30 มีนาคม 2553 20:18 น.

ใครหนอวาดควันไฟไว้บนปีกผีเสื้อ

หมอกจาง

บางเบาราวกับควันไฟบนปีกผีเสื้อ
ครั้งหนึ่ง-ฉันเคยเห็นหลุมดำในดวงตาของเธอกระเพื่อมไหว

.................................................

นานมาแล้วในระหว่างการเดินทาง
สมุดบันทึกของฉันจดจำภาพเธอเป็นสีซีดจาง
เก่า-คร่ำคร่า และบางรายละเอียดก็ขาดหาย
แต่ความรู้สึกครั้งนั้น ยังคงแจ่มชัดครบถ้วนอยู่ทุกอณูความรู้สึก

เหมือนความฝันในยามหัวค่ำที่ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาในยามดึก
ทบทวนเรื่องราวนั้นซ้ำซ้ำ และไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอหลับไปเมื่อยามใด
สายลมยังหอมหวล กลีบดอกไม้สีขาวยังคงกระจ่างชัด
ที่เธอร้องขอ และฉันหยิบยื่นดอกไม้ให้เธอนั้น เป็นเพียงความฝันกระนั้นหรือ?

ถ้อยคำบางครั้งก็เปล่าค่า
เราพูดอะไรต่อมิอะไรมากมาย ซึ่งไม่มีคุณค่าความหมายอะไรสักอย่าง
แต่เนื่องเพราะคำพูดในวันนั้น ที่เราพูดกันโดยปราศจากคุณค่าและความหมาย
ความกลวงเปล่าเหล่านั้น สั่นไหวหัวใจฉันอย่างรุนแรงในทุกครั้งที่นึกถึง

เราอยู่ใกล้ และอยู่ห่าง
คิดถึงโดยปราศจากความยับยังชั่งใจ หากต่างก็เม้มปากไว้สนิทแน่น
ไม่ใช่เพราะแดดยามบ่ายหรอก ที่ผ่าวแก้มเธอแดง
และไม่ใช่เพราะแมลงวันตัวน้อยบนโต๊ะเช่นกัน ที่ทำให้ฉันต้องเสหลบสายตา

ใครหนอวาดควันไฟไว้บนปีกผีเสื้อ
บางเบา ล่องลอย อ้อยอิ่ง แต่ขณะเดียวกันก็ติดสนิทแน่น
บางครั้งเสมือนรอยสักที่ภาคภูมิ บางครั้งเสมือนรอยแผลเป็นที่เจ็บปวด
ลบไม่ได้ หลีกไม่พ้น ได้แต่หอบพานำไป ติดตัวจนกว่าจะตาย

กาลเวลาผ่าน สถานที่เปลี่ยน
กระทั่งสถานที่เดิมก็ไม่เป็นเหมือนเดิม
เราต่างเขียนเรื่องราวร่วมกันในช่วงเวลาหนึ่ง แตะแต้มมันไว้ ตรงนั้นตรงนี้
เมื่อหวนคิดถึงสถานที่หนึ่งสถานที่ใดที่เคยมีสองเราร่วมอยู่ เธอคิดถึงฉันบ้างไหม

สำหรับฉันแล้ว ทุกครั้งที่หวนนึกถึงเธอ ฉันจะมองเห็นดวงตาดำสนิทคู่นั้นเสมอ

ลึกซึ้งและซ่อนเร้น
มองไม่เห็น อ่านไม่ออก หรือไม่คิดมองหา
ดวงตาของเธอที่ดำขลับ ลึก  มองไม่เห็นก้นบึ้ง
หรืออาจเป็นเพราะฉัน ที่หาหัวใจตัวเองไม่เจอ

.............................................

บางเบาราวกับควันไฟบนปีกผีเสื้อ
ครั้งหนึ่ง-ฉันเคยเห็นหลุมดำในดวงตาของเธอกระเพื่อมไหว				
18 มีนาคม 2553 10:02 น.

เราเลิกเขียนกลอนรักกันแล้วกระนั้นหรือ?

หมอกจาง

jpLdH.jpg

เราเลิกเขียนกลอนรักกันแล้วกระนั้นหรือ?

ใครหนอเอาต้นความเกลียดชังมาปลูก
หัวใจเราอาจมีดินที่ดี
ความเกลียดชังจึงงอกงามได้ไวเหลือเกิน

เธอรู้ไหมว่าสายรุ้งมีกี่สี
ดวงตาอันโง่เขลาของเรานั้นแยกได้แค่เจ็ด
บางที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความละเอียดอ่อนของดวงใจ
สายรุ้งนั้นมีสีได้ร้อยพัน

ความรักมีสีอะไร?
ฉันเคยถามคำถามนี้เมื่อนานมาแล้ว
ความรักไม่มีสี มันไม่เคยมีสี
ในความรักนั้นเรามองหาความเหมือน
มีเพียงแต่ความเกลียดชังเท่านั้น ที่มองหาความต่าง

เราเหมือนกันจนแทบจะเป็นหนึ่งเดียว
เพียงตำหนิเล็กๆที่เราแตกต่าง
เราจึงบอกว่าเราแตกต่างกันอย่างนั้นหรือ

ถ้าฉันขอน้ำเธอ เธอจะให้น้ำฉันไหม
ถ้าฉันยิ้มให้เธอ เธอจะยิ้มกลับมาให้ฉันไหม
ฉันไม่อยากเห็นเธอหยุดหัวเราะ เมื่อเธอพบว่าฉันหัวเราะพร้อมๆไปกับเธอ
มันคงจะดี ถ้าเราต่างยอมรับว่าเราโง่บัดซบด้วยกันทั้งคู่
เพื่อว่าเราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันได้เหมือนเดิม

เธอรู้ไหมว่ากาลเวลานั้นเป็นผู้ทรยศอย่างวายร้าย
มันมักสัญญิงสัญญาว่าจะจดจำเรื่องราวต่างๆเอาไว้
แต่ชั่วไม่ช้าไม่นาน มันก็จะลืมเลือนไปจนหมดสิ้น
รอยเท้าบนผืนทรายอยู่ได้นานแค่ไหน
รอยเท้าบนก้อนหินก็อยู่ได้นานกว่าเพียงเล็กน้อย
อย่าฝากอะไรไว้กับกาลเวลาเลย

เขียนมันลงหัวใจฉัน และให้ฉันเขียนมันลงหัวใจเธอ
ในห้วงนาทีที่เราปฏิสัมพันธ์กัน
เธอบอกฉันสิ ว่าเธออยากเขียนอะไร?

เธออาจคิดว่าฉันเป็นผู้โง่เขลา 
และเธออาจคิดว่าฉันเป็นผู้อ่อนแอ
อาจจะใช่ เพราะฉันไม่พร้อมที่จะตายเพื่ออะไรสักอย่าง
แต่ฉันพร้อมที่จะอยู่ เพื่อทุกอย่าง

เรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ?
รดน้ำต้นไม้แห่งความเกลียดชังด้วยวาทะส่อเสียด
พรวนดินให้มันอย่างขยันขันแข็ง
เราต่างปลูกมันขึ้นมาอย่างร่วมแรงร่วมใจโดยต่างไม่มองหน้ากัน

อย่าชาญฉลาดเลย 
เพราะเรามีคนชาญฉลาดมากเกินไปแล้ว และมันไม่เคยทำอะไรให้ดีขึ้น
อย่าแข็งแกร่งเลย
หากความแข็งแกร่งนั้น ทำร้ายใครรอบข้างที่เข้ามากระทบ กระทั่งเราเองก็บิ่นพังลงไป
อย่ามีอุดมการณ์เลย
หากว่าวาทะในอุดมการณ์นั้น มิใช่คำพูดของเราเอง

จงโง่เขลาและเย่อหยิ่งในความโง่เขลานั้น
หากมันจะทำให้ความเกลียดชังระหว่างเราเบาบางลง

หากว่าฉันบอกว่ารักเธอ เธอจะรักฉันบ้างได้ไหม?				
3 มีนาคม 2553 21:55 น.

การพรากจาก

หมอกจาง

เธอรู้ไหม
ว่าชีวิตมนุษย์นั้น มีแต่การพรากจาก
เพียงแค่ว่าจะนาน หรือจะเร็วแค่ไหนเท่านั้น

ฤดูร้อนเริ่มก้าวล่วงเข้ามา
ดอกคูนดอกตะแบกบางต้นที่อ่อนไหวกับสายลมร้อนก็เริ่มออกดอกมาทักทาย
การพรากจากบางครั้งเดินทางมากับลมร้อน 
เหมือนกับที่บางครั้งมันเดินทางมากับลมหนาวหรือลมฝน
อันที่จริง การพรากจากอาจไม่ได้เดินทางมาจากที่ไหนเลย
มันหยุดสงบนิ่ง รอคอย อยู่ภายในใจของเรา
นับตั้งแต่วินาทีที่เราได้พบกันนั้นแล้ว

ความว่างเปล่าไม่มีน้ำหนัก
บางครั้ง มันดูคล้ายกับความเหงา แต่มันก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
ความเหงานั้นมักมีทิศทางของมันที่ชัดเจน ขณะที่ความว่างเปล่าไม่ใช่
ล่องลอยและเคว้งคว้าง
ร่ำร้องตะโกนอยู่ภายในลึกๆ หวังให้ใครสักคนฉุดดีงกลับมายืนบนพื้นดิน

การพรากจากมักทำให้เกิดความว่างเปล่า
ฉันนึกถึงเมื่อขณะที่ลมร้อนอันแห้งแล้งพัดดอกคูนพรูร่วงหล่นลงจากต้น
ลานดินเกลื่อนด้วยดอกสีเหลืองที่พร้อมจะปลิวไป และทิ้งไว้เพียงกิ่งก้านอันเปล่าเปลือย
ตอนนี้ ฉันรู้สึกเหมือนเป็นต้นคูนต้นนั้น ต้นที่ปราศจากอาภรณ์เหลืองอร่ามคลุมกาย
ว่างเปล่าเศร้าสร้อย แต่ก็ยังโหยหา-ไขว่คว้า คืนวันอันจะหวนมาเบ่งบาน

ทุกปี ทุกปี ซ้ำแล้วและก็ซ้ำเล่า
ที่ดอกคูนนั้นเพียรออกดอกเมื่อแรกฤดูร้อนมาเยือน
เหลืองกระจ่างสว่างไสว
เพื่อสิ่งใดกันเล่า ในเมื่อไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้น
สายลมร้อนก็จะพาจะพรากเอาดอกเหลืองอันอ้อยสร้อยลอยลับไปเหมือนทุกปี
ฉันอดนึกสนเท่ห์ไม่ได้ ว่าต้นคูนเหล่านั้นเอากำลังใจมาจากไหน
ที่จะเบ่งบานเพื่อพรากจากอยู่ซ้ำซ้ำอย่างนั้น

..........................................

ฉันเขียนบทกวีเล็กๆบทนี้ ให้กับดอกคูนบางดอกที่ร่วงหล่น
และโดยคืนวันอันเคยงดงามและบานสะพรั่ง
ฉันจึงหวังว่าเมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวระหว่างเราครั้งใด
ที่ผุดพรายขึ้นมาในดวงความคิดของเธอ จักเป็นความทรงจำที่งดงาม				
6 มกราคม 2553 00:17 น.

หิ่งห้อย ดอกไม้ และสายรุ้ง

หมอกจาง

ครั้งหนึ่งผมเคยถามปู่ว่า ทำไมคนเราต้องมีความเศร้า..

ปู่บอกว่า เมื่อเราสูญเสียบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญไป หัวใจของเราจะมีรูโหว่ และความเศร้านั่นแหละ ที่จะเข้ามาเติมเต็มรูโหว่นั้น เพื่อที่ว่าเราจะได้ไม่ว่างเปล่าจนเกินไป

.........................................

ปู่เล่านิทานให้ผมฟังสามเรื่อง

เรื่องแรกเป็นเรื่องของชายคนหนึ่ง ผู้ซึ่งรักหิ่งห้อยเป็นชีวิตจิตใจ

เขารักแสงวอมแวมกระจิดริดของมัน แม้ว่ามันจะเล็กจนมองแทบไม่เห็นในที่ที่มีแสงสว่าง แม้ว่าบางครั้งเพียงแค่ในคืนเดือนหงาย แสงมันจะดูอ่อนจางเสียแทบสาบสูญไปก็ตาม

เขาเฝ้าเก็บออมหิ่งห้อยเล็กๆเหล่านั้นทีละตัว ทีละตัว เก็บมันด้วยความรัก ความยินดี ด้วยความรู้สึกขอบคุณ

เขาเก็บหิ่งห้อยเหล่านั้นไว้ในกล่อง เมื่อเต็มกล่องก็เปลี่ยนให้กล่องนั้นใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น กระทั่งสุดท้ายเขาต้องเก็บหิ่งห้อยเอาไว้ในห้องๆหนึ่งในบ้าน จนในที่สุดก็เต็มห้อง 

ทุกยามค่ำคืน เขาจะดับไฟในบ้านจนมืดสนิท และเปิดห้องที่มีหิ่งห้อยของเขา หิ่งห้อยตัวน้อยๆจำนวนมหาศาลนั้น จับกลุ่มส่องแสงสว่างเหมือนดวงอาทิตย์

เขาปลาบปลื้มใจกับหิ่งห้อยของเขามาก เล่าให้ใครต่อใครฟัง ถึงความงดงามในยามกลางคืนของมัน บางครั้งเขาชักชวนเพื่อนที่พิเศษของเขา ให้มาชมความสวยงามนี้ร่วมกันกับเขา

แล้ววันหนึ่ง จะด้วยความเผลอเรอหรือโชคร้าย ประตูห้องนั้นปิดไม่สนิท หิ่งห้อยหลายพันหลายหมื่นในห้องนั้น พากันบินกรูเกรียวหนีหายไปจนหมดสิ้น

เขากลับมาบ้าน เปิดประตูและพบเพียงความเศร้ารอคอยเขาอยู่อย่างเย็นเยียบ

ชายคนนั้น จมอยู่กับความเสียใจอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืน จนกระทั่งวันที่แปด เขาจึงเริ่มต้นออกตามหาหิ่งห้อยของเขา และตั้งใจว่าถ้าหากเขาไม่เจอพวกมัน จะไม่ยอมกลับมาบ้านหลังนี้อีก

เขาเริ่มต้นออกเดินทาง ถามไถ่ทุกผู้คนที่พบเจอ ถึงหิ่งห้อยของเขา หิ่งห้อยตัวที่ใหญ่เท่าห้องๆหนึ่ง และสว่างเท่ากับดวงอาทิตย์

แน่นอนที่ว่า ไม่มีใครจะเคยเห็นมัน ทุกคนเคยเห็นเพียงแค่หิ่งห้อยธรรมดา ตัวเล็กๆเท่านั้น

และชายคนนั้นก็ไม่เคยได้กลับมาบ้านของเขาอีก เหลือเพียงแค่เรื่องราวให้ชาวบ้านเล่าขานถึงเท่านั้น

..................................................................

เรื่องที่สอง เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งกับดอกไม้ของเธอ

หญิงสาวสูงศักดิ์ ผู้เดินทางจากเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง ไปสู่เมืองใหญ่อีกเมืองหนึ่งด้วยรถม้า

ระหว่างทาง เธอมองออกมานอกหน้าเพื่อชมทิวทัศน์ ภูเขา ต้นไม้ ลำธารเล็กๆ นกสีสวย กระรอก กระแต

แล้วเธอก็พลันสะดุดตากับดอกไม้ดอกหนึ่ง

ดอกไม้สีแดงสดอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ดอกที่ใหญ่งามและสมบูรณ์ เพียงชั่วแวบเดียวที่รถม้าวิ่งผ่าน กลิ่นหอมหวานของดอกไม้ดอกนั้นก็โชยเข้ามาในตัวรถ มันหอมเสียจนเธอต้องร้องไห้

แต่การเดินทางของเธอเร่งรีบเหลือเกิน เธอไม่มีเวลาหยุดเพื่อชื่นชมดอกไม้ดอกนั้นให้มากกว่านี้ บางที ถ้าหากเธอมีเวลา เธออาจขุดเอามันไปปลูกไว้ที่สวนหลังบ้านของเธอ

เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย และทำธุระเสร็จเรียบร้อย ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นกินเวลาร่วมค่อนเดือน เธอก็สั่งคนขับรถขับกลับทางเดิม ระหว่างทางเธอสอดส่ายสายตามองหาดอกไม้ดอกนั้น แต่จนแล้วจนรอดเธอก็หามันไม่พบ

เธอกลับถึงบ้านของเธอพร้อมกับความเศร้า กินไม่ได้และนอนไม่หลับ เธอนึกถึงกลิ่นหอมของมัน สีสันของมัน และความสวยงามของมันอยู่ตลอดเวลา เธอนึกคิดและทบทวนถึงทำเลและสถานที่ที่เธอพบดอกไม้ดอกนั้น ถามไถ่จากผู้รู้เส้นทาง จนในที่สุดเธอรู้ชื่อสถานที่ที่เธอพบดอกไม้ดอกนั้น เธอรู้กระทั่งชื่อของดอกไม้ดอกนั้น

เธอจึงออกเดินทางอีกครั้งด้วยความหวัง รถม้าจอดลงในทำเลที่คุ้นตา เธอรีบลงจากรถ และพบดอกไม้พันธุ์เดียวกันนั้นบานสะพรั่งแดงสดใส ส่งกลิ่นหอมเต็มท้องทุ่ง

เธอค้นหาและค้นหา เธอค้นหาทั่วท้องทุ่ง ผู้คนที่มาด้วยก็ช่วยกันค้นหา ดอกไม้ดอกแล้วดอกเล่าผ่านตาเธอ แต่ทุกครั้ง เธอก็บอกว่า นั่นไม่ใช่ดอกเดียวกับที่เธอเคยเห็นครั้งที่นั่งรถม้าผ่าน

จนในที่สุด เมื่อเธอสำรวจดอกไม้จนหมดท้องทุ่ง ก็ไม่มีดอกใดเลยที่เหมือนกับดอกที่เธอจดจำได้จากครั้งนั้น เธอร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด มิไยที่ใครจะปลอบให้นำดอกอื่นไปแทน เธอก็ปฏิเสธ เธอได้แต่พูดซ้ำๆ ว่าไม่เหมือนกัน มันไม่เหมือนกัน

สุดท้ายเธอกลับมาบ้านโดยไม่ได้ดอกไม้ติดมือกลับมาเลยสักดอก เธอเก็บตัวเงียบเชียบอยู่แต่ในบ้าน และตรอมตรม

อีกหลายปีถัดมา เธอก็ตายไปด้วยความตรอมตรมนั้นเอง
 
..........................................................


เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ผู้หลงรักสายรุ้ง

เขาเฝ้ามองสายรุ้งที่พาดผ่านบนฟ้ามาตั้งแต่ครั้งยังเด็ก และตั้งความปรารถนาเอาไว้ว่าเมื่อเติบโตขึ้น มีเรี่ยวแรงมากพอ เขาจะออกเดินทางไปตามหาสายรุ้ง

จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตขึ้น เดินทางได้วันละหลายสิบกิโล ตัดไม้ได้วันละหลายสิบต้น และล้มวัวได้ด้วยมือเปล่า เขาจึงบอกลาทุกคนและเริ่มต้นออกเดินทาง

เขาออกเดินทางในหน้าแล้ง แต่เขาพบว่าสายรุ้งไม่ชอบหน้าแล้งเท่าไรนัก เพราะมันแทบไม่ปรากฏออกมาให้เขาเห็นเลย

จนกระทั่งย่างเข้าหน้าฝนที่ฝนตกชุกนั่นแหละ ก่อนหรือหลังฝนตก เขาจะมีโอกาสพบสายรุ้งอยู่บนฟ้าบ่อยๆ

ทุกครั้ง ไม่ว่าเขาจะเห้นสายรุ้งเกิดขึ้นอยู่ทางทิศไหน เขาจะรีบเร่งรุดเดินทางไปทางทิศนั้น แต่ทว่าชั่วไม่ช้าไม่นาน สายรุ้งก็มักเลือนหายไปก่อนที่เขาจะไปถึงเสียทุกที

ปู่เล่าว่าปู่ได้พบกับชายหนุ่มคนนี้ในวันที่ฝนตกหนัก ทั้งสองหลบฝนอยู่ในศาลาริมทางเล็กๆร่วมกัน ภายใต้การพูดคุยฆ่าเวลา ชายหนุ่มเล่าให้ฟังถึงการเดินทางตามหาสายรุ้งที่น่าผิดหวังของเขา

แต่ผมไม่ท้อหรอก ผมจะตามไปจนกว่าจะเจอและจับสายรุ้งมาเก็บไว้ให้ได้- เขาบอกกับปู่อย่างนั้น

ปู่เลยตอบเขาไปว่า เขาไม่มีทางจับสายรุ้งได้เด็ดขาด ไม่มีทางที่ใครจะจับสายรุ้งเอาไว้ได้ 

ทำไม? – ชายหนุ่มถาม – อย่าบอกนะว่าสายรุ้งไม่มีจริง เพราะเขาได้ยินคำนี้มาจนเบื่อแล้ว สิ่งที่สามารถเห็นได้ด้วยดวงตา เห็นได้พร้อมๆกันทุกคนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงไปได้อย่างไร?

ปู่บอกเขาว่า ใครที่บอกว่าสายรุ้งนั้นไม่มีจริงน่ะ ผิดไปแล้ว อันที่จริงสายรุ้งนั้นมีจริง จริงเท่าๆกับไอน้ำละอองฝน จริงเท่าๆกับแสงแดดจากดวงอาทิตย์นั่นแหละ

เพียงแต่ความเป็นจริงของสายรุ้งนั้น เป็นเพียงความจริงชั่วครู่ชั่วคราวที่ไม่ยั่งยืน เป็นเพียงความเป็นจริงของละอองน้ำที่กระทบเข้ากับแสงแดดในแง่มุมที่ถูกต้อง ในช่วงเวลาที่ถูกต้อง และเมื่อปัจจัยหนึ่งปัจจัยใดข้างต้นหายไป ความมีอยู่จริงของสายรุ้งก็หายไปด้วย

ชายหนุ่มมึนงงและสงสัย ชายหนุ่มถามปู่ว่า แล้วทำไมเมื่อสิ่งต่างๆที่เป็นจริงนั้น จึงสามารถคงความเป็นจริงอยู่ได้ยั่งยืน แต่ไม่ใช่กับสายรุ้ง?

ปู่บอกว่า สิ่งอื่นๆก็เป็นความจริงแค่ชั่วคราวเช่นเดียวกัน เพียงแต่มันอายุยืนยาวกว่าสายรุ้งอยู่สักหน่อยเท่านั้นเอง

ชายหนุ่มนั่งทบทวนไปมา และเขาบอกปู่ว่า เขาอาจไม่เข้าใจที่ปู่พูดมาทั้งหมด แต่เขารู้สึกเศร้าที่เขาคงจะไม่สามารถเก็บสายรุ้งที่เขารักเอาไว้ได้

ทำอย่างไรความเป็นจริงชั่วคราวอย่างเช่นสายรุ้ง จึงจะมีอายุยืนนานกว่าที่มันเป็นอยู่ได้บ้าง อย่างน้อยก็นานพอที่เขาจะได้จับต้องมันสักหน่อย สัมผัสมันสักหน่อย ก่อนที่มันจะสลายไป – เขาถาม

แต่งเพลงสิ – ปู่ตอบ – แต่งเพลงถึงสายรุ้งนั้น เขียนบทกวีถึงสายรุ้งนั้น หรืออาจวาดภาพของสายรุ้ง ทุกๆครั้งที่มีคนร้องเพลง ทุกครั้งที่มีคนมองดูภาพหรืออ่านบทกวี สายรุ้งนั้นก็จะกลับมาเป็นความเป็นจริงให้ผู้คนสามารถสัมผัสได้ นั่นเป็นวิถีทางเดียวที่เราจะยึดจับความเป็นจริงชั่วคราวเหล่านั้นเอาไว้ให้เนิ่นนานขึ้น



ปู่เล่าว่า หลังจากวันนั้น ปู่ก็ไม่ได้พบเจอชายหนุ่มคนนั้นอีก แต่ไม่รู้ว่าปู่รู้สึกไปเองหรือเปล่า ว่าไม่กี่ปีถัดมา เหมือนกับว่าจะมีเพลงที่ร้องเกี่ยวกับสายรุ้งมากขึ้น และหลายต่อหลายเพลงนั้น ไม่ปรากฏชื่อคนแต่งแต่อย่างใด

.......................................................


ครั้งหนึ่งผมเคยถามปู่ว่า เมื่อคนเรามีความเศร้า คนเราต้องทำอย่างไร?

ปู่ตอบว่า – ปล่อยให้ความเศร้ามันอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ ปล่อยให้มันเติมเต็มหัวใจเรา อย่างน้อย มันก้ดีกว่าความว่างเปล่า และด้วยธรรมชาติของหัวใจ อย่างช้าๆ ทีละเล็กละน้อย มันก็จะค่อยๆหาอะไรมาเติมเต็มตรงที่ขาดหายไปของมันได้เอง

ถึงเวลานั้น เราก็แค่ปล่อยความเศร้าไปตามทางของมัน เท่านั้นเอง..

เพราะว่าความเศร้า แท้จริงแล้วมันก็เป็นเพียงแค่ความเป็นจริงชั่วคราวอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน

..........................................				
20 ตุลาคม 2552 09:22 น.

ฉันเคยมีเพื่อนเป็นกวี

หมอกจาง

ฉันเคยมีเพื่อนเป็นกวี
แต่ทว่าฉันไม่ได้พบเขานานมากแล้ว

.........................

ในแต่ละขวบปี เขาจะแวะมาเยี่ยมเยือนฉันหลายครั้ง
ในบางวันที่ฝนพรมพรำ ท้องฟ้ามีสีเทาหม่น ละอองน้ำเย็นชื้นอยู่ในอากาศ
เขาจะหอบพาความเหงามาเงียบๆ
มานั่งเขียนบทกวีถึงดอกไม้ สายฝน และหญิงสาวบางคนของเขา

เขาบอกกับฉันว่า สายฝนนั้น เหมาะสำหรับการครุ่นคิด
ด้วยว่าม่านฝนนั้น ทำให้เรามองอะไรต่อมิอะไรได้ไม่กระจ่าง
เราจึงมักนิ่ง และมองเข้ามาในตัวเอง มากกว่าจะมองออกไปข้างนอก

ในบางวัน ที่แรกเช้ามีหมอกของสายลมหนาวห่อหุ้ม
ในทุกๆความสวยงามที่แฝงความเศร้า
เขาจะแวะมาทักทายฉันแต่เช้าตรู่ เพื่อมาเล่าเรื่องความรักของเขา
หลายต่อหลายเรื่องเป็นเรื่องเก่า หลายต่อหลายเรื่องเป็นเรื่องใหม่
แต่ทุกเรื่องล้วนมีความเศร้าปะปนอยู่ มากบ้าง น้อยบ้าง

ในความรักของเขา ไม่มีครั้งใดเลย ที่จะไม่มีความเศร้ามาปะปน
ก็เขาเองนั่นแหละที่บอกฉัน ว่าความเศร้านั้น ทำให้ความรักอ่อนโยนขึ้น

ในวันที่ดอกหางนกยูงและดอกคูนนั้นบานสะพรั่ง
ในห้วงยามที่แสงแห่งดวงอาทิตย์ยังไม่กล้า 
และกลิ่นกลางคืนยังเหลือทิ้งค้างไว้ในสายลมอ้อยอิ่ง
เขาจะเล่าให้ฉันฟัง ถึงวันที่สวยงามในชีวิตของเขา
ซึ่งแต่ละวันล้วนได้ผ่านเลยไปแล้ว

เขาเพียรเล่าถึงดอกคูนที่เบ่งบานเมื่อหลายปีก่อน กระทั่งชักชวนนำพาฉันดั้นด้นออกไปชม
เพื่อจะพบว่า ในปีนี้ ดอกคูนต้นที่เขาพูดถึงนั้นได้แก่เกินจะออกดอกเสียแล้ว
แล้วเขาจะหดหู่ถึงดอกคูนดอกนั้นอยู่ครึ่งค่อนวัน 
และอาจเขียนบทกวีสักบทให้กับดอกคูนในความทรงจำของเขา
บางที เมื่อเขานึกขึ้นได้ เขาจะเล่าถึงดอกคูนอีกต้นหนึ่ง หรือหางนกยูงแดงสดอีกต้นหนึ่ง ที่ออกดอกงดงามเมื่อปีกลาย
และชักชวนฉันให้ไปชมดู

จนบางครั้ง ฉันต้องปฏิเสธไป
และแปลกใจในข้อที่ว่า ทำไมเขาจึงไม่เคยเห็นความงามในดอกคูนของปีนี้บ้าง..

..................................

ฉันไม่ได้พบเขานานแล้ว
เหมือนว่าจู่ๆเขาก็หายไปจากชีวิตของฉันเสียเฉยๆ
ลำธารแห่งความเศร้าของเขานั้นเหือดแห้งเสียแล้วหรือ
ผิวหนังของเขากร้านและด้านชา เกินกว่าจะสัมผัสความอ่อนโยนของสายลมเสียแล้วหรือ
ความเปลี่ยวเหงาของเขาได้รับการเติมเต็ม หรือว่าสยบยอมให้กับความชาชินแห่งความเปลี่ยวเหงานั้นเสียแล้ว

ประตูบ้านฉันเปิดกว้าง หากแต่ไร้วี่แววของการมาเยือน
ฉันจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้น จ่าหน้าซองถึงความเศร้าแห่งนกที่กดอกตนเองลงกับหนามเพื่อร้องเพลง
ด้วยฉันรู้ว่าเขายังคงอยู่ตรงนั้น เดียวดายและจ่อมจมอยู่กับบทกวีของเขา

อาจบางทีประตูบ้านของฉันต่างหาก ที่มิได้อยู่ที่เดิม				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟหมอกจาง
Lovings  หมอกจาง เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงหมอกจาง