22 กันยายน 2554 12:05 น.
สุนทรวิทย์
ปลายรุ้ง พุ่งลิ่ว ทาบทิวสน
หยาดฝน หล่นคล้าย ไข่มุกร่วง
ลมชาย ก่ายกอด ยอดชะมวง
มะม่วง กวักช่อ ล้อแมลง
น้ำนอง คลองปริ่ม อิ่มละหาน
บัวบาน ดาษดื่น ยืนกวัดแกว่ง
กบอึ่ง งึมงำ โผล่สำแดง
สิ้นแล้ง สิ้นหม่น ยามฝนมา
ไอเย็น พะพาน ผ่านรวงข้าว
หนุ่มสาว เย้าหยอก ออกนอกหน้า
แย้มยิ้ม พริ้มเพรา เข้าวัดวา
งานเข้า พรรษา มาร่วมบุญ
วิถี ชนบท งดงามยิ่ง
แอบอิง ขนบ อันอบอุ่น
มีความ ร่มเย็น เป็นต้นทุน
ละมุน เรียบง่าย ทุกชายคา
บรรยากาศ ไทยแท้ แต่อดีต
จารีต ดีดี มีคุณค่า
มาถูก ผลักไส ไม่นำพา
แลกกับ เงินตรา และฐานะ
ปัจจุบัน ผู้คน บ่นย่ำแย่
พ่ายแพ้ ปัญหา จิปาถะ
สังคม จำนน มลภาวะ
ขยะ ระราน ผลาญทั่วทิศ
คุณภาพ ชีวิต ถูกปิดกั้น
คืน,วัน พันตู สู่วิกฤติ
คุ้มไหม เมื่อความ งามโศภิษฐ์
เปลี่ยนเป็น มลพิษ เข้าลิดรอน
22 กันยายน 2554 11:00 น.
สุนทรวิทย์
การพูดจา ผิดกาล-เทศะนั้น
ย่อมถูกหยัน ยามใคร ได้สดับ
ตัวผมเอง ผิดบ่อย ปากพล่อยครับ
ขอยอมรับ ความจริง สิ่งที่ทำ
มิได้มี เจตนา หาความใส่
กลอนพาไป นึกเห็น เป็นเรื่องขำ
คนฟังสิ อาจคล้อย ตามถ้อยคำ
รู้ว่าพล้ำ น่าตำหนิ มิแก้ตัว
เสียทีเป็น ผู้ใหญ่ วัยใกล้ฝั่ง
มาถูกชัง ถูกก่น คนยิ้มหัว
เขียนกลอนสด มือไว ใจระรัว
งานเลยมั่ว เลอะเทอะ เปื้อนเปรอะพลัน
เป็นบทเรียน สอนใจ ในยามแก่
อย่าเอาแต่ ปรารภ มุ่งขบขัน
ความคิดคน จำแนก แตกต่างกัน
ความเดียดฉันท์ เกิดจาก ปากเราเอง
เสียใจที่ ทำให้ ใครหงุดหงิด
สุนทรวิทย์ มิได้ หมายข่มเหง
เขียนไปโดย ขาดสติ มิเต็มเต็ง
อ่านแล้วเซ็ง ขอโทษ โปรดอภัย
21 กันยายน 2554 12:41 น.
สุนทรวิทย์
หยดน้ำ-ค้างฉ่ำชื้น
พรมชุ่มพื้น อาบผืนป่า
แสงทอง ผ่องโสภา
พ้นขอบฟ้า มารำไร
อุษา วนาสัณฑ์
ตื่นจากฝัน สู่วันใหม่
คีตะ ระบำไพร
เริ่มเคลื่อนไหว ในทิวา
บุปผชาติ บานดาดดื่น
หอมรวยรื่น ชื่นนาสา
ขมุม ภุมรา
เหล่านกกา ออกหากิน
ทักษะ ธรรมชาติ
บรรจงวาด สมศาสตร์ศิลป์
บันดาล วิมานดิน
แหล่งอาสิน ถิ่นอดุลย์
ป่าฉ่ำ โดยน้ำช่วย
น้ำอิ่มห้วย ด้วยป่าหนุน
ป่า,น้ำ ผลัดค้ำจุน
ต่างให้คุณ เกื้อหมุนวน
โค่นป่า ถ้าป่าเตียน
โลกคงเพี้ยน เปลี่ยนแล้งฝน
ทุกข์ร้อน ย้อนหาคน
จะอับจน เพราะตนเอง
21 กันยายน 2554 12:31 น.
สุนทรวิทย์
คนไม่น้อย ถือสา คำว่าเหี่ยว
ถ้อยคำเดียว อาจก่อ ปรปักษ์
ไอ้หัวล้าน หัวเถิก จงเลิกทัก
มิควรจัก หยอกล้อ เกินพอดี
คำม่อต้อ เตี้ย,ต่ำ อย่าพร่ำบ่อย
อันปมด้อย คอยย้ำ นำเสียดสี
อาจกระเทือน น้ำใจ เสียไมตรี
พานราวี ทะเลาะ เพราะปากพา
บางคนหวาด-ผวา คำว่าแก่
ขืนเย้าแหย่ เป็นอันจบ เลิกคบหา
นับเป็นเรื่อง ละเอียดอ่อน ตอนพูดจา
บ่งจรรยา มารยาท ชาติพื้นเพ
สำเนียงส่อภาษา มีภาษิต
รู้ประดิษฐ์ วาทะ คือเสน่ห์
ให้เกียรติกัน ดีกว่า เย้ยฮาเฮ
ความขี้เหร่ เกิดแต่ตัว ใช่หัวใจ
คำต้องห้าม ยั่วยวน กวนโทสะ
นั้นมักจะ ติดปาก ยากแก้ไข
ยามนึกอยาก กระแหนะ-กระแหนใคร
ลองหัดใช้ สมอง ตรองก่อนทำ
21 กันยายน 2554 12:18 น.
สุนทรวิทย์
ความอิจฉา ริษยา ของมนุษย์
ยากสิ้นสุด เลือนลด หมดสลาย
สันดานคน กักขฬะ ขาดละอาย
ความมุ่งร้าย หงุดหงิด มักติดตัว
เห็นคนเด่น เกินกว่า เป็นบ้าคลั่ง
เกิดชิงชัง ร้อนรุ่ม เกาะกุมหัว
อยากค่อนแคะ แขวะเขา เฝ้าพันพัว
จิตมืดมัว เน่าเหม็น เป็นเนืองนิตย์
ถูกจับได้ ไล่ทัน หันยุเพื่อน
แล้วบิดเบือน ยุยง ให้หลงผิด
ใครกล่อมง่าย ขาดสติ มิทันคิด
หลงลมมิตร ถั่งถ้อย พลอยเชื่อฟัง
คนต่ำทราม เยี่ยงนี้ มีอยู่มาก
จะถอนราก โค่นพันธ์ นั้นสิ้นหวัง
ความสะเออะ เลอะเทอะ เปื้อนเกรอะกรัง
คงปลูกฝัง ล้ำลึก ฝึกปรือมา
น่าสมเพช คนเขลา พวกเหล่านี้
เหมือนไม่มี หิริ วิมังสา
อคติ หาเรื่อง เปลืองวาจา
ช่างอุตส่าห์ ซอกแซก เที่ยวแดกดัน
ยามเห็นใคร สุขสันต์ พลันเจ็บแปลบ
ใจคับแคบ อนิจจา น่าเย้ยหยัน
อิจฉาเขา เราได้ อะไรกัน
ดับโมหันธ์ กลั่นกรอง ตรองเอาเอง