8 มกราคม 2553 21:26 น.
หนูสน
กาลเวลาผันผ่านไปไม่หวนกลับ
สุริยันลาลับกับขอบฟ้า
นวลผ่องแสงด้วยแรงแห่งจันทรา
ท้องนภาหาใดเทียบเปรียบตัวตน
ฟ้าครื้มครื้นครื่นครั่นสนั่นไหว
หมู่แมกไม้พลิ้วลมต้องละอองฝน
ดั่งเทวาประทานบันดาลดล
ผลิดอกผลงอกงามยามรุ้งมี
ส่งเสียงใสไร้เดียงสาพาวิ่งไล่
รุ้งสวยต้องละอองไองามเฉดสี
เด็กน้อยน้อยเจื้อยจ้อยแจ้วพาที
ช่วยแนะชี้รุ้งหลังฝนอยู่หนใด
อยากเห็นสักคราหนึ่งซึ่งปลายทาง
แห่งสายรุ้งบนฟ้ากว้างและยิ่งใหญ่
มีขวากหนามอุปสรรคจักฝ่าไป
พานพบได้รุ้งสีใสสารพัน
ผู้ใหญ่ฟังเจ้าตัวจ้อยเด็กน้อยเล่า
ชายตามองความโง่เขลาช่างน่าขัน
จักไปสู่สายรุ้งใดที่ไหนกัน
ข้าแต่น้อยแก่พลันมิพบพา
นั่งกอดเข่าเท้าชิดสนิทไว้
แอบอิงกายพิงใจใต้พฤกษา
มิมีแหล่งรุ้งสวยงามยามต้องตา
ผู้ใหญ่ว่าพาฉงนปนภวังค์
เจ้าเด็กน้อยสร้อยเศร้าเจ้าเด็กเอ๋ย
ไฉนเลยแอบอิงนั่งพิงหลัง
เรื่องขบคิดสะกิดใจใดใคร่ฟัง
ข้าจะนั่งเคียงกายสบายใจ
รอยแย้มสรวลอวลกลิ่นประทินโฉม
น้ำคำมอบปลอบประโลมโอบขวัญให้
ไม่เกรงกริ่งนิ่งเฉยเอ่ยถามไป
โปรดขานไขใครคือท่านวานเมตตา
ฉันคือใครใครคือฉันในวันนี้
ใช่อยู่ที่ชื่อเรียกหรือเพรียกหา
ใช่อยู่ที่ฐานะหรือหน้าตา
ใช่อยู่ที่กายาบอกสัมพันธ์
คือเด็กน้อยขาวผ่องบริสุทธิ์
เปรียบประดุจใยแก้วแคล้วความฝัน
ใครคือฉันฉันคือใครในวันนั้น
ไม่สำคัญเท่ากับเธอในวันนี้
จงขยันหมั่นเพียรเรียนศึกษา
อุตสาหะมานะแนววิถี
กตัญญูรู้คุณบุพการี
สมประสงค์ด้วยความดีที่ตั้งใจ
ดวงตาฉายแสงส่องประกายส่ง
จักดำรงคงความดีที่มีไว้
พบปลายทางสายรุ้งมั่นมุ่งไป
สมความหวังสำเร็จได้ด้วยดังฝัน
อนาคตปรากฏผลจากอดีต
ปัจจุบันกั้นกีดขีดเส้นกั้น
แบบอย่างจากผู้ใหญ่เร่งผลักดัน
เจ้าเด็กน้อยล้มครันพลันลุกไว้
มีผู้ใหญ่ใจดีคอยแนะชี้
ทางวิถีสู่ฝันอันยิ่งใหญ่
พร้อมพลังมุ่งมั่นกำลังใจ
ก้าวต่อไปสู่ปลายทางแห่งสายรุ้ง
**********************************
เพื่อพบกับปลายทางของสายรุ้งดังจินตนาการ
เส้นทางที่ก้าวข้ามไปไยรู้ว่าจักแข็งแรงเพียงใด
หากด้วยพลังกำลังใจที่มีอยู่และพร้อมจะมอบให้
สร้างความเชื่อมั่นในก้าวต่อไป...
ว่าเธอจักพบกับจุดหมายปลายทางที่ดี
8 มกราคม 2553 16:07 น.
หนูสน
เป็นเพียงความทรงจำย้ำเตือนนัก
อ้อมกอดอุ่นอบอวลรักสมัครสมาน
เสียงเจื้อยแจ้วจะจ๋าผาสุกสราญ
ยิ้มชื่นบานรื่นฤทัยในวัยเยาว์
เป็นเพียงเธอเด็กหญิงตัวน้อยน้อย
ที่รอคอยใครสักคนมาคอยเฝ้า
ความห่วงหาอาทรระหว่างเรา
มีแต่เพียงความเหงาเคล้าเคียงกาย
เป็นหนึ่งในสักกี่คนที่ฝังจิต
ที่ใกล้ชิดกว่าญาติมิตรสหาย
อนุสรณ์อยู่คู่ชีวาวาย
เพื่อให้ใครสักคนหันสนใจ
ขณะใจใคร่ครวญล้วนตามติด
เกิดคำถามความคิดอันหลากหลาย
อยากจะถามใครคนนั้นพลันมากมาย
ว่าทำไมจากไกลไม่อาดูร
ทุกข์ร้อนดังสุริยันกลบจันท์ฉาย
หนาวเหน็บกายแลใจให้เสียศูนย์
ไร้เงา "เจ้าของชีวิตลิขิตเพิ่มพูน
ขอไออุ่นพึ่งพิงอิงกายา
มองดูดาวพร่างพราวนภาผ่อง
ตามครรลองแลมองจันทร์เจ้าขา
มิได้ขอข้าวแกงแหวนเงินตรา
หรือช้างม้าเตียงตั่งดั่งชิดชม
หากขอจันทร์เอ๋ยจันทร์ช่วยสักนิด
กระแสจิตหนุนนำคำสุขสม
ใครมีสุขทุกข์ใดให้ตรอมตรม
ตามสายลมพัดเป่าให้เบาใจ
ปรารถนาดั่งใจสมประสงค์
วอนช่วยส่งทุกข์นั้นพลันเลือนหาย
ต้นกำเนิดเกิดมาแห่งเรือนกาย
โลกกล่าวนามพ่อยิ่งใหญ่ในชีวี
จากเด็กน้อยแสนซนจนเติบใหญ่
มีเพียงแม่เคียงใกล้ให้วิถี
ผ่านหลายหนาวร้อนฝนจนสิบแปดปี
เธอคนนั้นคือ ฉัน นี้ที่รอคอย
เป็นกลอนกวีสั้น ตรึงใจ ลูกยา
วอนพ่อแลดูใคร รอบข้าง
สัมพันธ์สืบสายใย ของลูก แลพ่อ
มิคิดมลายล้าง พ่อนั้น ผูกพัน
8 มกราคม 2553 12:46 น.
หนูสน
ยายคำจ๋า...
ขอบคุณค่ะ สำหรับความรักความเมตตาที่คอยเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน
จากหลานสาวตัวน้อย จนเติบใหญ่ ยี่สิบสามปีแล้วนะคะ
(ไม่อยากบอกตัวเลขเลยTT)
ยังจำได้...ข้าวแต่ละคำที่ยายบรรจงเคี้ยวและป้อนให้หลาน
ถึงแม้จะมีกลิ่นตุตุก็ตาม^^
ยังจำได้...สองมือที่โอบอุ้ม กอดปลอบขวัญ
สองเท้าที่คอยไล่ตามหลานน้อยจอมซน อย่างไม่ย่อท้อ
ยังจำได้...หลานสาวจะแสนซนจอมยุ่งขนาดไหน ยายก็ไม่เคยดุด่าอย่างรุนแรง แม้ผมสีดำแกมขาวบนหัวของยายจะโดนหลานสาวจับมัดจุกเล่นอย่างสนุกสนานก็ตาม
ยังจำได้...แม้กายสังขารจะไม่เต่งตึงเหมือนก่อน แห้งเหี่ยวตามกาลเวลา แต่อ้อมกอดของยายยังอุ่นอยู่เสมอ
ยังจำได้...ยายมักจะบ่นปวดเอวปวดขาทุกครั้งที่อยู่กับหลาน เมื่อยังเป็นเด็กเล็กก็ยืนเหยียบสองเท้า จนโตขึ้น สองมือนี้ยังคงพร้อมที่จะบีบนวดแก้ปวดเมื่อยให้ยาย
ยังจำได้...เสียงของยายที่อวยพรให้หลานที่ยกมือไหว้ก่อนไปโรงเรียนทุกเช้า
~~ไปเฮียนดีๆๆ สอบได้ตี่นึ่งๆ กลับมาบ้านบ่ต้องยะก๋าน^^
(แม้ประโยคสุดท้ายจะทะแม่งๆก็ตาม)
ยังจำได้...ยายเคยบอกว่า แม่เจ๊ามา ขวายก่อน ขวายมา เที่ยงก่อน เที่ยงมา บ่ายก่อน บ่ายมา แลงก่อน แลงมา คืนก่อน คืนมา เจ๊าก่อน เมื่อใดจะได้
(ความหมายโดยรวมคือ ยายจะสอนว่า อย่าผัดวันประกันพรุ่ง ให้ขยันและกระตือรือร้นที่จะทำกิจกรรมใดๆให้สำเร็จ)
ยังจำได้...ยังจำได้...ยังจำได้
7 มกราคม 2553 23:35 น.
หนูสน
แม่คะ...
วันแรกที่ได้รู้ว่ามีอีกหนึ่งชีวิตที่เกิดจากความรักความผูกพันของพ่อกับแม่ อยู่ในครรภ็ แม่ดีใจมั๊ยคะ
แม่คะ...
แม่ต้องคอยทะนุถนอมดูแลเลือดเนื้อเชื้อไขด้วยความรักตลอดเก้าเดือน จนกว่าเจ้าตัวน้อยจะลืมตาออกมาดูโลกนั้น แม่กังวลใจมากมั๊ยคะ
แม่คะ...
เสี้ยววินาทีแห่งชีวิต มีดแหลมคมที่กรีดไปบนร่าง กว่าที่เจ้าตัวน้อยจะออกมาจากท้องแม่ได้ แม่เจ็บมากมั๊ยคะ
แม่คะ...
วินาทีแรกที่แม่ลูกได้พบหน้ากัน เจ้าตัวน้อยอ้วนกลมร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ แม่ยิ้มกว้างมั๊ยคะ
แม่คะ...
เลือดในอกของแม่ที่กลั่นเป็นสายน้ำนมเพื่อหล่อเลี้ยงเจ้าตัวน้อยอ้วนกลม ทื่ทั้งดื้อรั้นและแสนซน แม่เสียดายมั๊ยคะ
แม่คะ...
พ่อไม่อยู่กับเราแล้ว แม่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพัง แม่ไหวมั๊ยคะ
แม่คะ...
ลูกสาวสองคนของแม่ เจริญเติบโตขึ้น ด้วยความรักอันอบอุ่นจากตายาย ลุงป้าน้าอา พี่น้องญาติมิตรที่คอยช่วยเหลือดูแล เวลาแม่ไปทำงาน แม่เบาแรงขึ้นมั๊ยคะ
แม่คะ...
หยาดเหงื่อที่เสียไป หยดน้ำตาที่ไหล เลือดในกายของแม่ แม่ยอมเสียสละเพื่อให้ได้มาซึ่งเด็กน้อยวัยซนทั้งสองคน แม่ว่าคุ้มค่ามั๊ยคะ
แม่คะ...
แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง แม่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล
แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล~~
เพลงที่แม่ร้องกล่อมให้ลูกฟังเสมอ แล้วลูกก็จะร้องต่อ แม่เราเฝ้าโอละเห่ เตะลูกน้อยในเปล~ขาหักขาเป๋ไปโรงบาล^o^ แม่หัวเราะเสียงดังมั๊ยคะ
แม่คะ...
ลูกสาวสองคนของแม่ต้องนอนกอดแม่คนละข้าง ให้แม่เล่านิทานเรื่องเดิมให้ฟังทุกคืนจนกว่าจะหลับ แม่เบื่อมั๊ยคะ
แม่คะ...
เช้ามืด แม่จะปลุกลูกสาวสองคนของแม่ให้ตื่นมาดูเทวดาเก็บดวงดาวที่ เอามาแขวนไว้เมื่อคืน ใครตื่นสายก็อดเจอเทวดา แม่ว่าเทวดายังอยู่มั๊ยคะ
แม่คะ...
เวลาลูกชนะการประกวด หรือได้รางวัลจากการแข่งขันต่างๆ แม่ภูมิใจมั๊ยคะ
แม่คะ...
ลูกสาวสองคนของแม่ที่เถียงกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง ไม่สามัคคีรักใคร่กัน ทำให้แม่เสียใจมากมั๊ยคะ
แม่คะ...
ลูกบอกรักแม่เท่าฟ้า พร้อมกางสุดแขน แม่จำได้มั๊ยคะ
แม่คะ...
แม่ยกคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านพุทธทาสมาสอนลูกเสมอ
หิริโอตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป
ใครรักใครชังช่างเถิด ใครเชิดใครชูช่างเขา
ใครเบื่อใครบ่นทนเอา ใจเราร่มเย็นเป็นพอ
ใครจะรัก ใครจะชัง ช่างเขาเถิด
เราหมั่นเทิด ความดี ยอมมีผล
อย่าไปถือ คำวิจารณ์ ของปากคน
เทพเบื้องบน ยังถูกด่า ยิ่งกว่าเรา
อย่าไปต่อความยาวสาวความยืด
โกรธคือโง่ โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่า จะได้ไม่บ้าไม่โง่
แม่ว่าลูกจำเก่งมั๊ยคะ
แม่คะ...
แม่ดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกสาวสองคนของแม่สบาย ทำงานหนัก กู้หนี้ยืมสิน แม่ท้อมั๊ยคะ
แม่คะ...
ลูกสาวสองคนของแม่ห่างจากอ้อมอกอุ่นของแม่ที่ทำให้หลับฝันดี
ต้องห่างแม่มาไกล แม่เหงามั๊ยคะ
แม่คะ...
คืนที่เทวดานำดวงดาวมาแขวนส่องแสงเต็มท้องฟ้ายามที่ไร้แสงจันทร์ แม่เห็นดาวดวงที่เราสามคนแม่ลูกเคยนอนดูดาวด้วยกันมั๊ยคะ
แม่คะ...
คืนที่พระจันทร์ยิ้มแฉ่งบนฟ้า แม่เห็นแล้วคิดถึงลูกสาวสองคนของแม่มั๊ยคะ
แม่คะ...
ก่อนสอบทุกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงแม่ เป็นพลังเป็นกำลังใจให้ลูกสอบได้ทุกครั้ง แม่ว่าเป็นปาฎิหาริย์มั๊ยคะ
แม่คะ...
คำว่าสู้สู้ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก ของแม่ แม้จะไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร่ แต่มันก็สร้างพลังกำลังใจให้เพิ่มขึ้น แม่ว่าจริงมั๊ยคะ
แม่คะ...
บางครั้งเหมือนกับลูกสาวสองคนของแม่ทำตัวห่างเหิน ไม่ค่อยได้พูดจาและใกล้ชิดกันเหมือนเก่า แม่น้อยใจมั๊ยคะ
แม่คะ...
ไม่ว่าจะพบเจออุปสรรคปัญหาใดใดในชีวิต แม่ไม่เคยปริปากบ่น และก็พร้อมจะฟันฝ่าปัญหาเหล่านั้นไปด้วยตัวเอง เพราะลูกสาวสองคน ของแม่ใช่มั๊ยคะ
แม่คะ...
จนทุกวันนี้ แม่ก็ยังทำงานหนักอยู่ ลูกละอายใจเหลือเกินที่ยังไม่สามารถทำให้แม่ได้หยุดพัก แม่เหนื่อยมั๊ยคะ
แม่คะ...
แม่คะ...
แม่คะ...
30 พฤศจิกายน 2552 15:57 น.
หนูสน
กี่ฝันกี่ความหวัง กี่ครั้งที่ใจต้องทน
ล้มแล้วลุกคลุกคลานกี่หน เจ็บทน ก้าวไป
กี่ร้อน กี่เหน็บหนาว อยากเป็นดาวลอยบนฟ้าไกล
ทุกข์ถมทับ น้ำตาท่วมใจ จะไปให้ถึงปลายทาง
ยังมีวันถ้าหากไม่ยอมแพ้ จะไม่ท้อแท้ สู้มันทุกอย่าง
ทุ่มเทใจและกายฝ่าฟัน กว่าจะถึงวันที่เราเคยฝัน
เหนื่อยล้า เหงื่อหยดไหล ไม่เป็นไรใจยังแข็งแกร่ง
จะขอเป็นดาววับวาวพราวแสง พุ่งแรงบนฟ้างดงาม