26 พฤษภาคม 2546 08:21 น.

บันทึกบนกระดาษบาง

หมอกจาง

วันนั้นเป็นวันลมแรง เธอจำได้ไหม วันที่สายลมพัดเส้นผมเธอคลอเคลียแก้ม วันที่เธอยืนรอรถเมล์อยู่ที่ป้ายรถเมล์ วันแรกที่เราพบกัน
ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะรู้ไหมนะ ว่าวันนั้นฉันต้องใช้ความกล้าขนาดไหน ในการเดินเข้าไปทักเธอ เข้าไปขอทำความรู้จัก ไปพูดคุย ไปขอเบอร์โทร.. ซึ่งเธอก็ไม่ยอมพูดอะไรกับฉันสักคำ
นับแต่วันนั้น ทุกวัน ฉันจะมารอเธอที่ป้ายรถเมล์เดิม ขึ้นรถสายเดิม พูดคุยอยู่กับเธอทุกวัน จนเธอวางใจที่จะยอมรับฉันเป็นเพื่อน จากจุดนั้น ที่เราค่อยๆพัฒนามันขึ้นมาเป็นความรัก กินข้าวด้วยกัน ไปดูหนัง ไปเดินเลือกซื้อของ ไปทะเล..
จำได้ไหม ที่เธอถามฉันในวันหนึ่ง เธอถามว่าความรักของเราจะยั่งยืนแค่ไหนกันนะ เธอถามขึ้นมาลอยๆ แต่ฉันรู้ว่าเธออยากได้คำตอบที่จริงจัง และวันนั้น ฉันไม่ได้ตอบอะไรกับเธอไปสักคำ.. ฉันเพียงแต่คิด นั่งคิด หาคำตอบที่ซื่อตรงที่สุดให้กับเธอ เพราะฉันรักเธอเกินกว่าที่จะให้เพียงคำสัญญาลมๆ หรือคำรักลอยๆ..
และสิ่งที่ฉันได้จากการครุ่นคิดก็คือ.. ฉันคงไม่อาจบอกเธอได้ว่า จะรักเธอไปชั่วนิรันดร์ เพราะฉันไม่เคยเข้าใจว่าชั่วนิรันดร์มันยาวนานขนาดไหน ไม่อาจสัญญากับเธอได้ ว่าจะรักเธอจนกว่าจะตายจาก เพราะบางที หัวใจฉันก็อาจแปรเปลี่ยนไปได้โดยวันเวลา..เหมือนที่มันเคยเป็นมาหลายต่อหลายครั้ง บอกได้แต่เพียงว่า วันนี้ฉันรักเธอมาก และเชื่อว่าคงจะรักไปอีกนาน ส่วนจะนานแค่ไหน ฉันเองก็ตอบไม่ได้ แต่คงจะนานกว่าที่เธอคิด.. เธอเลือกคิดเอาเองแล้วกันนะ ว่าจะให้มันนานขนาดไหน..
และจากวันนี้ ฉันจะเริ่มต้นเขียนบันทึกทุกวัน เขียนมันส่งให้กับเธอ เขียนทุกๆความรัก ความห่วงใย ความหวังดี และแม้กระทั่งความน้อยใจหรือเสียใจ แล้วส่งมันให้กับเธอ.. ฉันจะเขียนมันให้เธออ่านทุกวัน แต่ทุกครั้งที่เธออ่านจบ ฉันอยากให้เธอฉีกมันทิ้งไปเสีย และรอคอยที่จะอ่านบันทึกฉบับใหม่ของฉัน..
เพราะฉันอยากให้เธออ่านความรักที่ฉันมอบให้เธอในวันนี้ ไม่ใช่ความรักที่เคยมอบให้เมื่อวันวาน และฉันคงไม่อาจเขียนบันทึกของความรักในวันพรุ่งนี้ให้เธอได้ ด้วยว่ามันยังมาไม่ถึง..
และเมื่อเธออ่านบันทึกของฉันจบลงในแต่ละวัน หากเธอไม่ชอบใจ เธอสามารถขยำมันทิ้งไปได้ ฉันสัญญา ว่าจะเขียนมันขึ้นมาใหม่ให้ดีกว่าเดิมในวันพรุ่งนี้ และถึงแม้ว่าเธอจะชอบมัน ฉันก็ยังอยากให้เธอทิ้งมันไปอยู่ดี.. เพราะยังมีบันทึกที่ดีกว่าของวันนี้อีกมากมายที่ฉันจะเขียนให้เธอ และฉันเชื่อว่าเธอคงไม่มีที่เพียงพอจะเก็บมันไว้ได้ทั้งหมดแน่ๆ แม้ว่ามันจะถูกเขียนลงบนกระดาษแผ่นบางๆก็ตาม..
รัก
				
7 พฤษภาคม 2546 10:46 น.

เรื่องหลอกเด็ก.. ตอนจบ

หมอกจาง

เราตกลงใจกันว่าจะย้ายออก ยอมถูกริบมัดจำจากสัญญาที่ว่าต้องเช่า 6 เดือนขึ้นไป แต่การหาบ้านใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรายังคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์
มึงกลัวก็มานอนกับกูก็ได้ เพื่อนผมเสนอ ผมไปนอนกับมันอยู่สองสามคืนก็ไม่ไหว ห้องแคบและเตียงก็เล็กเกินที่จะนอนเบียดกันสองคน ผมกลับมานอนห้องตัวเอง แก้ปัญหาด้วยการมอมตัวเองด้วยเบียร์ทุกๆคืนก่อนนอน ซึ่งมันก็ทำให้ผมหลับเป็นตายทุกคืน..  ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ที่ทำงานฟัง  พี่ที่ทำงานแนะนำให้ไปทำบุญ
ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม อุทิศส่วนกุศลไปให้ซะ เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น
    เสาร์ถัดมาเป็นวันพระ ผมหอบอาหารถุงไปวัด ชวนเพื่อนมันมาด้วยกัน แต่มันไม่มา
ขี้เกียจตื่นว่ะ ทำเผื่อด้วยแล้วกัน มันว่า

    ที่วัด ขณะที่ผมใส่กับข้าวเสร็จสรรพ นั่งรอฟังพระสวด ก็สังเกตเห็นครอบครัวเล็กครอบครัวหนึ่ง มีผู้ชายผู้หญิงอายุราวสามสิบกว่ากับลูกชายอายุสี่ห้าขวบอีกคน หอบข้าวหอบแกงหม้อใหญ่ขึ้นมาทำบุญ ท่าทางดูเศร้าๆหมองๆ หลังจากถวายอาหารเรียบร้อย ผู้ชายไปคุยกับมัคทายกวัดอยู่ ที่เหลือลุกมาหาที่นั่งฟังพระสวด แล้วก็มานั่งข้างๆผมพอดี ผมหันไปทักผู้หญิงคนนั้น
หอบกับข้าวมาทำบุญเยอะเลยนะครับนี่ ผู้หญิงคนนั้นยิ้มเศร้า
ทำบุญให้ลูกสาวน่ะค่ะ ครบร้อยวันแก ผมใจหาย รู้สึกเศร้าไปกับเธอ
ผมเสียใจด้วยนะ ผมไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรในสถานการณ์อย่างนั้น เธอพึมพำอะไรในคอเหมือนคำขอบคุณ  หันไปหยิบรูปลูกสาวออกมาให้ผมดู ก่อนบอกให้ลูกชายเอาไปให้พ่อ คงสำหรับประกอบพิธีทำบุญ
แกอายุเท่าไหร่เหรอครับ ผมถาม ดูจากรูปยังเด็กอยู่มาก
เก้าขวบค่ะ พี่สาวเจ้าคนนี้ เธอชี้ไปยังเจ้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังเดินเลาะไปหาพ่อ
ป่วยหรือครับ 
ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ เธอน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา จริงๆแล้วต้นเหตุเพราะฉันเองนั่นแหละ 
ผมรู้สึกผิดขึ้นมาที่ไปรื้อฟื้นความเสียใจของเธอ..
ขอโทษนะครับ คุณไม่ต้องเล่าก็ได้
    เธอเช็ดน้ำตาก้มหน้าเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ลูกชายเธอกลับมานั่งข้างๆ เธอบอกลูกให้ลงไปวิ่งเล่นข้างล่างก่อน
ถ้าคุณสนใจ ฉันจะเล่าให้คุณฟัง แล้วเธอก็เริ่มต้นเล่า.. และนี่ คือเรื่องราวที่เธอเล่า

    เธอเล่าว่าครอบครัวเธอมีอยู่กันสี่คน พ่อ แม่ ลูกสาวและลูกชาย สามีเธอทำงานเป็นภารโรงในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เธอรับจ้างเย็บผ้าเล็กๆน้อยๆอยู่กับบ้าน วันหนึ่งลูกสาวเธอพาน้องชายออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จนตกเย็นปรากฏว่าลูกสาวเธอกลับบ้านมาคนเดียว..
น้องล่ะ
น้องกลับมาแล้วไง.. ลูกสาวเธอชะโงกหน้าเข้ามาในบ้าน พยายามหาน้องชาย
ยังไม่เห็นเลย ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน เอาน้องไปทิ้งไว้ไหน เธอคาดคั้น ลูกสาวเธอเริ่มทำตาแดงๆ
หนูไปเล่นตุ๊กตาที่บ้านแนน แนนเป็นเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวเธอ บ้านอยู่ในตลาด แต่น้องไม่อยากไป จะกลับบ้าน หนูเลยบอกให้กลับมาเอง
เพียะ เธอฟาดเข้าที่หลังของลูกสาว โกรธที่ปล่อยน้องซึ่งยังเล็กกลับบ้านมาคนเดียวเพราะห่วงเล่น และไม่รู้ป่านนี้ลูกชายคนเล็กเธอไปอยู่ที่ไหน
ออกไปตามน้องมาเดี๋ยวนี้เลยนะ
แต่..หนูหิว..
ไปตามมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เจอไม่ต้องกลับมาบ้าน เธอคาดโทษ จริงๆเธอไม่ค่อยห่วงลูกชายคนเล็กเท่าไหร่นัก แถวบ้านเธอมีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น เพียงแต่โกรธลูกสาวที่ไม่ยอมดูแลน้อง..
เธอบอกว่าเธอยังจำภาพนั้นได้ติดตา ภาพที่ลูกสาวเดินเช็ดน้ำตาป้อยๆออกไปหาน้องชาย แวบหนึ่งเธอคิดจะเรียกลูกกลับมากินข้าว เดี๋ยวน้องคงกลับมาเอง แต่อีกใจหนึ่งก็นึกอยากสั่งสอนลูก
จะได้เข็ด  เธอนึก
..และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็นลูกสาวเธอยามมีชีวิต..
    ครึ่งชั่วโมงถัดมาลูกชายเธอก็กลับมาถึงบ้าน ซักถามได้ความว่าไปวิ่งเล่นอยู่กับพวกเด็กที่วัด เล่นจนเพลิน จนพระต้องไล่ให้กลับบ้าน อีกพักใหญ่สามีเธอกลับจากทำงาน เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเริ่มห่วงลูกสาว แต่สามีเธอเพียงบอกว่า
ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามันตามหาน้องมันไม่เจอเดี๋ยวมันก็กลับมา
    แต่ไม่เป็นอย่างนั้น จนสองทุ่มลูกสาวเธอก็ยังไม่กลับบ้าน  สามีเธอออกตามหา เธอรออยู่บ้านเผื่อลูกสาวจะกลับมาบ้านได้เอง แล้วถ้าไม่เจอใครที่บ้านลูกสาวอาจเดินเตลิดไปไหนอีก เธอบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ที่เธอรู้จัก.. แต่มันคงช้าไป
เกือบเที่ยงคืน สามีเธอกลับมาพร้อมข่าวร้าย เพื่อนบ้านที่ช่วยกันออกตามหาพบศพลูกสาวเธอที่หลังตึกร้างแห่งหนึ่งที่วัยรุ่นมักไปมั่วสุมกันดมกาว ไกลออกไปจากบ้านเธอมาก ตำรวจชันสูตรพบร่องรอยการถูกข่มขืนและบีบคอจนขาดใจ เธอร้องไห้จนเป็นลมอยู่หลายรอบ แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากเย็นวันนั้น เย็นที่ลูกสาวเธอเดินออกไป ถ้าเพียงแค่เธออ้าปากเรียก  เพียงแค่นั้น

ผมเสียใจด้วย ผมพูดพลางส่งทิชชู่ให้เธอซับน้ำตาที่ซึมลงมาบางๆ เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ดวงตาเธอมันฟ้อง ว่าเธอปวดร้าวกับมันขนาดไหน สามีกับลูกชายเธอมานั่งข้างๆ ผมแสดงความเสียใจกับสามีเธอ เรานั่งฟังพระสวดด้วยกันจนจบ ผมกลับบ้านด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง

บ่ายวันนั้นผมตั้งใจจะนอนเล่นอยู่บ้าน แต่เสียงโครมครามจากทางหลังบ้านรบกวนจนผมหงุดหงิด
เขาทุบตึกทิ้งน่ะ เพื่อนผมบอก
ตึกอะไรวะ
ตึกร้าง หลังบ้านเราไปสัก 100 เมตรนี่เอง เมื่อก่อนเคยเป็นออฟฟิต เห็นว่าบริษัทเจ๊งเลยขายทอดตลาด เจ้าของใหม่เขาเลยจะทุบสร้างใหม่
ทุบทำไม น่าจะซ่อม ทาสีใหม่แล้วใช้ต่อ ประหยัดกว่าตั้งเยอะ
เฮ้ย ตึกโทรมมากแล้ว หญ้าขึ้นรกเรื้อไปหมด พวกวัยรุ่นมันชอบแอบไปมั่วพี้ยากัน
แวบหนึ่งผมคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาที่วัด
คงไม่ใช่หรอก ผมปัดความคิดนั้นไปจากตัว บ้านผมไกลจากบ้านเธอออกมามาก

    ดึกคืนนั้น ผมนอนไม่หลับ ลืมตาโพลงอยู่ในความมืด เบียร์ 2 กระป๋องที่กินเข้าไปไม่ช่วยอะไรได้ นึกถึงเรื่องเมื่อที่ได้ยินมาเช้า นึกถึงเรื่องตึกร้าง..  รู้สึกถึงอากาศในห้องที่เย็นกว่าปกติ เลยนึกได้ว่าเมื่อหัวค่ำผมเปิดหน้าต่างให้ลมเข้า แล้วออกไปนั่งกินเบียร์ที่ห้องโถงกับเพื่อน กลับเข้ามาปิดไฟนอนโดยที่ลืมปิดหน้าต่าง
ผมขยับตัวจะลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แต่กลับลุกไม่ขึ้น ตัวหนักและชาไปหมด ขนทั้งตัวลุกขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ จนรู้สึกได้ถึงผมที่ตั้งชัน ปากคอหน้าตาคล้ายเห่อพองใหญ่ขึ้น เหมือนๆครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ผมแน่ใจว่าผมรู้สึกตัว
    ความมืดบางอย่างที่เข้มข้นและหนักอึ้งค่อยๆไหลเข้ามาทางหน้าต่าง มันมืด เย็นและหยุ่นกว่าความมืดปกติ มันไหลเข้ามาโอบล้อมรอบตัวผม และในความมืดนั้นเอง ผมเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุราว 9-10 ขวบ สวมเสื้อผ้ามอมแมมยับยู่ ยืนมองผมอยู่ที่ข้างเตียง หน้าเขียวจางๆของเธอเปรอะด้วยดินและเลือด ตากลมเจือแววเศร้าของเธอเบิกโพลงผิดปกติ
พี่.. เสียงนั้นเย็น เศร้าและเครือ พี่คะ.. พี่เห็นน้องหนูบ้างไหมคะ

...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอออกตามหาน้องเธอไกลขนาดไหน..

..






.				
5 พฤษภาคม 2546 11:18 น.

เรื่องหลอกเด็ก.. (ตอนที่ 1)

หมอกจาง

ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นาน หลังจากใช้ชีวิตสามปีที่ผ่านมาพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์รูหนู ผมกับเพื่อนตัดสินใจชวนกันมาเช่าบ้านอยู่โดยแชร์ค่าเช่าบ้านกันคนละครึ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว มีสองห้องนอน มีสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้าน ตัวบ้านอยู่ติดกับถนน กั้นด้วยรั้วเล็กๆสีขาว หน้าต่างห้องนอนห้องผมเป็นกระจกใสบานใหญ่หันเข้าหาถนน ทำให้ผมสามารถมองเห็นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นด้านนอก ขณะที่คนข้างนอกก็มองเห็นผมเช่นกัน นึกจะหาม่านหรือบังตามาติด เพราะมันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็ยังไม่ได้หามาติดเสียที
   คืนแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ ผมหลับสนิทเป็นตาย คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการขนข้าวของจากที่เก่ามาที่ใหม่ วันที่สองที่สามเราวุ่นกับการจัดข้าวของ แล้วก็ชวนเพื่อนๆมาเฮฮาฉลองบ้านใหม่กัน ก็หลับกันไปคาวงเหล้าทั้งสองคืน..  จวบคืนที่สี่ผมจึงเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
   คืนนั้นผมนั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้อง พิมพ์อะไรก๊อกๆแก๊กๆอยู่ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองผมจากทางด้านนอก ผ่านหน้าต่างกระจก.. ผมหันไปมอง ด้วยความที่ด้านในห้องสว่างและถนนด้านนอกค่อนข้างมืด ทำให้ลำบากทีเดียวที่จะมองอะไรให้ชัด และเมื่อผมมองออกไปสิ่งเดียวที่ผมเห็นคือเงาสะท้อนของตัวเอง.. ผมเปิดหน้าต่างกระจกออกดูเพื่อความแน่ใจ ไม่มีใครอยู่ข้างนอก ผมกลับมานั่งทำงานต่อ แต่ความรู้สึกนั้นมันก็ยังรบกวนผมอยู่ จนไม่มีสมาธิที่จะทำงาน เหมือนมีใครมองผมอยู่ทางด้านนอก ยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองนิ่งเข้ามาที่ผม นิ่งอยู่อย่างนั้น...
โว้ย.. ผมผลุนผลันเปิดประตูห้องออกไป จ้ำผ่านห้องโถงที่เพื่อนผมมันนั่งดูทีวีอยู่ เปิดประตูหน้าบ้านออกไป.. ไม่มีใครสักคนแถวนั้น ถนนเงียบเชียบไม่มีรถราวิ่งผ่าน ผมรู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่มีใคร มันคงเป็นแค่ความรู้สึกของผมเอง..
เป็นอะไรไปวะ มีอะไร? เพื่อนผมที่เดินตามออกมาถามด้วยท่าทางงงๆ
ไม่มีอะไร เบื่อๆนิดหน่อยว่ะ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟัง เพราะมันดูไม่สลักสำคัญอะไรนัก
อย่าเครียดนักมึง พักๆมั่งก็ได้ เพื่อนเตือนด้วยสายตาที่เป็นห่วง ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งดูทีวีต่อ ผมตัดสินใจหยุดทำงาน เข้าไปนั่งดูทีวีกับเพื่อน จนดึกค่อยกลับเข้าไปนอน ความรู้สึกนั้นหายไป ความรู้สึกที่ว่ามีใครยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ผมหลับสนิทไปจนเช้า..
   คืนต่อๆมา เมื่อผมนั่งลงที่โต๊ะ และเริ่มต้นทำงาน หลังจากที่ผมทำงานไปได้สักพักผมก็จะรู้สึกแบบเดิม รู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องผมอยู่ทางนอกหน้าต่าง นิ่งอยู่อย่างนั้น.. จ้องอยู่อย่างนั้น.. ทุกคืน ทุกคืน จนผมไม่สามารถทำงานได้ วันนึงที่ผมลุกออกจากห้องไปนั่งดูทีวีกับเพื่อน เพื่อนมันก็เอ่ยปากถาม
มีอะไรรึเปล่าวะ ช่วงนี้มึงดูแปลกๆ ผมคงแปลกไปจนมันสังเกตได้ เพราะทุกครั้งที่ผมหงุดหงิดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ผมจะงุ่นง่านเดินเข้าเดินออกห้อง บางทีก็ออกไปเดินวนรอบบ้าน เพื่อนมันก็ไม่ถามอะไร จนวันนี้มันคงทนแปลกใจไม่ได้เลยเอ่ยปากถาม ผมมองหน้าเพื่อน ชั่งใจ..
ไม่รู้มึงจะว่ากูบ้าไหม..
เออ..มึงเล่ามาก่อนเหอะ ผมเลยเล่าเรื่องที่ผมรู้สึกให้มันฟัง มันนั่งฟังเงียบๆ ไม่ขัดจังหวะ พอผมเล่าจบมันก็ถาม
ถ้ามีใครมองมึงอยู่นอกกระจก แค่มึงหันไปมึงก็ต้องเห็นไม่ใช่เหรอ
ใช่.. แต่มึงอย่าลืมว่าถ้าข้างนอกมันมืด แล้วข้างในมันสว่างน่ะ มันจะมองไม่ค่อยเห็นหรอก แล้วพอเวลาที่มึงรู้สึกว่ามีคนมองมึงอยู่ แต่มึงก็ไม่แน่ใจว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าน่ะ มัน.. ผมยกมือขึ้นแบสองข้าง แล้วทิ้งลงข้างตัว..
เอางี้.. เพื่อนมันพูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ถ้ามึงรู้สึกว่ามีใครมองมึงอีก มึงเรียกกูแล้วกัน
..
   หลังจากคืนนั้น ผมไม่รู้สึกถึงการมีใครจ้องมองอยู่ร่วมอาทิตย์ บางทีผมอาจเพียงคิดมากไปเอง.. แต่ไม่ใช่ ในคืนวันศุกร์ ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง
เฮ้ย เต้ เข้ามาในนี้หน่อยว่ะ ผมตะโกนเรียกเพื่อน
มีอะไรวะ
กูรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว ผมลดระดับเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ กูรู้สึกว่ามีใครมองกูอยู่นอกหน้าต่างนั่นน่ะ
เพื่อนผมผลุนผลันออกไปเปิดประตูบ้าน
ไม่มีใครเลยว่ะ มันตะโกนเข้ามา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว ทุกทีมันก็ไม่เคยมีใคร.. สักพักเพื่อนก็เดินกลับเข้ามาในห้อง
มึงยังรู้สึกว่ามีใครจ้องมึงอยู่หรือเปล่า.. มันถาม
ยังรู้สึกอยู่ว่ะ เพื่อนผมนั่งนิ่งไปพักนึง หลับตาพยายามที่จะสัมผัสความรู้สึกนั้น..
กูไม่เห็นรู้สึกอะไร มึงคิดไปเองหรือเปล่า
กูก็ไม่รู้ ก็แค่รู้สึก แล้วมันก็รบกวนกูจนไม่เป็นทำอะไรนี่แหละ ผมหงุดหงิด
เฮ้ย..ใจเย็น มันตบบ่าผมเบาๆ ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปคิดอะไรมาก แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปเอง มึงเชื่อกู มันกลับไปห้องมัน ผมปิดไฟนอน พยายามไม่คิดอะไรมากอย่างที่มันบอก ข่มตาหลับลงไป..
   กลางดึกคืนนั้นเอง ที่ผมไม่สามารถทำใจเชื่อได้อีกต่อไปว่ามันไม่มีอะไร..  ผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก หลังจากกลับจากห้องน้ำ ผมรู้สึกได้ถึงการมีคนจ้องมองอยู่อีกครั้ง ในห้องค่อนข้างมืด มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหัวเตียง ทำให้ผมสามารถมองออกไปข้างนอกได้ชัดขึ้น นอกหน้าต่างว่างเปล่า บนถนนที่ที่ดูเหลืองซีดด้วยแสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ว่างเปล่า แต่ขณะที่ผมทอดสายตาสอดส่ายออกไปข้างนอก ที่กระจกหน้าต่างห้องผมก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
   เคยสังเกตไหม ในวันที่อากาศเย็นๆ ถ้าเราเอามืออุ่นๆของเราไปทาบที่กระจก แล้วยกออก เราจะเห็นรอยมือของเราปรากฏเป็นฝ้าอยู่บนกระจกครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆเลือนหาย.. และนั่นคือสิ่งที่ผมเห็นในคืนนั้น ขณะที่ด้านนอกเงียบงันและว่างเปล่า กระจกหน้าต่างห้องผมเริ่มขุ่นมัวด้วยฝ้าอะไรบางอย่าง และเมื่อผมเพ่งมอง มันก็ทำให้ผมเย็นวาบไปทั้งตัว..  มันเป็นรอยมือเล็กๆคู่หนึ่ง เหมือนมีใครอยู่ตรงนั้น ทาบสองมือลงบนกระจก รอยมือทั้งสองห่างกันสักครึ่งเมตร  และขณะที่ผมยืนนิ่งอ้าปากค้าง ตรงกึ่งกลางระหว่างรอยมือทั้งสอง ก็ค่อยๆมีฝ้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น คล้ายใบหน้า มีตา ปาก และจมูก ใครบางคนแนบหน้าลงบนกระจก.ใครบางคนกำลังมองเข้ามาข้างใน..
เฮ้ย!!! ผมแผดเสียงออกมาลั่นบ้าน ผลุนผลันออกจากห้อง เคาะประตูห้องเพื่อนถี่ยิบ
เฮ้ย!! เปิดหน่อยๆ
เป็นอะไรวะ ร้องซะลั่นเลย มีอะไร..
กูนอนด้วย ผมไม่พูดพล่ามทำเพลงโดดขึ้นเตียงคลุมโปงจนถึงเช้า.
.
   เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ผมไม่ต้องไปทำงาน เพื่อนถามถึงเรื่องเมื่อคืน ผมเล่าให้มันฟังทั้งหมดที่ผมเห็น..
มึงเชื่อกูมั้ย..
เชื่อ มันว่า ยกกาแฟในมือขึ้นจิบ กูเห็นหน้ามึงเมื่อคืนกูก็เชื่อแล้ว
ตลอดทั้งวันเราไปถามไถ่คนแถวนั้น ตลอดจนโทรไปหาเจ้าของบ้านเช่า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติด้านผีๆสางๆมาก่อน
งั้นที่กูเห็นมันอะไรล่ะ ผมกังขา
ไม่รู้ว่ะ เพื่อนสรุป				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง