25 กรกฎาคม 2550 13:41 น.

ในบ่วงโศก บทนำ

สุวรรณโสภิต

ให้คลั่งแค้นแน่นอกนรกสุม
เหมือนเพลิงรุมหุ้มจิตยากคิดหนี
เอ่ยคำไว้ให้เป็นสัตย์ต่อปฐพี
ชั่วชีวีไม่ขอพบลบจากกัน

หากพี่นั้นอยู่ในทะเลกว้าง
จะขอร้างห่างไปอยู่ไพรสัณฑ์
หากพี่อยู่ใต้แสงแห่งตะวัน
ขออยู่ใต้เงาจันทร์นิรันดร์ไป

แม้นพี่พันผูกใจในไพรกว้าง
จะขอร้างทางมุ่งสู่กรุงศรี
แม้พี่แรมรอนห่างกลางนที
จะเร็วรี่ไปบกทุกศกกาล

หากเป็นเจ้าสูงส่งในวงศ์ศักดิ์
จะยอมหักเป็นไพร่ไกลสถาน
หากนงนุชเป็นครุฑใหญ่ในวิมาน
อธิษฐานขอเป็นเช่นนาคี

แล้วตั้งจิตคิดไปให้ปรากฏ
คนใจคดให้ขาดกันแต่วันนี้
ดุจมีดตัดชายสไบสิ้นไมตรี
ต่อแต่นี้ไม่ขอพบประสบเจอ


มือเรียวบางหลุดจากการเกาะกุมของมือหนาใหญ่ร่วงลงข้างตัวผู้ที่นอนอยู่สติขาดสบั้นสิ้นใจอย่างสงบ คออ่อนพับลงเล็กน้อยบ่งบอกว่าหมดเวลาของหลอนแล้วคุณหญิงศรีนวล หมดเวลาแห่งการทุกข์ทรมานใจในช่วงชีวิตนี้ 

"กรรมใดของลูก เกิดมามีแต่ความทุกข์ใครเล่าว่ามียศศักดิ์ทรัพสินทร์บริวารแล้วมีความสุขแต่ฉันกลับทุกข์ยิ่งนัก ทุกข์ทั้งเรื่องลูกและผัว กรรมใดที่เคยทำมาในชาติไหนๆขอให้ชดใช้หมดเพียงชาตินี้อย่าใด้ผูกพันติดตามกันอีกเลย"
เสียงอธิฐานเบาๆที่หลอนพร่ำพูดเสมอเมื่อต่อหน้าพระพุทธรูป ที่เป็นเครื่องดับทุกข์ทางเดียวที่มีอยู่ในชีวิตหญิงคนนี้ 

ใจผู้เป็นสามีแทบสลาย เหมือนมีอะไรมาฉุดมันออกมาจากอกเบาหวิวจนไม่มีอะไรจะถ่วงไว้ ในหูได้ยินแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวนของลูกสาวที่ภรรยาคิดว่าเป็นแค่หลานมานานจนวันนี้วันที่หล่อนรู้ความจริงแต่กลับไม่ยอมรับ ใจที่รักก็กลับชังอย่างที่ไม่มีอะไรมาเปรี่ยนได้ ตลอดช่วงชีวิตของการครองคู่กันมาจนมีหลานเล็กๆเป็นปู่เป็นยาแล้วนั้น ภรรยาไม่เคยทำให้สามีเสียหายหรือปกพร่องต่อหน้าที่ภรรยาเลย ผิดกับเขาท่านเจ้าคุณนิติธาดา ที่ไม่เคยเห็นความสำคัญนั้นเลย กลับหาหญิงอื่นมาทำให้หล่อนไม่สบายใจ แม่ทับทิมคร่ำครวนเรียกมารดาผู้ให้กำเหนิดใจแทบขาดหญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มละมายคล้ายมารดามองแหวนที่ท่านถอดคืนไปให้ก่อนเสียชีวิตใจหวิว คนที่หล่อนเรียกว่าอามานานกลับกลายเป็นแม่ เพียงชั่วไม่กี่วันจากไปพร้อมกับความแค้นและความชิงชัง ไม่ยอมให้อภัยใครทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นสามี ลูก หรือพี่ชาย และเป็นจุดเริ่มต้นการผูกพันธ์ทุกคนไว้ในบ่วงโศก				
14 กรกฎาคม 2550 11:41 น.

ดั่งม่านหมอกกั้น ตอนสรุปต่อจากตอนที่5

สุวรรณโสภิต

ต่อจากตอนที่ 5 สรุปคร้าวๆ 
 หลังจากที่กรรณติมาสมาสอนหนังสือที่เขมรัฐความรักก็เริ่มก่อตัวขึ้นเธอได้รับ

การต้อนรับอย่างดีจากคนในวัง และท่านชายเสด็จเอ็นดูเธอมากรวมทั้งท่านหญิง

ที่รักและเคารพครูมาก พอทำท่าว่าจะดีก็มีคำสั่งมาให้ท่านชายหมั้นกับท่านหญิง

ทิพอาภาลูกสาวคนโตของสมเด็จอาทิติวงค์กับท่านหญิงจันทรา ท่านชายกลุ้มใจมาก

 รวมทั้งเสด็จเพราะเป็นคำสั่งจากทางสมเด็จพิรำภาพระมารดาของสมเด็จอาทิติวงค์

อดีตพระสวามีของเสด็จที่ทรงเลิกลากันไปตั้งแต่ท่านชายยังเด็ก ท่านทรงขัดไม่ได้ 

แต่ก็สงสารหลานและกรรณติมาส หญิงสาวเสียใจมากพอดีกับมีข่าวจากทางบ้านมาว่า พ่อของเธอประสบอุบัติเหตุ

ทางรถยนต์ทำให้มารดาเลี้ยงของเธอเสียชีวิตคาที่สวนบิดาเป็นอัมพาดช่วงล่างเดินไม่ได้ 

หญิงสาวตัดสินใจหนีปัญหาไปดูแลบิดา ท่านชายไม่อาจทัดทานได้ จึงต้องจากกันด้วยความเสียใจ เธอกลับมาเมืองไทยด้วยหัวใจที่บอบช้ำ

ท่านชายอยู่อย่างคนที่เหมือนไม่มีชีวิตหลังจากงานหมั้น เขาตัดสินใจหนีไปเมืองไทย

เพื่อพบกับคนรักที่เฝ้าคิดถึงเขาทุกวัน ที่เมืองไทย เสด็จทรงรับหน้าทุกคนที่รู้

เรื่องและพากันมาต่อว่ารวมทั้งแม่อดีตพระสวามีที่ไม่เคยยอมลูกสะไภ้เลย จนล้มป่วย

 ท่านโดนบีบบังคับและกดดันอย่างหนักที่ตามใจหลานจนต้องไปเมื่องไทยเพื่อไป

ตามหลานชายด้วยความจำใจ ด้วยความเครียดทำให้โรคหัวใจกำเริบจนล้มลง

ศรีษะฟาดพื้นจนต้องเขาโรงพยาบาล ท่านชายกับกรรนติมาสได้พบกันสมใจทั้งสองมีความสุขในชว่งเวลาสั้นๆ   

และต่อตอนต่อไป				
13 กรกฎาคม 2550 16:14 น.

ดั่งม่านหมอกกั้น(เมื่อถึงเวลาที่ต้องสูญเสีย)เอาตอนท้ายมาลงให้อ่านนะติดต่อเรื่องเอาเอง

สุวรรณโสภิต

แสงแดดสีทองยามเย็นสาดแสงเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย เป็นแสงลำไรดูหมอหม่น

หมื่อนกับความรู้สึกของผู้ที่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนั้น 

ท่านชายจักตราพงษ์ก้าวเข้ามายืนข้างเตียงคนเจ็บใบหน้าคมสันฉาบไปด้วยความทุกข์ เป็นครั้งแรกที่พบอาหลังจากหนีมาเมืองไทย

 สายน้ำเกลือและเลือดที่ทิ่มบนพระหัตรของเสด็จอา  มันเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงใจเขายิ่งนัก 

พระพัตรที่เคยยิ้มแย้มทุกครั้งที่ได้พบกันมองดูแล้วชื่นใจบัดนี้กลีบซีดเซียวแทบจะเหมือนไม่มีเลือด เสด็จพระองค์หญิงศิริรำไพทรงได้รับการผ่าตัดแล้วเมื่อคืนวาน

และเป็นเวลาหลายชั่งโมงแล้วที่ท่านยังไม่ทรงฟื้น  เสียงเครื่องวัดการเต็นของหัวใจดังเป็นระยะมันทำให้ชายหนุ่มที่ยืนอยู่เจ็บปวดยิ่งนัก เขาทิ้งตัวลงนั้งบนเก้าอี๋ข้างเตียง

มือก็กุมมืออาอันเป็นที่รักไว้แน้น 

"ถ้าหม่อมฉันไม่เห็นแก่ความสุขส่วนตัวทิ้งปัญหามากมายให้เสด็จอาต้องทรงแก้เสด็จอาก็ต้องทรงไม่เป็นแบบนี้ เพราะหลานคนเดียวที่เห็นแก่ตัว" 

เขารำพึงเบาๆ แล้วซบหน้าลงพยายามกลันน้ำตาลูกผู้ชาย น้ำพระเนตรอุ่นๆไหลหยดอาบพระพักตร เหมือนว่าทั้งหมดที่หลานชายพูดผู้เป็นอาจะได้ยินทุกคำ

มือเรียวที่ถูกกุมไว้บีบเบาให้ผู้ที่กุมรับรู้ ท่านชายจักตราพงษ์เงยพระพัตรขึ้นมองอาพระเนตรที่ลืมขึ้นทำให้หลานชายดีใจเป็นที่สุด 

"ท่านชายที่ใครๆต่างหมายจะได้เป็นคู่ กลับมานั้งร้องไห้คงหน้าอาย"

เสียงพูดเบาๆขาดเป็นระยะแต่ก็พอฟังรู้เรื่องทำให้หลานชายใจชื้นขึ้นมาได้

"เสด็จอา หลานขอโทษกระหม่อม" เขาพูดออกมาเสียงเครือ "ทรงเป็นอย่างไรบางกระหม่อมตามหมอไหม" 

พูดจบก็ทำท่าจะลุกออกไปตามหมอแต่ผู้เป็นอาดึงมือไว้บอกหลานเบาๆว่า

"อาอยากคุยกับหลาน อายังไม่ตายตอนนี้แน่"

เสด็จพระองค์หญิงศรีรำไพ ทรงรวบรวมกำลังทีมีตรัสกับหลานชายเหมือนจะสั่งเป็นครั้งสุดท้าย ว่า

" ทุกอย่างที่มันผ่านมาแล้วขอให้มันผ่านไป ไม่ว่าพรุ้งนี้จะมีอาอยู่หรือไม่ ขอให้หลานของอาจงตัดสินใจด้วยตนเอง อย่าทำเพื่อเห็นแก่ใครอาไม่ว่าอะไรที่หลานหนีมาอาคิดว่าหลานของอาเลือกคนไม่ผิด และจงอย่าทิ้งน้องพวกเขาไม่มีใครนอกจากหลาน "ผู้พูดแล้วหอบเป็นระยะแต่ก็ยังฝืนพูดต่อ"อาไม่อยากให้หลานเสียใจภายหลัง สิ่งที่อาทำทุกอย่างก็เพื่อหลาน หลานๆก็เหมือนกับลูกของอาลูกทุกข์แม่ก็ทุกข์และอาก็ไม่เคยโกรธหลานเลย"

เขากราบที่เท้าอาพร้อมกับคำขอโทษที่ออกมาแล้วโอบกอดอาซบหน้าอยู่บนอกอาเหมือนเป็นกอดสุดท้าย เสด็จพยายามเอื้อมพระหัตรลูบศรีษระหลานเบา

คำพูดที่มีแต่คำปลอบโยนและให้อภัยของอาทำให้ท่านชายยิ่งรู้สึกผิดไม่น้อย ตั้งแต่เล็กจนโตอาไม่เคยกล่าวโทษหรือดุว่าเขาเลยทุกสิ่งจะมีแต่เหตุผลและ

ความเข้าใจเสมอ ต่อไปจะมีไมหนอน้ำเสียงที่นุ่มละมุนเวลาที่ฟังไม่ว่าจะยามทุกข์ก็ดูจะมีความสุขได้เสมอ และรอยยิ้มที่นุ่มนวลที่ดูแล้วชื่นใจถ้าต่อไปไม่มีแล้วเขาจะทำอย่างไร ยังไงเขาก็ยังเป็นเด็กเสมอในสายตาอา 

"ถ้าวันหนึ่งที่หลานแต่งงานกับคนที่หลานรักวันนั้นอาจจะไม่มีอาที่คอยอวยพร แต่ให้ระรึกไว้เสมอว่าอารักและขอให้หลานมีความสุขในชีวิตคู่มากๆ ให้สมกับที่แลกมาด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต"				
10 กรกฎาคม 2550 11:42 น.

ดั่งม่านหมอกกั้น

สุวรรณโสภิต

สายลมเย็นโชยพัดเอาดอกปีบสีขาวร้วงหล่นลงสู่อ่างบัวใบใหญ่ กลิ่นหอมชื่นใจของดอกบัวผสมกับดอกปีบขาว ไม่ได้ทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ที่ข้างอ่างบัวแช่มชื้นเลยสักน้อย กลับหมองหม่นมากขึ้นด้วยซ้ำ หญิงชราผู้สูงศักดิ์ประทับนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้ว หล่อนนั่งทบทวนสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มองดอกบัวสีขาวที่ชูดอกพ้นน้ำล่อแมลง กลีบดอกที่บานจนไกล้จะร้วงหล่นในอีกไม่กี่วันข้างหน้านั้น
เปลียบไปก็เหมือนคน ที่กว่าจะหลุดพ้นจากจิตใจคิดริษยาที่มีอยู่ทิฐิต่างๆที่หมักหมมอยู่ในใจพ้นจากน้ำขึ้นมาก็สายเกินแก้เสียแล้ว ไม่นานก็ถึงเวลาสิ้นสุดของชีวิต "ฉันก็คงจะเหมือนดอกบัวที่เธอรัก ศรีรำไพร กว่าที่จะพ้นน้ำก็สายเกินแก้แล้วถ้าฉันลดทิฐิลงไม่บังคับใครให้เป็นอย่างที่ใจต้องการ เรื่องทุกอย่างก็คงจะไม่เป็นแบบนี้ วันนี้หลานชายที่เธอรักและพยายามกันเขาออกจาการผูกมัดของฉัน เขาจะมีครอบครัวที่มีความสุขแล้วครอบครัวที่เขาเลือกเอง เธอเป็นคนที่ตาแหลมจริงๆ สมแล้วที่ลูกชายคนเดียวของฉันรักเธอนักหนาไม่ว่าฉันจะใช้วิธีใดกันเขาออกจากเธอก็ตาม" ลมวูปพัดดอกบัวเอนเหมือนเจ้าของอ่างบัวที่ล้วงลับไปแล้วจะทราบถึงคำสารภาพของแม่สามี ผู้ที่ไม่เคยยอมให้เธอเลยไม่ว่าจะเวลาไหน ชีวิตที่อุทิตแด่งานของประเทศ และคนที่ตนเองรักรอบข้างอย่า เสด็จพระองค์หญิงศรีรำไพ ต้องมาจบลงเพื่อให้เรื่องทุกอย่างดีขึ้นเหมือนกับคำว่าไม่มีมีการสูญเสียปัญหาก็จะไม่จบ ท่านใช้ทั้งชีวิตแลกกับความสุขของคนที่ตนรักได้ทิ้งไว้เพียงรอยน้ำตา และความดีที่มีให้จดจำเท่านั้น ดังต้นไม้ใหญ่ที่เคยบกคุมผู้คนใต้ต้นไม้ให้ร้มเย็นเมื่อวันที่ต้นไม่ล้มลงสิ่งที่เคยอาศัยอยู่ก็ต่างแยกย้ายแตกกันไปคนละทิศละทาง				
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุวรรณโสภิต
Lovings  สุวรรณโสภิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุวรรณโสภิต
Lovings  สุวรรณโสภิต เลิฟ 0 คน
Calendar
Lovers  0 คน เลิฟสุวรรณโสภิต
Lovings  สุวรรณโสภิต เลิฟ 0 คน
ไม่มีข้อความส่งถึงสุวรรณโสภิต