20 สิงหาคม 2547 13:08 น.

ต้นไม้..

หมอกจาง

หญิงสาวนางหนึ่ง สาว และสวย อย่างหาคนเทียบได้ยาก..
มีชายหนุ่มมากมายหลายคนมาติดพันเธอ แต่เธอยังไม่ได้ตกลงปลงใจกับใคร เธอใช้เวลาที่เธอมีค่อยเลือกค่อยเฟ้น..
เธอเชื่อว่าเธอมีเวลามากมาย ซึ่งก็จริง เธอเพิ่งเริ่มต้นวัยสาวของเธอเท่านั้น..
เธอเชื่อว่าจะมีผู้คนเข้ามาให้เธอเลือกมากมาย ซึ่งก็จริง ผู้ชายหลายต่อหลายคนมาวนเวียน พูดคุย ฝากรัก..
เธอจะเลือกใครดี เธอเองก็ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เหมือนกัน..

วันหนึ่งเธอได้มรดก เป็นที่ดินผืนหนึ่งแถบเนินเขา เธอตั้งใจใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น เธอปลูกบ้าน หนุ่มๆที่มาติดพันเธอทุกคนย่อมมาช่วยเธอปลูกบ้าน..
บ้านเธอหลังเล็กๆดูน่ารัก มีพื้นที่โดยรอบกว้างใหญ่ สนามหญ้าสีเขียว เธออยากหาใครมาอยู่ด้วยกับเธอสักคน แต่ใครล่ะ..
ฉันว่าพื้นที่บ้านฉันดูโล่งๆนะ เธอปรารภในวันหนึ่ง
ในวันรุ่งขึ้น ดอกไม้มากมายถูกส่งมาที่บ้านเธอ
..ธรรมดาเธอก็ได้ดอกไม้มากมายอยู่แล้วหละ มากจนเธอต้องทิ้งไปวันต่อวันด้วยไม่มีที่เก็บ แต่นับตั้งแต่วันที่เธอปรารภ ดอกไม้ที่เธอได้ก็เปลี่ยนไป บ้างมาพร้อมกับกระถาง บ้างก็มาพร้อมกับเมล็ดพันธุ์..

เธอบอกให้พวกเขาปลูกได้ตามสบาย เพราะสนามบ้านของเธอนั้นกว้างมากอยู่แล้ว มันคงไม่เต็มได้ง่ายนัก ซึ่งก็จริง..
ไม่นานนัก บ้านของเธอก็เปลี่ยนไป ทุกครั้งที่เธอมองออกมาจากหน้าต่าง ดอกไม้มากมายบานสะพรั่งให้เธอเห็น ขาว เหลือง แดง ชมพู ม่วง แข่งกันบาน แข่งกันเพื่อที่ได้รับความสนใจจากเธอ..

วันหนึ่งเธออกมาเดินเล่นเพื่อชมดอกไม้เหล่านั้น ท่ามกลางพุ่มดอกไม้ เธอเห็นต้นไม้บางอย่างแทรกอยู่ นี่มันไม่ใช่ดอกไม้นี่นา..

เมื่อเธอสำรวจโดยรอบ เธอพบว่ามีต้นไม้ที่ไม่ใช่ดอกไม้นี้แทรกอยู่ทั่วบริเวณบ้าน มันเป็นจำพวกไม้ยืนต้นทั้งหลาย นั่นมะม่วง เธอรู้จัก นั่นต้นคูนเธอรู้ และอีกหลายต่อหลายต้นที่เธอไม่รู้จัก ใครกันนะที่ทะลึ่งเอาต้นไม้พวกนี้มาปลูกไว้..

ใครเอาไม้ยืนต้นน่าเกลียดพวกนั้นมาปลูกในบ้านฉันน่ะ เธอถามกับเหล่าหนุ่มๆ ทั้งหมดชี้ไปที่ชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวปอนๆ ยิ้มซื่อๆ ดูท่าทางเฉยๆ ถึงเขาไม่ใช่คนที่เธอสนใจน้อยที่สุด แต่ก็เกือบ..

เธอเอาต้นไม้พวกนั้นมาปลูกไว้ทำไม เขาหัวเราะเก้อๆ
คุณรับปากกับผมไหมล่ะว่าจะไม่ถอนมันออก
ฉันไม่ถอนมันออกก็ได้ แต่เธอห้ามเอามันมาปลูกเพิ่มแล้ว ตกลงไหม
อีกห้าต้นเอง ได้ไหม ห้าต้นก็จะครบตามที่ผมตั้งใจแล้ว
..เธอปฏิเสธ แต่ชายหนุ่มก็ยังตื๊อที่จะขอปลูกเพิ่มอีกห้าต้น ในที่สุดเธอก็อนุญาติอย่างเสียไม่ได้..
..นับแต่นั้น เขาก็ไม่ได้รับความสนใจจากเธออีกเลย..

วันนี้ ห่างจากวันนั้นเกือบยี่สิบปี เธอแต่งงานมาสองครั้ง ล้มเหลวทั้งสองครั้ง เธอเลือกคนที่ปลูกดอกไม้ที่สวยที่สุดให้เธอ แต่นับตั้งแต่เธอเลือก เขาก็เลิกปลูกดอกไม้ เลิกแม้แต่จะใส่ใจพรวนดิน อีกคนหนึ่งที่เธอเลือกก็ไม่ได้แตกต่างกันนัก..

..เธอเพิ่งรู้ ว่าดอกไม้นั้นเหี่ยวเฉาง่ายเพียงใด..

วันนี้ เธออยู่ตัวคนเดียว ดอกไม้ร่วงโรยไปหมดแล้ว ด้วยไม่มีใครปลูกเพิ่ม ไม่มีใครใส่ใจที่จะดูแล ทุกครั้งที่เธอมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอจะพบเพียงดอกคูนเหลืองอร่ามที่สะพรั่งในหน้าร้อน ดอกตะแบก ดอกหางนกยูงที่บานสลับกันไปแต่ละฤดูกาล ต้นมะม่วงตรงมุมสวน ต้นชมพู่ข้างหน้าต่าง ที่บ่อยครั้งเธอได้เก็บผลของมันมากินเล่น รวมถึงไม้ที่ให้ร่มเงาอีกหลายต้นที่เธอไม่เคยสนใจที่จะรู้จักชื่อ..

และเธอก็หวนนึกถึงเขาคนนั้น

เขารู้ดีว่าคงไม่ได้เป็นคนที่ถูกเธอเลือก  แต่เขาก็ยังตั้งหน้าตั้งตาปลูกต้นไม้ของเขาต่อไป ไม่มีคำหวาน ไม่มีดอกไม้ แต่ถึงตอนนี้ เธอเพิ่งได้ยินคำหวานของเขาในวันที่เธอมองต้นไม้เหล่านั้นแกว่งไกวท่ามกลางสายลม..

.. ผมอยากให้คุณมีความสุขตลอดไป ไม่ว่าคุณจะเลือกใครก็ตาม..

ตอนนี้เธอเข้าใจแล้ว ว่าทำไมเขาจึงไม่ปลูกดอกไม้..

เธอเข้าใจแล้ว ว่าใครที่รักเธอ..
				
7 กรกฎาคม 2547 11:10 น.

เรียงความเรื่องความรัก..

หมอกจาง

ผมลงเรียนวิชาภาษาไทยเป็นวิชาเลือก กะจะเก็บเอเห็นๆ เพื่อนกี่คนกี่คนที่มาลงมันได้เอกันทั้งนั้น ยิ่งลงตอนซัมเมอร์ด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง
 เอแน่ๆ เพื่อนมันย้ำ..

ตอนที่เริ่มเรียนอาจารย์บอกว่าจะไม่มีสอบปลายภาค แต่จะเก็บคะแนนโดยการเขียนเรียงความหนึ่งบท ความยาวไม่จำกัด ผมก็ยิ่งดีใจ ไม่ต้องอ่านหนังสือ เย้.. หัวข้อเรียงความอาจารย์ให้ทุกคนเขียนหัวข้อที่ตัวเองอยากเขียนลงกระดาษสี่เหลี่ยมเล็กๆส่งมาให้อาจารย์ ผมก็คิดหัวข้อที่ว่ามันน่าจะง่ายสำหับผมที่จะโม้แล้ว 
คนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่
นั่น.. วัตถุดิบก็พอมีในมือ เอางานของรุ่นพี่มาแก้ๆหน่อยก็ส่งได้แล้ว.. หวาน

แต่ปรากฏว่าอาจารย์เอากระดาษที่ผมส่งให้ไปม้วนๆแล้วยัดลงกล่องคุ้กกี้ลายการ์ตูนของแก แล้วทำแบบเดียวกันกับของนักศึกษาคนอื่นๆทุกคน
เอ้า ออกมาจับฉลากกัน อ้าว.. 

ทุกคนทยอยลุกไปจับ ใครจับได้หัวข้อไหนให้อ่านออกเสียงด้วย หัวข้อของผมถูกจับไปเป็นอันแรกเลย.. ผมออกไปจับฉลากเป็นคนที่สี่เปิดมาเป็นหัวข้อ 
ความรัก..
 ให้ตายสิ.. นี่ใครมันตั้งหัวข้อนี้ฟะ มันต้องเป็นใครสักคนที่กำลังมีโลกสีชมพูอยู่แน่ๆ
คราวนี้มันก็เป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับผมละ ไอ้หัวข้อนี้งานเก่าของรุ่นพี่ก็ไม่มีให้ก็อปเสียด้วย ผมคงต้องเขียนเอง.. เฮ้อ..แล้วความรักมันคืออะไรล่ะเนี่ย

..ว่าจะไม่ต้องเข้าห้องสมุด แต่สุดท้ายก็ต้องเข้าจนได้..

ผมได้นิยามของความรักหลายๆอันจากห้องสมุด .. นิยายบ้าง พวกหนังสือฮาวทูบ้าง

ความรัก คือการให้.. นี่ฟังเข้าท่า.. แต่ถ้าเราไม่มีอะไรจะให้ล่ะ..ผมสงสัย ย่อหน้าถัดมาก็ตอบข้อสงสัยผมพอดี..
.. สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้คนที่เรารักคือความรัก..
เอ้อ..ความรักคือการให้ ให้อะไร ให้ความรัก.. นี่คนเขียนเค้างงหรือผมโง่กันแน่เนี่ย.. มันไม่ได้กระจ่างอะไรขึ้นมาเลย

ความรักคือการเสียสละ เอ.. ก็ดูดีนะ แต่ผมว่าผมก็เคยเสียสละที่นั่งบนรถเมล์ให้ใครก็ไม่รู้ที่ผมไม่ได้รัก เพียงแค่เค้าแก่.. แค่นั้นเอง

ความรักคือการจริงใจ อืมม..เวลาผมไปบอกรักใครผมก็ว่าผมจริงใจนะ แต่ก็มักจะได้รับคำตอบที่จริงใจกลับมาเสมอว่า.. เราไม่รักนายหรอก.. อ้าว

รักคือคำๆนี้ คำไหนล่ะ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ที่แปลว่ารักมันคนละคำนะ..

และอื่นๆอีกมากมาย แต่ผมว่ามันยังไม่ใช่นี่นา..

แล้วในความคิดผมล่ะ สำหรับผม..อืมม ความรักคือการแสวงหา หาคนที่จะมาเอาความรักไปจากเราเสียที คือพร้อมจะให้น่ะ ใครน่ารักมาวนมาเวียนใกล้ๆ ก็จะทั้งเสนอ แอบแง้มๆไว้ให้เห็น ประกาศโต้งๆ หรือแม้กระทั่งยัดเยียด แต่ก็ยังไม่มีใครใจกล้าจะรับมันไปเสียที ถ้าเปรียบเป็นเพลงก็คงจะมีแค่ท่อนอินโทร ยังไม่ทันได้เข้าเนื้อ เฮ้อ..ดูท่าทางผมคงต้องออกไปสัมภาษณ์ผู้มีประสบการณ์ตรงเสียแล้วกระมัง..

ความรักก็คือเซ็กส์ ไอ้ดุลย์จอมเจ้าชู้ยิงคำตอบโครมหลังจากผมถามความเห็นมันเรื่องความรัก
เฮ้ยๆ ไม่มั้ง ถึงผมจะไม่รู้อะไรกับความรักนัก แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่าคำตอบของไอ้ดุลย์มันไม่ถูกแน่ๆ มึงลองคิดดีๆใหม่
ความรักก็คือเซ็กส์ มันยังย้ำคำเดิม ถ้าเค้ารักเรา เค้าก็จะยอมมีอะไรกับเรา ถ้าเค้าไม่ยอมมีอะไรกับเราแสดงว่าเค้าไม่รักเรา ง่ายจะตาย.. เออ..ท่าทางจะเปลี่ยนความคิดมันยาก แต่ผมก็จดคำตอบของมันไว้สักหน่อย ไหนๆก็มาถามมันแล้ว ..ความรักก็คือเซ็กส์..

แนน เป็นคนต่อไปที่ผมถาม เธอถามกลับมาว่าไปถามใครมาแล้วบ้าง แล้วเค้าตอบว่ายังไงกัน ผมก็บอกคำตอบของไอ้ดุลย์มันไป
จะบ้าเหรอ ความรักมันคนละเรื่องกับเรื่องอย่างว่านะ ไม่เกี่ยวเลย แนนขึ้นเสียงสูงปรี๊ด 
สำหรับแนนนะ แนนถือว่าถ้าเค้ารักเราจริงเค้าต้องให้เกียรติเรา ต้องรอได้ ความรักมันเป็นเรื่องบริสุทธิ์นะ ไอ้เรื่องเซ็กส์น่ะเป็นความใคร่ คนละเรื่องเลย
เอาละสิทีนี้ ผมถามแค่สองคน คำตอบก็ไปคนละขั้วแล้ว แล้วนี่ผมจะเขียนเรียงความของผมยังไงล่ะ..

เดช เดชมันเป็นเมทผม ช่วงนี้กำลังมีความรักอยู่ทีเดียว
อาราย มันตอบไม่เงยหน้า ง่วนอยู่กับการเขียนการ์ดอะไรสักอย่างให้แฟนมัน
มึงว่าความรักคืออะไรวะ
ความรัก.. มันทำตาลอยๆ ความรักคือความสวยงาม คือความอ่อนโยนละมุนละไม คือความสุขที่ถูกรัก คือความสุขที่ได้รัก ผมจดตามมันยิกๆ
คือแสงแดดยามเช้าที่ส่องเข้ามาในชีวิต คือเสียงนกร้องในวันที่แดดแจ่มใส คือไฟให้ผิงในวันที่เหน็บหนาว คือการมีใครให้คิดถึงเวลาก่อนนอนและเวลาตื่น คือ..
เฮ้ย..เดช กูจดไม่ทัน 
มันชะโงกหน้ามาดูที่ผมจด
มึงจะจดเอาไปทำไมล่ะ
เอาไปเขียนเรียนความ
กูเขียนให้แมะ อารมณ์นี้กูเขียนได้เป็นหน้าๆเลยหละ ผมชั่งใจ อ่านทบทวนไอ้ที่ผมจดจากมันอีกรอบนึง
อย่าดีกว่า เกรงใจว่ะ 
จริงๆแล้วผมกลัวน่ะ เกิดอาจารย์แกไม่อินกับอารมณ์กวีไหวหวานของไอ้เดชมันผมจะตกเอาเสียเปล่าๆ

ป้าคนทำความสะอาดกวาดเศษผงยิกๆอยู่ใต้ถุนหอ.. แกเกาคางแกรกเมื่อผมถาม
ความรักคือภาระ
หา.. นี่มันเป็นคำตอบที่เหนือความคาดหมายอยู่สักหน่อย
ก็พอรักกันก็มีลูก มีลูกก็ต้องเลี้ยง นี่ลูกก็เข้าโรงเรียนก็ต้องหาเงินส่งมัน ไอ้ผัวรึก็มาป่วยเข้าโรงบาล ก็ต้องหาเงินมาเยียวยาอีก รู้งี้อยู่ตัวคนเดียวก็ดี ไม่น่าริอยากมีผัว แกบ่นยาว..

ออย สาวหน้าหวานที่เพิ่งอกหักเป็นคนสุดท้ายที่ผมไปถาม
ความรักคือสิ่งหลอกลวง
ไม่หรอกมั้งออย ลองคิดถึงตอนที่ยังรักกันสิ ผมกระตุ้นเผื่อจะได้คำตอบที่เอาไปเขียนได้หน่อย
งั้นก็คือความเจ็บช้ำ
ไม่สิ ถ้ามันคือความเจ็บช้ำแล้วเค้าจะมีความรักกันทำไมล่ะ ผมค้าน
ก็เค้ายังไม่รู้ไงว่ามันคือความเจ็บช้ำ อ้าว..คอยดูนะ ต่อไปเราจะไม่รักใครอีกแล้ว
..เฮ้อ..

ผมเอาไอ้สิ่งละอันพันละน้อยที่จดจากคนโน้นคนนี้ทีมากองไว้ตรงหน้า อ่านมันตั้งหลายรอบผมก็สรุปให้มันลงเป็นเนื้อเดียวกันไม่ได้สักที ต่างคนก็ต่างกันไปคนละทาง นี่อีกสามวันข้างหน้าผมต้องส่งเรียงความแล้ว ผมจะทำยังไงกับมันดีล่ะเนี่ย..

ผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาอาจารย์คนนึงที่ผมสนิท แกสอนคณิตศาสตร์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับภาษาไทยหรอก แต่ผมมืดแปดด้านแล้วจริงๆนี่..
คงเพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์ตรงกับความรักแน่เลย ผมบ่นให้แกฟังถึงปัญหา
ทำไมถึงคิดว่าไม่มีประสบการณ์ตรงล่ะ
โธ่ อาจารย์ ก็ผมไม่เคยมีแฟนนี่ครับ ผมโอด อาจารย์มองหน้าผม แล้วยิ้ม ส่ายหัว
มันไม่เกี่ยวกับมีแฟนหรือไม่มีแฟนหรอกนะ แกชี้ให้ผมดูคนขวักไขว่ไปมาหน้าตึกเรียน ชี้เลยไปถึงต้นไม้ ถึงหมาที่วิ่งอยู่แถวนั้น..
อาจารย์ว่าทุกอย่างที่เคลื่อนไหวไปมาให้เราเห็นเนี่ย มีความรักเป็นแรงผลักดันทั้งนั้นแหละ ผมมองตามนิ้วแก
ดูแค่ความรักระหว่างคนละกัน ง่ายๆ ความรักไม่ใช่จำกัดแค่หนุ่มสาว
ความรักของพ่อ ของแม่ ผมตอบตามสเต็ปเด๊ะ
ใช่แล้วแกก็ถามผมต่อ ทำไมเธอถึงมาหาอาจารย์เวลามีปัญหา แล้วทำไมอาจารย์ถึงต้องตอบปัญหาให้เธอทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ ผมนิ่งคิด แต่ยังหาคำตอบเหมาะไม่ได้
เธอลองไปนั่งดูความรักรอบๆตัวเธอดูแล้วกัน ดูนิ่งๆ ไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่ต้องนิยาม บางครั้งความรักอาจเชื่อมโยงถึงหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วบางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็เชื่อมโยงถึงความรัก.. 
แกทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ทิ้งให้ผมงงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง..

ผมใช้เวลาหมดไปวันนึงกับการเฝ้าดูคน ดูป้าแม่บ้านนับเงินด้วยท่าทางกังวลใจ ดูไอ้เดชอี๋อ๋อกับแฟน ดูสาวออยแอบร้องไห้อยู่ตรงมุมตึกหลังจากคุยกับคนรักเก่า ดูโดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับความรักเลยว่ามันคืออะไรกันแน่ แต่เหมือนว่าทั้งหมดทั้งสิ้นมันตกตะกอนในยามที่ผมหลับ หรือบางทีอาจเพราะคำพูดของอาจารย์ที่ผมคิดทบทวนไปมาก่อนนอน 
บางครั้งความรักเชื่อมโยงถึงหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วบางครั้งหลายสิ่งหลายอย่างก็เชื่อมโยงถึงความรัก.. 
ผมตื่นขึ้นมาพร้อมกับความเข้าใจ..  หรืออย่างน้อย ผมก็คิดว่าผมเข้าใจ ว่าความรักคืออะไร..

ความรักไม่ใช่สิ่งเดียวกับความใคร่ และก็ไม่ใช่สิ่งตรงกันข้าม ความรักไม่ใช่ทั้งความสวยงามและความเจ็บปวด และ ความรักไม่ใช่ทั้งภาระ และไม่ใช่ทั้งอิสระ..
แล้วความรักคืออะไร..
ความรัก ก็คือ ความรัก
ไม่ใช่ความห่วงใย เพราะความห่วงใยก็คืออีกสิ่งหนึ่ง 
ไม่ใช่ความผูกพัน เพราะความผูกพันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่ง 
ไม่ใช่การผูกมัด เพราะการผูกมัดเป็นเพียงการพยายามรูปแบบหนึ่งที่จะให้ความรักอยู่กับเรานานที่สุด
ไม่ใช่ภาระ เพียงแต่เรารับเอามาเป็นภาระก็เพราะความรัก
ไม่ใช่ความเจ็บปวดใดๆ เราเจ็บปวดเพราะเราสูญเสียความรัก
และเช่นกัน ตัวความรักไม่ใช่ความสุข เราสุขก็เพราะเรามีความรัก..

ความรักอาจก่อให้เกิดสิ่งต่างๆมากหลาย อ่อนโยน ห่วงใย ผูกพัน คิดถึง หวงแหน และปวดร้าวยามสูญเสีย..
และเช่นกัน มีสิ่งต่างๆมากมายที่ทำให้เกิดความรัก ความใกล้ชิด ความเข้าอกเข้าใจ ความเห็นใจ ความพึงพอใจ แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ใช่ความรักเช่นกัน

ความรัก คือ ความรัก คือคำพื้นฐานที่สุดคำหนึ่งในภาษาของมนุษย์ เหมือนกับ คำว่า หิว โกรธ สุข ทุกข์ ที่เรารู้ความหมายมันแจ่มแจ้ง รู้ได้จากภายใน โดยไม่สามารถหาคำอื่นใดๆจะมาอธิบายความหมายได้ชัดเจนไปกว่าตัวของมันเองอีกแล้ว..

ผมส่งเรียงความของผมไปเรียบร้อย ส่งด้วยความเชื่อมั่นว่าผมเข้าใจสิ่งที่ผมเขียนลงไปอย่างแท้จริง..
และนี่คือเนื้อหาทั้งหมดของเรียงความนั้น


                                           ความรัก.



ครับ ผมส่งคำว่าความรักไปคำเดียว..
เฮ้อ.. ตกแหงๆ				
2 กรกฎาคม 2547 11:02 น.

..

หมอกจาง

..หน้านี้ย้ายไปแล้วครับ.. :)				
27 เมษายน 2547 12:43 น.

รถรางเที่ยวสุดท้าย..

หมอกจาง

ผมยืนรอรถรางอยู่เงียบๆ รถรางเที่ยวสุดท้ายที่จะพาผมกลับที่พัก.. อากาศยามดึกหนาว แสงไปสลัวๆตรงสถานีรถรางเล็กๆแห่งนี้ยิ่งดูเหมือนจะขับให้อากาศยิ่งหนาว ยิ่งเหงาเพิ่มมากขึ้น..

ผมเพิ่งกลับจากบ้านเพื่อน.. ถ้าพูดกันจริงๆต้องเรียกว่าคนรักมากกว่า วันนี้ผมกลับดึกกว่าทุกๆวัน เพราะกว่าจะไปถึงที่นั่นก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว ผมไปเพียงเพื่อพูดอะไรกับเธอแค่สองสามคำ ตอนที่ผมไปถึง เธอนอนหลับไปแล้ว แต่ยังมีเพื่อนอีกคนของเธอที่เช่าบ้านอยู่ด้วยกันที่ยังตื่นอยู่.. ด้วยความคุ้นเคย ผมเข้าไปหาเธอในห้อง เธอหลับทั้งๆที่ไฟยังเปิด มือยังแตะอยู่ที่โทรศัพท์มือถือที่ข้างหมอน บางทีเธออาจยังรอข้อความ ราตรีสวัสดิ์ จากผม ข้อความที่ผมส่งให้เธอทุกทุกคืน ยกเว้นคืนนี้..
ราตรีสวัสดิ์นะ 
ผมลูบผมเธอเบาเบา จูบตรงหน้าผาก ตรงที่ไรผม.. ก่อนจะออกมาจากห้องเธอ เอ่ยคำร่ำลากับเพื่อนเธอ ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจฟังที่ผมพูดเท่าไร..

จากนั้นผมก็มุ่งหน้ามาที่สถานีรถรางแห่งนี้ ที่ผมนั่งกลับอยู่บ่อยๆในวันที่มาแวะนั่งคุยกับเธอจนดึกดื่น แต่ก็ไม่เคยดึกเหมือนอย่างวันนี้ เมืองเล็กๆที่ออสเตรเลียแห่งนี้ ไม่ได้มีรถเมล์วิ่งทั้งคืนเหมือนกรุงเทพฯ ถ้าดึกนักก็จะต้องพึ่งบริการรถราง ที่ผมก็ได้แต่หวัง ว่ายังทันรถเที่ยวสุดท้าย..
 
เมืองเล็กๆนี้สงบจนผมนึกรัก อาชญากรรมมีน้อย และแทบไม่มีการเหยียดผิวเหมือนเมืองใหญ่ๆ แต่คำว่าแทบไม่มีนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี..

ขณะคิดอะไรอยู่เพลินๆ เสียงหวูดรถรางก็ดังถี่ใกล้เข้ามา ผมสะดุ้งขึ้นสุดตัว เตรีมยกมือขึ้นโบกให้จอด แต่รถรางชลอลงเสียก่อนที่จะโบก โชคดี ที่มีคนลงป้ายนี้พอดี..
รถออกแล้ว ผมรู้สึกผ่อนคลายไปเยอะ จริงๆถ้าพลาดรถเที่ยวนี้ ผมก็ยังพอจะมีวิธีอื่นที่จะกลับบ้านได้อยู่ แต่วันนี้ผมอยากกลับรถรางสายที่ผมคุ้นเคยนี่นา.. คนขายตั๋วเดินผ่าน ผมใช้ตั๋วชนิดที่ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ทั้งวัน จึงไม่มีปัญหาอะไร..

บ้านของผมอยู่ที่สถานีปลายทางพอดี อยู่ใกล้ๆกับทะเล เธอคนนั้นมาเที่ยวอยู่บ่อยๆ มีหลายครั้งที่ผมมารับเธอแล้วนั่งรถรางไปด้วยกัน แรกๆเธอตื่นเต้น เฝ้ามองข้างทางจนไม่ได้ฟังว่าผมพูดว่าอะไร จนผมอดไม่ได้ที่จะค่อน
นี่..ทำเหมือนเด็กๆถูกพามาเที่ยวเลยนะ
อ้าว.. ก็คนเค้าไม่เคยขึ้นรถรางนี่นา ทุกทีนั่งแต่รถเมล์ ไม่เหมือนบางคนนี่ นั่งแทบทุกวัน..
อือ.. ไม่รู้ไปคุยกับใครจนตกรถเมล์ ต้องนั่งรถรางกลับบ้านทุกที .. เธอยิ้ม..แล้วเอาแก้มมาซุกตรงหัวไหล่..

 มีอยู่ครั้งนึง เรานั่งถัดไปด้านหน้าจากตรงนี้สามช่วงเก้าอี้ ตรงหน้าต่างที่ปิดไม่ลงเพราะมันเสีย..
หนาวนะ วันนั้นเธอบ่น
มา เดี๋ยวจัดการให้ ผมพยายามปิดหน้าต่าง แต่มันก็ปิดไม่ลง ฝรั่งที่นั่งด้านหลังเอื้อมมาช่วย ก็ยังไม่สำเร็จ จนคนขายตั๋วต้องเดินมาบอก
มันปิดไม่ลงหรอก มันเสีย
วันนั้นที่นั่งอื่นก็มีคนนั่งเต็มหมด เธอที่ใส่แค่เสื้อยืดแขนยาวมาก็หนาวจนต้องห่อตัว..
เอ้า..เอาไปใส่ก่อน ผมถอดแจ็คเก็ตให้
แล้วตัวเองไม่หนาวเหรอ
ไม่เท่าไรหรอก ใส่ไปเหอะ เธอรับไปใส่แต่โดยดี ผมชอบดูตอนเธอสวมแจ็คเก็ตตัวนั้นของผม น่ารักดี..
แน่ใจนะว่าไม่หนาว เธอถามหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก หลังจากเห็นผมในเสื้อยืดแขนสั้นตัวเดียวนั่งห่อตัว
หนาวเหมือนกันแหละ เออ..นี่
หืมม
ขออะไรอย่างนึงสิ
อะไรล่ะ เธออมยิ้มมองหน้าห้ามขอเสื้อคืนนะ ไม่ให้ด้วย
ขอว่าวันหลังช่วยเตรียมเสื้อกันหนาวมาหน่อยนะ มันหนาว
.. เธอหัวร่อกิ๊ก.

เรื่องโน้น เรื่องนี้ เหมือนจะมีเรื่องเล็กๆน้อยๆในทุกสถานีที่ผมนั่งผ่าน เรื่องของเธอคนนั้น เรื่องของเรา..

ใกล้สถานีปลายทางแล้ว ทุกครั้งที่เธอมา เราจะต้องมาเดินเล่นริมทะเล ไม่รู้ว่าทำไม จนเธอล้อว่าช่วงหลังพาเธอมาเดินบ่อยจนเธอจะจำทรายได้ทุกเม็ดอยู่แล้ว..

แล้วรถรางก็จอดตรงสถานีสุดท้าย ตรงปลายทาง..

เราชอบตรงปลายสะพานนี่จัง เธอเคยพูดไว้ในวันหนึ่ง ถัดจากสถานีรถไฟไปนิดหน่อยมีสะพานยื่นลงไปในทะเล สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาเดินเล่น ถ้ายืนตรงปลายสะพานแล้วมองออกไปจะเห็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตา ยิ่งเวลาพระอาทิตย์ตกยิ่งสวยจนดูได้ไม่รู้เบื่อ..

เมื่อตอนค่ำก่อนไปบ้านเธอผมก็มายืนตรงนี้แหละ มืดมากมืดจนมองไม่เห็นทะเล แต่เงยหน้าขึ้นไปบนฟ้า ดาวจำนวนนับไม่ถ้วยแข่งกันส่องแสง ชัดเสียจนผิวน้ำทะเลสะท้อนแสงดาว บนสะพานแห่งนั้นก็เงียบมาก ไม่มีใครสักคน ผมดื่มด่ำกับความสงบอยู่นาน จนกระทั่ง..
เฮ้..เพื่อน มีเงินสักสองสามเหรียญไหม ชายสองคน ท่าทางเมาได้ที่ แต่งตัวปอนๆมอๆ น่าจะเป็นพวกที่ขี้เกียจทำงานที่คอยแบมือรับสวัสดิการรัฐเพื่อเลี้ยงชีพ.. ผมปฏิเสธ แต่สองคนนั้นก็ยังเซ้าซี้ ผมตัดสินใจเดินหนี ท่าทางวันนี้จะเสียบรรยากาศหมดแล้ว..
เฮ้ย หนึ่งในนั้นกระชากไหล่ ทำยังงี้ได้ไงวะ.. เดินหนี มันถ่มน้ำลายลงพื้น
พวกเอ็งน่ะเข้ามาอาศัยประเทศกูอยู่ พวกเหลือบผิวเหลือง ขอเงินแค่นี้ก็ไม่ได้เหรอ มันผลักผมกระเด็นติดรั้วสะพาน อีกคนพยายามมาค้นกระเป๋าเงิน ผมสะพัดแขนไปโดนเบ้าตามันอย่างแรง นั่นทำให้มันโกรธ..

มีคนเคยถามว่าความรักมีสีอะไร บางคนบอกสีชมพู บางคนบอกแดง สำหรับผม ความรักไม่มีสี ความเป็นมิตรไม่มีสี สิ่งดีๆที่เรามอบให้คนอื่นไม่เคยมีสี สิ่งเดียวที่มีสีคือความเกลียดชัง เราสามารถรักได้โดยไม่ต้องแบ่งแยก มีเพียงความเกลียดชังเท่านั้น ที่มองหาการแบ่งแยก..

..ผมจำได้ว่าถูกซ้อม ซ้อมอย่างหนักจนหมดสติ คลับคล้ายว่าถูกโยนลงทะเลตรงปลายสะพาน..
..ร่างของผมคงยังจมอยู่ตรงนั้น น้ำอาจพัดมันเคลื่อนไปบ้าง แต่คงไม่ไกล..

.. อย่างน้อยผมก็ยังอยากเอ่ยคำอำลาเธอ เธอคงจะรับรู้มันได้แม้ว่าเธอจะหลับอยู่ แม้ว่าจะไม่มีข้อความ  ราตรีสวัสดิ์ ในโทรศัพท์ของเธอในยามที่เธอตื่นขึ้นมาก็ตาม..				
23 กุมภาพันธ์ 2547 12:49 น.

ทะเล..ดนตรี..นกขาเดียว..อิสระ..ความฟุ้งซ่าน

หมอกจาง

ฉันนั่งอยู่ที่ริมทะเล บ่ายค่อนเย็น ท้องฟ้าใส เมฆขาวบางๆ เป็นหย่อมๆ แต่อยู่คนละซีกฟ้ากับดวงอาทิตย์ แดดจึงดูจัดจ้า..

ข้างกาย นกนางนวลตัวหนึ่ง ยืนอยู่บนขาเพียงข้างเดียว เมื่อฉันมองอย่างพินิจ จึงเห็นว่าขาอีกข้างของมันถูกรัดไว้ด้วยเชือก ส่วนที่อยู่ใต้เชือกลงไป ดูบวมเป่งและสีค่อนข้างคล้ำ มันไม่สามารถยืนด้วยขาข้างนั้นได้ ใครบางคนคงผูกขามันไว้ เมื่อยามที่มันหลุดมา เงื่อนยังคงคาอยู่ที่เท้า ทำให้มันเป็นนกขาพิการ..

สายลมพัดแรง เจ้านกตัวนั้นยืนอยู่อย่างสงบ มองไปที่ดวงตา ดวงตาของมันดูเศร้า เศร้ากว่านกนางนวลตัวอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด บางทีมันคงทนทุกข์ทรมานกับเงื่อนที่ขามันมานาน กว่าที่จะยอมรับมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นมันใช้ขาข้างที่บวมเป่งนั้นเกาหัว แทนที่จะใช้ข้างดี แต่ก็ขำตัวเองทีหลัง เพราะถ้าใช้ขาข้างดีที่ยืนอยู่ไปเกา หัวมันคงทิ่มไปกองกับดินกันพอดี..

คลื่นม้วนตัวโถมเข้าใส่ฝั่ง เป็นการเคลื่อนไหว เป็นการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาโดยไม่เคยหยุดนิ่ง เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้น โดยไม่เคยเปลี่ยนแปลง..

ผืนทรายร่วน ค่อนข้างเรียบ เรียบจนเห็นรอยเท้านกนางนวลที่เดินไปมา แต่รอยนั้นไม่นานก็เลือนด้วยลมกลบ อาจกลบเอาความตั้งใจของนกนางนวลบางตัว ที่อยากทิ้งรอยเท้าไว้บนผืนทราย ในฐานะผู้ผ่านทาง..

เสียงผู้คนหัวเราะ พูดคุย หยอกเย้า บ้างเป็นคู่รัก บ้างมาเป็นครอบครัวพ่อแม่ลูก บ้างมากันกับกลุ่มเพื่อน ฉันมาเพียงคนเดียว ดังนั้นความคิดฉันจึงพูดอะไรเพ้อเจ้อได้มากมายกว่าใครๆ.. ไม่บ่อยนักที่ฉันมาที่นี่ ทั้งที่มันไม่ได้ไกลนักจากที่พัก ชีวิตฉันมีแต่งาน กับงาน ฉันทำงาน และปล่อยให้กาลเวลาลบเลือนในสิ่งที่ฉันทำ..

เจ้านกขาเดียวตัวนั้นกระพือปีกขึ้นบินไปบนฟ้า ฉันมองตาม มันดูไม่ต่างอะไรเลยจากนกนางนวลตัวอื่นๆในยามที่มันอยู่บนฟ้า บางทีถ้าเลือกได้ มันคงไม่อยากลงมาอยู่บนดินนัก บินไปเรื่อยๆ บิน.. เท่าที่แรงจะพอมีพอไหว เพื่อหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดในยามที่ลงยืนผ่อนพัก..

ฉันลุกขึ้นจากที่ที่นั่งอยู่ ใกล้ได้เวลากลับบ้าน ทำงานที่คั่งค้างอยู่ บางทีไม่ใช่ว่ามันเป็นงานที่กินเวลา แต่คล้ายกับว่าฉันใช้มันเพื่อค่อยกินค่อยผลาญเวลาฉันให้หมดไปเสียมากกว่า แต่มันก็เป็นความภาคภูมิใจ อย่างน้อยฉันก็มีงาน งานที่ฉันทำมันได้ดี..

เสียงดนตรีแว่วจากลำโพงบริเวณชายหาดด้านข้างๆ เงี่ยหูฟังจำได้ว่าเป็นเพลง Sweet home Alabama ของ Lynerd Skynerd  หยุดฟังจึงได้เห็นว่ามีผู้ชายสองคนเล่นดนตรีอยู่ คนหนึ่งร้อง อีกคนหนึ่งเล่นกีตาร์ เครื่องดนตรีที่เหลือคงใช้โปรแกรมช่วย.. คนร้องร้องเพลงแนวนี้ได้ดีมาก เป็นฝรั่งท้วมๆตัวใหญ่ๆ ส่วนมือกีตาร์ก็ฝีมือดีทีเดียว ทั้งสองคนอายุน่าจะเลย 35 ไปแล้วทั้งคู่  จากหยุดยืนฟัง พอหลายเพลงเข้าก็เริ่มนั่ง ฝรั่งหลายคนรอบๆก็นั่งฟังกลางแสงแดดตอนเย็นๆเหมือนกัน..

เพลงเล่นไปเรื่อยๆ คนหยุดฟังหลายคนขึ้น บางคนจับคู่เต้นรำ มีฉากหลังเป็นหาดทรายและผืนทะเล เสียงปรบมือเป่าปาก เมื่อยามโน้ตตัวสุดท้ายแต่ละเพลงจบลง ฉันลืมงาน ลืมทุกอย่าง ดูผู้คนหัวเราะ เต้นรำ ใครต่อใครที่มาหยุดฟังบทเพลงและตบมือ เท้าฉันค่อยๆขยับเข้าจังหวะ แดดอ่อนลงเล็กน้อย ลมทะเลพัด ทุกอย่างรอบตัวดูกลมกลืน ไร้พิธีรีตองใดๆ..  

และจู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็เกิดขึ้น รู้สึกอย่างไม่มีที่มาที่ไป ไม่มีเหตุผล เหมือนอย่างละนิดละหน่อยจากสิ่งละอันพันละน้อยรอบกาย ค่อยก่อตัวเป็นรูปที่ชัดเจน..

..อิสระ..

บางครั้งอิสระของนกขาเดียว คือการเลือกและร่าเริงที่จะบิน.. เลือกที่จะยอมสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง เพื่อให้ปีกทั้งสองนั้นเป็นอิสระ.. บางครั้งบางที อิสระ อาจไม่ได้มาด้วยการร้องขอ หากแต่ได้มาด้วยการยอมแลก.. เหล่าผู้มีอิสระ ยอมจ่ายบางสิ่งบางอย่างออกไปเพื่อแลกกับมันมา อิสระที่ได้จากการร้องขอให้ผู้อื่นหยิบยื่นจะเรียกว่าเป็นอิสระได้อย่างนั้นหรือ..

น้ำทะเลสีเทาเจือฟ้า พระอาทิตย์เริ่มตก ต่ำลงใกล้ขอบคลื่นที่ไกลโพ้น เสียงดนตรียังคงเริงร่า หญิงสาวสองคนกำลังจับคู่เต้นรำเท้าเปล่าอย่างสนุกสนาน ปมเชือกที่ขาฉันเริ่มคลาย หูแว่วยินเสียงปลายปีกที่ขยับไกว..

เพิ่งสัมผัสได้ถึงความง่ายดายที่จะบิน เพียงความกล้าที่น้อยกว่าการแลกด้วยขาหนึ่งข้างของเจ้านกนั่น				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง