7 พฤษภาคม 2546 10:46 น.

เรื่องหลอกเด็ก.. ตอนจบ

หมอกจาง

เราตกลงใจกันว่าจะย้ายออก ยอมถูกริบมัดจำจากสัญญาที่ว่าต้องเช่า 6 เดือนขึ้นไป แต่การหาบ้านใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เรายังคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อนอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์
มึงกลัวก็มานอนกับกูก็ได้ เพื่อนผมเสนอ ผมไปนอนกับมันอยู่สองสามคืนก็ไม่ไหว ห้องแคบและเตียงก็เล็กเกินที่จะนอนเบียดกันสองคน ผมกลับมานอนห้องตัวเอง แก้ปัญหาด้วยการมอมตัวเองด้วยเบียร์ทุกๆคืนก่อนนอน ซึ่งมันก็ทำให้ผมหลับเป็นตายทุกคืน..  ผมเล่าเรื่องนี้ให้พี่ที่ทำงานฟัง  พี่ที่ทำงานแนะนำให้ไปทำบุญ
ไม่ว่าเขาจะเป็นใครก็ตาม อุทิศส่วนกุศลไปให้ซะ เผื่ออะไรๆจะดีขึ้น
    เสาร์ถัดมาเป็นวันพระ ผมหอบอาหารถุงไปวัด ชวนเพื่อนมันมาด้วยกัน แต่มันไม่มา
ขี้เกียจตื่นว่ะ ทำเผื่อด้วยแล้วกัน มันว่า

    ที่วัด ขณะที่ผมใส่กับข้าวเสร็จสรรพ นั่งรอฟังพระสวด ก็สังเกตเห็นครอบครัวเล็กครอบครัวหนึ่ง มีผู้ชายผู้หญิงอายุราวสามสิบกว่ากับลูกชายอายุสี่ห้าขวบอีกคน หอบข้าวหอบแกงหม้อใหญ่ขึ้นมาทำบุญ ท่าทางดูเศร้าๆหมองๆ หลังจากถวายอาหารเรียบร้อย ผู้ชายไปคุยกับมัคทายกวัดอยู่ ที่เหลือลุกมาหาที่นั่งฟังพระสวด แล้วก็มานั่งข้างๆผมพอดี ผมหันไปทักผู้หญิงคนนั้น
หอบกับข้าวมาทำบุญเยอะเลยนะครับนี่ ผู้หญิงคนนั้นยิ้มเศร้า
ทำบุญให้ลูกสาวน่ะค่ะ ครบร้อยวันแก ผมใจหาย รู้สึกเศร้าไปกับเธอ
ผมเสียใจด้วยนะ ผมไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรในสถานการณ์อย่างนั้น เธอพึมพำอะไรในคอเหมือนคำขอบคุณ  หันไปหยิบรูปลูกสาวออกมาให้ผมดู ก่อนบอกให้ลูกชายเอาไปให้พ่อ คงสำหรับประกอบพิธีทำบุญ
แกอายุเท่าไหร่เหรอครับ ผมถาม ดูจากรูปยังเด็กอยู่มาก
เก้าขวบค่ะ พี่สาวเจ้าคนนี้ เธอชี้ไปยังเจ้าลูกชายตัวน้อยที่กำลังเดินเลาะไปหาพ่อ
ป่วยหรือครับ 
ไม่ได้ป่วยหรอกค่ะ เธอน้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา จริงๆแล้วต้นเหตุเพราะฉันเองนั่นแหละ 
ผมรู้สึกผิดขึ้นมาที่ไปรื้อฟื้นความเสียใจของเธอ..
ขอโทษนะครับ คุณไม่ต้องเล่าก็ได้
    เธอเช็ดน้ำตาก้มหน้าเงียบๆอยู่ครู่หนึ่ง ลูกชายเธอกลับมานั่งข้างๆ เธอบอกลูกให้ลงไปวิ่งเล่นข้างล่างก่อน
ถ้าคุณสนใจ ฉันจะเล่าให้คุณฟัง แล้วเธอก็เริ่มต้นเล่า.. และนี่ คือเรื่องราวที่เธอเล่า

    เธอเล่าว่าครอบครัวเธอมีอยู่กันสี่คน พ่อ แม่ ลูกสาวและลูกชาย สามีเธอทำงานเป็นภารโรงในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เธอรับจ้างเย็บผ้าเล็กๆน้อยๆอยู่กับบ้าน วันหนึ่งลูกสาวเธอพาน้องชายออกไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ จนตกเย็นปรากฏว่าลูกสาวเธอกลับบ้านมาคนเดียว..
น้องล่ะ
น้องกลับมาแล้วไง.. ลูกสาวเธอชะโงกหน้าเข้ามาในบ้าน พยายามหาน้องชาย
ยังไม่เห็นเลย ทำไมไม่กลับมาด้วยกัน เอาน้องไปทิ้งไว้ไหน เธอคาดคั้น ลูกสาวเธอเริ่มทำตาแดงๆ
หนูไปเล่นตุ๊กตาที่บ้านแนน แนนเป็นเด็กผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกับลูกสาวเธอ บ้านอยู่ในตลาด แต่น้องไม่อยากไป จะกลับบ้าน หนูเลยบอกให้กลับมาเอง
เพียะ เธอฟาดเข้าที่หลังของลูกสาว โกรธที่ปล่อยน้องซึ่งยังเล็กกลับบ้านมาคนเดียวเพราะห่วงเล่น และไม่รู้ป่านนี้ลูกชายคนเล็กเธอไปอยู่ที่ไหน
ออกไปตามน้องมาเดี๋ยวนี้เลยนะ
แต่..หนูหิว..
ไปตามมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่เจอไม่ต้องกลับมาบ้าน เธอคาดโทษ จริงๆเธอไม่ค่อยห่วงลูกชายคนเล็กเท่าไหร่นัก แถวบ้านเธอมีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น เพียงแต่โกรธลูกสาวที่ไม่ยอมดูแลน้อง..
เธอบอกว่าเธอยังจำภาพนั้นได้ติดตา ภาพที่ลูกสาวเดินเช็ดน้ำตาป้อยๆออกไปหาน้องชาย แวบหนึ่งเธอคิดจะเรียกลูกกลับมากินข้าว เดี๋ยวน้องคงกลับมาเอง แต่อีกใจหนึ่งก็นึกอยากสั่งสอนลูก
จะได้เข็ด  เธอนึก
..และนั่นคือภาพสุดท้ายที่เธอได้เห็นลูกสาวเธอยามมีชีวิต..
    ครึ่งชั่วโมงถัดมาลูกชายเธอก็กลับมาถึงบ้าน ซักถามได้ความว่าไปวิ่งเล่นอยู่กับพวกเด็กที่วัด เล่นจนเพลิน จนพระต้องไล่ให้กลับบ้าน อีกพักใหญ่สามีเธอกลับจากทำงาน เธอเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เกิดขึ้น เธอเริ่มห่วงลูกสาว แต่สามีเธอเพียงบอกว่า
ไม่ต้องห่วงหรอก ถ้ามันตามหาน้องมันไม่เจอเดี๋ยวมันก็กลับมา
    แต่ไม่เป็นอย่างนั้น จนสองทุ่มลูกสาวเธอก็ยังไม่กลับบ้าน  สามีเธอออกตามหา เธอรออยู่บ้านเผื่อลูกสาวจะกลับมาบ้านได้เอง แล้วถ้าไม่เจอใครที่บ้านลูกสาวอาจเดินเตลิดไปไหนอีก เธอบนบานศาลกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกองค์ที่เธอรู้จัก.. แต่มันคงช้าไป
เกือบเที่ยงคืน สามีเธอกลับมาพร้อมข่าวร้าย เพื่อนบ้านที่ช่วยกันออกตามหาพบศพลูกสาวเธอที่หลังตึกร้างแห่งหนึ่งที่วัยรุ่นมักไปมั่วสุมกันดมกาว ไกลออกไปจากบ้านเธอมาก ตำรวจชันสูตรพบร่องรอยการถูกข่มขืนและบีบคอจนขาดใจ เธอร้องไห้จนเป็นลมอยู่หลายรอบ แต่มันก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น หากเย็นวันนั้น เย็นที่ลูกสาวเธอเดินออกไป ถ้าเพียงแค่เธออ้าปากเรียก  เพียงแค่นั้น

ผมเสียใจด้วย ผมพูดพลางส่งทิชชู่ให้เธอซับน้ำตาที่ซึมลงมาบางๆ เธอไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่ดวงตาเธอมันฟ้อง ว่าเธอปวดร้าวกับมันขนาดไหน สามีกับลูกชายเธอมานั่งข้างๆ ผมแสดงความเสียใจกับสามีเธอ เรานั่งฟังพระสวดด้วยกันจนจบ ผมกลับบ้านด้วยจิตใจที่หนักอึ้ง

บ่ายวันนั้นผมตั้งใจจะนอนเล่นอยู่บ้าน แต่เสียงโครมครามจากทางหลังบ้านรบกวนจนผมหงุดหงิด
เขาทุบตึกทิ้งน่ะ เพื่อนผมบอก
ตึกอะไรวะ
ตึกร้าง หลังบ้านเราไปสัก 100 เมตรนี่เอง เมื่อก่อนเคยเป็นออฟฟิต เห็นว่าบริษัทเจ๊งเลยขายทอดตลาด เจ้าของใหม่เขาเลยจะทุบสร้างใหม่
ทุบทำไม น่าจะซ่อม ทาสีใหม่แล้วใช้ต่อ ประหยัดกว่าตั้งเยอะ
เฮ้ย ตึกโทรมมากแล้ว หญ้าขึ้นรกเรื้อไปหมด พวกวัยรุ่นมันชอบแอบไปมั่วพี้ยากัน
แวบหนึ่งผมคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาที่วัด
คงไม่ใช่หรอก ผมปัดความคิดนั้นไปจากตัว บ้านผมไกลจากบ้านเธอออกมามาก

    ดึกคืนนั้น ผมนอนไม่หลับ ลืมตาโพลงอยู่ในความมืด เบียร์ 2 กระป๋องที่กินเข้าไปไม่ช่วยอะไรได้ นึกถึงเรื่องเมื่อที่ได้ยินมาเช้า นึกถึงเรื่องตึกร้าง..  รู้สึกถึงอากาศในห้องที่เย็นกว่าปกติ เลยนึกได้ว่าเมื่อหัวค่ำผมเปิดหน้าต่างให้ลมเข้า แล้วออกไปนั่งกินเบียร์ที่ห้องโถงกับเพื่อน กลับเข้ามาปิดไฟนอนโดยที่ลืมปิดหน้าต่าง
ผมขยับตัวจะลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แต่กลับลุกไม่ขึ้น ตัวหนักและชาไปหมด ขนทั้งตัวลุกขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ จนรู้สึกได้ถึงผมที่ตั้งชัน ปากคอหน้าตาคล้ายเห่อพองใหญ่ขึ้น เหมือนๆครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ผมแน่ใจว่าผมรู้สึกตัว
    ความมืดบางอย่างที่เข้มข้นและหนักอึ้งค่อยๆไหลเข้ามาทางหน้าต่าง มันมืด เย็นและหยุ่นกว่าความมืดปกติ มันไหลเข้ามาโอบล้อมรอบตัวผม และในความมืดนั้นเอง ผมเห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอายุราว 9-10 ขวบ สวมเสื้อผ้ามอมแมมยับยู่ ยืนมองผมอยู่ที่ข้างเตียง หน้าเขียวจางๆของเธอเปรอะด้วยดินและเลือด ตากลมเจือแววเศร้าของเธอเบิกโพลงผิดปกติ
พี่.. เสียงนั้นเย็น เศร้าและเครือ พี่คะ.. พี่เห็นน้องหนูบ้างไหมคะ

...ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าเธอออกตามหาน้องเธอไกลขนาดไหน..

..






.				
5 พฤษภาคม 2546 11:18 น.

เรื่องหลอกเด็ก.. (ตอนที่ 1)

หมอกจาง

ผมเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่บ้านใหม่ได้ไม่นาน หลังจากใช้ชีวิตสามปีที่ผ่านมาพักอยู่ในอพาร์ทเม้นท์รูหนู ผมกับเพื่อนตัดสินใจชวนกันมาเช่าบ้านอยู่โดยแชร์ค่าเช่าบ้านกันคนละครึ่ง บ้านหลังนี้เป็นบ้านชั้นเดียว มีสองห้องนอน มีสนามหญ้าเล็กๆหน้าบ้าน ตัวบ้านอยู่ติดกับถนน กั้นด้วยรั้วเล็กๆสีขาว หน้าต่างห้องนอนห้องผมเป็นกระจกใสบานใหญ่หันเข้าหาถนน ทำให้ผมสามารถมองเห็นอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นด้านนอก ขณะที่คนข้างนอกก็มองเห็นผมเช่นกัน นึกจะหาม่านหรือบังตามาติด เพราะมันทำให้ผมรู้สึกไม่เป็นส่วนตัว แต่ก็ยังไม่ได้หามาติดเสียที
   คืนแรกที่ผมย้ายเข้ามาอยู่ ผมหลับสนิทเป็นตาย คงเป็นเพราะเหนื่อยจากการขนข้าวของจากที่เก่ามาที่ใหม่ วันที่สองที่สามเราวุ่นกับการจัดข้าวของ แล้วก็ชวนเพื่อนๆมาเฮฮาฉลองบ้านใหม่กัน ก็หลับกันไปคาวงเหล้าทั้งสองคืน..  จวบคืนที่สี่ผมจึงเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ
   คืนนั้นผมนั่งทำงานอยู่คนเดียวในห้อง พิมพ์อะไรก๊อกๆแก๊กๆอยู่ ผมรู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองผมจากทางด้านนอก ผ่านหน้าต่างกระจก.. ผมหันไปมอง ด้วยความที่ด้านในห้องสว่างและถนนด้านนอกค่อนข้างมืด ทำให้ลำบากทีเดียวที่จะมองอะไรให้ชัด และเมื่อผมมองออกไปสิ่งเดียวที่ผมเห็นคือเงาสะท้อนของตัวเอง.. ผมเปิดหน้าต่างกระจกออกดูเพื่อความแน่ใจ ไม่มีใครอยู่ข้างนอก ผมกลับมานั่งทำงานต่อ แต่ความรู้สึกนั้นมันก็ยังรบกวนผมอยู่ จนไม่มีสมาธิที่จะทำงาน เหมือนมีใครมองผมอยู่ทางด้านนอก ยืนอยู่ตรงหน้าต่างมองนิ่งเข้ามาที่ผม นิ่งอยู่อย่างนั้น...
โว้ย.. ผมผลุนผลันเปิดประตูห้องออกไป จ้ำผ่านห้องโถงที่เพื่อนผมมันนั่งดูทีวีอยู่ เปิดประตูหน้าบ้านออกไป.. ไม่มีใครสักคนแถวนั้น ถนนเงียบเชียบไม่มีรถราวิ่งผ่าน ผมรู้อยู่แล้วว่ามันคงไม่มีใคร มันคงเป็นแค่ความรู้สึกของผมเอง..
เป็นอะไรไปวะ มีอะไร? เพื่อนผมที่เดินตามออกมาถามด้วยท่าทางงงๆ
ไม่มีอะไร เบื่อๆนิดหน่อยว่ะ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้เพื่อนฟัง เพราะมันดูไม่สลักสำคัญอะไรนัก
อย่าเครียดนักมึง พักๆมั่งก็ได้ เพื่อนเตือนด้วยสายตาที่เป็นห่วง ก่อนจะกลับเข้าไปนั่งดูทีวีต่อ ผมตัดสินใจหยุดทำงาน เข้าไปนั่งดูทีวีกับเพื่อน จนดึกค่อยกลับเข้าไปนอน ความรู้สึกนั้นหายไป ความรู้สึกที่ว่ามีใครยืนอยู่ตรงหน้าต่าง ผมหลับสนิทไปจนเช้า..
   คืนต่อๆมา เมื่อผมนั่งลงที่โต๊ะ และเริ่มต้นทำงาน หลังจากที่ผมทำงานไปได้สักพักผมก็จะรู้สึกแบบเดิม รู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องผมอยู่ทางนอกหน้าต่าง นิ่งอยู่อย่างนั้น.. จ้องอยู่อย่างนั้น.. ทุกคืน ทุกคืน จนผมไม่สามารถทำงานได้ วันนึงที่ผมลุกออกจากห้องไปนั่งดูทีวีกับเพื่อน เพื่อนมันก็เอ่ยปากถาม
มีอะไรรึเปล่าวะ ช่วงนี้มึงดูแปลกๆ ผมคงแปลกไปจนมันสังเกตได้ เพราะทุกครั้งที่ผมหงุดหงิดกับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ผมจะงุ่นง่านเดินเข้าเดินออกห้อง บางทีก็ออกไปเดินวนรอบบ้าน เพื่อนมันก็ไม่ถามอะไร จนวันนี้มันคงทนแปลกใจไม่ได้เลยเอ่ยปากถาม ผมมองหน้าเพื่อน ชั่งใจ..
ไม่รู้มึงจะว่ากูบ้าไหม..
เออ..มึงเล่ามาก่อนเหอะ ผมเลยเล่าเรื่องที่ผมรู้สึกให้มันฟัง มันนั่งฟังเงียบๆ ไม่ขัดจังหวะ พอผมเล่าจบมันก็ถาม
ถ้ามีใครมองมึงอยู่นอกกระจก แค่มึงหันไปมึงก็ต้องเห็นไม่ใช่เหรอ
ใช่.. แต่มึงอย่าลืมว่าถ้าข้างนอกมันมืด แล้วข้างในมันสว่างน่ะ มันจะมองไม่ค่อยเห็นหรอก แล้วพอเวลาที่มึงรู้สึกว่ามีคนมองมึงอยู่ แต่มึงก็ไม่แน่ใจว่ามีใครยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่าน่ะ มัน.. ผมยกมือขึ้นแบสองข้าง แล้วทิ้งลงข้างตัว..
เอางี้.. เพื่อนมันพูดขึ้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง
ถ้ามึงรู้สึกว่ามีใครมองมึงอีก มึงเรียกกูแล้วกัน
..
   หลังจากคืนนั้น ผมไม่รู้สึกถึงการมีใครจ้องมองอยู่ร่วมอาทิตย์ บางทีผมอาจเพียงคิดมากไปเอง.. แต่ไม่ใช่ ในคืนวันศุกร์ ความรู้สึกนั้นก็กลับมาอีกครั้ง
เฮ้ย เต้ เข้ามาในนี้หน่อยว่ะ ผมตะโกนเรียกเพื่อน
มีอะไรวะ
กูรู้สึกแบบเดิมอีกแล้ว ผมลดระดับเสียงลงจนเกือบเป็นกระซิบ กูรู้สึกว่ามีใครมองกูอยู่นอกหน้าต่างนั่นน่ะ
เพื่อนผมผลุนผลันออกไปเปิดประตูบ้าน
ไม่มีใครเลยว่ะ มันตะโกนเข้ามา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ผมรู้อยู่แล้ว ทุกทีมันก็ไม่เคยมีใคร.. สักพักเพื่อนก็เดินกลับเข้ามาในห้อง
มึงยังรู้สึกว่ามีใครจ้องมึงอยู่หรือเปล่า.. มันถาม
ยังรู้สึกอยู่ว่ะ เพื่อนผมนั่งนิ่งไปพักนึง หลับตาพยายามที่จะสัมผัสความรู้สึกนั้น..
กูไม่เห็นรู้สึกอะไร มึงคิดไปเองหรือเปล่า
กูก็ไม่รู้ ก็แค่รู้สึก แล้วมันก็รบกวนกูจนไม่เป็นทำอะไรนี่แหละ ผมหงุดหงิด
เฮ้ย..ใจเย็น มันตบบ่าผมเบาๆ ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปคิดอะไรมาก แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปเอง มึงเชื่อกู มันกลับไปห้องมัน ผมปิดไฟนอน พยายามไม่คิดอะไรมากอย่างที่มันบอก ข่มตาหลับลงไป..
   กลางดึกคืนนั้นเอง ที่ผมไม่สามารถทำใจเชื่อได้อีกต่อไปว่ามันไม่มีอะไร..  ผมตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำกลางดึก หลังจากกลับจากห้องน้ำ ผมรู้สึกได้ถึงการมีคนจ้องมองอยู่อีกครั้ง ในห้องค่อนข้างมืด มีเพียงแสงไฟสลัวๆจากหัวเตียง ทำให้ผมสามารถมองออกไปข้างนอกได้ชัดขึ้น นอกหน้าต่างว่างเปล่า บนถนนที่ที่ดูเหลืองซีดด้วยแสงไฟจากเสาไฟฟ้าก็ว่างเปล่า แต่ขณะที่ผมทอดสายตาสอดส่ายออกไปข้างนอก ที่กระจกหน้าต่างห้องผมก็มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น
   เคยสังเกตไหม ในวันที่อากาศเย็นๆ ถ้าเราเอามืออุ่นๆของเราไปทาบที่กระจก แล้วยกออก เราจะเห็นรอยมือของเราปรากฏเป็นฝ้าอยู่บนกระจกครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆเลือนหาย.. และนั่นคือสิ่งที่ผมเห็นในคืนนั้น ขณะที่ด้านนอกเงียบงันและว่างเปล่า กระจกหน้าต่างห้องผมเริ่มขุ่นมัวด้วยฝ้าอะไรบางอย่าง และเมื่อผมเพ่งมอง มันก็ทำให้ผมเย็นวาบไปทั้งตัว..  มันเป็นรอยมือเล็กๆคู่หนึ่ง เหมือนมีใครอยู่ตรงนั้น ทาบสองมือลงบนกระจก รอยมือทั้งสองห่างกันสักครึ่งเมตร  และขณะที่ผมยืนนิ่งอ้าปากค้าง ตรงกึ่งกลางระหว่างรอยมือทั้งสอง ก็ค่อยๆมีฝ้ากลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น คล้ายใบหน้า มีตา ปาก และจมูก ใครบางคนแนบหน้าลงบนกระจก.ใครบางคนกำลังมองเข้ามาข้างใน..
เฮ้ย!!! ผมแผดเสียงออกมาลั่นบ้าน ผลุนผลันออกจากห้อง เคาะประตูห้องเพื่อนถี่ยิบ
เฮ้ย!! เปิดหน่อยๆ
เป็นอะไรวะ ร้องซะลั่นเลย มีอะไร..
กูนอนด้วย ผมไม่พูดพล่ามทำเพลงโดดขึ้นเตียงคลุมโปงจนถึงเช้า.
.
   เช้าวันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ ผมไม่ต้องไปทำงาน เพื่อนถามถึงเรื่องเมื่อคืน ผมเล่าให้มันฟังทั้งหมดที่ผมเห็น..
มึงเชื่อกูมั้ย..
เชื่อ มันว่า ยกกาแฟในมือขึ้นจิบ กูเห็นหน้ามึงเมื่อคืนกูก็เชื่อแล้ว
ตลอดทั้งวันเราไปถามไถ่คนแถวนั้น ตลอดจนโทรไปหาเจ้าของบ้านเช่า ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าบ้านหลังนี้ไม่เคยมีประวัติด้านผีๆสางๆมาก่อน
งั้นที่กูเห็นมันอะไรล่ะ ผมกังขา
ไม่รู้ว่ะ เพื่อนสรุป				
22 เมษายน 2546 09:28 น.

ลูกหมาที่เห่าดังที่สุดในโลก

หมอกจาง

โฮ่ง !! โฮ่ง!! โฮ่ง !!  ฮื่อออ..โฮ่ง!! ผมมีอันต้องสะดุ้งสุดตัวกับเสียงนั้น เดินมาเงียบๆคิดอะไรเพลินๆ ดันมีตัวอะไรไม่รู้มาเห่าใกล้ๆ.. คงเป็นหมา ถ้าเป็นนกหรือแมวคงไม่เห่า แต่ไอ้หมาตัวนี้มันเห่าดังชะมัด ตัวคงใหญ่น่าดู แปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่เคยรู้ว่าซอยบ้านผมมีหมาดุ
ฮื่อ.. คำรามในคอเหมือนจะลองเชิง แล้วก็กรรโชกซ้ำมาอีกรอบ โฮ่ง !! โฮ่ง !!แฮ่!!  แง่ง!!  เห่าได้เพอเฟ็คมาก แต่ผมไม่อยากเสี่ยงที่จะอยู่ฟังต่อ  ประตูรั้วบ้านนั้นแง้มทิ้งไว้ มันอาจพรวดพราดออกมากระโดดกัดคอหอยผมก็ได้ เลยตัดสินใจสับเท้าวิ่งรวดเดียวถึงบ้าน ก็ไม่ไกลเท่าไหร่นัก แค่ราวๆ 2-300 เมตร   แต่เล่นเอาจุกไปเหมือนกัน ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ออกกำลัง
ทำอะไรมา หอบมาเชียว พี่สาวผมทักขึ้นหลังจากเห็นสภาพน้องชาย
วิ่งหนีหมา เห่าน่ากลัวชะมัด เปิดตู้เย็นหาน้ำกิน ..ฟู่.. นี่ถ้าได้ยาดมสักหน่อยคงดี ใ รู้สึกใจหวิวๆ
 วิ่งทำไม เสียเชิง ไม่ลองเห่าสู้กับมันดู แน้..เห็นน้องชายเป็นหมา
ไม่ละท่าทางมันจะตัวใหญ่เอาเรื่อง
อ้าว..ไม่เห็นตัวมันเหรอ ผมส่ายหัว พี่เลยถามต่อ
บ้านไหนล่ะ
ตรงกลางซอย บ้านที่ปลูกเฟื่องฟ้าสีขาวไว้หน้ารั้วน่ะ
ไม่เห็นเคยรู้ว่าบ้านนั้นมีหมา
วันหลังจะให้เขาติดป้ายประกาศ ตอนนี้บ้านนี้มีหมาแล้วจ้ะ ผมค่อน 
             พี่สาวค้อนควับ

สายวันรุ่งขึ้น  เป็นวันหยุด ว่าจะไม่ออกไปไหน แต่ยังอยากได้หนังสือพิมพ์สักเล่ม น้ำเต้าหู้หน้าปากซอยสักถุง เลยต้องเดินผ่านหน้าบ้านหลังนั้นอีกครั้ง หวังว่าวันนี้มันคงไม่เห่า วันหยุดนี่นา
ปรากฏว่าพอผมเดินเข้ามาใกล้ก็รู้ว่าคิดผิด เจ้าหมานั่นกำลังกรรโชกป้าคนหนึ่งที่เดินผ่านหน้าบ้าน วันนี้ประตูรั้วปิดอยู่มีเพียงเสียงเท่านั้นที่ลอดออกมา แต่แค่นั้นก็ทำให้ป้าแกกลัวลานแล้ว
ไอ้หมาบ้า  เห่าคนแก่ แกบ่นของแกงึมงำ  โธ่ป้า..บุญแล้วหละที่ประตูรั้วมันปิด นี่ถ้าประตูรั้วเปิดอยู่อาจมีกรณีหมากัดคนแก่ไปแล้ว..
ป้าแกเดินผ่านไป และผม..เดินผ่านมา ไอ้เจ้านั่นมันก็เปลี่ยนเป้าหมายทันควันฮื่อ..แง่ง !! แง่ง !! มาฟอร์มเดียวกับเมื่อวานเลย แต่วันนี้ประตูรั้วปิด ย้ำอีกครั้งว่า ประตูรั้วปิด.. ผมเลยไม่ต้องออกแรงวิ่ง ยังไงเสียมันก็ออกมาไม่ได้
แอ้ดด ใจวูบลงไปที่ตาตุ่ม  เฮ้ย!! ไอ้หมานั่นมันเปิดประตูออกมาแล้ว มันเอาเราแน่  ..ลืมคิดไปว่ามันไม่มีหัวแม่มือ
แต่หน้าที่ยื่นออกมากลับไม่ใช่หน้าหมา เป็นหน้าใสๆของสาวน้อยคนหนึ่ง ก็..น่ารักดี  ถ้าพูดกันตรงๆก็ต้องบอกว่าสวยเลยหละ
มาหาใครคะ 
เอ่อ..ไม่ได้หาใครหรอกครับ จะออกไปซื้อน้ำเต้าหู้  ผมก็ตอบของผมไปตรงๆ   แต่ท่าทางเธอดูจะงงๆ   เอ ..หรือว่าเธอจะไม่รู้จักน้ำเต้าหู้..
อ้าว..ฉันเห็นหมามันเห่าอยู่ตั้งนานนี่คะ 
ก็ไม่ได้เห่าผมสักทีเดียวหรอกครับ
ไม่ได้เห่าคุณเหรอคะ
เห่าครับ.. แต่ก็..ไม่เชิง ดูท่าว่าเธอจะงงหนักขึ้น ผมเองก็เริ่มงงบ้างเหมือนกัน
เอ่อ..ตกลงว่ามันเห่าผมแล้วกัน
แล้วคุณมายืนให้มันเห่าทำไมตั้งนาน
เปล่า..ผมจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ กลับมาที่เดิมอีก ท่าจะไม่รู้เรื่องกันเสียที ผมเลยเปลี่ยนเรื่อง
หมาคุณกัดไหม
ไม่หรอกค่ะ เธอยิ้ม.. น่ารักเชียว คุณลองดูมันก่อนดีกว่า ว่าแล้วเธอก็หันไปอุ้มมันขึ้นมาให้ผมดู..  ลูกหมาครับ ลูกหมาไทยแท้ สีนวลๆหน้าตาบ้านนอกเชียว
ไอ้ตัวนี้เนี่ยนะที่เห่า ผมเอามือชี้หน้ามัน แล้วก็ได้คำตอบ มันเริ่มเห่าใส่ผมอีกครั้งหลังจากที่เงียบไปชั่วครู่
ฮื่อ..แง่.. เสียงมีพาวเวอร์เกินตัวไปเยอะทีเดียว พอเธอปรามมันเลยเงียบเสียงลง
จุ๊..จุ๊.. เธอกอดมันไว้กับอกพลางลูบหัว เป็นครั้งแรกที่ผมนึกอิจฉาหมา..
ให้อะไรมันกินเหรอครับ เห่าดังดีจริง อดไม่ได้ที่จะถาม เธอยิ้ม
น้ำเต้าหู้ค่ะ สะอึกไป อีกหน่อยผมคงเห่าดังเหมือนมัน
กินเหมือนผมเลย
แล้วก็พวกเนื้อ พวกไก่ แล้วแต่ อันนี้มันกินดีกว่าผม..
แต่ที่มันเห่าดังไม่ใช่เพราะอาหารหรอกค่ะ
เหรอครับ
มันเป็นลูกหมากำพร้า พ่อฉันเก็บมาเลี้ยงจากที่ทำงาน ตอนอยู่ที่โน่นเทศกิจเขาจับแม่มันแล้วก็พี่น้องมันไปหมด มีมันหลงรอดอยู่ตัวเดียว
ครับ ผมยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่านั่นมันทำให้มันเห่าดังขนาดนี้ได้ยังไง
ทีนี้พอมีมันเหลืออยู่ตัวเดียว หมาใหญ่ๆที่นั่นก็รังแกมัน
ครับ มันน่าจะฝึกร้องเอ๋งได้ดังๆมากกว่านี่นา
พ่อบอกว่าพอมันเจ็บๆขึ้นมามันก็สู้
ครับ
แต่ก็สู้ไม่ได้ โดนขย้ำอานไปทุกที มันเป็นแค่ลูกหมาเอง เธอลูบหัวมันทำตาแดงๆ ผมก็อยากเข้าไปลูบหัวปลอบเธอเหมือนกัน แต่กลัวโดนด่า..
ครับ 
เธอมองหน้า ผมคงครับถี่ไป
แล้วทีนี้..เธอเว้นจังหวะดูเชิงว่ามันจะครับอีกไหม ดีที่ผมยั้งไว้ทัน
แล้วทีนี้..  เธอขยับจะเล่าต่อ
ครับ อ้าว..หลุด
เธอหัวเราะคิก ท่าทางดูเป็นกันเองขึ้น
พ่อบอกว่าทีนี้มันเลยต้องหาทางเอาตัวรอด และวิธีที่มันเลือกคือ เห่าให้ดังขึ้น ให้ดังที่สุดในหมู่ ตัวอื่นจะได้ไม่กล้ารังแกมัน
แต่.. ผมอดไม่ได้ที่จะแย้ง เห่าดังยังไงมันก็ตัวเท่าเดิมนี่ ไม่มีประโยชน์หรอก
คุณยังกลัวเลย เธอว่า
ก็ผมมองไม่เห็นตัวมันนี่ ถ้าเห็นจ้างก็ไม่กลัว โถ..ตัวเท่าลูกหมา
ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หมาด้วยกันอาจเกรงใจกันที่เสียงเห่าก็ได้
ผมว่าไม่มีทาง
ฉันบอกแล้วไงว่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกันเสียงเธอเริ่มขึ้นจมูก ฉันไม่เคยเป็นหมานี่ 
ผมเริ่มรู้สึกว่าขืนเถียงไปท่าจะเข้าตัว
แต่พ่อฉันบอกว่ามันได้ผล ไม่มีตัวไหนเข้ามารังแกมันอีก
ครับ แบบเดิมท่าจะปลอดภัยกว่า
พอพ่อพามันมาเลี้ยงที่บ้าน มันก็ยังเห่าแบบเดิม จนคอมันอักเสบบ่อยๆ พาไปหาหมอ หมอบอกอย่าให้มันเห่าบ่อยนัก อ๋อ..ที่เธอวิ่งมาดูผมตอนแรกนี่คงเพราะห่วงหมา กลัวมันเห่าจนคอแห้ง.. นึกสงสารตัวเองอย่างไร้สาเหตุ ที่การเดินของผมไประคายเคืองคอหมาเธอเข้า
แต่บ้านคุณอยู่กลางซอยอย่างนี้ มันก็เห่าได้ทั้งวันนั่นแหละ
ไม่หรอก มันเลือกเห่าเฉพาะพวกที่หลุกๆหลิกๆดูไม่น่าวางใจเท่านั้นแหละ อ้าว..
หมอบอกว่าพอมันเริ่มโตขึ้น มันจะค่อยๆเห่าเบาลง ฟังดูกลับตาลปัตรยังไงไม่รู้
ผมเคยได้ยินแต่โตขึ้นก็เห่าดังขึ้น
หมอบอกว่าพอโตขึ้นมันเริ่มมั่นใจในกำลังมันมากขึ้น มันจะเริ่มค่อยๆเห่าน้อยลง เบาลง เพราะมันไม่มีความจำเป็นต้องคอยขู่ใครให้กลัวอีกต่อไป สงสัยหมอที่ว่าต้องเป็นจิตแพทย์แหงๆ
คุณเลยต้องบำรุงมันด้วยเนื้อ ด้วยไก่ให้มันโตไวๆ
ใช่ เธอยิ้มรับ น้ำเต้าหู้ด้วย น่าน..อุตส่าห์ข้ามไปแล้วเชียว
คุณจะไปซื้อน้ำเต้าหู้ใช่ไหม ฉันฝากซื้อถุงนึงสิ
ได้.. ใส่น้ำตาลไหม ผมไม่รู้นี่ว่าหมามันกินน้ำเต้าหู้ใส่น้ำตาลหรือเปล่า
ยังไงก็ได้ เอาเหมือนของคุณนั่นแหละ อ้าว..

ขากลับ ผมแวะเอาน้ำเต้าหู้มาให้เธอ เธอส่งเงินให้ แต่ผมไม่รับ
ไม่เป็นไรครับ ถือเสียว่าสำหรับการได้รู้จักกัน
ขอบคุณค่ะ เธอยิ้มหวานก่อนหันไปกุลีกุจอเทน้ำเต้าหู้ลงชามใบเล็ก ให้ไอ้เจ้าสีนวลเสียงใหญ่ตัวนั้น
เอ่อ..ชื่ออะไรน่ะครับ เผื่อวันหลังผ่านมาจะได้ทักถูก
เธอหันมามองหน้าผมแวบหนึ่ง เบือนๆหน้ายิ้มเสไปลูบหัวลูกหมาเล่น
กี้ค่ะ
.
ผมกลับถึงบ้าน ครึ้มอกครึ้มใจอย่างบอกไม่ถูก ตรงเข้าครัว เล่าให้พี่สาวฟังเรื่องเจ้าลูกหมาเสียงใหญ่ และอดไม่ได้ที่จะเล่าถึงเจ้าของที่แสนจะน่ารัก
เค้าบอกชื่อกี้
ชื่อคนหรือชื่อหมาล่ะ
เออ..ผมก็ลืมนึกไป
..

				
14 เมษายน 2546 08:22 น.

นางนวล

หมอกจาง

วันนี้ไม่ใช่วันที่ดีนักสำหรับผม อะไรต่อมิอะไรหลายอย่างดูจะผิดพลาดไปหมด ทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ และส่วนใหญ่แล้ว กับวันที่แย่ๆอย่างนี้ ผมมักหลบมาอยู่คนเดียวสักพัก ทิ้งเรื่องราวต่างๆไว้ข้างหลัง พอสบายใจแล้วค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับมันใหม่ วันนี้ผมเลือกมานั่งที่ริมทะเล ไม่ไกลจากที่พักนัก
   ทะเลวันนี้ลมแรงเป็นพิเศษ ถึงแม้แดดจะดี แต่เพราะคลื่นลมที่แรง คนจึงดูบางตากว่าทุกวัน ผมเลือกเดินเลาะไปเรื่อยๆตามชายหาด จนรู้สึกเมื่อย เลยหยุดนั่งที่ที่พักริมทาง ทอดสายตาออกไปสู่ท้องทะเล นางนวลฝูงย่อมๆฝูงหนึ่ง เดินเล่นอยู่ริมหาด บางทีบางตัวก็ลงเล่นน้ำทะเล  บางตัวก็บินโฉบไปมาเหนือผิวน้ำ ผมชอบที่จะนั่งดูเวลามันบิน เวลานกนางนวลบินดูคล้ายกับว่ามันกำลังเล่นกับลมอยู่ ยิ่งลมแรงเหมือนมันยิ่งชอบ กางปีกออกต้านลม ลอยออกไปเหมือนว่าว บิดปลายปีกเพื่อคอยปรับทิศทางให้ตรงกับที่มันต้องการ ค่อยๆปรับทีละน้อย ทีละน้อย บางครั้งเวลาที่มันจะลงเกาะหัวเสาสักต้นหนึ่งก็เหมือนกับมันหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือเสาต้นนั้น ค่อยๆลดเพดานต่ำลงในแนวดิ่ง ช้าๆอย่างไม่น่าเชื่อ จนขามันแตะเสาจึงค่อยๆหรุบปีกลง นึกสงสัยอยู่ว่ามันจะเคยรู้สึกเหนื่อยกันบ้างไหม เพราะดูเหมือนมันไม่ได้ออกแรงบินสักเท่าไหร่เลย
   นั่งมองคิดอะไรไปเรื่อยๆ หายเครียดหายล้าลงบ้าง แต่ความกังวลก็ยังวิ่งวนอยู่ในหัว.. เจ้านกนางนวลตัวหนึ่งเดินเตาะแตะแตกฝูงมาทางผม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เข้ามาเรื่อยๆ จนมาหยุดตรงหน้า คงหวังที่จะได้อะไรกิน..
เป็นอะไรอ้ะ
 เสียงผู้ชาย แต่ฟังดูก็คล้ายๆเสียงเด็กที่เพิ่งย่างเข้าวัยรุ่น หันมองไปรอบๆ ไม่มีใครสักคน คงหูฝาดไป
เป็นอะไรไป
ผมมองไปรอบตัวอีกหนึ่งรอบ ไม่มีใคร มีเพียงเจ้านางนวลที่จ้องหน้าผมตาแป๋ว ผมส่ายหัวนึกขำตัวเอง
แกแน่ๆเลยที่ทักฉัน ใช่มั้ย รับมาเสียดีๆ อดไม่ได้ที่จะล้อเล่นกับมัน ที่มามองหน้าเหมือนจะคุยกับผม..
ก็ใช่น่ะสิ ทักตั้งสองทีแน่ะ คราวนี้ผมผงะแทบตกจากที่นั่ง
 เฮ้ย.. ร่ำๆว่าจะลุกวิ่ง แต่เจ้าตัวแสบก็ถือวิสาสะโดดขึ้นมายืนข้างที่ผมนั่งหน้าตาเฉย
วันนี้ลมแรงดีนะ

แดดก็ดีด้วย
..
นี่นายพูดไม่ได้เหรอ 
นี่นายพูดได้เหรอ 
เจ้านางนวลตัวนั้นมองหน้าผม เหมือนผมถามมันด้วยคำถามที่โง่ที่สุดในโลก ก่อนจะตอบแบบเสียไม่ได้
ก็ได้น่ะสิ ใช่สินะก็เห็นๆอยู่ว่ามันพูดได้ นกนางนวลพูดได้ ผมต้องเครียดมากไปแล้วแน่ๆ
ว่าแต่ว่านายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลยว่าเป็นอะไร เห็นนั่งซึมมาพักใหญ่ๆแล้ว มันยังยืนกรานคำถามเดิม
ก็ไม่ได้เป็นอะไร เครียดนิดหน่อย
เรื่องอะไรล่ะ แน่ะ..อยากรู้อีก
ก็..เรื่องงาน
เรื่องงาน.. ไร้สาระว่ะ  อ้าว ไอ้นี่ หมั่นไส้มันขึ้นมาตงิดๆ ความกลัวความตกใจเริ่มจางไป ตัวมันก็กระจิดเดียว จะทำอะไรเราได้ อย่างมากก็ได้แค่พูด แต่แค่นั้นก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน
ไร้สาระยังไง
งานโง่ๆ พวกนายก็แค่หาอะไรที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่าทำ แค่หาอะไรยึดเหนี่ยว จริงๆแล้วพวกนายแทบไม่เคยสนมันเลยด้วยซ้ำว่ามันมีคุณค่าจริงๆหรือเปล่า นายแค่อยากเชื่อว่ามันมีคุณค่าเท่านั้น
หมายความว่าไง ผมตามมันไม่ทัน แต่มันกลับเปลี่ยนเรื่องพูด
ฉันชอบบินในวันที่ลมแรงอย่างนี้จัง นายนั่งดูอยู่ตั้งนาน นายว่าฉันบินเป็นไงมั่ง บางทีนะฉันรู้สึกว่าฉันเป็นนกที่บินเก่งที่สุดในฝูงด้วยซ้ำ  คุยอีกแน่ะ
ก็น่าจะเป็นยังงั้น ผมยอมันไป ดูจากอาการระริกระรี้ของมันแล้วก็น่าจะได้ผล จริงๆแล้วผมแยกไม่ออกหรอกว่าตัวไหนเป็นตัวไหน เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี ลองคุยกับมันดูสักตั้ง
ไหมล่ะ ว่าแล้วว่านายต้องเห็นอย่างนั้น
ฉันชอบดูเวลาที่นายบินแล้วดูเหมือนนายลอยเฉยๆให้ลมพัดเล่นจัง นายทำได้ยังไงน่ะ คราวนี้ผมเป็นฝ่ายเปิดประเด็น
ก็ มันยืดอกขึ้นเล็กน้อย ดูดีใช่ไหมล่ะ แน่ะ..จะให้ยออีก
ช่ายยย..  ดูดีมากก มันคงไม่ได้สังเกตหางเสียง เพราะผมเห็นมันทำท่าระริกระรี้อีกครั้ง..
  นายทำได้ยังไงนะ เล่าให้ฟังหน่อยสิ ต้องถามย้ำ ท่าทางมันมัวแต่ภูมิใจจนลืมตอบคำถาม
เริ่มต้น นายต้องมีทัศนคติที่ดีก่อน หือ.. อะไรนะ  ทัศนคติ ผมคิดว่ามันจะพูดถึงวิธีการปรับปีก กางออก หุบเข้า อะไรอย่างนั้นมากกว่า
ทัศนคติเหรอ
ใช่น่ะสิ มันมองหน้าเหมือนผมเป็นคนโง่ นายจะบินอย่างพวกฉันไม่ได้หรอก ถ้านายมีทัศนคติที่ผิดๆกับลม 
หมายความว่าไง
หมายความว่าพอลมแรงๆพัดมา แล้วนายคิดว่านั่นคืออุปสรรคที่นายต้องเอาชนะ อืมม..ใช่ๆ นายต้องคิดว่าเป็นอุปสรรคแน่ๆ ถ้านายเป็นนก นายจะทำยังไง 
ฉันก็พยายามที่จะเอาชนะมันให้ได้น่ะสิ
แล้วถ้าลมมันแรงมากล่ะ
ฉันก็จะพยายามมากขึ้นไง
แล้วถ้ามันแรงเกินกว่านายจะต้านไหวล่ะ
ฉันก็จะสู้มันให้เต็มที่ กระพือปีกให้เต็มที่ ฉันต้องเอาชนะมันให้ได้ ผมแสดงความมุ่งมั่นออกมา
นายนี่โง่ว่ะ มันด่าเอาซึ่งๆหน้า ไม่ทันที่จะแย้งมันก็พูดต่อ
วิธีที่พวกฉันบินก็คือ เราไม่เคยต่อสู้กับสายลม เราปรับตัวให้เข้ากับลม เรียนรู้ทิศทางและกำลังของมัน กางปีกออกรับ ปล่อยมันพาเราไป.. นายเห็นหัวสีขาวของฉันไหม
เห็น มันเปลี่ยนเรื่องเฉยๆ ผมไม่รู้มันจะมาไม้ไหน ได้แต่เออออตามไป
มันเป็นสัญลักษณ์ของทัศนะคติที่เปิดกว้างและโอนอ่อน มองโลกในแง่ดี อ๊ะ..ไม่เบา เจ้านกนี่
แต่ถ้านายปล่อยให้ลมพานายไป ที่ไหนก็ได้แล้วแต่มันจะพัดไป..ยังไม่ทันพูดจบมันก็สวนขึ้นมาทันควัน
ใครบอกนายล่ะว่าเราลอยไปเรื่อยๆตามลม
อ้าว..
เรารู้อยู่ตลอดเวลาถึงที่ที่เราจะไป เรารู้จักใช้สายลมเป็นเครื่องช่วยที่จะพาไปสู่ที่หมาย แต่เราไม่เคยหลงทิศทางไปโดยสายลม และนั่นแหละคือความหมายของหางที่เป็นสีดำของนกนางนวล มันหมายถึงความมั่นคงในจุดหมายไงล่ะ
อืมม ผมอึ้งไปถนัด ไม่แน่ใจว่ามันแค่ขี้โม้หรือพูดจริง เลยลองแหย่มันไปต่อ 
 แล้วปีกสีเทาของนายล่ะ มีความหมายอะไรพิเศษไหม  เจ้านกนั่นมันมองหน้าผมแบบเดิมอีกครั้ง แบบว่าเหมือนผมเป็นคนโง่ที่สุดในโลก
ถ้าฉันบินด้วยทัศนะคติที่เปิดกว้างโอนอ่อนของหัวสีขาว และความมั่นคงในจุดหมายของหางสีดำละก้อ นายคิดว่าปีกที่ฉันใช้บินควรมีสีอะไรล่ะ
..  ผมคงโง่จริงๆน่ะแหละ..
เรานิ่งเงียบกันไปพักหนึ่ง ทอดสายตาไปที่ทะเล ฝูงของมันเล่นน้ำกันอยู่ ท่าทางสนุก ดูเหมือนมันอยากกลับไปเล่นกับฝูง
นี่ ผมเรียก
หืมม
นกนางนวลที่พูดได้เนี่ย มีแค่นายตัวเดียวหรือมีตัวอื่นอีก
พูดได้ทุกตัวนั่นแหละ มันทำหน้าลึกลับ ถ้านายใส่ใจที่จะฟังนะ
..
...
แล้วอย่างอื่นล่ะ.. ฉันหมายถึงนกชนิดอื่น ปลา หมา แมว อะไรพวกเนี้ย.. มันพูดได้กันมั่งไหม
เจ้านกนั่นมองหน้าผมอีกครั้ง พลางส่ายหัว
นายนี่มันเข็นไม่ขึ้นจริงๆว่ะ ว่าแล้วมันก็บินกลับไปเข้าฝูง เพียงชั่วครู่ผมก็แยกไม่ออก ว่าตัวไหนคือตัวที่ผมเพิ่งคุยกับมัน..
                                                  .				
9 เมษายน 2546 08:39 น.

ดังนั้น ฉันจึงเขียน

หมอกจาง

เธอรู้ไหม..
ครั้งหนึ่ง..ฉันเคยเกิดเป็นกลาสีเรือ
อยู่บนเรือลำใหญ่..ท่องไปในท้องทะเลกว้าง
แต่ฉันเป็นกลาสีเรือที่ไม่ได้ความนัก
ขาดทักษะในการงาน..
เพียงเพราะความรักในท้องทะเล
ฉันจึงเลือกมาเป็นกลาสีเรือ..
กัปตันเรือดุด่าฉันอยู่ทุกวัน
เพื่อนกลาสีพากันเหยียดหยัน
ด้วยรำคาญและหน่ายระอา..

เมื่อสิ้นสุดการงานของแต่ละวัน
ฉันจะปลีกตัวนั่งเงียบๆอยู่ท้ายเรือ
ทอดสายตาไปยังแสงสีทองที่ขอบทะเล
ฝูงปลาที่ไล่เล่นอยู่บนผิวน้ำ
ปล่อยจินตนาการเตลิดตามแต่จะฝัน
และเขียนบทกวี..
เขียนด้วยหมึกสีดำ ลงบนกระดาษสีน้ำตาล
เขียนเก็บไว้นับร้อยบท
ไม่มีใครสนใจในบทกวีเหล่านั้น
มีเพียงฉัน ที่เพียรรื้อมันออกมาชื่นชม
ในค่ำคืนที่เงียบงัน..ในแสงสลัวๆแห่งใต้ถุนท้องเรือ

วันหนึ่ง..
ฉันทะเลาะกับเพื่อนกลาสีด้วยกัน
ด้วยถ้อยคำถากถางที่ไม่รู้จบสิ้นของเขา
เราต่อสู้..
สุดท้าย..เขาแทงฉันด้วยมีด
ฉันขาดใจตาย 
กลางแสงแดดจ้า กลางท้องทะเล
เลือดไหลนองพื้นเรือ

หลายคนดูตกใจ
แต่ไม่มีสักคนที่เสียใจ
กัปตัน สั่งให้โยนศพฉันลงทะเล
เช็ดคราบเลือดบนเรือให้สะอาด
โยนสัมภาระทุกอย่างของฉัน
ทิ้งลงทะเลให้หมดสิ้น..

บทกวีหลายร้อยแผ่นเหล่านั้น
ปลิวไปตามแรงลม
บางแผ่น ตกลงบนร่างฉัน
บทกวีที่ไม่เคยมีใครได้อ่าน..
นอกจากฉัน
บทกวีเหล่านั้น..ไม่เคยมีใครได้อ่าน				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง