24 สิงหาคม 2552 16:36 น.
หมอกจาง
ฝนนอกหน้าต่างตกเปาะแปะ
อากาศชื้นหอมหวานไหลเข้ามาอบอวลอยู่ในห้อง
เสียงฝนฟังดูเหมือนมีจังหวะจะโคนของมันแปลกๆ
..
จำคืนนั้นได้
ที่เธอซ้อนมอเตอร์ไซค์ฉันออกไปหาอะไรกินข้างหลังมอ
แล้วขณะที่ขี่รถกลับ จู่ๆฝนก็ตกกระหน่ำ
ฉันรีบบิดเร่งเครื่อง กลัวว่าจะพาเธอมาเปียกปอน
เธอที่ด้านหลัง คลุมตัวไว้ใต้เสื้อคลุมประจำภาควิชาของฉัน เสียงฮัมเพลงด้วยเสียงเล็กๆ ลอดออกมาแข่งกับเสียงฝนที่ตกกระหน่ำ
“ฟ้าในคืนฝนฉ่ำ คงนึกขำต่อคำสัญญา..”
วินาทีนั้น ฉันหลงรักเธอขึ้นมาดื้อๆ
..
คืนหนาวคืนหนึ่ง ลมพัดแรง
ทางเดินระหว่างตึกที่ฉันนั่งทำงานชิ้นสุดท้ายของปีสี่ กับตึกที่เธออยู่นั้น ถูกวางเรียงรายไว้ด้วยเทียนถ้วยเล็กๆ ตลอดแนวทางเดิน
คงเนื่องจากเทศกาลอะไรบางอย่างที่ฉันเองก็จำไม่ได้แล้ว
คืนนั้นลมหนาวกรรโชกหนัก เธอโทรมาบอกให้ฉันเดินไปรับเธอเพื่อจะมานั่งเล่น-ดูรายการทีวีบางรายการที่ห้องทำงานฉัน
ฉันเสียเวลาพักใหญ่ กว่าที่จะเดินผ่านทางเดินนั้นไปรับเธอ
เราเดินคุยกันมา ผ่านทางเดินทางเดิม เทียนในถ้วยที่เรียงรายดับไปกว่าครึ่ง
ฉันเดินจนเกือบสุดทาง กว่าที่จะรู้ว่าเธอปล่อยให้ฉันเดินมาเพียงลำพัง
หันไปมองดู เห็นเธอสาละวนอยู่กับการต่อเทียนน้อยๆเหล่านั้นจนสว่างครบทุกดวงบนทางเดิน
ฉันมองเธออย่างเงียบๆไม่พูดอะไร
เมื่อเธอเดินมาหาฉัน ฉันถามเธอว่า เธอรู้ไหมว่ามันเปล่าประโยชน์ ลมที่พัดแรงจะพัดมันดับในชั่วอีกไม่นาน
เธอบอกว่าเธอรู้ แต่ว่าเธออยากเห็นมันสว่างไสวเรียงรายกันอย่างนั้นสักนิด แม้จะเพียงครู่เดียววูบเดียวก็ตาม
เราสองคนยืนนิ่งมองมันชั่วครู่ ก่อนที่จะหันจากไป ปล่อยเทียนเหล่านั้นไว้กับสายลม
เธอถามฉัน
ว่าฉันคิดว่าสิ่งที่เธอทำมันไร้สาระหรือเปล่า
บางที.. ฉันตอบ
แต่ก็นั่นแหละ เธอรู้ไหม ว่านี่คือสาเหตุที่วันนี้ฉันเดินไปรับเธอช้ากว่าที่เคย
วันนั้นเธอยิ้มให้ฉันได้สวยที่สุด
..
"ฉันถือแหเก่าคร่ำคร่า
ออกเรือจากริมฟ้า
มุ่งหน้าไปกลางทะเลดาว.."
..
วันหนึ่ง ฉันและเธอคุยกันเรื่องหนังสือ
เธอบอกว่าเธอชอบอ่านบทกวี และบ้างบางครั้ง-เธอเขียนบทกวี
ฉันบอกเธอว่า ฉันเองก็เช่นกัน
อ่านบทกวี บางครั้ง-แอบเขียนและซ่อนมันไว้อย่างละอาย
เราแลกบทกวีกันอ่าน
เธอบอกว่าเธอชอบบทกวีของฉัน
เธอบอกว่าอารมณ์ของฉันนั้น-ลึก
ซึ่งฉันเองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำว่า-อารมณ์ลึก-สักเท่าไหร่
ไม่มีใครเคยบอกฉันเช่นนั้นมาก่อน และตราบเท่าวันนี้ก็ยังไม่เคยมีใครบอกซ้ำ
เรายิ้มให้กัน และเธอเอ่ยปาก ว่าขอบทกวีชิ้นนั้นให้เธอได้ไหม
ฉันตอบว่าได้สิ ฉันยกมันให้เธอ
แม้มันอาจเป็นบทกวีที่ไม่ดีเท่าไร
แต่มันก็เป็นบทกวีของเธอเสมอมา
..
"ฉันถือแหเก่าคร่ำคร่า
ออกเรือจากริมฟ้า
มุ่งหน้าไปกลางทะเลดาว
ท่ามกลางความมืดและเหน็บหนาว
ฉันทอดแหเอา
ได้ดาวคราวละแปดเก้าดวง
มีดาว-บางดาว-บางดวง
ฉันทำหล่นร่วง
เพราะแหนั้นเก่าเหลือใจ
พรุ่งนี้จะขายดาวไป
พร้อมทั้งตั้งใจ
เก็บดาวสุกใสดวงนั้นกำนัลเธอ"
..
สิบสองปี
ถ้าวันนั้นเธอปลูกดอกคูนไว้ที่หลังห้องตามคำแนะนำของฉัน ป่านนี้มันคงออกดอกสวยสะพรั่งทีเดียว
แต่อย่างน้อยฉันก็หวัง ว่าดอกมะลิที่เธอเลือก คงมีอายุอยู่หลายขวบปี
..
นานเท่าไรแล้วนะ ที่ฉันไม่ได้คิดถึงเธอ
คงเฉพาะวันที่เงียบสงัด กับเสียงฝนเปาะแปะแบบนี้หรอก ที่ความทรงจำบางอย่างมันจะย้อนมาแตะความรู้สึกได้อย่างแจ่มชัด
ฉันคิดถึงเธอไม่บ่อย
แต่เชื่อเถิดว่า ฉันไม่มีทางที่จะหลงลืมเธอไปจากความทรงจำ
..
เนิ่นนานมาแล้ว ไม่ได้เจอ
ฉันหวังว่าเธอคงจะสบายดี
21 สิงหาคม 2552 02:07 น.
หมอกจาง
ที่รัก
หากว่าฉันบอกรักเธอ โดยมีชีวิตเหลืออยู่อีกเพียงวันเดียว
เธอจะรักฉันหรือเปล่า
เราคงได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นและตกร่วมกันเพียงหนึ่งครั้ง
ได้กินข้าวด้วยกันเพียงสามมื้อ
เราคงมีเวลาคุยกันได้ ไม่ถึงครึ่งที่อยากคุย
เราอาจออกไปเดินเล่นด้วยกัน ที่สวนสาธารณะ หรือริมทะเล
ฉันอาจเล่าให้เธอฟังถึงหนังบางเรื่อง หนังสือบางเล่ม
เรื่องขำขันบางอย่างที่มันอาจทำให้เธอยิ้ม
ฉันอาจไปเป็นเพื่อนเธอเลือกซื้อของได้บางชิ้น
ซื้อดอกไม้ให้เธอสักช่อ หัวเราะให้กับเรื่องราวบางอย่างที่ตรงหน้า
และจากนั้น ฉันจะจากเธอไปนิรันดร์
เธอจะรักฉันหรือเปล่า
หากว่าวันที่งดงามระหว่างเรานั้น มันต้องแลกมาด้วยความปวดร้าวอันเนิ่นนาน
เธอจะคิดถึงฉันในทุกครั้งที่เดินอยู่ริมทะเล
เมื่อได้เห็นหนังบางเรื่อง หนังสือบางเล่ม
และเธออาจต้องร้องไห้ให้กับเพลงบางเพลง
เธออาจต้องหม่นเศร้าในทุกคราวที่ฝนตก
อ้างว้างเมื่อเห้นช่อดอกไม้ในมือใครคนอื่น
บางครั้งเธออาจยิ้มได้กับความทรงจำ บางครั้งเธออาจเหงาจับใจ
ชื่อฉันจะติดอยู่ที่ริมฝีปาก และเธอไม่อาจรู้ว่าจะหาฉันได้ที่ไหน
ที่รัก
หากว่าฉันบอกรักเธอ โดยที่มีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงชั่วโมงเดียว เธอจะรักฉันหรือเปล่า
เราอาจทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่าการกินกาแฟในร้านเล็กๆ
กับบทสนทนาที่มีกลิ่นหอม
ฉันอาจเขียนบทกวีให้เธอสักบท
ปาดรอยเปื้อนที่ตรงหางตาของเธอ
หัวร่อต่อกระซิกกันเบาๆ แก้มใกล้แก้ม
และจากนั้น ฉันจะจากเธอไปตลอดกาล
เธอจะรักฉันหรือเปล่า
หากว่าโมงยามนั้น มันจะทำให้เธอหวนคิดถึงฉัน ทุกครั้งเมื่อเข็มนาฬิกาชี้เวลาเดิม
หูเธอจะแว่วเสียงหัวเราะของฉัน ดวงตาของเธอจะกวาดตามองหา
และเมื่อหาไม่พบ เธอก็จักไม่มีมือใดมาปาดป้ายน้ำตา
ที่รัก
หากว่าฉันบอกรักเธอ โดยที่มีเวลาเหลืออยู่อีกเพียงนาทีเดียว เธอจะรักฉันหรือเปล่า
เมื่อฉันเอ่ยคำรักกับเธอ ด้วยคำรักที่หวานหูที่สุด เท่าที่ฉันอยากเอ่ยกับใครสักคน
ดวงตาฉันจะมองนิ่งลึกลงไปในดวงตาเธอ
และบางที ก่อนที่เธอจะอาจเอื้อนเอ่ยอะไร
ฉันก็จะจากเธอไปตลอดกาล
ที่รัก หากว่าเป็นดังนั้น เธอจะรักฉันไหม
รัก แม้ว่าหูของฉันจะไม่อาจได้ยินคำรักของเธอ
แม้ว่าดวงตาของฉันไม่อาจมองเห็นดวงตาของเธอ
แม้ว่าไออุ่นจากมือของเธอจะสัมผัสเพียงร่างกายที่เย็นชืดของฉัน
และเธออาจต้องร่ำร้องคำรักอย่างปวดร้าวโดยปราศจากผู้รับฟัง
ที่รัก
เธอจะยังคิดถึงฉันไหมหากว่าฉันไม่อาจรับรู้ได้ในความคิดถึง
25 กรกฎาคม 2552 23:13 น.
หมอกจาง
หญิงสาวของฉัน
ค่ำคืนค่อยๆปกคลุมแล้ว
เธอกำลังทำอะไรอยู่?
ท้องฟ้าเป็นสีน้ำเงินเข้ม
ดาวดวงที่ชัดที่สุดส่องแสงอ้อยอิ่ง
สายลมเกียจคร้านเหมือนไม่อยากจะขยับเคลื่อน
ฉันนั่งเงียบๆ คิดถึงเธออย่างบอกไม่ถูก
เนิ่นนานผ่านมาแล้ว กับเรื่องราวของเรา
ความเจ็บปวดค่อยๆจางหาย และบ่อยครั้ง-ที่ฉันคิด
ว่าฉันอาจหายเป็นปกติสุข
แต่ความสงบระงับก็เหมือนกับดาวตก
หรืออย่างมาก-ก็เหมือนกับสายฝน
ที่ผ่านมาเยือนเพียงแค่ชั่วครู่ชั่วคราว
แล้วฉันก็หวนกลับมาคิดถึงเธออย่างรุนแรงอีกครั้ง
เรื่องของเราอาจมีอยู่ไม่มาก
แต่ฉันก็สามารถหวนนึกย้อนถึงมันได้อย่างไม่มีวันหมด
การได้อ่านหนังสือบางเล่ม หรือบทเพลงบางเพลง
มักจะทำให้ฉันย้อนกลับไปคิดเรื่องของเรา
บางครั้ง-ก็ในแง่มุมใหม่ บางครั้ง-ก็แค่เรื่องราวเดิมๆที่ไม่รู้จักเบื่อ
เคยเป็นบ้างไหม
ทุกครั้งที่โทรศัพท์ดังด้วยเบอร์ที่ไม่รู้จัก
ประกายความหวังเล็กๆในใจจะฉายโชนแสงขึ้นวิบวับ
แต่แล้วก็วูบดับไปเสียทุกครั้งหลังจากนั้น
เคยเป็นบ้างไหม
ทุกครั้งที่เปิดกล่องจดหมายในอีเมล
แล้วจะต้องแวะเวียนเข้าไปเปิดอ่าน Junk Mail ก่อนอย่างอื่น
ด้วยความหวังเลือนลาง ว่าอาจมีจดหมายจากใครบางคน
ฉันทำเช่นนั้นจนเป็นกิจวัตร
เธอรู้ไหม ว่าที่ผ่านมานั้น ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความรัก
ฉันใช้ความตื้นเขินของตนเอง ไปหยั่งวัดความรัก
และสรุปทึกทักเอา
ว่าความรักนั้นลึกเพียงเท่าที่ฉันคิด
เนิ่นนานหลังจากนั้น ฉันจึงพบ ว่าความโง่เขลาแบบนั้นทำร้ายฉันสาหัสเพียงใด
วันนี้ฉันอ่านหนังสือเรื่อง ญามิลา
หนังสือเล่มเล็กๆกะทัดรัดเล่มหนึ่ง
ที่กล่าวถึงความรักของดานียาร์และญามิลา
ฉันอ่านและดื่มด่ำไปกับมัน
ภาพของคนทั้งคู่นั้นชัดเจนผ่านตัวหนังสือ
แต่สิ่งหนึ่งที่รบกวนฉัน คือดวงตาของญามิลา
ดวงตาของความรัก ซึ่งเจือไปด้วยความรู้สึกผิด
มันทำให้ฉันหวนนึกไปถึงดวงตาของเธอเสมอ
ก็ดวงตาชนิดนั้นไม่ใช่หรือ ที่เธอใช้มองฉันอยู่บ่อยๆ
ความว้าวุ่นใจ ความสับสน กิริยาสะท้อน-เขินอาย
เหล่านั้นไม่ใช่หรือที่ฉันเคยได้เห็นในตัวเธอ
ความรักเหมือนกันทั้งโลก
ไม่น้อยไปกว่านี้ และไม่อาจมากไปกว่านี้อีก
ระหว่างเรา-คือความรัก
ฉันสรุปกับตัวเองแบบนั้น
อาจเป็นเพียงคำยืนยันเล็กๆที่ไม่ได้แปลกใหม่อะไร
แต่ฉันก็พอใจที่ได้คิดอย่างนั้น
หญิงสาวของฉัน
ค่ำคืนค่อยดึกลงมากแล้ว
ความคิดของฉันยังคงฟุ้งลอยไปเรื่อยเปื่อย
คิดโน่น-คิดนี่ไปสารพัด
บ่อยครั้งที่ฉันคิด
ว่าไม่ว่าจะเป็นพรหมลิขิตหรือความบังเอิญ
หากว่าฉันจะมีโอกาสได้ยืนต่อหน้าเธออีกครั้ง กุมมือเธออีกครั้ง
ฉันจะปล่อยให้เธอหลุดลอยจากไปเป็นครั้งที่สองหรือเปล่า?
แล้วเธอล่ะ..
จะปล่อยให้ฉันหลุดลอยจากไปอีกไหม..
28 มิถุนายน 2552 07:30 น.
หมอกจาง
ที่รัก
เธอคือความรักที่โง่บัดซบในชีวิตของฉัน
เราไม่ควรรักกัน
ฉันบอกตัวเองซ้ำๆ ในทุกห้วงยามที่เราได้อยู่ใกล้
ในทุกวินาทีที่อยู่ใกล้ และในทุกสายตาที่สบตา
สายลมหนาวบอกกล่าวความรู้สึกแต่ดอกไม้สีขาวก็ยังคงร่วงไปเปล่าค่า
ฉันเจ็บช้ำตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น
พรากจากตั้งแต่เรายังไม่พรากจาก
ทั้งหมดทั้งมวลอาจเพียงเพราะ สมองฉันไม่ยอมที่จะหยุดคิดถึงเหตุผล
ในขณะที่หัวใจก็รับรู้ความรู้สึกอยู่เต็มหัวใจ
ระหว่างเรา ฉันมองหาความแตกต่างมากมาย
และฉันก็ได้เห็นความแตกต่างมากมาย
เราต่างกันมากและเราต่างกันเกินไป-ฉันบอกตัวเองอย่างนั้น
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งเราเหมือนกันและตรงกัน แต่ฉันกลับละเลย
นั่นคือหัวใจของเรา
ที่รัก
เธอคือความรักที่โง่บัดซบในชีวิตของฉัน
ฉันเคยคิดว่าเธอคงเป็นเหมือนใครต่อใครที่ผ่านมา
ที่เวลาจะทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นลบเลือนไป
และความเจ็บปวดไม่อาจทำร้ายเราได้นาน
แต่ไม่ใช่
จนกระทั่งถึงบัดนี้ ฉันก็ยังคงเจ็บปวด
ซึ่งเธอรู้ดี ว่าเวลานั้นผ่านมาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว
ความคิดคำนึงอาจสามารถย้อนภาพเก่าๆ
แต่มันไม่อาจย้อนเวลาไปแก้ไขสิ่งใดได้
ทุกครั้ง ที่ฉันหวนคิดเรื่องของเธอ
มันเหมือนกับการเดินเท้าเปล่าไปในสวนดอกไม้แห่งความลับ
ที่ซึ่งบนพื้นนั้นโรยไว้ด้วยกรวดคมและไหน่หนาม
ชื่นตา ชื่นใจ หากแต่ก็เจ็บแปลบไปพร้อมกัน
ที่รัก
เธอคือความรักที่โง่บัดซบในชีวิตของฉัน
ที่ต้องใช้เวลาเนิ่นนานเพื่อที่จะได้ตระหนัก ว่าฉันรักเธอมากเท่าใด
ฉันสูญเสียบางอย่างที่ไม่อาจทดแทน
ลืมตาตื่นเพื่อมองย้อนและกล่าวโทษตนเองอยู่ซ้ำๆ
และลืมตาตื่นกล่าวโทษตัวเองอยู่ซ้ำๆในทุกเช้า..
7 เมษายน 2552 12:23 น.
หมอกจาง
เช้าวันหนึ่ง เจ้าหัวตื่นขึ้นและพบว่าตัวเองเกยตื้นอยู่ตรงพงหญ้าริมลำธาร
ฉันมาทำอะไรอยู่ตรงนี้นะ- มันนึก และเมื่อพยายามลุกขึ้น มันลุกขึ้นไม่ได้เสียแล้ว
มันพบว่าท่อนล่างตั้งแต่คอลงไปนั้นหายไป
..
ใครคงตัดฉันออกมาจากลำตัว และทิ้งลงน้ำให้ลอยจนมาถึงตรงนี้เป็นแน่ – มันคิด
จากเช้า จรดสาย เจ้าหัวมันนอนนิ่งอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต
มันยังคงมีตา มีหู มีปาก มีจมูกเอาไว้หายใจ แต่มันไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านั้น
ที่สำคัญ มันคิดถึงลำตัวจับใจ
มันเคยรำคาญเรื่องนั้นเรื่องนี้ของเจ้าลำตัว
รำคาญท้องที่ชอบปวดบ่อยๆ รำคาญหัวเข่าที่ชอบเคล็ดขัดเวลาวิ่งเร็วๆ
บางครั้งก็รำคาญมือที่มักปัดโดนโน่นนี่อย่างซุ่มซ่าม
แต่ตอนนี้ ข้อเสียเหล่านั้นมันดูเล็กนิดเดียว
..
จนกระทั่งบ่าย แดดร้อนส่องกระทบหน้า
มดแดงหลายตัวไต่ไปมาและพยายามที่จะเข้าไปในใบหู มันขยับมือจะปัดแต่นึกขึ้นได้ว่าไม่มีมือ
เจ้าหัวคิดถึงส่วนที่ขาดหายไปจับใจ
ดังนั้น มันจึงตัดสินใจว่า มันจะออกเดินทางลำตัว
..
มันเริ่มใช้ความคิด
ในเมื่อมันลอยมาตามน้ำ ดังนั้น ลำตัวมันคงต้องอยู่ตรงเหนือน้ำ ที่ไหนสักแห่ง
ถ้ามันเดินทวนน้ำไปเรื่อยๆ มันก็คงหาลำตัวเจอสักวัน
มันไม่รู้ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ และไม่รับประกันว่าจะหาเจอไหม
แต่มันก็ไม่มีอะไรจะต้องเสียในการเสี่ยงอยู่แล้ว
..
มันพยายามที่จะคืบคลานไปตามริมลำธาร ในทิศทวนกระแสน้ำ โดยใช้ปากกัดหญ้า และใช้กล้ามเนื้อบนใบหน้าช่วย
แต่ไม่นานมันก็รู้ ว่าปากนั้น ไม่ได้มีไว้เดิน
และกล้ามเนื้อบนใบหน้ามัน แม้จะละเอียดซับซ้อนมากมาย แต่ก็ไม่ได้แข็งแรงอะไรสักเท่าไหร่
เมื่อค่ำคืนมาถึง มันหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ปากยังคงกัดดินอยู่เต็มปาก
มันนึกในใจว่า ถ้ามีเท้าสักคู่ก็คงดี เท้าเล็กๆก็พอ
..
รุ่งเช้า มันตื่นขึ้นมาพร้อมกับเท้าคู่เล็กๆ
เจ้าหัวดีใจมาก มันไม่รู้จะขอบคุณอะไรดี เทวดา ปาฏิหาริย์ หรือความมุ่งมั่น
ดังนั้นที่มันทำจึงมีเพียง ออกก้าวเดินด้วยขาเล็กๆคู่นั้น
มันก้าวเดินไปได้อย่างช้าๆในตอนแรก และค่อยๆคล่องแคล่วขึ้นบ้าง
แม้จะไม่ดีเท่าหนึ่งในสิบของขาเดิม แต่ก็เถอะ ใช้แก้ขัดไปก่อน ดีกว่าไม่มีเสียเลย
..
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ ก่อนที่มันจะพบว่า ลำธารเล็กๆสายนั้นลอดออกมาจากกำแพงอันหนึ่ง ดูเหมือนว่าจะมีเมืองอยู่ด้านใน
ฉันจะทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ – มันรำพึงกับตัวเอง
เจ้าหัวพยายามเดินหาว่ากำแพงมีทางเข้าไหม แต่มันพบว่า กำแพงนั้นยืดยาวออกไปทั้งสองด้าน เหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้นมันจึงแหงนหน้ามอง คะเนว่ากำแพงนั้นไม่สูงนัก
มันพยายามลองปีน แต่การปีนกำแพงโดยมีแค่เพียงขาสองข้างนั้น ดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
มันนอนขดตัวอยู่ริมกำแพง และเริ่มต้นร้องไห้
นี่ถ้าฉันมีมือสักคู่หนึ่ง ฉันคงปีนกำแพงข้ามไปได้แน่ๆ และฉันก็จะได้พบกับส่วนรของฉันที่ขาดหายไป
มันนึกวนไปวนมา กระทั่งนอนหลับ
และเมื่อยามเช้ามาถึง มันก็พบว่ามันมีแขนเล็กๆคู่หนึ่งงอกออกมา
มันดีใจมาก พยายามใช้แขนคู่นั้นปีนกำแพง แต่ก็ไม่สำเร็จ แขนคู่นั้นไม่ดีเท่าแขนเดิมที่มันมี ต่างกันสักร้อยเท่า
ฉันจะไม่ละความพยายามเด็ดขาด – มันนึก พยายามปีนอยู่อย่างนั้น พยายามฝึกใช้แขนเล็กๆคู่นั้นให้ดีขึ้น
และแล้ววันหนึ่งมันก็ข้ามกำแพงได้
จากบนกำแพง มันเห็นลำธารทอดไปอีกแสนไกล..
ไกลแค่ไหนฉันก็จะหาร่างกายของฉันให้เจอให้จงได้ – มันพูดกับตัวเองอย่างมุ่งมั่น
..
..
หนึ่งปีผ่านไป สองปีผ่านไป
มันเดินทางผ่านป่านับร้อยป่า ภูเขานับร้อยลูกและกำแพงนับไม่ถ้วน
มันจะพักก็ต่อเมื่อเหนื่อยจนทนไม่ไหว จะกินก็ต่อเมื่อแขนและขามันไม่มีแรงแล้วเท่านั้น
ทุกป่ามันหวังว่าจะเป็นป่าสุดท้าย
ทุกภูเขามันหวังว่าจะเป็นภูเขาลูกสุดท้าย เช่นเดียวกันกับทุกกำแพง
และวันหนึ่ง ภูเขาลูกสุดท้ายของมันก็มาถึง
มันเห็นเจ้าลำตัวของมันเดินอยู่ที่ชายป่าด้านหนึ่ง ร่างนั้นชุ่มไปด้วยเหงื่อและมอมแมม
มันจำร่างกายของมันได้แม่น มันรู้ว่าเจ้าลำตัวก็ออกเดินทางตามหามันมาตลอดเช่นกัน
เจ้าลำตัว – มันตะโกนเรียก วิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ และเมื่อเจ้าลำตัวหันมาเห็นก็วิ่งมาหามันเต็มฝีเท้าเช่นกัน
แต่เมื่อมันทั้งสองวิ่งเข้ามาใกล้เข้า และใกล้เข้า ต่างค่อยๆชะลอฝีเท้าลง กระทั่งหยุดอยู่ห่างกันสักสองสามวา
สบายดีไหม – เจ้าลำตัวทัก
สบายดี – เจ้าหัวตอบ – เดินทางไกลทีเดียว
อื้ม เหมือนกัน – เจ้าลำตัวพูด ตอนนี้เจ้าลำตัวมีปากสำหรับพูด มีตาคู่สวย มีหู จมูกวางอยู่บนใบหน้าและศีรษะครบครัน
ทั้งสองจ้องมองกันและกันอย่างเงียบงัน
จะไปไหนต่อ – เจ้าหัวถาม
ไม่รู้เหมือนกัน – เสียงตอบแผ่วเบา
ไปด้วยกันสักพักไหม –
อย่าเลย – เสียงที่เจ้าหัวไม่คุ้นหูปฏิเสธ – ไว้วันหลังค่อยเจอกันดีกว่า
ทั้งสองสิ้นสุดการเดินทางอันยาวนาน โดยการแยกจากกันอย่างเงียบๆ เจ้าหัวมองดูแขนที่เติบใหญ่จนแข็งแรงของมัน ดูขาที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อจากการเดินทาง ดูลำตัวขนาดพอเหมาะที่ใช้เลี้ยงแขนและขาให้ทำงานได้ดี
มันไม่ถามว่าเจ้าลำตัวไปเอาใบหน้า ตา หู จมูกมาจากไหน
มันคิดว่ามันรู้
และมันก็รู้ว่า การเดินทางของเจ้าลำตัวนั้น ก็คงลำบากมากไม่ต่างไปจากมันเช่นกัน..