29 พฤศจิกายน 2552 01:12 น.
สุริยันต์ จันทราทิตย์
บันเทิงระเริงระบำ
เหนือน่านน้ำน่านเวหา
เริงร่ายระบายนภา
ณ ฟากฟ้าราตรีกาล
พร่างพรายประกายระยิบ
วูบวับวิบวะวามหวาน
ดั่งโคมละโลมละลาน
สะท้อนผ่านน่านนที
ผืนน้ำกระพือกระเพื่อม
ล้อลายเลื่อมรัศมี
วามวาว ฤ ราวมณี
ครั้นราตรีกระจ่างดาว
เริงร่ายระบายระบำ
บนม่านน้ำและม่านหาว
ไหวหวามวะวามวะวาว
ระบำดาวคราวคืนแรม
กลบทนี้เป็นกลบทที่ผมประดิษฐ์คิดขึ้นใหม่ครับ
ดัดแปลงจากกลอน ๖ ธรรมดา ๆ ให้ไม่ธรรมดาคือ
ปกติกลอน ๖ แต่ละวรรคจะอ่านเป็นท่อนท่อนละ ๒ คำ
เช่น ฝันใฝ่ ในดาว พราวแสง
แต่กลบทนี้มีความพิเศษดังนี้ครับ
๑. วรรคสดับ(วรรคแรก) และวรรครอง (วรรคสาม) เป็นกาพย์
บังคับครุ ลหุ ดังนี้
ครุ ครุ ลหุ ครุ ลหุ ครุ เช่น บันเทิงระเริงระบำ / พร่างพรายประกายระยิบ
๒. วรรครับ (วรรคสอง) และวรรคส่ง (วรรคสี่) เป็นกลอนไม่บังคับครุ ลหุ
๓. วรรค สดับ(วรรคแรก) และวรรครอง(วรรคสาม)จะแยกอ่านเป็นจังหวะ
สอง / สี่ ทั้งหมด เช่น บันเทิง ระเริงระบำ / ผืนน้ำ กระพือกระเพื่อม
๔. วรรครับ(วรรคสอง)และวรรคส่ง(วรรคสี่) จะแยกอ่านเป็นจังหวะ
สาม / สาม ทั้งหมด เช่น เหนือน่านน้ำ น่านเวหา / ครั้นราตรี กระจ่างดาว
.........................................................................................................
เมื่ออ่านกลบทนี้จบจะรู้สึกว่าดวงดาวกำลังเริงร่ายระบายระบำอยู่จริง ๆ ครับ
ขอให้มีความสุขกับการอ่านกลบทกาพย์เคียงกลอนนะครับ
25 พฤศจิกายน 2552 23:55 น.
สุริยันต์ จันทราทิตย์
พริบพรายพร่าพรายพริบระยิบฟ้า
แจ่มเจิดจ้าเจิดแจ่มแต้มห้วงหาว
ค่ำคืนแรมคืนค่ำฉ่ำแสงดาว
เรื่อลมหนาวลมเรื่อเมื่อราตรี
ใฝ่ฝันเฝ้าฝันใฝ่ได้แต่ฝัน
ดวงดาวนั้นดาวดวงช่วงรัศมี
พราวแสงสุกแสงพราวราวมณี
วาววับสีวับวาวสกาวใจ
พราวลมพัดลมพราวหนาวน้ำค้าง
เก็จก่องพร่างก่องเก็จกว่าเพชรใส
คราคืนค่ำคืนครานิทราลัย
ลมแผ่วไล้แผ่วลมพรมพัดมา
หนาวคืนนี้คืนหนาวดวงดาวสวย
ดาวดื่นด้วยดื่นดาวพราวเวหา
สานสอดแซมสอดสานละลานตา
ทาบทับฟ้าทับทาบภาพอัศจรรย์
กลบทหงส์สะบัดปีก
เป็นกลบทใหม่ครับ
ผมประยุกต์มาจาก
กลบทคมในฝักและกลบทนกกางปีกรวมกัน
ตัวอย่าง กลบทคมในฝัก
ทุกวันมีมีวันทุก(ข์)ขุกใจเข็ญ
มีใครเห็นเห็นใครมีไมตรีไหม
(ท่อน ๒ เป็นการอ่านย้อนท่อนแรกทั้งหมด)
ที่มา...รอยทราย ของอ.วันเนาว์ ยูเด็น
ตัวอย่าง กลบทนกกางปีก
ภูเสียดยอดยอดเสียดขึ้นเบียดฟ้า
ชูดอกหญ้าหญ้าดอกออกงามเด่น
(ท่อน ๒ เป็นการอ่านย้อนท่อนแรกเพียง ๒ คำ)
ที่มา..รอยทรายของอ.วันเนาว์ ยูเด็น
เวลาอ่านกลบทหงส์สะบัดปีกจึงมีความรู้สึกคล้ายกับว่าได้ยินเสียง
พึ่บพั่บ ๆ เหมือนเสียงหงส์สะบัดปีก จากการอ่านกลบทย้อนไปย้อนกลับนั่นเองครับ
24 พฤศจิกายน 2552 23:16 น.
สุริยันต์ จันทราทิตย์
ดาวจะดับลับล่วงจากห้วงหาว
ประกายพราวพริบแสงแห่งแดนสรวง
เคยสุกใสส่องสว่างกระจ่างดวง
รอนแสงช่วงรานแสงโชติโลดแสงซา
จุดตัวเองลุกไหม้ในเวหน
ธุลีเลื่อนเกลื่อนกล่นบนเวหา
จบชีวิตปิดฉากช่วงดวงดารา
เหลือแค่ค่าเศษหินดินกรวดทราย
เธอคือดาวพราวช่วงในห้วงฝัน
ประกายอันงดงามเปี่ยมความหมาย
ส่องสว่างกลางใจผู้อยู่เดียวดาย
ให้คืนช้ำกล้ำกรายมลายลา
เป็นดวงดาวประดับใจให้คนโศก
ที่แบกโลกทั้งโลกไว้บนบ่า
เลี้ยงความหวังยังชีพชื่นคืนกลับมา
เติมชีวาต่อชีวิตฟื้นจิตใจ
แต่ดาวกลับแผดใจเป็นไฟร้อน
ลอยวนว่อนระเริงในเพลิงไหม้
เล้าลามเลียโลมล้อใครต่อใคร
จนแสงใสโรยรอนอ่อนกำลัง
เธอจึงดับลับล่วงจากห้วงหาว
ประกายดาวสิ้นแสงแล้งความหวัง
เหลือเพียงลมหายใจใกล้ผุพัง
กับร่างยังร่วงโรยโชยกลิ่นคาว
ดาวลาลับดับแสงแห่งแดนสรวง
ปลดปลิดปลิวริ้วร่วงจากห้วงหาว
ธุลีเลื่อนเกลื่อนดินสิ้นแสงพราว
ดับแล้วดาวเด่นดวงในห้วงใจ
22 พฤศจิกายน 2552 23:57 น.
สุริยันต์ จันทราทิตย์
รัก หวานซาบซ่านซึ้ง ทรวงใน
เขา มิเคยใส่ใจ แต่น้อย
ข้าง กายซุกซ่อนใคร อิงแอบ
เดียว หนึ่งใจละห้อย โศกเศร้าช้ำตรม
เหมือน สายลมร่ำไห้ โหยมา
ข้าว ถูกทิ้งกลางนา ปล่อยร้าง
เหนียว ดินจับแห้งคา รวงหล่น
นึ่ง จิตใจอ้างว้าง จับจิ้มความขม
21 พฤศจิกายน 2552 23:26 น.
สุริยันต์ จันทราทิตย์
บ้านนอก ณ คอกนา
มีมารดาและบุตรชาย
อยู่อย่างพอสบาย
แม้ฝืดเคืองเรื่องเงินตรา
มีนาอยู่หลายไร่
ไถดะไว้ใช้หว่านกล้า
ลูกชายไปทำนา
ส่วนมารดาเตรียมเข้าครัว
"แม่เอ๊ยข่อยไปก่อน
แอกอีด่อนดะไว้ทั่ว
พาข้าวเอาให้นัว
ฟ่าวเฮ็ดครัวไปส่งนา"
"สายสายพระจังหัน
กะสิทันอยู่ดอกหล่า
ฟ่าวไป๋อย่าให่ซ้า
ข้าวซ่ามปลาสินำไป๋"
ตะวันผันผ่านหัว
แม่ของตัวมัวอยู่ไหน
ปลดแอกอีด่อนไว้
นั่งแค้นใจรอมารดา
ผู้แม่ยักแย่วิ่ง
เดินตรงดิ่งใจห่วงหา
ลูกชายที่ปลายนา
หิ้วตะกร้าพาข้าวไป
ลูกชายรอใต้ร่ม
เห็นแม่ข่มขึ้นเสียงใส่
"โอ๊ยน้อ...น้อแม่ใหญ่
ไปอยู่ไสหัวแต่มา"
"เฮ็ดเวียกใจสิขาด
ถ่าเป็นชาติฮู่บ่หา?
ข้าวน้ำกับซ่ามปลา
เฮ็ดไว่ถ่าฟ่าวส่งไว"
"แม่ซ้าย่อนแม่เฒ่า
ลูกอย่าเอาแต่สงสัย
บ้านห่างทางกะไกล
ฟ่าวปานใด๋แม่แลนเอ๋า"
"มามาแม่สิเขย
นั่งลงเลยอย่าฟ่าวเว่า
ข้าวเหนียวนึ่งจากเตา
แจ่วบองเอาไปจิ้มกิน"
ผู้ลูกก็เลยว่า
"แม่ใหญ่ห่า...คือมาหมิ่น
ติบน้อยบ่พอลิ้น
สิให่กินจักคำกั๋น"
"แพงไว้ให้ผู้ใด๋
เหลือมาให่พอซ่ำนั่น"
อารมณ์โมโหพลัน
ก็หุนหันใส่มารดา
แม่เฒ่ายกมือไหว้
"โอ๊ย...เห็นใจ๋แม่แน่หล่า
ข้าวปั้นนั่นยัดมา
เต็มติบฝาจนว่าพูน"
"จั๊กมันพูนหม่องใด๋
อย่าเว่าไปให่กูสูญ"
ด่าว่าไม่อาดูร
ทวีคูณทรพี
เคืองแค้นแล่นคว้าจอบ
หวดเต็มหอบใส่เต็มที่
มารดาไม่ปราณี
จนแม่นี้แน่นิ่งไป
เลือดอาบทาบทั่วร่าง
ค่อยละวางความโกรธได้
ปั้นข้าวจิ้มแจ่วใน
ถ้วยน้อยใส่ตะกร้ามา
เท่าไหร่ก็ไม่หมด
ให้สลดคำแม่ว่า
สำเหนียกเรียกมารดา
"อี๊แม่จ๋า...ลุกมาพี่"
"มากินข้าวน่ำกั๋น
อย่านอนนั่นตื่นมาหนี่
แจ่วบองนี่ของดี
บักหล่านี่สิป้อนคำ"
แม่นิ่งไม่ติงไหว
ลูกหัวใจเต้นระส่ำ
หวาดกลัวสิ่งตัวทำ
ที่กระหน่ำทุบมารดา
ตีอกต่อยชกหัว
เขย่าตัวเรียก"แม่จ๋า..."
อุกอั่งหลั่งน้ำตา
รู้แล้วว่าแม่จากไป
มาตุฆาตฟาดแม่
กรรมหนักแท้เกินแก้ได้
ระลึกนึกในใจ
โอ้ไฉนจะใช้กรรม
ตูช่างทรพี
ฆ่าผู้มีพระคุณล้ำ
โมหะลุกระทำ
ขอรับกรรมที่ทำมา
อันลืมคุณน้ำนม
ปล่อยตัวจมกับโมหา
โง่เขลาเบาปัญญา
ถูกบังตาให้มืดไป
โทษทัณฑ์ก่องข้าวน้อย
คงจะพลอยตายหมกไหม้
แผดทั่วทั้งหัวใจ
ในนรกโลกโลกันตร์
"แม่จ๋า...ลูกผิดแล้ว
ขอแม่แก้วสู่สวรรค์"
กอดพร่ำเพ้อรำพัน
จวบตะวันลาลับไป
คิดสร้างสถูปธาตุ
แล้วประกาศอุทิศให้
มารดาผู้คลาไคล
เพื่อกราบไหว้โมทนา
ไว้เป็นอนุสรณ์
อุทาหรณ์เตือนใจสา-
ธุชนคนต่อมา
คุณมารดาล้นรำพัน
ให้เกิดกำเนิดบุตร
ประเสริฐดุจอรหันต์
คุณค่าคณานันต์
ของแม่นั้นเกินเปรียบปาน
ขอธาตุก่องข้าวน้อย
ยืนยงคอยกัลปาวสาน
จนสุดพุทธกาล
เป็นตำนานสืบต่อกัน
ผู้ใดได้ซาบซึ้ง
ขอจงถึงซึ่งสวรรค์
เสวยสุขทุกคืนวัน
อยู่ในชั้นทิพย์วิมาน...(สาธุ)
............................................
พระธาตุก่องข้าวน้อย
บอกเล่าตำนานเกี่ยวกับลูกฆ่าแม่ ที่เห็นมารดานำข้าวมาให้เพียงกระติบเล็ก ๆ
ซึ่งตนคิดว่ากินไม่อิ่ม ด้วยความโมโหหิว เลยกระทำมาตุฆาต
แต่ปรากฏว่าขณะที่กินข้าวในกระติบนั้น ไม่ว่าจะกินเท่าไหร่ก็กินไม่หมด
ให้โศกสลดใจในสิ่งที่ตนกระทำ
จึงได้สร้างพระธาตุไว้เป็นอนุสรณ์แก่มารดาของตน
เพื่อไถ่บาป
พระธาตุก่องข้าวน้อย จึงเป็นพระธาตุเดียวที่แตกต่างจากพระธาตุอื่น ๆ
ในผืนบรรณภิภพ ที่เก็บบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระอรหันตธาตุครับ