4 พฤศจิกายน 2554 10:50 น.
สุนทรวิทย์
ชมบุหลัน วันเพ็ญ เด่นกลางสรวง
วาวโชติช่วง เยี่ยมเยือน เดือนสิบสอง
โสมเจ้าเอ๋ย อร่าม งามเรืองรอง
สาดแสงส่อง ห้วยหนอง คลองวารี
งานรื่นเริง ลอยกระทง ส่งความหวัง
ธารล้นฝั่ง ฉ่ำเย็น เป็นสักขี
หนุ่มสาวร่วม อธิฐาน ผ่านนที
พึ่งบารมี ปกปัก รักยั่งยืน
ลอยกระทง ปีนี้ ไม่มีน้อง
สายชลนอง ดุจน้ำตา ข้าขมขื่น
เดินคนเดียว เปลี่ยวเปล่า เหงาทั้งคืน
แสร้งหน้าชื่น หดหู่ อยู่ภายใน
ปฏิญญา ความรัก คงหักเห
สิ้นเสน่ห์ หมดหวาน พานเฉไฉ
นัดดิบดี กลับไร้เงา จึงเศร้าใจ
สาเหตุใด ป่วนจิต คิดพะวง
ลมเหนือเยือน เตือนสาว ว่าหนาวแล้ว
รักยังแน่ว สัตย์ซื่อ หรือลืมหลง
ลอยกระทง ฝากถาม ความอนงค์
ยังมั่นคง เพียงไหน อย่างไรกัน
กี่หนาวที่ พี่เพียร เวียนสู่ขอ
ผลัดให้รอ จนหวาด ขาดเชื่อมั่น
แม้นปล่อยปละ ละเฉย เลยเหมันต์
จะไปหมั้น หญิงอื่น เลิกฝืนเธอ
4 พฤศจิกายน 2554 10:33 น.
สุนทรวิทย์
แม่คุณ กุลสตรี ศรีสมร
อรชร อ้อนแอ้น น่าแหนหวง
เป็นที่ปอง ที่หมาย ชายทั้งปวง
ชวนให้ห่วง ให้หลง ปลงฤทัย
เธอโสภา สามารถ ฉลาดเฉลียว
เสียหน่อยเดียว ที่ตดเหม็น เป็นนิสัย
ประเดี๋ยวปู้ด ประเดี๋ยวป้าด ขาดอนามัย
ดมแล้วไม่ บรรลัย คงใกล้เคียง
ฉันต้องใช้ ความกล้า มหาศาล
มาสร้างภูมิ ต้านทาน ด้านกลิ่น,เสียง
เร่งบังคับ ปรับตน จนพร้อมเพรียง
เพื่อร่วมเรียง เคียงหมอน ตอนวิวาห์
ชีวิตคู่ อยู่ได้ ไม่นานนัก
ใจฉันชัก ขยาด หวาดผวา
สามเมื้อ หลังอาหาร ต้องทานยา
คอยรักษา โรคจมูก ซึ่งคุกคาม
รักแท้ แพ้กลิ่นตด เก็บกดยิ่ง
อยากแอบอิง ชิดใกล้ ใจก็ขาม
เธอตดดัง ตดถี่ แถมขี้ตาม
สุดห้ามปราม ถามไถ่ ได้แต่ดม
4 พฤศจิกายน 2554 10:18 น.
สุนทรวิทย์
รักแสนรัก อดออม ถนอมรัก
ไม่เคยจัก นอกลู่ รู้หรือไม่
ใจดวงเดียว เหนี่ยวหน่วง เพื่อดวงใจ
รอมอบให้ อนงค์ ผจงรอ
จากหนุ่ม,สาว คบกัน จวบวันจาก
หนอพลัดพราก ผ่านกาล มานานหนอ
คลอเคียงร่วม เขนย เคยเคียงคลอ
ยังจดจ่อ ต่อฝัน อันยืนยัง
หวานหยดย้อย ทวนจำ ทุกคำหวาน
หวังพบพาน อีกหน บนบานหวัง
รังแต่เพียร หมั่นมุ ดันทุรัง
ปรามไม่ฟัง รั้งไม่อยู่ สู้มิปราม
มั่นคงด้วย เลือดเนื้อ ปนเชื่อมั่น
ถามทุกวัน ใจตน วนไถ่ถาม
ความหนหลัง ไยปลื้ม ยากลืมความ
ปี,เดือนข้าม ชั่วพริบ ยี่สิบปี
พบวันนี้ บังเอิญ เดินมาพบ
นี่ประสบ ใช่เธอ จริงเหรอนี่
มีลูกเต้า ห้อมล้อม พร้อมสามี
กรรมละซี สิ้นท่า ยิ่งกว่ากรรม
บอกก็อาย ขายหน้า ไม่กล้าบอก
ขำมิออก แต่ว่า มันน่าขำ
ทำใจเถิด กลัดหนอง ก็ต้องทำ
ดีกว่าช้ำ ต่อไป คงไม่ดี
3 พฤศจิกายน 2554 10:38 น.
สุนทรวิทย์
คนถือ สีถือเหล่า
เป็นด้วยเขา เฝ้ายึดติด
ฝักฝ่าย ในความคิด
มุ่งพินิศ แค่สิทธิ์ตน
เรื่องสี ที่แตกต่าง
เพราะคนอ้าง สร้างเหตุผล
สุดแท้ แต่กมล
เพื่อบันดล ให้คนเกรง
แม้มี สีใดใด
ล้วนมิใช่ ไว้ข่มเหง
หรือพร่ำ ทำนักเลง
เที่ยวอวดเก่ง เบ่งศักดา
ภูมิใจ ในสีจริง
ควรต้องอิง อหิงสา
เฉิดฉัน โดยจรรยา
บ่มศรัทธา แทนราวี
ขจัด ความขัดแย้ง
เลิกยุแยง แบ่งแยกสี
รู้รัก สามัคคี
รู้หน้าที่ ดีกว่าเอย
ศักดิ์ศรี
ศักดิ์ศรี ชี้อะไร
ยินใครใคร พูดให้เกร่อ
กล่าวขาน ปานเลิศเลอ
ทั้งเหิมเห่อ เผยอตน
ศักดิ์ศรี ที่อวดอ้าง
ถูกสรรค์สร้าง อย่างสับสน
สุดแท้ แต่คำคน
เพียงเอื้อผล ต่อตนเอง
ศักดิ์ศรี ที่ภูมิใจ
ใช่มีไว้ ใช้ข่มเหง
หรือพร่ำ ทำนักเลง
เที่ยวอวดเก่ง เบ่งศักดา
ศักดิ์ศรี ที่แท้จริง
นั้นต้องอิง อหิงสา
อ่อนน้อม ถ่อมกายา
เรียกศรัทธา บารมี
มโนธรรม ตราบดำรง
อย่าพะวง หลงศักดิ์ศรี
โมไนย ไพร่ผู้ดี
แบ่งวิถี ที่กระทำ
3 พฤศจิกายน 2554 10:20 น.
สุนทรวิทย์
จงพอใจ ในสิ่งที่ ตนมีอยู่
แม้เฟื่องฟู สารพัด หรือขัดสน
หากสามารถ สลัด ตัดกังวล
พากมล พ้นทุกข์ ย่อมสุขใจ
ใครโอ้อวด คุยเขื่อง ช่างเรื่องเขา
ขอแต่เรา ตั้งสติ มิหวั่นไหว
ไม่อิจฉา ตาร้อน ค่อนแคะใคร
ดำเนินไป ตามวิถี ที่เราเป็น
ธรรมดา ปุถุชน บนโลกนี้
ต่างคนมี ผาสุก ปนทุกข์เข็ญ
แม้นรู้จัก เพียงพอ ก็ร่มเย็น
ที่ลำเค็ญ เพราะอยากได้ ปลงไม่ลง
ความสำเร็จ ใดใด ใช่ยิ่งใหญ่
ตราบใจไม่ ควบคุม หยุดลุ่มหลง
ต่อให้แสน มั่งคั่ง ดังจำนง
แรงโลภคง ปรากฏ ยากลดรา
ลองปล่อยวาง อารมณ์ ข่มความอยาก
จะมีมาก น้อยเท่าไร ใช่ปัญหา
อันลาภ,ยศ สมบัติ อนัตตา
ล้วนแต่ภาพ มายา อย่างมงาย