นเปลี่ยนเนื้อเรื่องมันเสียทุกๆครั้งที่เล่า บางทีอาจมีตากับยายอยู่หลายคนอยู่บนนั้นก็ได้ ดูท่าทางดวงจันทร์ก็ไม่เล็กนักหรอก
     ตอนนี้เด็กหญิงกำลังนั่งคิดถึงเรื่องนิทานเรื่องล่าสุดที่ครูเล่าค้างไว้อยู่ เป็นเรื่องของแม่มดใจร้ายที่คอยรังควาญเจ้าชายเจ้าหญิงอะไรนี่แหละ กำลังเล่าถึงตอนสนุก เจ้าเพื่อนตัวดีที่นั่งอยู่ข้างหลังเธอก็ชิงอ้วกเอาข้าวกลางวันออกมาเสียก่อน ครูก็เลยต้องเลิกเล่าแล้วหันไปวุ่นกับการเช็ดอ้วกโดยปริยาย นึกๆจะมาถามพ่ออยู่เหมือนกันว่าจริงๆตอนจบของนิทานเรื่องนี้มันเป็นยังไง แต่คิดอีกทีก็ไม่ดีกว่า เพราะขืนให้พ่อเล่า แม่มดคงจะถูกลากไปอยู่กับตายายบนดวงจันทร์เป็นแน่
     กำลังเพลินกับนิทานในความคิด อะไรบางอย่างก็ลอยผ่านดวงจันทร์ช้าๆ ไม่เล็กนักแต่ก็ไม่ใหญ่เมื่อเทียบกับดวงจันทร์ เหมือนคน นั่งอยู่บนอะไรบางอย่าง ชายผ้ายาวรุ่ยร่าย บนหัวมีอะไรเป็นก้อนๆยับย่นอยู่ เหมือนหมวกแหลม.. หมวกแหลม เธอนึกถึงแม่มด..ถ้าเป็นแม่มด ที่นั่งอยู่ก็ต้องเป็นไม้กวาด ใช่แล้วไม้กวาด ถ้างั้นนั่นก็แม่มดน่ะซี..
แม่มด!! แม่มด!!  
     เธอตะโกนโหวกเหวก ไม่มีใครในบ้านสนใจ ด้วยความที่เธอเป็นเด็กช่างฝัน นั่งคุยกับตัวเองบ่อยๆจนทุกคนในบ้านชาชินกันหมด
แม่มด!!แม่มด!! เดี๋ยวก่อน! กลับมาก่อน!
     เด็กหญิงรีบเรียกเมื่อเห็นร่างนั้นกำลังจะลับหายจากขอบดวงจันทร์ เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเรียกมาทำไม แต่โอกาสได้เจอแม่มดนี่คงไม่มีกันบ่อยๆ  เธอไม่รู้สึกกลัวแม่มดหรอก คิดมาตั้งแต่ตอนฟังนิทานเมื่อกลางวัน ว่าถ้าแม่มดจะมาทำอะไรเธอก็คงต้องกัดกันสักตั้ง เรื่องกัดนี่เพื่อนๆในห้องกลัวเธอกันหมดทุกคน
     ร่างนั้นเลี้ยวโค้งวาบแล้วทิ้งดิ่งลงมาทันที เร็วมากกว่าที่เธอคิดว่าแม่มดควรจะเป็น ยิ่งใกล้เข้ามาก็ยิ่งเห็นว่ามันเร็วมากขนาดไหน เร็วเสียจนเธอไม่คิดว่าจะหยุดได้ทันก่อนถึงดิน  ซึ่งก็ไม่ทันจริงๆ
พลั่ก!! โครม!! ขลุก!ขลุก! ขลุก! 
     สองเสียงแรกเป็นเสียงของการตกกระทบกับดิน ที่เหลือเป็นเสียงจากการที่แม่มดกลิ้งไปทาง ไม้กวาดกระเด็นไปทาง ไม้กวาดตกลงบนลานดินของเธอ ส่วนแม่มดหายเข้าไปในพุ่มดอกเข็มของแม่ ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง
นี่.. 
เธอด้อมๆชะโงกหน้าเข้าไปดู
เป็นไงบ้างอ้ะ
อูย
      เธอได้ยินเสียงครางลอดออกมาก่อน จากนั้นร่างทึบๆทึมๆก็ค่อยๆคลานออกมา ค่อยยังชั่วหน่อย เพราะเธอไม่คิดว่าแม่เธอจะชอบ ที่จะให้มีแม่มดมาตายอยู่ในพุ่มดอกเข็มพุ่มโปรด
เป็นไงบ้างอ้ะ เธอถามซ้ำคำเดิม
อูย แม่มดก็ยังไม่ตอบ ยังคงอูยอยู่เหมือนเดิม
กระดูกกระเดี้ยวหักโม้ด.. ไอ้ไม้กวาดบ้า 
     แกพึมพำเป็นคนแก่ ซึ่งแกก็แก่จริงๆนั่นแหละ หน้าแกยับเหมือนเอากระดาษมาขยำๆแล้วคลี่ออก จมูกงุ้มสวยดีเหมือนกัน ฟันเกๆเหลืองๆ  ส่วนตา..อือ..ตาแกดูแปลกๆ ใช่แล้ว.. เด็กหญิงสังเกตเห็นว่าตาข้างหนึ่งของแกเป็นสีดำสนิท ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นสีน้ำตาลอ่อน เด็กหญิงจ้อง จ้อง แล้วก็จ้อง  ก็เธอไม่เคยเห็นแม่มดนี่นา จ้องจนแม่มดเริ่มเขิน
จะจ้องอะไรกันนักหนานะ  หน้าแกดูแดงๆ ..ก็แดงเท่าที่อายุแกจะอำนวยให้แดงได้ละนะ
จ้องแม่มด
ไม่เคยเห็นหรือไง
ก็ไม่เคยน่ะสิ โธ่.. แม่มดหากันดูได้ง่ายๆที่ไหน วันก่อนพ่อพาไปสวนสัตว์ก็ไม่เห็นมี เธอมองไล่เรื่อยลงมาผ่านชุดผ้าคลุมสีดำรุ่ยร่าย มันดูดำๆมอมๆ เธอไม่ค่อยแน่ใจนักว่าเดิมมันเป็นสีดำอยู่แล้ว หรือมันดำเพราะแม่มดไม่ซักกันแน่ ผ่านชายผ้าขาดๆเธอก็เห็นเท้าทั้งสองข้างของแม่มด นก..แม่มดมีเท้าเป็นเล็บแหลมๆเหมือนเท้านก ไม่เห็นมีนิทานเรื่องไหนเคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยนี่นา
ไม่เห็นมีใครบอกเลยว่าแม่มดมีตี..เอ่อ..เท้าเป็นนก ยั้งคำว่าตีนไว้ทัน คุณครูบอกว่าไม่สุภาพ
ไม่มีใครบอกก็เพราะไม่มีใครเคยเห็นน่ะสิ
ทำไมถึงไม่มีใครเคยเห็นล่ะ 
อยากรู้จริงๆเหรอ แม่มดทำหน้าซ่อนเลศนัย แกไม่อยากเล่าเรื่องของแกให้เด็กน้อยนี่ฟังเท่าไหร่หรอก แต่แกมีจุดประสงค์บางอย่าง.. อย่างประเภทจับเด็กกินอะไรอย่างนี้ นี่นานเท่าไหร่แล้วนะที่แกไม่ได้กินเนื้อเด็กน่ะ สองร้อยปี สามร้อยปี ช่างมันเถอะ เพราะพรุ่งนี้แกก็จะพูดได้เต็มปากว่า..ฉันเพิ่งกินเนื้อเด็กไปเมื่อวานนี้เอง..
อยากรู้สิ เด็กหญิงจ้องตาแป๋ว  ..ตกหลุมฉันละ.. แม่มดคิด 
แฮ่ม!.. อะแฮ่ม!! พอแกกระแอมเตรียมเล่า เด็กหญิงก็เอ่ยขัด
เหมือนพ่อเลย เธอว่า พอพ่อจะเล่าอะไรต้องกระแอมก่อนทุกที
นี่มีพ่อด้วยรึ บางทีแม่มดก็อาจถามอะไรโง่ๆได้เหมือนกันนะ 
มีสิ พ่อตัวใหญ่กว่าลุงอาร์ทอีก ..ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าพ่อแกตัวใหญ่แค่ไหนเสียหน่อย ว่าแต่ว่าลุงอาร์ทนี่ใครกันล่ะ..
พ่ออยู่ไหน แกทำหน้าหลอกถามเต็มที่
ในบ้าน แม่ก็อยู่ เออ..รอเดี๋ยวนะ เดี๋ยวหนูไปตามพ่อกับแม่ออกมาดูแม่มดดีกว่า ว่าแล้วเธอก็ทำท่าจะวิ่งเข้าบ้าน
ยู้ดดด แม่มดโดดคว้าตัวเด็กหญิงไว้ทัน กลิ่นหอมๆของเนื้อเด็กโชยเข้าจมูก นี่ถ้าไม่ติดกฎละก็ แกคงจะหม่ำมันเสียเดี๋ยวนี้แหละ 
ไม่ต้องไปตามหรอก พ่อแม่เธอเขาไม่อยากเจอแม่มดหรอก.. นี่แม่ก็อยู่ด้วยรึนี่..
ทำไมล่ะ
เออ.. แม่มดหาเหตุผลไม่ออก เอาเป็นว่าเขาไม่อยากเจอก็แล้วกันน่ะ ไปข้างๆคูๆมันอย่างนั้นแหละ แสบสีข้างอยู่เหมือนกัน
ถ้าเธอตามพ่อแม่ออกมาฉันก็จะไม่อยู่ 
     ได้ผลเด็กหญิงหันมานั่งสงบอยู่ตรงประตูหลังเหมือนเดิม แถมยังงับประตูเสียด้วย เพราะเดี๋ยวเกิดพ่อแม่เธอได้ยินเสียงคุยกันแล้วเดินออกมา แม่มดก็จะหนีไปเสีย ..นานๆจะเจอแม่มดที ไม่ปล่อยให้หนีไปหรอก.. ซึ่งก็ต้องตรงกันกับทางยายแม่มด ที่คิดว่ายังไงวันนี้ก็ไม่ปล่อยเด็กนี่หลุดมือไปเป็นอันขาด บางทีคงมีใครคนใดคนหนึ่งที่คิดผิด..  เพียงแต่ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครเท่านั้น
     พอยายแม่มดเห็นเด็กหญิงสงบนิ่ง แกก็ขยับจะเริ่มต้นเล่า..ครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ถ้าฉันถ่วงเวลาได้ครึ่งชั่วโมง ฉันก็จะได้กินยายเด็กนี่.. แกคิดของแก วนไปวนมา
ยาย..น้ำลายไหลอ้ะ เด็กหญิงนับญาติเสร็จสรรพ 
อุ้ย !! ..ออกอาการมากไม่ได้ เดี๋ยวมันจะรู้ตัวเสียก่อน.. ต้องเริ่มเล่าแล้ว
พวกที่มีเท้าเป็นนกอย่างฉันเนี่ย เขาเรียกพวกแม่มดบิน ส่วนพวกที่มนุษย์เคยเห็นส่วนใหญ่จะเป็นแม่มดบก
อ๋า..ความรู้ใหม่นะเนี่ย  
จริงๆแล้วเมื่อก่อนนี้น่ะ มันมีแม่มดอยู่ประเภทเดียวนั่นแหละ..เราอยู่บนพื้นดิน กิน..เอ้อ..เนื้อเป็นอาหาร เกือบหลุดว่ากินเด็กแล้วไหมล่ะ แต่แล้วก็เกิดสงครามระหว่างแม่มดขึ้น แม่มดฝ่ายเหนือและฝ่ายใต้ของโลกยกพวกเข้ารบกันเป็นที่ชุลมุน เป็นสงครามครั้งใหญ่ทีเดียว ตอนนั้นฉันยังสาวๆอยู่เลย เด็กหญิงแปลกใจเล็กน้อย เธอคิดไม่ออกว่าแม่มดหน้าเหี่ยวๆคนนี้จะเคยเป็นสาวมาก่อนได้ยังไง.. แต่เธอก็ไม่พูดอะไร
ฉันไม่แน่ใจนักว่าตอนนั้นเรารบกันเพราะเรื่องอะไรกันแน่ บางคนบอกว่าทางแม่มดฝ่ายใต้เตรียมตัวจะกวาดล้างพวกเรา ดังนั้นเราจึงต้องชิงลงมือก่อน บางคนบอกว่ามันเป็นเรื่องของการชิงตำแหน่งผู้นำของโลกแม่มด แต่บางคนบอกว่าเป็นเพราะการยุแหย่ของพวกมนุษย์ แต่ไม่มีใครสักคนที่มั่นใจว่าเรื่องไหนคือเรื่องจริง ถึงอย่างไรก็ตามการรบครั้งนั้นกินเวลาร่วมสี่ปี มีแม่มดล้มตายไปมากมาย สุดท้ายเราเลยต้องจับมือทำสัญญากัน..  แกหยุด เล่าๆไปชักคอแห้ง ไม่ได้พูดได้คุยกับใครมานาน แก่แล้วด้วย คอเลยแห้งเร็ว นี่ได้น้ำซักแก้วคงดี แต่อย่าดีกว่า เดี๋ยวพ่อแม่มันจะรู้ตัว 
สัญญาที่ว่าคือเราจะแบ่งเขตกันอยู่ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน แต่ขนาดธรรมดาเราก็แบ่งเขตกันอยู่เหนือใต้ของโลกอยู่แล้ว และอย่างที่เห็น มันก็ยังเกิดสงครามขึ้นอยู่ดี ดังนั้นเราจึงตกลงกันว่าต่อไปนี้พวกหนึ่งให้ขึ้นไปอยู่บนฟ้า ห้ามลงมาเด็ดขาด ส่วนอีกพวกหนึ่งให้อยู่แต่บนดินห้ามบินขึ้นไปบนฟ้า เมื่อตกลงกันได้อย่างนี้แม่มดที่แก่ที่สุดของแต่ละฝ่ายจึงลงมือสาปด้วยคาถาต้องห้ามในคัมภีร์อูลูบาบาบีบา อันนี้แกมั่วเอา เพราะแกจำชื่อคัมภีร์ไม่ได้หรอก ก็มันตั้งนานแล้วนี่นา..
เมื่อสาปเสร็จแม่มดฝ่ายเหนือที่ขึ้นไปอยู่บนฟ้าจะลืมวิธีลงมาสู่ดิน และขณะเดียวกัน แม่มดฝ่ายใต้ที่อยู่บนดินก็จะลืมวิธีบินขึ้นไปบนฟ้า..
แล้ววันนี้ยายลงมาได้ไงอ่ะ .. บ๊ะ นังเด็กนี่ฉลาดไม่เบา.. แม่มดคิดในใจ
ในคำสาปมีข้อยกเว้นอยู่ว่าเราจะลงมาได้เมื่อมีคนบนดินเชิญให้ลงมาเท่านั้น และนี่เป็นหนแรกที่แกได้รับเชิญให้ลงมา จงไม่น่าแปลกใจที่เจ้าไม้กวาดคู่ชีพจะออกอาการดี๊ด๊าจนแกต้องหล่นพลั่กลงมาอย่างที่เห็น สิ่งหนึ่งที่แม่มดไม่ได้เล่าคือทุกครั้งที่ลงมาบนดิน เหล่าแม่มดบินจะมีเวลาอยู่บนพื้นดินได้แค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นและไม่ได้รับสิทธิ์ให้ใช้คาถาใดๆทั้งสิ้นในครึ่งชั่วโมงนี้ รวมไปถึงการถูกสั่งห้ามไม่ให้ทำร้ายผู้ที่เรียกลงมาด้วย แต่สิ่งที่พวกแม่มดบินส่วนใหญ่ทำกันก็คือช่วงเวลาที่ครบครึ่งชั่วโมงแล้วต้องกลับขึ้นไปบนฟ้านั้นเป็นเวลาที่เป็นช่องโหว่ของคำสาบ เวลาเล็กน้อยนั่นแหละที่พวกแม่มดจะโฉบเอาเด็กติดไม้ติดมือขึ้นไปบนฟ้าด้วย มีแม่มดเคยทำสำเร็จอยู่สองสามคนและเป็นที่เล่าขานกันเรื่อยมา นับวันนี้ทุกคนจะได้เล่าขานถึงการจับเด็กของแกมั่งละ อูย..น้ำลายไหลอีกแล้ว
ยาย..น้ำลาย
เออ..รู้แล้ว ..ตาเร็วจริงนังเด็กนี่..
แล้วยายอยู่บนฟ้าตลอดน่ะ ยายกินอะไรได้ล่ะ
นกน่ะสิ นกอะไรก็ไดที่พวกแม่มดบินอย่างเราพอจะจับได้น่ะ พูดแล้วแกก็ทำตารื้นๆ โถ..เป็นแม่มดทั้งทีต้องมาไล่กินนก
ทำยังไงอ่ะคะ เล่าให้ฟังหน่อยสิคะ เด็กหญิงอ้อน และก็ดูท่าว่าจะได้ผล
เราก็ขี่ไม้กวาดของเราโฉบไปใกล้ๆนกที่หมายตาไว้ ต้องตัวขนาดพอดีนะ เล็กไปก็ไม่อิ่ม ใหญ่ไปก็ไม่จับกันหรอกเพราะเดี๋ยวมันสู้ขึ้นมาก็จะลำบาก  จริงๆแกเคยไล่จับนกอินทรีตัวย่อมๆอยู่เหมือนกัน แต่โดนมันไล่จิกพัลวันจนแทบตกไม้กวาด แต่เรื่องอย่างนี้น่ะ เล่าให้ใครฟังได้ที่ไหนกันล่ะ
พอนกมันเผลอๆเราก็โฉบเข้าไปใกล้ๆ สองมือจับปลายไม้กวาดกดไว้ให้แน่น กางเล็บเท้าออก ตะปบคว้าบ  แกเผลอออกท่าทางประกอบ กำมือแน่น เหยียดตีนนกของแกออกแผ่ไปด้วยท่าทางมุ่งมั่น เด็กหญิงหัวร่อกิ๊ก..
จากนั้นเราก็ใช้เท้าที่สวยงามของเราส่งนกเข้าปาก สองมือยังกำไม้กวาดแน่นอยู่ คราวนี้แกไม่ยอมทำท่าประกอบ
ลองนึกภาพดูสิ ว่าพวกเราสง่างามขนาดไหน แน่ะ..อวดอีก
ก็กระโปรงเปิดน่ะสิ
หือ..อะไรนะ
ก็ถ้ายายนั่งบนไม้กวาดแล้วเอาตี..เอ่อ เท้าส่งนกเข้าปาก เกือบหลุดตีนอีกละ ก็กระโปรงเปิดน่ะสิ
เออนะ..ไอ้เรื่องนี้แม่มดก็ไม่เคยคิดเหมือนกัน กระโปรงมันก็เปิดน่ะสิ..
ไม่หรอกมั้ง ท่าทางแกก็ไม่ค่อยแน่ใจ
เปิดแน่ๆ ย้ำอีกแน่ะ
ฮื้อ..!! เถียงไม่ได้แกก็เริ่มหงุดหงิด เปิดก็ช่างมัน แก่แล้ว อ้างแก่ไว้ก่อน แต่คราวต่อไปถ้าแกจะส่งนกเข้าปากแกคงจะกระมิดกระเมี้ยนขึ้นมากกว่านี้เป็นแน่
ยายไม่แก่หรอก เด็กหญิงฉอเลาะ คนในบ้านบอกว่านอกจากเรื่องกินกับกัดแล้ว ปากเธอช่างปะเหลาะที่หนึ่งทีเดียว จมูกยายยังสวยอยู่เลย ก็มีอย่างเดียวเท่านั้นนี่นะ ที่เด็กหญิงจะพอหยิบมาชมได้
จริงเหรอ คราวนี้แกเผลอยกมือขึ้นลูบจมูก
ตาก็แปลกดี สีไม่เหมือนกัน ดำข้าง น้ำตาลข้าง เธอก็ไม่ได้โกหกนี่นะ บอกแปลก ไม่ได้ชมว่าสวยเสียหน่อย แต่ไปโดนใจแม่มดพอดี
อ้ะ..นี่เห็นด้วยรึนี่ แกทำเหมือนไม่สลักสำคัญ แต่หน้าตาดี๊ด๊าเสียจนเด็กห้าขวบก็คงดูออกว่าแกภูมิใจกับมันขนาดไหน อย่าว่าแต่แม่หนูนี่หกขวบแล้วเลย..
อีกอย่างยายก็ใจดีด้วย นั่งเล่านิทานให้หนูฟังตั้งนานแน่ะ ..เจอหมัดชุดหนึ่ง สอง สาม เข้าไป ยายแม่มดก็อ่อนระทวย
นี่เราดีขนาดนั้นเลยรึ แกพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง ตั้งแต่แกเกิดมา อยู่ร่วมปะปนกับหมู่มนุษย์ แกมีแต่ถูกรังเกียจอยู่ตลอดเวลา เพิ่งมีคราวนี้แหละที่มีคนชมว่าแกสวย เพิ่งมีวันนี้ที่มีคนชมว่าแกใจดี ทุกครั้งที่แกพบเด็กๆ ทุกคนจะมองแกด้วยสายตาที่หวาดกลัว.. บางที ที่แกนั่งเล่าเรื่องราวให้เด็กหญิงฟังอยู่เป็นนานสองนาน ก็เพราะแววตาอยากรู้ที่ใสแป๋วคู่นั้น แกไม่เคยถูกมองด้วยแววตาอย่างนี้มาก่อน
ในนิทานที่คุณครูเล่าให้ฟังนะ มีแต่พวกแม่มดใจร้ายทั้งนั้น หนูเลยนึกว่าแม่มดจะใจร้ายทุกคนเสียอีก อันนี้แม่หนูน้อยแกพูดจากใจจริง
พวกในนิทานน่ะมันพวกแม่มดบกน่ะสิ แน่ะ..ได้ทีแขวะแม่มดคู่อริเสียหน่อย
พวกแม่มดบกน่ะน่ารังเกียจจะตาย พวกนี้กินอะไรรู้ไหม  พวกนี้กินงูเป็นอาหาร งูน่ะเคยเห็นไหม แกทำหน้าทำตาขยับนิ้วไปๆมาๆประกอบเต็มที่ ได้ผล แม่หนูนี่ท่าทางแสยงๆแม่มดบกอยู่ เอ..หรือว่าจะแสยงแกก็ไม่รู้นะ..
อื๋อ..
เรามีเพลงร้องถึงพวกแม่มดบกด้วยนะ แกขยับกระโปรง หยิบไม้กวาดคู่ใจมาประกอบท่าเต้น และแกก็เริ่มโก่งคอร้องประกอบการเต้น นี่คงเพราะลูกยอชุดใหญ่เมื่อครู่นั่นแหละที่ทำให้แกกล้าทำถึงขนาดนี้
แม่มดบิน แม่มดบก แม่มดบินกินนก แม่มดบกกินงู เนื้อมีอยู่แค่นี้แหละวนไปวนมา แต่ท่าทางแกเหมือนจะมันมาก ร้องไปเต้นไป ยิ่งหลายรอบเข้ายิ่งมัน มีควงไม้กวาดโชว์ต่างหาก เล่นเอาแม่หนูอ้าปากค้างไป..
ยายเต้นเก่งจัง อ๊ะ..โชว์ใหญ่สิทีนี้ มีท่าอะไรเด็ดๆงัดมาโชว์หมด จนดูท่าว่าจะลืมสังขาร..
กร๊อบ นั่น..กระดูกเอวเคลื่อนแล้วมั้ยล่ะ 
เล่นอะไรน่ะลูก เสียงดังเชียว เสียงแม่เด็กหญิงตะโกนมาจากข้างในบ้าน นี่แกเผลอส่งเสียงดังเกินไปแล้ว ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากบอกแม่หนูว่าอย่าบอก แต่ช้าไปแฮะ..
เล่นกะแม่มดค่าาา เธอตะโกนตอบด้วยเสียงร่าเริงเต็มที่ แต่แม่มดใจหายวาบ กุมเอววิ่งแย็กๆพรวดเข้าไปในพุ่มดอกเข็มอีกรอบ ยัยเด็กปากสว่างเอ้ย..
มาเข้าบ้านได้แล้วลูก  นี่ดีนะที่แม่เธอไม่เชื่อเรื่องแม่มด
ยาย หนูต้องเข้าบ้านแล้วนะ อ๊ะ..เดี๋ยวสิ ยังไม่ได้กินเลย แกเหลือบตาดูนาฬิการุ่นโบราณที่แขวนอยู่ปลายไม้กวาดแก เอ๋..นี่มันครึ่งชั่วโมงพอดีนี่นา..หวาน
ฉันก็ต้องไปแล้วเหมือนกันแหละ แกพูดหน้าตามีลับลมคมนัย มายืนส่งฉันตรงกลางลานหน่อยสิ จะได้เห็นเวลาฉันเหาะขึ้นไปด้วย จริงๆกะว่าจะได้โฉบถนัดๆหน่อย
     เด็กหญิงออกมายืนตาแป๋วหน้าลาน แม่มดออกมาจากพุ่มดอกเข็ม ขยับกระดูกให้เข้าที่เข้าทาง ขึ้นคล่อมไม้กวาด เตรียมสร้างวีรกรรมให้เหล่าแม่มดเล่าขาน..
ยาย.. อะไรอีกล่ะ
ยายจะกลับลงมาอีกไหม
ก็จนกว่าจะมีคนเรียกอีกน่ะแหละ
งั้นหนูจะเรียกทุกวันเลย
เสียใจนะ คนนึงเรียกแม่มดได้แค่ครั้งเดียวแค่นั้น เธอคงไม่ได้เจอฉันอีกแล้วหละ เพราะเธอจะไปอยู่ในท้องฉันไง
เด็กหญิงหน้าสลด แม่มดเตรียมบิน ขยับตีนนกยึกๆ
ยาย เอ้าเรียกเข้าไป..
หนูจะบอกคุณครู บอกเพื่อนๆ บอกทุกๆคนเลยว่าแม่มดบินน่ะใจดีจะตาย เสียงเครือๆ..
หนูจะบอกว่าทุกคนเข้าใจผิดทั้งนั้นแหละ ถ้าหนูโตขึ้นนะ หนูก็จะเล่าเรื่องยายให้เด็กๆฟัง บอกว่าจริงๆพวกแม่มดน่ะใจดีแค่ไหน
.
เข้าบ้านได้แล้วลูก เสียงแม่ตะโกนซ้ำมาอีกรอบ
ฉันจะบินละนะ แกบอกไม่มองหน้าเด็กหญิง
ยาย แน่ะมีอีก ระวังกระโปรงเปิดนะ
     แกค้อนให้หนึ่งที วิ่งสามสี่ก้าวกระโดดพรวดลอยขึ้นฟ้า ลอยพ้นกำแพง ก่อนโฉบวาบมาอีกหน เข้ามาหาเด็กหญิงที่ยืนตาโตมองอยู่..
วูบบบ ลมเฉียดผ่านข้างๆตัวเธอ เธอเห็นมือที่มีเล็บยาวงุ้มของแม่มดโฉบมาข้างๆ อะไรบางอย่างโอบพันรอบคอจนเธอรู้สึกหน่วง.. 
เก็บไว้นะ เสียงแว่วๆ มาลอยๆ ขณะร่างนั้นจะลอยวาบสูงขึ้นไป ไกลออกไป
เอาไว้เผื่อคนอื่นเขาไม่เชื่อเธอ
     เด็กหญิงคลำที่คอมันเป็นนาฬิกาเก่าๆ มีภาษาแปลกๆอยู่บนหน้าปัด มันไม่สวยหรอกแต่มันเป็นของที่ระลึกจากคุณยายใจดีนี่นะ เธอกุมมันไว้แน่น



     แม่มดลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมแกถึงได้เปลี่ยนใจเอาง่ายๆ แถมยังยกสมบัติชิ้นรักของแกไปให้อีกแน่ะ.. นี่ถ้าแม่มดคนอื่นรู้คงหัวเราะกันฟันหัก
ช่างเถอะ แกพูดกับตัวเอง หัวเราะได้ก็หัวเราะไป 
อย่างน้อยฉันก็บอกได้ว่า นี่ถ้าวันหลังเธอลงไปบนดินแล้วได้ยินคนพูดถึงแม่มดที่แสนใจดีละก็ นั่นฉันเองแหละ
ยิ่งคิดแกก็ยิ่งครึ้ม โก่งคอร้องเพลงแม่มดบินแม่มดบกของแกลั่นฟ้า ดูท่าทางวันนี้แกมีความสุขจริงๆแฮะ
.


อ้อ..เกือบลืมไป ว่ายังมีต่ออีกนิด

      บางทีอาจเป็นเพราะทุกคนบอกเธอว่า ทั้งหมดเกี่ยวกับแม่มดที่เธอเห็นนั้นเป็นเพียงแค่จินตนาการ บางทีอาจเพราะเธอเผลอทำนาฬิกาที่มีสายสร้อยเรือนนั้นหายไปเสียแล้ว หรือบางทีอาจเพราะเรื่องราวสนุกสนานอื่นๆที่ผ่านเข้ามา ไม่ว่าเพราะอะไรก็ตาม เด็กหญิงตัวน้อยลืมเลือนเรื่องแม่มดที่เธอพบไปจนหมดสิ้น..
      แต่ทุกครั้งที่เธอได้ยินได้ฟังเรื่องราวเกี่ยวกับแม่มด เธอจะรู้สึกดีและอบอุ่นอย่างประหลาด สำหรับเธอแม่มดไม่เคยใจร้ายเหมือนอย่างที่ใครๆคิด เมื่อเธอเติบโตขึ้น ด้วยความที่มีนิสัยช่างฝัน รักการขีดๆเขียนๆ เธอก็มักจะเขียนเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ใครต่อใครได้อ่านกันอยู่เสมอ  และแน่นอนว่าในนามปากกาของเธอก็ต้องมีอะไรที่เกี่ยวกับแม่มดอยู่เช่นกัน  แต่อย่าพยายามเดาเลยนะว่านามปากกาของเธอคืออะไร
                  ..เพราะมันเป็นเรื่องที่เดายากจะตาย..:)    ..ใช่ไหม?     


				
9 มิถุนายน 2546 09:05 น.

ห้าสหายผจญภัย..ตอนที่1

หมอกจาง

เอาล่ะวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องราวการผจญภัยของห้าสหายกัน แต่ก่อนอื่นคงต้องเริ่มแนะนำตัวก่อนละมั้ง ว่าทั้งห้าสหายนี่มีใครกันบ้าง..
  เราจะมาเริ่มกันที่จิมมี่ จิมมี่ดูเหมือนเด็กชายอายุห้าหกขวบ แก้มแดงใส ผมหยิกสีทอง ไม่เคยมีใครรู้อายุจริงของจิมมี่ บางคนบอกจิมมี่อายุ 20  บางคนบอก 50 บางคนก็บอกเกิน 100 ปีแล้วหละ แต่บางคนก็บอกว่าเขาก็อายุห้าหกขวบเหมือนที่เห็นนั่นแหละ..ซี่งเราคงไม่อาจรู้ได้แน่ว่าอายุจริงจิมมี่เป็นเท่าไหร่ ดังนั้นเราควรมองข้ามมันไปเสีย นอกจากเรื่องอายุแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนถกเถียงกันเกี่ยวกับจิมมี่คือสมองของเขา บางคนบอกว่าเขาฉลาดและลึกซึ้งอย่างมาก แต่บางคนบอกว่าเขาโง่บรม ..อันนี้เราน่าจะค่อยๆดูกันไป
  สหายที่สองที่ควรพูดถึงคือยายแก่เล่นกีตาร์ที่ชื่อว่า บรอห์ม แกแก่มาก หน้าเหี่ยวๆเหมือนส้มตากแห้ง แกถือกีตาร์เก่าๆตัวหนึ่งที่มีสายกีตาร์อยู่เพียงแค่สามสาย ทุกครั้งที่มีคนถามว่าทำไมกีตาร์แกถึงมีแค่สามสาย แกจะอธิบายอย่างภาคภูมิใจว่าแกเริ่มต้นที่หกสายเหมือนคนอื่นนั่นแหละ จากนั้นแกก็ค่อยลดมาเหลือห้าสาย สี่สาย และสามสาย แกบอกว่าสักวันแกจะเล่นกีตาร์ที่ไม่มีสายให้ได้ แต่แกก็ไม่กล้าหวังอะไรมากนัก เพราะจากสี่สายลดลงมาเป็นสามสาย แกบอกว่าแกใช้เวลาร่วมครึ่งชีวิตทีเดียว ซึ่งถ้าใครได้เห็นหน้าแกก็จะเข้าใจได้ว่ามันนานขนาดไหน..อ้อ..ที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งของแกคือการร้องเพลง แกสามารถทำเสียงได้ทุกแบบที่มีบนโลกเมื่อแกร้องเพลง ทั้งเสียงคนแก่ เด็ก ผู้หญิง ผู้ชาย บางครั้งแกก็ทำเหมือนคนสัก 20 คนมาร้องประสานกันทีเดียว ..
  รายที่สามนี่เป็นขวาน มันไม่มีชื่อหรอก เราเรียกว่าเจ้าขวานแล้วกัน เจ้าขวานจะเหน็บอยู่ที่เอวของจิมมี่ตลอดเวลา ช่างพูดที่หนึ่งทีเดียว จิมมี่บอกว่าเจ้าขวานมันสามารถตัดได้ทุกอย่างในโลกถ้ามันอยากตัด ซึ่งเจ้าขวานก็ไม่เคยพิสูจน์ตัวเองให้สมคำของจิมมี่เสียที แต่เราก็ควรเชื่อไว้ก่อน เพราะจิมมี่ไม่ใช่คนชอบโกหกนี่นะ..
  ถัดมานี่เป็นม้า  เจ้าม้านี่ตรงข้ามกับเจ้าขวานในเรื่องการพูด บทมันนึกจะเงียบมันสามารถเงียบได้เป็นเดือนๆโดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่มันจะเริ่มพูดอีกครั้ง แต่บทมันจะพูดขึ้นมาก็ไม่มีใครมีปัญญาไปห้ามมันไม่ให้พูดเหมือนกัน มันเป็นม้าที่สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพแวดล้อม จนเจ้าขวานถากถางว่าสมควรไปเกิดเป็นกิ้งก่ามากกว่า นั่นเป็นชนวนให้ทั้งคู่เถียงกันถึงแปดวันแปดคืน บราห์มถึงกับแต่งเพลงที่เล่าขานถึงการเถียงกันครั้งนี้ทีเดียว.. อ้อ เกือบลืม เจ้าม้านี่มีชื่อนะ มันชื่อ วาร์
  รายสุดท้ายนี่เป็นแมว แมวสีน้ำตาลอ่อนมีหูและหางสีดำ ชื่อว่านานี นานีเป็นแมวพันธ์พิเศษ มีพลังจิตอยู่ในตัว แต่มันไม่เคยควบคุมพลังจิตของมันได้ บทจะมีก็มี บทจะไม่มีก็ไม่มี เลยไม่ค่อยมีใครหวังอะไรกับพลังจิตของมันนัก
  ส่วนเรื่องราวที่ว่าทั้งห้าสหายมาพบมาเจอกันได้อย่างไรนั้น มันเป็นเรื่องที่ยืดยาวมาก เราจะไม่พูดถึงมันในตอนนี้ บางทีวันข้างหน้าถ้ามีเวลา.. ถ้ามีเวลานะ เราค่อยย้อนกลับมาพูดถึงมันกันอีกที..
  ตอนนี้ทั้งห้าสหายกำลังล้อมวงคุยกันที่กองไฟหน้ากระโจมหลังหนึ่ง เป็นเวลาหลังจากอาหารค่ำเรียบร้อยแล้ว เราควรย่องเข้าไปฟังกันดีกว่าว่าเขาคุยอะไรกัน.. ชู่ว์..ตามมา..แล้วอย่าทำเสียงดังไปล่ะ 
ฉันเริ่มเบื่อกับการเดินทางไปๆมาๆแบบไร้จุดหมายของพวกเราแล้วหละ นั่นเป็นเสียงเด็กๆของจิมมี่ เราขึ้นเหนือ แล้ววกลงมาใต้ ไปทางตะวันออกสามเดือน เดินทางมาทางตะวันตกอีกสามเดือน สุดท้ายเราก็มาอยู่ที่เดิมที่เราเริ่มต้น เราน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างกันบ้างนะ
เปลี่ยนอะไรล่ะ เดินทางไปเดินทางมาสนุกดีออก เสียงทุ้มๆของเจ้าขวานดังขึ้นมา มันช่างพูด แต่มันพูดช้า บ่อยครั้งที่คนอื่นเขาเถียงกันไปถึงไหนต่อไหน มันยังพูดประโยคยาวๆของมันไม่จบเลย
เราควรมีจุดหมายในการเดินทาง จิมมี่ว่า
เช่น.. วาร์เจ้าม้าหลากสี ซึ่งตอนนี้มีสีน้ำตาลตุ่นๆเหมือนสีกระโจมที่มันพิงอยู่เอ่ยขึ้นมาคำเดียวแล้วก็เงียบไป
เช่นหาสมบัติโบราณที่ซ่อนอยู่ ช่วยเจ้าหญิงสักองค์จากปิศาจร้าย หรือไม่ก็ออกตามหาดาบที่หายสาบสูญ อะไรประเภทนี้น่ะ จิมมี่ขยายความ
ฉันได้ยินมาว่ามีสมบัติอยู่ที่เกาะสีมุกที่ทะเลเหนือนะ นานีเอ่ยขึ้น
นั่นถูกโจรสลัดแจ็คขุดไปได้ตั้งนานแล้วหละ เจ้าขวานว่า
งั้นก็ไปช่วยเจ้าหญิงเอลลี่ที่ถูกยักษ์จับไปกันดีกว่า เรื่องนี้ดังมากเลยเมื่อห้าปีก่อน นานีเสนอใหม่
ตอนนี้เขารักกันไปแล้วหละ ได้ข่าวว่าเจ้าหญิงมีลูกกับยักษ์สองคนแล้ว คราวนี้ขัดโดยเจ้าวาร์ ม้าที่มีสีตุ่นๆในตอนนี้ นานีที่โดนขัดคอถึงสองทีก็เลยงอนกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังคากระโจม พยายามเพ่งพลังจิตให้ดาวตกลงมาสักดวง ซึ่งก็เหลวเหมือนทุกที..
งั้นเราควรออกตามหาอะไรดีล่ะ จิมมี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลัดกลุ้ม ทุกคนเงียบกันไป แล้วเสียงของบรอห์มที่เพิ่งเสร็จจากการตั้งสายกีตาร์ก็เอ่ยขึ้นมา
ฉันว่าเราควรเริ่มการค้นหาจากสิ่งที่เราอยากหานะ ทุกคนมองหน้ากัน ไม่เข้าใจ
หมายความว่าไงบรอห์ม จิมมี่ถามขึ้นมาพร้อมกับเจ้าขวาน แต่ตอนจิมมี่จบคำว่า..บรอห์ม เจ้าขวานยังเพิ่งขึ้นต้นคำว่า ..ว่า..อยู่เลย
ก็ลองคิดดูสิว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากค้นหามากที่สุด แล้วเราก็ออกเดินทางเพื่อค้นหาสิ่งนั้น ถึงแม้มันจะเป็นสิ่งที่ไม่มีค่าอะไรสำหรับคนอื่น แต่ถ้าเราอยากที่จะค้นมันจริงๆ มันก็มีค่าที่จะออกตามหาใช่ไหมล่ะ
เข้าที.. วาร์พูดแล้วก็เงียบไปอีก ทุกคนดูเหมือนกำลังครุ่นคิดและครุ่นคิด
สำหรับฉันแล้ว บรอห์มเอ่ยขึ้น ถ้าจะออกเดินทางเพื่อค้นหาอะไรสักอย่างหนึ่งละกัน ฉันอยากจะออกเดินทางหาเสียงของกีตาร์ที่ไม่มีสาย นั่นเป็นความใฝ่ฝันของบรอห์ม
แล้วเราจะหามันได้จากไหนล่ะ เจ้าขวานงง มันเป็นตำราอยู่ในปราสาท หรือสลักลงหินซ่อนไว้ใต้ทะเลแล้วมีมังกรเฝ้าอย่างนี้หรือเปล่า
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน บรอห์มว่า นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องออกเดินทางเพื่อให้รู้
ถ้าอย่างนั้นนะ คราวนี้เป็นเจ้าวาร์ที่เอ่ยปาก ฉันก็อยากออกเดินทางตามหาสีของตัวเอง ทุกคนมองหน้าเจ้าวาร์ เจ้าขวานเช่นเดิมที่หยุดปากไว้ไม่ได้
นายก็มีทุกสีที่มีอยู่ในโลกแล้วนี่นา มันท้วง นายใกล้ต้นไม้นายก็เป็นสีเขียว นายใกล้ก้อนหินก็เป็นสีน้ำตาล ถ้านายนอนอยู่ในดงดอกไม้ นายก็มีสีเหลืองสีแดงสีชมพูเต็มไปหมด
นั่นไม่ใช่สีของฉันนี่ 
ฉันสามารถเป็นได้ทุกสี แต่ทุกสีก็เป็นสีของสิ่งอื่นทั้งสิ้น ไม่เคยมีสักสีที่เป็นสีของฉันเอง ฉันอยากออกตามหาสีที่แท้จริงของฉัน ที่ไม่ใช่สีจากสิ่งรอบตัว จิมมี่กับบรอห์มพยักหน้าหงึกๆ เจ้าขวานยังดูงงงง ส่วนนานีไม่สนใจใคร ยังมองดาวอยู่เหมือนเดิม
จิมมี่ล่ะ บรอห์มหันมาถามจิมมี่
อืมม.. ไม่รู้สินะ จิมมี่ยกมือเกาหัวหยิกๆสีทองของเขา ฉันแค่อยากรู้ว่าไกลที่สุดที่ไหนที่ฉันไปได้ สูงสุดแค่ไหนที่ฉันจะขึ้นไปถึง แล้วก็.. เขายังคงเกาหัวแกรกๆ ความเหนื่อยยากที่สุดที่ฉันจะอดทนได้มันแค่ไหนกัน
มันดูไม่เป็นเป้าหมายเท่าไหร่เลยใช่ไหม จิมมี่หันมาถามบรอห์ม
ฉันว่ามันก็ใช้ได้นะบรอห์มตอบ อย่างน้อยนายก็รู้ว่านายกำลังมองหาอะไร.. นั่นทำให้จิมมี่ยิ้มหน้าบาน
นายล่ะเจ้าขวาน คราวนี้วาร์หันมาถามขวานที่ข้างเอวจิมมี่
จิมมี่บอกว่าฉันตัดได้ทุกอย่างในโลก ถ้าฉันอยากตัด มันพูดช้าๆทุ้มๆ แต่พ่อฉันเคยบอกไว้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ว่าอย่างไร ฉันก็ไม่สามารถตัดได้  มันนิ่งไป นี่ถ้ามีมือมันคงกำลังเกาหัวอยู่เหมือนกัน ฉันอยากรู้ว่าอันไหนกันแน่นี่ถูก
นั่นก็นับเป็นจุดหมายนะ บรอห์มบอก
งั้นเราก็มีจุดหมายกันหมดทุกคนแล้วสิ วาร์สรุป
ยัง.. จิมมี่ท้วง  นานี..ลงมานี่ก่อน นานีกระโดดแผลวลงมาจากหลังคากระโจม
อะไรจิมมี่
จิมมี่เล่าเรื่องที่ทุกคนคุยกันให้นานีฟัง นานีนั่งฟังเงียบๆ
ดังนั้นพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางเพื่อค้นหาสมบัติจากจุดหมายของแต่ละคน เธอมีล่ะมีจุดหมายอะไร
ฉันไม่มีจุดหมายอะไรนี่ อยู่อย่างนี้ก็สบายดี มันพูดอย่างไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเบื่อๆบ้างนิดหน่อย แต่ไม่นานก็หาย
ถ้าอย่างนั้น บรอห์มพูดขึ้น พรุ่งนี้เราสี่คนจะออกเดินทางหาคำตอบของแต่ละคนร่วมกัน และคงต้องทิ้งเธอให้อยู่ที่นี่
คราวนี้นานีตกใจ มันไม่อยากแยกจากเพื่อนของมัน
ให้ฉันออกไปค้นหาด้วยสิ
เธอไม่สามารถหาคำตอบโดยไม่มีคำถามได้หรอก บรอห์มว่า
ฉันต้องมีคำถามเป็นจุดหมายในการเดินทางใช่ไหม จิมมี่พยักหน้าหงึก นานีนิ่งคิด ทุกคนเอาใจช่วย ไม่มีใครอยากแยกจากนานี นานทีเดียวที่นานีนิ่งคิดอยู่..มันคิดไม่ออก
ฉันคิดไม่ออก
เสียใจนะนานี พวกเราไม่อยากแยกจากเธอ แต่การเดินทางที่ไม่มีจุดหมายจะไม่มีวันไปถึงที่ไหนได้ ดังนั้นเราคงต้องทิ้งเธอไว้ที่นี่ จิมมี่พูดเสียงเศร้า เจ้าขวานพูดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา แต่มันช้าและทุ้มเกินไปจนไม่มีใครสนใจฟังมัน ทุกคนเข้าไปนอนในกระโจม นานีกระโดดขึ้นบนหลังคา มองดาวเหมือนเดิม แต่คราวนี้มันไม่ได้พยายามให้ดาวตกลงมาหรอก มันกำลังร้องไห้..
รุ่งเช้าทุกคนเก็บสัมภาระเตรียมออกเดินทาง ไม่มีใครเห็นนานี 
คงไปแล้วมั้ง บรอห์มว่า
น่าจะอยู่ลากันสักหน่อย เจ้าขวานบ่นเสียงเศร้าๆ จิมมี่ไม่พูดอะไร เขากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ เขากำลังหวัง..  นานีไม่ได้เข้ามานอนในกระโจมทั้งคืน บางทีนานีอาจใช้เวลาทั้งคืนคิดอะไรออก..
จะไปกันหรือยังล่ะ เสียงใสๆของนานีดังขึ้น มันนั่งอยู่บนกิ่งไม้ท่าทางพร้อมที่จะออกเดินทาง
เธอได้คำถามแล้วใช่ไหม นานี จิมมี่ร้องถามลั่น คนอื่นๆรอฟังคำตอบของนานีด้วยความหวัง
ยัง.. นั่นทำให้ทุกคนรวมทั้ง บรอห์มหน้าสลดลง
ลาก่อนนานี จิมมี่เอ่ยลา เจ้าขวานไม่พูดอะไร มันกลัวว่ามันจะร้องไห้ ส่วนวาร์ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวของดอกหญ้าก็เดินหน้าเศร้า..
ฉันจะไปกับพวกเธอ นานีเอ่ยขึ้น ฉันไปได้ เพราะตอนนี้ฉันมีสิ่งที่จะตามหาแล้ว
แต่เธอบอกเธอไม่มีคำถามนี่ จิมมี่แย้ง หากแต่ใบหน้าเขาเริ่มมีหวังอีกครั้งหนึ่ง
ใช่ ฉันไม่มีคำถาม นีนายืนยัน ดังนั้นฉันจึงต้องออกเดินทางเพื่อหาคำถามของตัวเอง
จิมมี่ยิ้มกว้าง เจ้าขวานกับวาร์ก็ยิ้ม ทุกคนหันมามองหน้าบรอห์ม
จุดหมายอันนี้พอใช้ได้ไหม บรอห์ม จิมมี่ถามบรอห์มที่กำลังอมยิ้มมองนานีอยู่
เกินพอเลยหละ 
ทุกคนเฮกันลั่น ขบวนเริ่มเคลื่อนออกไป  เสียงเพลงแห่งความสุขดังขึ้นจากกีตาร์สามสายของบรอห์ม การผจญภัยได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ทางไหนล่ะที่พวกเขาต้องย่ำไป? เหนื่อยยากหรือลำบากขนาดไหน? แล้วคำตอบที่สุดปลายทางมันคืออะไร? พวกเขาไม่กังวลกับมันหรอก..
 เพราะเหล่านี้ก็อยู่ในสิ่งที่ต้องค้นหาเช่นกัน..


..				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง