10 กันยายน 2548 08:40 น.

ไอ้หรั่ง..

หมอกจาง


ไอ้หรั่ง..
ฟังเหมือนชื่อเรียกฝรั่งที่มาอยู่เมืองไทย
หรือคนไทยหน้าคล้ายฝรั่ง
หรือลูกครึ่ง..
ผิดหมดครับ..
ไอ้หรั่งมันเป็นหมา

สมัยก่อน ผมเปิดร้านขายของอยู่กับเพื่อน อยู่ที่ใต้ถุนหอพักแห่งหนึ่ง (ขอสงวนนาม..แฮ่ม) ก็ร้านขายของชำที่จะพบได้ทั่วๆไปตามใต้ถุนหอพักนี่แหละ คนที่หอเรียกมันว่าร้านสโตร์ แต่ผมเรียกร้านผมเองว่าร้านโชห่วย ฟังแล้วได้อารมณ์ดี
ตอนนั้นวันๆก็ไม่ค่อยได้ทำอะไรหรอกครับ สลับกับเพื่อนมาเฝ้าร้านขายของ เฝ้าร้านนี่เป็นงานที่น่าเบื่อไม่ใช่เล่น ก็เลยเริ่มพอจะเข้าใจ ว่าทำไมร้านส่วนใหญ่ถึงมักจะมีแต่คนแก่ๆเฝ้าร้านกัน โถ..ให้หนุ่มๆสาวๆมานั่งเฝ้าร้านทั้งวันทุกวัน เฉาตายกันพอดี

แต่ผมก็เฝ้าอยู่ได้หลายปีอยู่ละนะ..

กิจกรรมยามว่างตอนเฝ้าร้านคือดูทีวี อ่านหนังสือ ฟังเพลง บางทีก็นั่งดูลูกค้าสาวๆน่ารักๆให้พอแช่มชื่นหัวใจ หรือไม่ก็นั่งคุยสัพเพเหระกับใครก็ได้ที่มาแวะนั่งคุยด้วย แต่พออยู่นานๆไปที่แวะเวียนมาประจำกลับกลายเป็นแก็งค์เด็กๆที่ไม่รู้ว่ามาติดใจอะไรกันนักหนา ป่วนเสียจนสาวๆหนีกระเจิงหมด ไอ้ครั้นจะไล่เด็กก็ใช่ที่ เดี๋ยวเสียภาพรักเด็กหมด
ทีนี้นอกจากเด็กแล้วยังมีหมาอีก
ไอ้หรั่งนี่แหละครับ..

ไอ้หรั่งเป็นหมาพันธุ์..เอ่อ..อะไรก็ไม่รู้ ตัวใหญ่ๆ หน้าตาทู่ๆ สีขาวสลับดำ ปนกันมั่วป้ายกันไปป้ายกันมาจนไม่รู้จริงๆมันเป็นหมาสีดำแต้มขาวหรือขาวแต้มดำ บางทีขาวก็ไปโผล่บนดำหรอมแหรมสามสี่เส้น ดูเหมือนหมาผมหงอกยังไงไม่รู้
ไอ้หรั่งมันชอบมานอนที่หน้าหอพัก ใกล้ๆโต๊ะยาม บางทีก็ข้ามมานอนหน้าร้านผม หรือบางวันก็หน้ามึนเดินเข้ามาในร้านเลยก็มี..
ถามคนแถวนั้น เขาบอกว่าไอ้หรั่งน่ะมันเป็นหมาของบ้านตรงกลางซอย แล้วทีนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไอ้หรั่งมันไม่นึกอยากอยู่บ้านขึ้นมาซะเฉยๆ ย้ายนิวาสถานมาอยู่ที่หอพัก วันๆนึงก็กลับบ้านสักหนสองหนแล้วก็ออกมาใหม่ ประมาณว่าไม่ให้เจ้าของลืมหน้า ข้าวปลาก็ไม่ค่อยสนใจจะกินที่บ้าน นอนหิวมันอยู่ที่หน้าหอนั่นแหละ ท่าทางเป็นหมาอารมณ์ติสท์เอาเรื่อง

ไอ้หรั่งเป็นหมาไม่เกกมะเหรกเกเร ไม่อันธพาล มันมานอนหน้าหอ หรือนอนหน้าร้านผมก็ตามที มันไม่เคยกัดใครหรือขู่ใคร ก็นอนของมันเฉยๆ มีแต่คนที่จะกลัวกันไปเอง เพราะตัวมันใหญ่ และที่สำคัญหน้ามันไร้อารมณ์

ครับ..ไอ้หรั่งมันเป็นหมาไร้อารมณ์จริงๆ หรืออย่างน้อยก็พอจะพูดได้ว่า มันไม่เคยแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นทางสีหน้าให้ใครเห็น
จะหิว จะอิ่ม ดีใจ เสียใจ ตกใจ แปลกใจ หน้าไอ้หรั่งมันก็เหมือนเดิมตลอด
ผมยังเคยพูดกับเพื่อน ว่าถ้าไอ้หรั่งมันเป็นคนเนี่ย น่าจะจับไปชกมวย เพราะหน่วยก้านดี เก็บอารมณ์โคตรเก่ง เดินตีหน้าเฉยขู่กินเปล่าลูกเดียว
ไม่เฉพาะแต่หน้า เอกลักษณ์สำคัญอีกอย่างของหมาไอ้หรั่งมันก็ไม่เคยแสดงออก

ไอ้หรั่งมันไม่เคยกระดิกหางครับ..

เดินไปไหนมาไหน ไอ้หรั่งมันก็เดินชูหางของมันไปทื่อๆอย่างนั้นแหละ 
บางทีคนที่อยู่บนหอพัก เห็นว่าไอ้หรั่งมันคงจะหิว เพราะข้าวปลาไม่ค่อยสนใจจะกิน หุ่นที่ล่ำก็ดูซูบๆไป เขาก็เอาข้าวมาให้มันกิน ซึ่งไอ้หรั่งมันก็กิน กินด้วยท่าทีไร้อารมณ์เหมือนเดิม หูไม่รี่ หางไม่กระดิก กินอิ่มแล้วก็ไปนอน ที่สำคัญกว่านั้น มันไม่แสดงอาการอะไรพิเศษกับคนที่เอาข้าวเอาขนมมาให้มันด้วย เจอกันวันหลังมันก็ไม่ทักเหมือนเดิม อย่างมากยกหัวมามองนิดนึงแล้วก็นอนต่อ
..ก็เอาข้าวมาให้มันกินเองนี่ ไม่ได้ขอสักหน่อย
ไอ้หรั่งเลยดูไม่ค่อยเหมือนหมาเท่าไรนัก เพราะหมาส่วนใหญ่คนคาดหวังว่ามันจะต้องเป็นมิตรกับคน ต้องรู้คุณคน แต่ไอ้หรั่งมันดูเหมือนจะไม่รู้คุณใคร..

ไอ้จ๊อบ เด็กป.1ที่มาเล่นที่ร้านผมบ่อยๆนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากะไอ้หรั่ง
พี่สโตร์ๆ ช่วยจ๊อบด้วยดิ ไอ้จ๊อบตัวแสบที่ไม่เคยกลัวใคร วิ่งพรวดหน้าตาตื่นเข้ามาในร้านผม
มีอะไร จ๊อบ
ไอ้หรั่งมันไล่กัดจ๊อบ
อ้าว
คือไอ้จ๊อบเนี่ย มันเป็นลูกที่บ้านกลางซอยครับ บ้านไอ้หรั่งนั่นแหละ จะเรียกว่าไอ้จ๊อบเป็นเจ้าของไอ้หรั่งก็ไม่ผิดไปเท่าไรนัก
ไอ้หรั่งนี่มันหมาจ๊อบไม่ใช่หรือไง
ก็ใช่อ่ะดิ จ๊อบมันพูดไปหอบไป
อ้าว แล้วมันไล่กัดจ๊อบทำไม ธรรมดามันไม่เคยกัดใคร จ๊อบมันมองหน้าผม ทำหน้าเหมือนกันผมถามอะไรโง่ๆ
จ๊อบจะไปรู้เรอะ
เออ..ก็จริงของมัน ผมน่าจะไปถามไอ้หรั่งต่างหากนะ

ตอนเย็นๆว่างๆ ผมจะออกไปนั่งรับลมหน้าร้าน บางทีก็หยิบขนมออกไปนั่งกินด้วย มีวันนึง เห็นไอ้หรั่งวนเวียนมาใกล้ๆผมเลยบิขนมในมือเสนอให้
อ้ะ พอยื่นไป ไอ้หรั่งมันก็เล็งๆยื่นจมูกมาดมๆอยู่สักแป๊บแล้วก็งับป๊าบ
เฮ้ยๆ ให้กินหนม ไม่ได้ให้กินนิ้ว แต่ให้อีกชิ้นไอ้หรั่งมันก็งับทั้งขนมทั้งนิ้วเหมือนเดิม ท่าทางจะกินอาหารจากมือไม่เป็น ผมเลยเปลี่ยนเป็นเอาขนมมาวางที่พื้นให้มันกินแทน ไม่อย่างนั้นผมคงจะเสียนิ้วใดนิ้วหนึ่งให้มันไปแน่ๆ
พอขนมหมดมันก็มองหน้า
หมดแล้ว ผมแบมือให้ดู 
ไหนมาลูบหัวทีซิ ที่บ้านผมเลี้ยงหมาค่อนข้างเยอะ ชอบเล่น ชอบลูบหัวกับมันเป็นประจำ พอมาอยู่กรุงเทพ ไม่มีหมาให้ลูบหัวก็เหงามือเหมือนกัน
ผมค่อยๆเอื้อมมือไป ไอ้หรั่งมันก็มอง เหมือนไม่ไว้ใจ..
ผมก็ไม่ไว้ใจเหมือนกันนั่นแหละ หวั่นๆว่ามันจะแว้งเอา แต่ใจนึงก็อยากลองดู
พอมือผมแตะลงบนหัวปั๊บ ไอ้หรั่งมันก็สะดุ้ง ผมก็สะดุ้งชักมือกลับ..
ท่าทางคงไม่ค่อยมีคนกล้าลูบหัวมันสักเท่าไรแฮะ ดูไม่ค่อยชินมือ
ผมค่อยๆเอามือไปวางบนหัวมันใหม่ คราวนี้มันไม่สะดุ้ง แต่หน้ายังไร้อารมณ์เหมือนเดิม
ผมค่อยๆลูบเบาๆ กลัวว่าแรงไปหรือกดไปเดี๋ยวพี่แกไม่พอใจขึ้นมาจะมีเรื่อง
เออ..ยอมให้ลูบแฮะ
วันนั้นไอ้หรั่งมันยอมให้ผมลูบหัวเล่นสักพักมันก็ไป
วันต่อๆมาวันไหนที่ผมออกไปนั่งเล่นหน้าร้าน แล้วไอ้หรั่งอยู่แถวนั้น ผมก็จะไปลูบหัวมันเล่น ซึ่งไอ้หรั่งมันก็ยอมแต่โดยดี โดยที่หูมันไม่รี่ หางไม่กระดิกอยู่เหมือนเดิม
เคยคิด ว่าที่มันยอมให้ลูบเนี่ย มันหวังขนมหรือเปล่า แต่ก็ไม่บ่อย ที่ผมจะมีขนมติดไม้ติดมือออกไปให้มัน ส่วนใหญ่จะลูบหัวมันเฉยๆเสียมากกว่า ระยะหลังไอ้หรั่งมันก็มีทำตาพริ้มๆเหมือนจะเคลิ้มบ้างเวลาถูกรูปหัว แต่ก็อย่างที่บอก ไม่มีอารมณ์ออกทางสีหน้าท่าทางเหมือนเดิม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบางทีไอ้ที่พริ้มๆเนี่ย เป็นเพราะผมลูบดึงหนังหัวมันขึ้นจนตาหยีก็เป็นได้

ส่วนใหญ่ผมปิดร้านดึก ตีหนึ่งตีสองถึงจะได้กลับบ้าน เป็นประจำทุกวัน
ซึงนานๆไปผมก็เบื่อๆกับชีวิตที่ร้านเหมือนกัน
ทุกอย่างเหมือนเดิม เป็นกิจวัตร ลูกค้าไปแล้วก็มา หยิบของ เช็คของ ทำบัญชี มองออกไปก็เห็นแต่ประตูหอ โต็ะยาม แล้วก็ไอ้หรั่งนอนหน้าทื่อ เหมือนเดิมทุกวัน

ซอยที่ร้านผมอยู่จะออกไปถนนใหญ่ค่อนข้างลึกและเปลี่ยว แรกๆก็กลัว พอนานเข้าก็กลัวจนชิน
วันนึง ปิดประตูร้าน เป้ขึ้นหลัง ออกเดินเพื่อที่จะกลับหอพักตัวเอง เดินไปได้สักแป๊บ ก็เห็นไอ้หรั่งวิ่งเหยาะแซงไป
เที่ยวกลางคืนเหรอ ไอ้หรั่ง ก็แซวมันไป เอาเสียงเป็นเพื่อน แต่ถ้ามันตอบขึ้นมาก็คงวิ่ง ยังดีที่มันไม่ตอบ
ไอ้หรั่งมันก็วิ่งเหยาะๆของมันไปจนถึงปากซอย จู่ๆก็หยุดหันมามองหน้าผม ทำท่าเหมือนเปลี่ยนใจเอาดื้อๆ หันหลังวิ่งกลับหอ
อ้าว ผมก็งงกับพฤติกรรมมัน แต่ก็นึกอุ่นใจว่าบังเอิญได้มันเดินออกมาเป็นเพื่อนก็ยังดี

แต่ที่ผมคิดว่าบังเอิญน่ะ ผมมารู้ทีหลังว่าคิดผิด

หลังจากนั้นเกือบทุกครั้ง ทุกวัน ถ้าผมปิดประตูร้าน แล้วเดินออกมาปากซอย ไอ้หรั่งมันจะวิ่งไม่รู้ไม่ชี้ออกนำเหมือนเดิม

หูไม่รี่ หางไม่กระดิก หน้าไม่มีอารมณ์ใดๆ

แล้วพอถึงปากซอยมันก็หันหัวกลับเอาดื้อๆเหมือนเดิม..

ผมว่าผมคงไม่ได้เข้าใจผิดไป ว่าไอ้หรั่งมันออกมาส่งผม..




------------------------------------------------------------------




เขียนเรื่องนี้ หลังจากที่ได้รู้เมื่อไม่กี่วันก่อน ว่าไอ้หรั่งมันตายไปแล้ว คงเพราะอายุเยอะ

ผมไม่ได้กลับไปที่หอนั้นนานโข ไม่ได้เจอได้ลูบหัวไอ้หรั่งเล่นก็นาน แต่ยังจำท่าทางทื่อๆ เฉยๆของมันได้ดี

ส่วนตัว เวลาที่มองหมาที่ข้างทาง ข้างหอ เห็นคนให้อาหาร ให้ข้าว แต่ไม่มีใครกล้าลูบหัวมัน อาจด้วยกลัวมันกัด กลัวมันมีพิษสุนัขบ้า

แต่ลึกๆ ผมว่าหมาพวกนั้นก็เหมือนกับคน ต้องการสัมผัส ต้องการความรัก มากกว่าแค่เศษข้าว เศษอาหารที่ใครต่อใครให้เพื่อประทังชีวิตมัน

ผมเชื่อ ว่าไอ้หรั่งมันก็มีความรู้สึก มีอารมณ์เหมือนหมาทั่วไปเหมือนกัน เพียงแต่มันไม่แสดงออกแค่นั้นเอง

เรื่องนี้..ผมเขียนเป็นที่ระลึกให้กับมัน 



-------------------------------------------------------------------
				
10 กรกฎาคม 2548 12:38 น.

ปู่ของผม..

หมอกจาง


ตอนผมเป็นเด็กอยู่บ้านนอก ผมมีปู่อยู่กับเขาคนนึง..
ปู่ไม่ใช่ปู่แท้ๆของผมหรอก ปู่แท้ๆของผมตายไปก่อนที่ผมจะได้ทันจำหน้าแกได้ด้วยซ้ำ ปู่ที่ผมเรียกว่าปู่นี่เป็นปู่เพราะสนิทกับที่บ้านผม บ้านอยู่ใกล้กัน พ่อกับแม่ผมเคารพปู่เหมือนญาติผู้ใหญ่ มีแกงส้มต้มผักอะไร ผมก็มักจะได้รับหน้าที่ถือถ้วยน้ำชามแกงไปให้ปู่ที่บ้านเสมอมาตั้งแต่ครั้งยังเล็ก
ผมไม่รู้หรอกว่าปู่คนนี้ ต่างกับปู่แท้ๆของผมอย่างไร ค่าที่ผมไม่เคยรู้จักพูดคุยกับปู่แท้ๆของผม ผมรู้แต่ว่าตั้งแต่เด็กจนถึงบัดนี้ ผมเรียกแกว่าปู่อย่างเต็มปากเต็มใจทุกครั้ง 

ปู่แกอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีลูกมีหลาน เก็บผักหาปลาของแกไปตามเรื่อง ขายบ้างแจกบ้าง แต่จะหนักไปทางแจกเสียมาก พออยู่พอกินของแกไปไม่เคยเดือดร้อน ว่างแกก็สานกระบุง ตระกร้าไปขายในตลาด
เก็บเป็นเงินเอาไว้บ้าง เผื่อจำเป็นต้องใช้ขึ้นมาวันใดวันหนึ่ง แกอธิบายเมื่อผมถามแกตามประสาเด็กว่าแกจะสานไปทำไม ในเมื่อข้าวปลาแกก็หากินได้ไม่เคยขาดแคลนอยู่แล้ว
ผมรักแกเป็นปู่ แกก็รักผมเป็นหลาน ตอนเล็กๆช่วงโรงเรียนปิดเทอม ผมขลุกอยู่บ้านปู่มากกว่าบ้านตัวเอง ปู่ชอบเล่า ชอบสอน ผมก็ชอบฟัง จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไอ้ที่จำได้ บางทีก็ใช่ว่าจะเข้าใจ
ตอนนั้นเวลานั้น ผมไม่เคยคิดว่าปู่แปลกหรือพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน จนกระทั่งโตขึ้น นึกย้อนไปนั่นแหละ ผมถึงเพิ่งรู้ว่าปู่แปลกไปกว่าชาวบ้านทั่วๆไป ในสังคมบ้านนอกนั้น..
เรื่องราวระหว่างผมกับปู่ที่มักใช้ชีวิตวันๆหมดไปกับการทำโน่นทำนี่ด้วยกันมีมากจนจดจำไม่หวาดไม่ไหว แต่แค่ที่จำได้ก็มีมากพอจะเล่าได้เป็นวันๆ ผมคงจะหยิบเรื่องราวของปู่มาเล่าสักแค่สองสามเรื่อง จากเรื่องราวทั้งหมด เท่าที่ผมพอจะจำได้..

----------------------------------------------------------------------------------------------

ปู่ไม่ชอบการทำบุญ แทบจะไม่เคยไปทำบุญเลยก็ว่าได้ ปู่ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับวัดหรือพระ
แต่ปู่บอกว่าเป็นเพราะปู่เองที่ไม่ชอบคำว่าทำบุญ
ปู่ไม่เข้าใจ ปู่เล่าให้ผมฟังในวันหนึ่ง
ว่าทำไมใครต่อใครถึงชอบพูดว่า ไปทำบุญ จะได้ได้บุญ จะได้เป็นคนดี ได้ขึ้นสวรรค์
ลองคิดดูสิ ว่าเราหอบข้าวหอบของตั้งมากมายไปวัด แต่ไม่ได้คิดที่จะไปเพื่อให้ หากแต่คิดจะไปเพื่อเอาบุญเท่านั้นเอง ผมนั่งฟังตาแป๋ว รู้เรื่องมั่ง ไม่รู้เรื่องมั่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าปู่แกจะไม่ใส่ใจ  แกอยากพูดให้ฟัง แกก็พูด ผมจะรู้เรื่องหรือเปล่าแกก็ไม่เอาเป็นธุระ
ถ้าเราไปทำบุญด้วยความมุ่งหมายว่าจะไปเอาบุญ ปู่ไม่เห็นว่ามันจะทำให้คนเป็นคนดีขึ้นมาตรงไหน คนก็ยังเห็นแก่ตัว ยังทำทุกอย่างเพื่อตัวเองกันอยู่นั่นเอง ตอนนี้เอามาย้อนนึกๆ ก็จริงของแกแฮะ
ปู่แกเลยสรุปว่านั่นแหละ ที่ทำให้แกไม่ยอมไปทำบุญไม่ว่าจะวันพระใหญ่ วันพระเล็ก ปู่แกยังคงเคารพนับถือพระแบบพุทธศาสนิกชนที่ดี จะต่างตรงแกไม่ทำบุญเท่านั้น
ทำทานดีกว่า สบายใจ ทำทานของปู่ คือการช่วยเหลือคนโน้นคนนี้ เกื้อกูลใครต่อใครไปตามประสา ช่วยเหลือดูแลแม้แต่หมาแต่แมว จนชาวบ้านที่แม้จะมองแกว่าแกเป็นคนแปลกๆก็ยังรักแกกันทุกคน
ทำทาน จบแล้วก็จบ ให้แล้วก็ไม่ต้องรอรับ ไม่ต้องสะสมไว้เหมือนบุญ ไม่หนักดี คำพูดของปู่หลายๆคำ ผมจำได้แม่น ถึงแม้ว่าแกจะพูดให้ฟังเพียงครั้งเดียวก็เหอะ ค่าที่ว่ามันมักจะแปลกประหลาดกว่าคำพูดของใครคนอื่นๆที่ผมรู้จัก แต่ถึงแม้ว่าผมจะใช้เวลาชั่ววิบตาเดียวในการจดจำ แต่บางทีผมอาจต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนชีวิต เพื่อที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่ปู่พูด

ปู่เคยเล่า ว่าป้าละเอียด เมียกำนันน่ะ เมื่อก่อนเคยเป็น ชิ้น เก่าของปู่
อะไรคือ ชิ้น เหรอปู่ ผมนึกไปถึงชิ้นเนื้อ ชิ้นหมู ขนมเป็นชิ้นๆ
ก็คล้ายๆกับแฟนเดี๋ยวนี้นั่นแหละ ผมเลยถึงบางอ้อ
เมื่อก่อนรักกันมาก ละเอียดเขาอ่อนกว่าปู่อยู่หลายปี พ่อแม่เขาก็กีดกัน ตอนแรกปู่นึกว่าเขากีดกันเพราะว่าอายุ ปู่แกเล่าไปเรื่อยๆ ดูไม่ทุกข์ไม่ร้อนกับเรื่องรักแต่หนหลังของแกนัก
มารู้ทีหลังว่ากำนันเขามาทาบทามไว้ ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นกำนันหรอกนะ แต่ว่ารวย..ค้าควาย  เงินทองคล่องมือทีเดียว
ละเอียดมันก็ร้องไห้จะเป็นจะตาย ปู่เองก็นึกจะพาหนีแต่ไม่มีโอกาส สุดท้ายเขาก็แต่งงานกันไป ตอนนี้ป้าละเอียดแกมีลูกมีหลานกับลุงกำนันเต็มไปหมดนี่นา
แต่ดูป้าแกก็มีความสุขดีอยู่นี่นะปู่ ตอนนี้น่ะ พูดไปแล้วก็สะดุ้ง ไม่รู้เหมือนกันว่าปู่แกจะเคืองความปากพล่อยของผมบ้างหรือเปล่า แต่พอมองหน้าแก แกก็ยังยิ้มเรื่อยๆ ยิ้มของปู่บางทีก็มองเหมือนยิ้มของพระในวิหาร..
อยู่ๆไปเขาก็รักกัน ตอนนี้ละเอียดเค้าคงลืมเรื่องของเค้ากับปู่ไปแล้วมั้ง ปู่พูดเฉยๆ หากแววตาอ่อนโยน.. ไม่รู้เรื่องป้าละเอียดนี่หรือเปล่า ที่ทำให้ปู่ไม่ยอมแต่งงาน
ปู่ไม่เสียใจเหรอ ผมถาม เพราะแปลกใจที่ปู่เล่าเรื่องอย่างนี้ด้วยใบหน้าที่สงบ ไม่ฟูมฟาย ไม่มีแววกล่าวโทษใคร ไม่ว่าป้าละเอียดที่เปลี่ยนใจ หรือลุงกำนันที่มาแย่งคนรักไปจากแกแบบไม่เป็นธรรมนัก..
แรกๆก็เสียใจอยู่ ปู่บอกเนิบๆตามแบบแก
ผ่านไปๆ แก่ขึ้น เห็นอะไรมากขึ้น ปู่ก็เรียนรู้ แกหยุด มองหน้าผมด้วยแววตาปราณี ค่อยๆพูด..ช้าและชัด เหมือนตั้งใจจะให้ผมจดจำ
ว่าคนเราสามารถมีความสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องได้ทุกอย่างที่อยากได้หรอก 

ผมจำคำพูดนั้นแม่น ค่อยครวญค่อยคิดมาจนบัดนี้ ผมไม่เคยแน่ใจว่าผมเข้าใจคำพูดของปู่จริงๆหรือยัง บางอย่างเราเคยคิดว่าเราเข้าใจ แต่เมื่อใดที่เราเข้าใจมันจริงๆ เราถึงจะรู้ ว่าที่ผ่านมา เราไม่ได้เข้าใจอะไรเลย..


บางทีผมพยายามที่จะเอาหลักเกณฑ์ที่ใครต่อใครสอนผม ถึงความ ถูกผิดดีเลว มาตัดสินปู่ แต่ผมก็ไม่เคยตัดสินปู่ลงไปได้เสียที ว่าเป็นคนแบบไหน
ปู่อาจดูเป็นคนบาป คนไม่ดี ถ้ายึดตามคำสอนที่โรงเรียน ที่สอนในวิชาพุทธศาสนาว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นบาป 
แต่ปู่แกก็หาปลาของแกทุกวัน วางข่ายดักปลาหมอปลาดุกตามบึงร้างข้างนา ได้ปลาเต็มข้องกลับมาแจกคนโน้นคนนี้ หลายคนที่ไม่อยากทำบาปก็ขอร้องให้ปู่ช่วยทุบปลาให้ก่อนจะเอามาให้ เพื่อที่ว่าบาปจะไม่เปื้อนมือตัว ปู่ก็ทุบให้ตามคำขอ..

ผมยังแปลกใจมาตลอด ว่าการบอกให้คนอื่นฆ่าให้ กับการฆ่าด้วยมือตัวเองนั้นมันต่างกันตรงไหนในวิถีของบาป-บุญ

แม้ว่าปู่จะฆ่าปลามาเสียนักต่อนัก แต่เวลาที่มีปูนามาติดข่ายปู่กลับปฏิบัติอีกแบบ 
บางครั้งเวลาฝนตก น้ำดี จะมีทั้งปูทั้งปลาติดข่ายให้ยัวะเยี๊ยไปหมด ปูนี่ตัวร้าย ด้วยความที่มันมีก้ามมีขาให้ยุ่บยั่บ จะปลดออกจากข่ายลำบากมาก บ่อยครั้งก็หนีบมือคนปลดเอาเสียด้วย แถมยังเป็นตัวการทำให้ข่ายขาดอยู่บ่อยๆ เพราะปลดไปดึงไป ข่ายไหนที่มีปูติดเยอะและบ่อยมักจะใช้ได้ไม่นาน ผมเคยเห็นคนหาปลาหลายคนเลือกที่จะใช้หินทุบให้ปูมันตาย ขาและก้ามแหลกหลุดออกจากตัว จากนั้นเพียงสะบัดๆ ส่วนที่เหลือก็จะหลุดออกจากแหอย่างง่ายดาย

..แต่นั่นไม่ใช่วิธีของปู่..

ปู่จะยอมเสียเวลา บางทีเป็นครึ่งค่อนวัน เพื่อที่จะค่อยๆปลดปูออกจากข่ายทีละตัว ใส่กระแป๋งสังกะสีไว้ จากนั้นก็เอามันไปปล่อยลงหนองน้ำ ที่ไม่ค่อยมีคนไปหาปลากัน
เราไม่ได้กินเขา ก็อย่าไปฆ่าเขา ปู่แกะปูไป สอนผมไป..
นี่แหละที่ผมมักจะสับสน ว่าตกลงปู่เป็นคนยังไงกันแน่ จะว่าเป็นคนดี..ซึ่งในใจผมค่อนข้างเชื่ออย่างนั้น..ปู่ก็ไม่ใช่คนดีตามตำรา ครั้นจะว่าเป็นคนไม่ดี อันนี้ไม่ต้องกางตำราไหนมา ผมก็พร้อมที่จะเถียงขาดใจ หากใครจะว่าปู่ของผมอย่างนั้น..

พอผมเล่าเรื่องที่ผมไม่รู้ว่าปู่เป็นคนแบบไหนกันแน่ให้ปู่ฟัง ปู่ก็หัวเราะน้อยๆ เอื้อมมือมาขยี้หัวผม
แล้วเราจะตัดสินทำไมล่ะ มือปู่เหม็นปู แต่ผมก็ไม่รังเกียจ
ปู่ก็เป็นปู่อย่างที่เอ็งเห็นนี่แหละ มันจำเป็นมากนักเหรอที่จะต้องตัดสินลงไปให้ได้ว่าใครเป็นคนดีคนเลวน่ะ
..นั่นสินะ ว่าไปผมก็มองไม่เห็นความจำเป็นอะไรสักหน่อยกับการที่จะเที่ยวไปตัดสินใครต่อใครน่ะ..


ปู่ตายไปแล้วหลายปี..
แต่ผมยังจำได้ดีเสมอ ว่าปู่รักผมแค่ไหน..
ปู่ที่ไม่เคยเข้าวัดมานาน พาสังขารมาวัดในวันที่ผมบวช ตอนนั้นหน้าปู่ยับย่น ผมก็ขาวโพลนหมดแล้ว แต่ตาแกที่มองดูผมดูอิ่มเอิบและมีความสุข..
จำได้ว่า ผมเข้าไปกราบปู่ทั้งชุดนาค..
ผมไม่ได้เอาบุญเข้าไปฝากปู่หรอก เพราะผมรู้ว่าปู่คงไม่ต้องการมัน..
..ผมรู้ว่าปู่ของผมอิ่มแล้ว พอแล้ว..
วันนั้นผมกราบปู่ กราบ..ด้วยหัวใจเดียวกับที่กราบพระประธาน..

				
4 กรกฎาคม 2548 20:05 น.

ขอบคุณ..

หมอกจาง


บนถนนเต็มไปด้วยรถ..
ผมเดินอย่างหงุดหงิดหัวเสียอยู่ริมถนน  ปากก็ก่นด่าอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อย  กวาดตาไปทางโน้นทางนี้ แต่ก็ดูเหมือนกับว่ากวาดตาไปเจอกับอะไรมันก็ดูจะขวางหูขวางตาไปเสียหมด..

บนถนน รถบีบแตรผมหันไปทำปากมุบมิบด่า ท่าทางเหมือนจะพร้อมที่จะโดดลงไปในถนนเพื่อเอาเรื่องเจ้าคนที่บีบแตร หลายคนที่ขับผ่านไปบนถนนคงสังเกตเห็นอาการของผม เพราะเขามองผม..มองด้วยสายตาที่เราใช้มองคนไม่ปกติ มองด้วยสายตาที่ใช้มองคนที่เราคิดว่า..บ้า

และในความเป็นจริงแล้ว เขาก็คงมองไม่ผิดเท่าไรนัก ผมกำลังหงุดหงิด..หงุดหงิดจนแทบบ้าทีเดียว

เรื่องอะไรน่ะเหรอ..ทุกๆเรื่องนั่นแหละ

คุณรู้ไหม บางวัน มันไม่ใช่วันสำหรับเรา ไม่ใช่เลยจริงๆ ไม่ว่าจะทำอะไรมันจะดูผิดพลาด ดูผิดที่ผิดทางไปเสียหมด และวันนี้มันก็คือวันนั้นนั่นแหละ วัน..ที่ไม่ใช่วันของผมเลย

ตื่นมาเพื่อทำงานที่ต้องเร่งทำให้เสร็จ เพราะมีกำหนดนัดว่าจะส่งพรุ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าเพราะงานที่ยากเกินไป หรือเพราะตัวผมเองที่ไม่มีสมาธิ งานที่หวังจะให้คืบหน้าไปเร็วที่สุด กลับไม่คืบไปเลยแม้แต่น้อย.. ไม่คืบก็ยิ่งเครียด ยิ่งเครียดก็ยิ่งไม่คืบ นี่เป็นวงจรนรกที่คนที่ต้องทำงานกับความคิดเจอกันมาแล้วทุกคน

นั่งแต่เช้าจรดบ่ายสี่โมงเย็น โดยที่ไม่มีอะไรใหม่เพิ่มขึ้นมาเลย

มีนัดกับอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย บอกแกไว้ว่าจะแวะเอาจดหมายรับรองไปให้แกเซ็น แกคงอยู่ถึงห้าโมง รีบน้ำอาบท่า ตั้งใจจะจับรถเมล์เที่ยวสี่โมงสิบนาที คงถึงมหาลัยราวสี่โมงครึ่ง  จวนเจียนหวุดหวิด แต่ก็คงทัน..

วิ่งออกมาที่ป้ายรถเมล์ ทันเวลาพอดี รถเมล์อยู่ที่ป้ายและกำลังเคลื่อนออกไป ผมตะโกนโบกไม้โบกมือ แต่ไม่เป็นผล..
ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู รถมันมาถึงป้ายก่อนเวลา..นรก!! ผมสบถด้วยความหงุดหงิด เดินเหมือนหนูติดจั่นอยู่ที่ป้ายรถเมล์ คิดวนไปวนมา จะรอหรือไม่รอ ถ้ารอรถเที่ยวต่อไปก็อีกครึ่งชั่วโมง แต่ถ้าไม่รอ เดินไปถนนอีกเส้นหนึ่งซึ่งห่างออกไปราวห้าป้ายรถเมล์อาจจะเร็วกว่า แค่อาจจะ..

ผมตัดสินใจออกเดิน ยังไงเสียมันคงน่าหงุดหงิดน้อยกว่าการยืนอยู่เฉยๆ อย่างไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย..

ผมออกเดิน ไปเรื่อยๆ อย่างหงุดหงิด หนึ่งป้าย สองป้าย สามป้าย คิดถึงงานที่ต้องส่งพรุ่งนี้แต่ไม่คืบหน้า คิดถึงอาจารย์ที่คงกำลังรออยู่ตามนัด ห้าโมงเย็น ถ้าผมไม่ไปแกคงกลับ และคงโกรธไม่น้อยที่ผมผิดนัด..

เดินไปได้สักพักดูนาฬิกา เกือบจะห้าโมงเย็นแล้ว แต่แค่ข้ามถนน ผมก็จะถึงป้ายรถเมล์ของถนนอีกสายหนึ่งตามที่ตั้งใจไว้ ถ้าโชคดี รถมาภายในห้านาทีนี้ คงทันอาจารย์

ผมข้ามถนนได้ครึ่งทาง..

ครับ..แค่ครึ่งทาง ติดอยู่ตรงเกาะกลางถนน ที่รถวิ่งกันขวักไขว่เพราะเป็นเวลาเลิกงาน

ตรงเกาะกลางถนนนั่นแหละที่ผมยืนมองรถเมล์มันมา..จอดป้าย..แล้วก็ออกไป

ตกลงว่าวันนี้ผมทำอะไรไม่สำเร็จแม้แต่อย่างเดียว.. แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ..อย่างขึ้นรถเมล์

ผมพยายามข่มใจให้เย็น ข้ามถนนเดินต่อไป ผ่านป้ายที่จะขึ้น เดินเลยไปอีก หนึ่งป้าย สองป้าย ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเดินไปให้ได้อะไรขึ้นมา ระงับอารมณ์มั้ง.. ฝรั่งผู้ชายที่นั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ที่ผมเดินผ่านแอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆ และเบือนหน้าหลบเมื่อผมหันไปสบตา..

บางเรื่อง โดยตัวของมันเองอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถ้ามันพร้อมใจกันเกิดขึ้นซ้ำกับคุณในวันเดียวกันละก็ คุณจะเข้าใจได้ดีทีเดียว ว่าคำที่ว่า..ฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลา.. มันเป็นอย่างไร

ตอนนี้ผมกำลังรอฟางเส้นนั้นอยู่ ถ้ามีใครเอามันมาวางลงเมื่อไหร่ ผมอาจจะสติแตกทำอะไรขึ้นมาก็ได้..

หลังจากพยายามสงบสติอารมณ์ รอรถเมล์คันต่อไป คันที่ผมได้ขึ้นก็คือคันเดียวกับที่ผมสมควรรออยู่ที่ป้ายแรกสุดนั่นแหละ ผมใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เดินฝ่าความหงุดหงิดด้วยหวังว่าจะไปถึงมหาลัยได้เร็วขึ้น เพื่อที่จะมาขึ้นรถเมล์ คันที่ผมสมควรลำบากแค่เพียงนั่งรอ..

ผมมองฟ้า ขมุบขมิบปากด่า..

ที่สุด..ห้าโมงสิบนาที ผมก็มาอยู่ที่มหาลัย อาจารย์คงกลับไปแล้ว แล้วผมจะมาทำไมเนี่ย ไม่เข้าใจตัวเอง..

หันรีหันขวางอยู่ตรงป้ายรถเมล์ ก็มีเสียงทัก
ขอโทษครับ ผมหันไปมอง คนทักเป็นผู้ชาย หน้าตาเหมือนแขก อายุน่าจะยังไม่น่าเกินยี่สิบ เขาส่งภาษาอังกฤษออกมา ฟังยาก..
คุณต้องการอะไร เขามีสีหน้าลำบากใจเมื่อผมถาม พยายามอธิบายอีกครั้ง..
ฟังอยู่พักนึง สรุปได้ว่า..จะขึ้นรถเมล์กลับบ้าน ไม่มีเงิน.. เฮ้อ หลอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่นี่มีกรณีอย่างนี้บ่อยเหมือนกัน
บ้านอยู่ไหน? ไม่ตอบ ท่าทางดูกระสับกระส่าย
ขาดค่ารถเมล์อีกเท่าไรล่ะ เขาบอกเขาไม่รู้ คิ้วยังคงขมวด..ยังไงกันเนี่ย
เป็นนักเรียนที่นี่หรือเปล่า? เขาบอกใช่ 

ผมมองหน้าเขา ชั่งใจ..แค่ค่ารถเมล์ ไม่ใช่เงินที่เยอะอะไรนักหนา แต่ผมไม่ชอบถูกหลอก โดยเฉพาะในวันแย่ๆอย่างวันนี้.. ผมกลัวว่ามันจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายน่ะ..

..............
เป็นนักเรียนที่นี่นะ
ใช่
งั้นก็คงมีบัตรนักเรียน เขาพยักหน้ารับ
ถ้างั้นคุณเอาไปสองเหรียญ น่าจะพอ ค่ารถเหรียญเจ็ดสิบถ้าโชว์บัตรนักเรียนให้คนขับดู ผมบอกเขาพร้อมกับตัดสินใจควักเงินให้ไปสองเหรียญ
ขอบคุณ สีหน้าเด็กหนุ่มดูผ่อนคลายขึ้นอย่างมาก.. กับเงินสองเหรียญ
คุณชื่ออะไร เขาถามผม พอผมบอกชื่อไป เขาก็บอกว่าเขาจะขอใช้คืนให้ได้ไหม พรุ่งนี้ หรือ มะรืน..
ไม่เป็นไรหรอก ผมยิ้ม.. จากสีหน้าท่าทางของเขาตอนนี้ ทำให้ผมเชื่อเขาสนิทใจแล้ว  ว่าเขาเรียนที่นี่จริง และกำลังเจอปัญหาอยู่จริงๆ
เพิ่งมาเรียนเทอมแรกเหรอ
วันแรก เขาตอบ 
..วันแรกในต่างประเทศ ตัวคนเดียว มันโหดร้ายแค่ไหน ทำไมผมจะไม่รู้..
จริงๆผมมีเงินนะ เขาควักกระเป๋าเงินออกมา ดึงแบ๊งค์ใบละ 100 เหรียญออกมาจากช่องลึกที่สุดของกระเป๋าออกมาให้ดู.. ผมถึงเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

.. บางทีเราต้องการเงินแค่ 2 เหรียญเท่านั้น ไม่ใช่แบ๊งค์ 100 เหรียญ สำหรับการขึ้นรถเมล์..
..และบางทีเราต้องการแค่เท่าที่เราต้องใช้ มากไป..ไม่จำเป็นว่าจะดีกว่าเสมอไป..

ในขณะที่ผมเชื่อใจเขา ผมรู้ว่าเขาก็เชื่อใจผมสนิทใจเช่นกัน คงไม่มีใครควักแบ็งค์ 100 เหรียญออกมาโชว์คนแปลกหน้าเล่นๆในเวลาพลบค่ำหรอกมั้ง..

ผมขอตัวและบอกให้เขาไปขึ้นรถเมล์ได้แล้ว..ก่อนที่จะมืดค่ำเสียก่อน เขาขอบคุณอีกครั้ง ผมขอบคุณเขากลับ ท่าทางเขาคงแปลกใจ ที่ผมขอบคุณเขากลับ..

เขาไม่รู้หรอกว่าผมขอบคุณเขาซ้ำๆ อีกหลายครั้งเมื่อเดินออกมา..

ผมขอบคุณเขา ที่เลือกผม.

อย่างน้อย ในวันที่แย่ๆ ในวันที่ล้มเหลวของผมวันนี้ ผมยังทำอะไรสำเร็จอย่างหนึ่ง และเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นใจเสียด้วย..

ผมช่วยเด็กคนหนึ่งที่ออกมาเผชิญชีวิตต่างแดนวันแรก ให้พ้นจากปัญหาที่เขากำลังหาทางออกไม่ได้ ให้เขารู้ว่าในโลกใบนี้ยังมีความช่วยเหลืออีกมากมาย ที่รอ..เพียงแค่ให้เขาเอ่ยถาม

ถ้าไม่เจอกับเขา และเขาไม่เข้ามาถาม ผม..คงกลับบ้าน ด้วยความรู้สึกแย่ๆกับตัวเอง กับชีวิต..

ผมขอบคุณเขา ที่เขาให้โอกาสผมได้ช่วยเหลือ ให้โอกาสผมได้ทำสิ่งที่ดีๆ และที่สำคัญ..ผมทำมันสำเร็จ

ผมขอบคุณเขา ที่ทำให้วันนี้ของผม งดงามกว่าที่มันได้เป็นมา..
				
25 มิถุนายน 2548 11:56 น.

เรื่องราวริมทะเล..

หมอกจาง


ระลอกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าม้วนตัวเข้าหาชายหาด แผ่ออกเป็นแผ่นผืน ทิ้งไว้เพียงแค่รอยชื้นที่คล้ายตั้งใจจะจารึก ว่าครั้งหนึ่งมันเคยมาถึง ณ จุดนี้..
ทั้งที่รู้ว่าไม่นานนักแดดนั้นจะลบรอยบนผืนทรายจนเลือนหาย.. แต่ทะเลก็ยังเพียรทิ้งรอยไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่าอย่างไม่ย่อท้อ จนบางครั้ง..ถ้าจะตีความด้วยความคิดของมนุษย์ ก็ยากที่จะแยก ว่านั่นคือความโง่ที่น่าหัวเราะหรือคือความเข้าใจและหยั่งรู้ที่ควรค่าแก่การนับถือครุ่นคิด..
แต่อย่างไร ทะเลก็คือทะเล ไม่ได้โง่งมหรือเข้าใจใดๆกับสิ่งที่มันเป็นอยู่ ที่โง่งมหรือฉลาด ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของมนุษย์ ผู้ที่เฝ้าชมและคิดตีความอะไรต่อมิอะไรไปร้อยพัน..

ฉันนั่งอยู่บนผืนทรายริมทะเล รับฟังเรื่องราวที่เพื่อนชายหนึ่งหญิงหนึ่งนั่งปรึกษากันโดยไม่ออกความคิดเห็น..

ลมทะเลเย็นดีนะ หญิงสาวพูดขณะนั่งกอดเข่าปล่อยผมที่ดำขลับ ยาวเลยต้นคอปลิวไปตามลม.. ผมที่สะบัดไปมาตามสบายนั้นดูร่าเริง อย่างน้อยก็ร่าเริงกว่าแววตาของเธอมาก..
ไม่หนาวหรือ ชายหนุ่มถามด้วยท่าทีแปลกใจ ฤดูนี้ลมทะเลค่อนข้างเย็นจัด
ไม่หรอก ไม่ได้ออกมานั่งสบายๆอย่างนี้นานมากแล้ว 
..........................
เงียบงันกันไปสักพัก หญิงสาวก็ถามขึ้นมาใหม่
อีกนานไหม กว่าพระอาทิตย์จะตก
ก็คงสักพักละมั้ง ทำไมเหรอ
เปล่า
.................................
น่าเบื่อนะชีวิตเนี่ย ว่าไหม ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวเต็มตา แปลกใจ..
เป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย
เปล่าหรอก ตอบว่าเปล่า แต่ตาดำขลับ ใต้ขนตาดกเป็นแพกลับซ่อนแววบางอย่างไว้ไม่มิด
ชายหนุ่มนั้นได้แต่เงียบ รอและคอยให้เธอพูดต่อ เธอผู้นี้ ดูคล้ายว่าจะมีปัญหามากมายกว่าที่เขาเคยรับรู้
น่าเบื่อน่ะ เธอพูดต่อ เบื่อกับความคาดหวัง เบื่อกับการที่มีใครต่อใครเข้ามายุ่มย่ามในชีวิต
ถอนหายใจเมื่อพูดจบ เขาแค่ยิ้มน้อยๆ รับฟัง ไม่ตอบและไม่ออกความเห็น
ไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เธอหันมาล้อยิ้มๆ ทุกทีเห็นช่างพูด ช่างคิดนี่ สอนโน่นสอนนี่ให้วุ่นวาย
ไม่หรอก เขาได้แต่ยิ้มเก้อๆ โตขึ้นบ้างแล้วมั้ง
แล้วที่เคยบอกเคยสอน ชอบทำตัวเป็นผู้ใหญอย่างเมื่อก่อนน่ะ ยังไม่โตหรอกหรือ
เขาเงียบไป มองหน้าเธอ ลูกสาวคนเดียวของครอบครัวนักธุรกิจใหญ่ สาวสวยที่เป็นแก้วตาดวงใจของใครต่อใครมาตั้งแต่เล็ก ไม่แปลกที่จะใครต่อใครจะมาวุ่นวายเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตเธอ ต่างกับเขา..ที่โตมากับการเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวที่มีลูกห้าคน ล้อมวงกินข้าวด้วยกันในทุกเย็น
ตอนนั้นคงยัง เขาพูด ยิ้มน้อยๆ ยังไม่ซึ้งกับคำพูดบางคำมั้ง ตอนนั้นน่ะ
เธอมองเขา.. ตั้งคำถามด้วยแววตา
ต่างคนก็ต่างทาง ต่างอ้างว้างในโลกที่ต่างใบ เขา..ท่องคำพูดออกมาเบาๆ 
เธอ..มองหน้า นิ่ง ครุ่นคิด แววตาล้อเลียนจางลงไปจนเกือบหมด
อื้มม
อื้มม

..ความอ้างว้าง..
คนเราอาจแบ่งปันเรื่องราวกันได้ในบางเรื่องราว เข้าใจกันได้ในบางเรื่องราว แต่คงยากที่จะหวังให้ใครมาเข้าใจเราได้ในทุกเรื่องราว แต่ละคนต่างมีโลกใบเล็กๆเป็นของตัวเอง พักพิงและซุกซ่อนอยู่ในนั้น อ้างว้างเดียวดายอยู่ในนั้น..

เงียบไป ด้วยต่างคนต่างครุ่นคิด..
รู้สึกไหมว่าบางที ที่โลกนี้น่าเบื่อเนี่ย เพราะมันดูเหมือนๆกันไปหมดทุกวันนะ เธอเริ่มคุยต่อ และเขา..ก็เริ่มต้นรับฟังเหมือนอย่างทุกที
ตื่นเช้า กินกาแฟ ออกไปทำงาน กลับบ้าน นอน ตื่น เธอเว้นวรรค
รถติดเหมือนเดิม ชีวิตมีคนเข้ามาแล้วก็ผ่านไปเหมือนเดิม เหมือนพระอาทิตย์น่ะ
ขึ้นแล้วก็ตก วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขาปล่อยเธอพูดไป ไม่ขัดจังหวะ จนเธอพูดจบจึงแย้ง..
ก็มีอะไรเกิดขึ้นตั้งเยอะไม่ใช่หรือ ถ้าเราจะทำให้มันไม่เหมือนเดิม คราวนี้เธอปล่อยให้เขาพูดบ้าง
หาอะไรใหม่ๆกิน ลองทำอะไรใหม่ๆ เจอผู้คนใหม่ๆ หรือไม่.. เขาเว้นก่อนจะพูดต่อ
ก็เปลี่ยนงานใหม่เสียเลย เธอหัวเราะน้อยๆ
ไม่หรอก เธอแย้ง
ถึงจะเปลี่ยนอะไรใหม่ๆยังไง สักวันมันก็จะเก่า มันก็จะกลับมาเป็นวงจรเหมือนเดิมนั่นแหละ วนเวียน ซ้ำซาก เหมือนคลื่นกระทบหาดไง
ถึงจะเปลี่ยนไปดูหาดไหน มันก็คงสาดเข้ากระทบเป็นจังหวะ เป็นรูปแบบเดิมๆ

ตอนนี้เขาเหมือนจะรู้แล้วว่าที่เธอพูดหมายความว่าอะไร ผู้หญิงคนนี้ คงจะคิดมากและไกลเกินกว่าที่เขาเคยนึกไว้.. มันเป็นความเหนื่อยหน่ายต่อชีวิตที่คนอายุสักห้าหกสิบปีเท่านั้นที่อาจจะนึกถึง ไม่ใช่เธอ..คนที่อายุน้อยกว่าสามสิบอยู่หลายขวบปีคนนี้

เขาถอดนาฬิกาข้อมือ วางลงบนพื้น..
ดูที่เข็มนี่นะ เข็มวินาทีนี่ เธอมองหน้า ไม่เข้าใจว่าเขากำลังเล่นอะไร แต่ก็ทำตามโดยดี เขา..ที่มักมีอะไรแปลกๆมาให้เธอแปลกใจเสมอ
เห็นปูลมไหม เขาชี้ไปที่ปูลมตัวเล็กตัวหนึ่ง ที่วิ่งซอยเท้าถี่ไปยังรูของมัน
อื้อ
ดูนาฬิกาด้วยสิ เธออมยิ้ม มองนาฬิกาสลับกับมองปูลมที่วิ่งไป เข็มวินาทีกระดิกไปเรื่อยๆ.. ปูลมลงรูไป พระอาทิตย์เริ่มต่ำจนแตะขอบน้ำ ระดับน้ำลดลงห่างตัวออกไปทีละน้อย
พระอาทิตย์ดวงสีแดงค่อยๆจมลงต่ำกว่าขอบน้ำที่ปลายฟ้า..
ดูเข็มวินาทีไปด้วยสิ เขาเตือน เธอทำตามโดยดี 
ลมพัด ผมเธอพลิ้วมาบังตา เธอยกมือขึ้นรวบ
ดูนาฬิกานะ เขาย้ำเสียจนเธออมยิ้ม ค้อนให้น้อยๆ ..ตาบ้านี่..

พระอาทิตย์จมน้ำหมดทั้งดวง ปูลมอีกตัวที่ใหญ่กว่าเดิมวิ่งผ่านหน้าเขาและเธอ หยุดมองเหมือนสงสัยก่อนวิ่งผ่านไป เธอดูทุกสิ่งทูกอย่างสลับกับดูนาฬิกาโดยที่เขาไม่ต้องบอก ไม่มีคำพูด ไม่มีคำถาม..

รู้ไหม เขาเริ่มพูดขึ้น
ตอนเข้าเรียนปี1 ผมถ่ายรูปกับต้นคูนใหญ่หน้าตึกเรียนไว้รูปนึง ผมชอบต้นคูนน่ะ แล้วต้นคูนต้นนั้นก็สวยมาก
ถ่ายเก็บไว้อย่างนั้นเอง จากนั้นก็เริ่มต้นใช้ชีวิตสนุกสนานในมหาลัย ทุกอย่างดูคุ้นเคยขึ้นทุกวัน
กว่าจะจบปีสี่ก็คุ้นเคยกับทุกอย่างในคณะ ต้นไม้ ตัวตึก ผู้คน โดยเฉพาะต้นคูนต้นนั้น ที่ไม่ว่าเมื่อไร มันก็ไม่เคยเปลี่ยนไป ยังร่มรื่นสวยงาม ออกดอกให้ดูทุกหน้าร้อนเหมือนเดิม เป็นเพื่อนที่คุ้นเคย ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พอจบปีสี่ ผมถ่ายรูปกับต้นคูนต้นนั้นอีกครั้ง
แต่พอเอามาเทียบกับรูปตอนปีหนึ่ง อยากรู้น่ะว่าผมเปลี่ยนไปจากสี่ปีก่อนแค่ไหน
แล้วเปลี่ยนเยอะไหม เธอเพิ่งถามหลังจากปล่อยให้เขาพูดมานาน
เยอะ.. แต่ที่ตกใจคือต้นคูน
คุณรู้ไหมว่าเพื่อนที่ผมเห็นอยู่ทุกวันและคิดว่าไม่เคยเปลี่ยนน่ะ จริงๆมันเปลี่ยนไปเยอะกว่าผมอีก เธอเลิกคิ้ว..
ต้นมันสูงขึ้นจากเดิมร่วมฟุต แต่ดอกสีจางลง ดูไม่สดใสชุ่มชื่นเหมือนครั้งสี่ปีก่อนนั้น มันคงแก่ลงแล้ว แปลกที่ผมไม่เคยสังเกตเห็น
คุณเห็นมันทุกวันมั้ง
นั่นสิ บางทีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละวันมันคงน้อยเกินกว่าจะสังเกตได้น่ะ
ทั้งๆที่มันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เธอต่อคำ ทบทวน..
อื้อ เขารับคำ เก็บนาฬิกาผูกเข้าที่ข้อมือเหมือนเดิม

พรุ่งนี้ถ้าคุณว่างคุณมาที่นี่ใหม่สิ ดูพระอาทิตย์ตกดิน เอานาฬิกาคุณมาดูเข็มวินาทีด้วย  เพราะผมคงไม่ว่างมา ดูซิว่าทุกอย่างมันจะเหมือนวันนี้ไหม
ฉันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะถ้าทำอย่างนั้น ไม่มีคุณนั่งข้างๆ ปูลมที่วิ่งผ่านอาจไม่ใช่ตัวเดิม หรือเมฆอาจครึ้มจนไม่เห็นอาทิตย์ แล้วทุกอย่างมันจะเหมือนกับวันนี้ได้ยังไง  เขาหันมอง สบตาเธอเต็มตา

คุณจะได้..รู้..ไง ว่ามันไม่เหมือนเดิม เขาเว้นก่อนพูดต่อ
"วินาทีที่ปูลมวิ่งผ่านหน้า พระอาทิตย์จมไปครึ่งดวง ผมคุณปัดมาเคลียแก้ม"เขาหยุด..ยิ้ม
"ขณะทีผมนั่งตรงนี้..แอบมองขนตาคุณอยู่" 
"ทุกอย่างในวินาทีนั้นมันไม่เกิดขึ้นพร้อมกันซ้ำสองหรอก ทุกอย่างในทุกวินาที"
ผมอยากให้คุณมาที่นี่อีก เพื่อที่คุณจะได้รู้ ว่าทุกวินาทีที่ผ่านไปมันไม่เหมือนเดิมหรอก.." เขาเว้นช่วงอีกครั้ง  "ขึ้นอยู่กับว่า คุณละเอียดอ่อนพอที่จะสังเกตมันได้ไหม..เท่านั้นเอง

เธอนิ่งเงียบ ลุกขึ้นปัดทรายอย่างช้าๆ เก็บของเดินคู่กับเขาขึ้นจากชายหาดที่เริ่มมืด หากแต่ในความมืดนั้น ก็ยังสว่างพอที่จะได้เห็นมือเธอเอื้อมไปกุมมือเขา ในวินาทีที่บางสิ่งบางอย่างนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม..

ความละเอียดอ่อนในมุมมองของเขา อาจแตกต่างอย่างยิ่งจากภาพรวมอันกว้างใหญ่ที่เธอเห็น.. 

ยาก ที่เธอจะเข้าใจมันได้ทั้งหมด และเขาก็คงไม่อาจเข้าใจโลกของเธอได้ทั้งหมดเช่นเดียวกัน..

..แต่แม้ว่าความอ้างว้างของโลกที่ต่างใบนั้นไม่อาจแบ่งปันให้กันและกันเข้าใจได้ หากบางที..ความอ้างว้างนั้น ก็อาจถูกผ่อนเบาได้เพียงด้วยความอบอุ่นและอ่อนโยน..ที่ส่งผ่านสู่กัน..จากโลกแต่ละใบ..
				
18 พฤษภาคม 2548 09:02 น.

เรื่องเล่า..เจ้าตุ๊กแก

หมอกจาง


เช้าวันแดดใส ลมหนาวๆพัดมาทักพอแค่หนาว ใช่ถึงกับขนาดว่าหนาวเหน็บ..
กับกาแฟแก้วหนึ่ง.. โต๊ะที่นั่งประจำที่หลังบ้าน.. โรงเก็บของเล็กๆ.. ราวตากผ้า.. สีฟ้าใสๆของท้องฟ้าทาบด้วยเหลืองของลูกมะนาวและเขียวของใบไม้ น่าจะเป็นการเริ่มต้นวันที่สดใสทีเดียว
..ถ้าบังเอิญผมไม่มือบอนไปเปิดเนตเข้า และเจอเรื่อง ..สาบ..
ฟ้าสวยแดดใสก็หายวับไปกับตา
เหมือนกับฟ้าทั้งแผ่นฟ้ามันกลายสีมาเป็นลายตุ๊กแก
ผมยกแก้วกาแฟกลับเข้ามาในห้อง เปิดโปรแกรมพิมพ์งาน เหลือบดูนาฬิกา มีเวลาราวๆหนึ่งชั่วโมงที่ต้องเขียนเรื่องเจ้าตัวน่ารักนี่ให้เสร็จ
เจ้าตุ๊กแก..
ไม่น่าเลยกู.. ผมส่ายหัวถอนใจกับตัวเองก่อนเริ่มพิมพ์งาน
...........................................................................

ผมกับไอ้เจ้าสัตว์ที่เรียกว่าตุ๊กแกนี่มีประสบการณ์ที่ไม่ดีกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว..
ตอนเด็กๆสมัยที่บ้านยังมีแต่ทีวีขาวดำดูอยู่ ในมีละครทีวีช่องหนึ่งเล่นเรื่อง ตุ๊กแกผี
ใครที่แก่พอที่จะทันเป็นเด็กในช่วงนั้นน่าจะพอจำกันได้
จำไม่ได้แล้วว่าเนื้อเรื่องว่าอย่างไร แต่จำได้ว่าตอนเด็กๆกลัวมาก..
ฝังจิตฝังใจ ว่าตุ๊กแกนี่มันโกรธแรง พยาบาทแรง เวลามันโกรธมันเกลียดใครขึ้นมามันจะโดดเข้าเกาะคอแล้วกัดแน่นชนิดไม่ปล่อย แกะก็ไม่ออก..
ไม่รู้ว่าตีนทาด้วยกาวตราช้างหรืออย่างไร..
(ขออนุญาติใช้ ตีน ในกรณีของตุ๊กแก เพราะ ตีนตุ๊กแกน่าจะฟังดูเหมาะมากกว่าที่จะพูดว่า เท้าตุ๊กแกนะผมว่า)
แถมผู้ใหญ่ยังชอบขู่เด็กๆ เวลาที่เรางอแง..
..เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวบอกให้ตุ๊กแกมากินตับเลย..
ตอนนั้นก็งงๆอยู่
ทำไมตุ๊กแกมันต้องเลือกกินแต่ตับด้วย..
ตุ๊กแกนะ ไม่ใช่ซีอุยสักหน่อย
แต่ถึงจะสงสัยอย่างนั้นก็กลัว แค่นึกถึงตีนเหนียวๆ ตัวลายๆ ตาพองๆ แค่นั้นก็สยองแล้ว..
ตอนเด็กๆนี่ผมเป็นเด็กขี้สงสัยตัวยงทีเดียว
เวลาพี่สาวมาขู่ว่าจะไปบอกให้ตุ๊กแกกินตับ ทั้งที่กลัวก็กลัว แต่ยังอุตส่าห์มีหน้าไปย้อนถามเค้า..
พี่ทำไมรู้จักกับตุ๊กแกล่ะ
หา..  พี่สาวมีงง
ไม่รู้จัก
อ้าว ไม่รู้จักแล้วจะไปบอกตุ๊กแกที่ไหนให้มากินตับ แกก็อึ้งๆเถียงไม่ออก
เออ..บอกได้ละกัน
ไปบอกที่ไหนล่ะ ก็ไม่รู้จัก ได้ทีรุกใหญ่
เงียบไปเลย เดี๋ยวโดนตีเลยนี่ อ้าว..มามุกนี้อีกและ ซึ่งผมก็ต้องเงียบแต่โดยดี เพราะไอ้ตุ๊กแกที่กลัวนักกลัวหนาว่ามันจะมากินตับเนี่ย มันไม่เคยมาจริงเสียที แต่พี่สาวผมเนี่ย..ตีจริง อันนี้คอนเฟิร์ม

ตอนผมโตขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยความที่เป็นเด็กขี้โรค เลยผอมโซตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นๆ ได้ยินพ่อปรึกษากับแม่ว่ามีคนแนะนำให้จับตุ๊กแกมาย่างให้สุก แล้วแกะเอาแต่เนื้อขาวๆให้กิน รับรองคนไหนคนนั้น ไอ้ที่ว่าผอมๆแห้งๆนี่จะอ้วนขาวขึ้นทันตาเห็น..
จำได้ว่าพอผมได้ยิน ผมคัดค้านสุดชีวิต จากข้าวที่ไม่ค่อยกินก็ตั้งหน้าตั้งตากิน หวังที่จะอ้วนขาวได้เองโดยที่ไม่ต้องพึ่งยาตุ๊กแก ถึงแม้ว่าจะเป็นโอกาสให้ผมได้ล้างแค้นมัน เจ้าตัวที่ผมหลงคิดว่าจ้องจะกินตับผมมาตั้งแต่เด็กก็ตามเถอะ..
แค่เห็นก็หนีแล้ว นี่พ่อผมเล่นจะให้กินลงไปเนี่ยนะ..
จำได้ว่าการกินข้าวของผมก็ไม่ได้ช่วยให้ผมพ้นจากสภาพผอมกะหร่องได้มากนักหรอก (จริงๆต้องเรียกว่าไม่ช่วยเลยมากกว่า) แต่พ่อแกคงเห็นความตั้งใจจริงที่หัวเด็ดตีนขาดมันก็ไม่ยอมกินยาผีบอกสูตรนี้ แกเลยเลิกความตั้งใจไป..

วัยเด็กของผมนี่ถึงจะกลัวแค่ไหนก็ไม่ค่อยมีโอกาสเผชิญหน้าจะๆกับเจ้าตัวลายพร้อยนี่สักที อาจเพราะต่างฝ่ายต่างหลบกันก็เป็นได้ ค่าที่ว่าผมก็กลัวมันกินตับ ส่วนมันก็ระแวงว่าผมอาจเปลี่ยนใจอยากจะอ้วนขาวทางลัดขึ้นมา..
ได้มาเห็นมาเจอจริงๆจะๆก็ตอนย้ายมาอยู่บ้านใหม่ ตอนนั้นผมเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ปิดเทอมทีก็กลับบ้านที..
ระวังนะ ที่หลังตู้กับข้าวตรงในครัวมีตุ๊กแก พี่สาวผมเตือน
ครัวที่บ้านใหม่อยู่นอกตัวบ้าน เอาตู้กับข้าวจากบ้านเก่ามาตั้งไว้เกือบชิดกำแพง แแค่เกือบชิด.. แล้วไอ้ช่องว่างที่ห่างราวๆแค่นิ้วกว่าๆนี่แหละที่ผมไปส่องดูตามคำพี่บอกด้วยความอยากรู้.. พอผมส่องก็เห็นหัวตุ๊กแกโผล่พรวดมาทางผมทันที
เฮ้ย.. ผมผงะถอยกรูด.. ไม่ได้กลัวนะ แค่ถอยมาตั้งหลัก เอ่อ..ในตัวบ้านแค่นั้นเอง ไม่ไกล
ทำไมไม่บอกล่ะว่ามันมีกันหลายตัว ผมโวยเสียงสั่นเอากะพี่สาว
อ้าว ไม่ได้บอกเหรอ พี่ผมทำหน้าทองไม่รู้ร้อน ผมมองหน้า ไม่แน่ใจว่าแกตั้งใจแกล้งผมหรือเปล่า
เห็นไอ้ตัวใหญ่ไหม
เห็น ถึงผมจะดูมันแค่แวบเดียวก็พอจะรู้ว่าพี่ผมหมายถึงไอ้ตัวไหน เพราะมันใหญ่มากเท่าที่ตุ๊กแกจะใหญ่ได้แล้วหละ ถ้าใหญ่กว่านั้นอีกคงต้องเรียกว่าตะกวดแล้ว ซึ่งตามความเข้าใจของผม ตะกวดมันก็ไม่น่าเกาะฝาผนังได้อย่างนั้นนะ..
นั่นแหละไอ้กุด ตัวจ่าฝูงมัน
ไอ้กุดเป็นตุ๊กแกหางกุด ที่กุดไม่ได้กุดเพราะใครกัด แต่หางมันเหมือนพิการ อ้วน สั้น ป้อมและงอๆ เหมือนจะดูตลก แต่ถ้าใครได้เห็นมันแล้วจะรู้ว่าไม่ตลก มันเหมือนเวลาเรามองโจรสลัดพิการที่มีตาเดียว เหมือนมองจอมไสยศาสตร์ที่มีรอยสักลายพร้อยเต็มตัวแต่มีรอยแผลเป็นใหญ่ที่ใบหน้า.. มันน่ากลัวมากกว่าที่จะตลก

การมีตุ๊กแกที่บ้านสร้างปัญหาให้กับคนในบ้านยิ่งนัก เวลาใครจะไปหยิบอะไรที่ตู้กับข้าว บนหลังตู้ก็จะต้องมองแล้วมองอีก ว่าไอ้กุดกับชาวคณะจะโผล่ออกมาไหม บางทีหยิบๆหอมแดงบนหลังตู้อยู่ ตุ๊กแกโผล่พรวดออกมา ก็มีรายการร้องกันลั่นบ้าน หอมเหิมกระจายไปคนละทิศละทาง
จะอาบน้ำทีก็ระแวง เพราะวันดีคืนดีไอ้กุดก็จะเข้าไปหาแมลงกินในห้องน้ำ ก็เป็นอันไม่ต้องอาบน้ำกัน.. โธ่..คุณ ลองนึกภาพว่ากำลังตัวเปล่าอาบน้ำอยู่แล้วเกิดตุ๊กแกมันโดดมาเกาะน่ะ จะทำยังไงล่ะ อยู่ก็ไม่ได้ วิ่งออกมาก็ไม่ได้

ทางบ้านเลยมีมติขับไล่ไอ้กุดและพรรคพวก

อะไรที่เบื่อๆเหม็นๆทั้งหลายแหล่ที่เค้าว่ากันว่าตุ๊กแกทั้งเกลียดและกลัวก็ถูกเอาไปสุมที่ครัวใกล้ตู้กับข้าว
กุดแอนด์เดอะแก๊งค์ก็ยังเฉยๆ ไม่ได้มีทีท่าเดือดร้อนอะไร..
ต่อมาพี่สาวผมทนไม่ไหว รวบรวมความกล้าเอาด้ามไม้กวาดไปกระทุ้งไล่ โดยมีผมยืนให้กำลังใจอยู่ห่างๆ.. (แมนมาก)
มันสู้ครับ
ไอ้กุดมันไล่งับปลายไม้กวาดที่แหย่เข้าไป เหมือนในนิทานที่มังกรสู้กับปลายหอกของอัศวิน
แล้วมันก็พรวดออกมาจากหลังตู้ พี่สาวผมวิ่งอ้าว..
ผมเหรอ..
ผมวิ่งเร็วมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว..

พี่สาวผมเอาเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อน..
ได้รับคำตอบว่าแมว
ที่ไหนมีแมวที่นั่นไม่มีตุ๊กแก เพื่อนแกว่า
วันรุ่งขึ้นพี่สาวผมไปเอาแมวมาจากบ้านเพื่อนทันที
แต่ปรากฏว่ามันเอาแต่วนเวียนอยู่ในบ้านแล้วก็นอน ไม่ทำอะไร เอาไปปล่อยหลังบ้านตรงครัว มันก็ยังไม่ทำอะไร..
งานนี้เลยมีแผน
แผนคือคนนึงจะมีหน้าที่เอาด้ามไม้กวาดเขี่ยไอ้กุดให้ร่วงลงมา อีกคนอุ้มแมวไว้ไม่ให้เดินโต๋เต๋ไปไหน พอไอ้กุดร่วงก็โยนแมวใส่ แล้วแมวก็จะวิ่งไล่ตะครุบตุ๊กแกตามสัญชาตญาณ..

แน่นอนอยู่แล้วครับ.. ที่ลูกผู้ชายอย่างผมต้องเสียสละเป็นฝ่ายที่อุ้มแมว

พร้อม พี่สาวผมเอาด้ามไม้กวาดไปจ่อที่หลังตู้ด้วยหน้าซีดๆหันมาถามผม
พร้อม ผมตอบ..เสียงสั่นไม่น้อยกว่ากันเท่าไหร่
ฮึ่ยๆๆๆ พี่สาวผมทั้งเขี่ยทั้งฟาดทั้งร้อง ไม่นานไอ้กุดก็ร่วงลงบนพื้น มันพรวดออกมาใส่พี่สาวผมทันที
ว้ายๆ พี่สาวผมเผ่นผลุง โยนไม้กวาดหนี ผมตะลึงกับความห้าวของไอ้กุด
 แมวๆ ได้ยินเสียงแกเตือนผมถึงได้สติโยนแมวในมือเข้าใส่ไอ้กุด พลางถอยฉากมาดูผลงาน
แมวกับไอ้กุดประจันหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างต่างจ้อง แมวเริ่มส่งเสียงขู่ แต่ผมว่าเสียงมันสั่นๆยังไงไม่รู้
เอาๆๆ ผมเชียร์ แต่สงสัยว่าจะมีการเข้าใจผิด ไอ้กุดคงนึกว่าเชียร์มัน มันพุ่งพรวดแยกเขี้ยววิ่งคอตั้งเข้าใส่แมวทันที
ครับ..ตุ๊กแกวิ่งไล่แมว ไม่เห็นกะตาผมก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
งานนี้ก็กระเจิงกันไปทั้งแมวทั้งคน ผู้ชนะก็ยังคงเป็นไอ้กุดและชาวคณะเช่นเคย
อีกวันพี่สาวผมรีบเอาแมวไปคืนเพื่อนทันที
ตอนนี้ผมรู้แล้วหละว่าทำไมที่ไหนมีแมวที่นั่นถึงไม่มีตุ๊กแก..
แมวมันคงไม่ชอบอยู่ในที่ที่มีตุ๊กแกแบบไอ้กุดนักหรอก..

เวลาผ่านไปไอ้กุดก็ตายไปด้วยความชรา ทิ้งลูกทิ้งหลานไว้บ้าง แต่ก็ไม่เคยมีตัวไหนสร้างวีรกรรมได้ขนาดมัน
แปลกที่นึกถึงมันทีไรก็รู้สึกผูกมันเหมือนสมาชิกในบ้าน ทั้งๆที่ตอนนั้นรบกันแทบเป็นแทบตาย
ตอนนี้ถ้าบอกกับมันได้คงต้องบอกว่า..
ขอบคุณไอ้กุด กับความทรงจำที่ทำให้อมยิ้มทุกครั้งที่นึกถึง..
ขอบคุณไอ้กุดที่ทำให้วันนี้ มีเรื่องตุ๊กแกมาเล่า..
ลูกผู้ชาย บางครั้งอาจจะหยามได้ ฆ่าไม่ได้ก็จริงอยู่

..แต่การจะยอมโดนหยามเพียงด้วยเรื่องแมลงสาบ ก็ออกจะเกินเลยไปนิดหนึ่ง ว่าไหม?  :)
				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง