16 กรกฎาคม 2554 14:12 น.
สุญญะกาศ
“ กลับมานะลูก อย่าเดินไปตรงนั้น ”
เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงของผู้เป็นแม่ ขณะยังนั่งบนเก้าอี้ม้าหินอ่อนในสวนสาธารณะกลางหมู่บ้าน เธอเปล่งเสียงเบาๆแต่แน่นหนัก ประหนึ่งต้องการให้เด็กชายวัยสองขวบเศษได้ยินเพียงคนเดียว เพื่อไม่ให้เจ้าตัวน้อยก้าวเข้าไปตามรอยยิ้มและการกวักมือเรียกของชายร่างสูงโปร่ง เนื้อตัวและเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมจนยากจะเดาสีแท้จริงได้ ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราที่ไม่ได้โกนตัดมาเนิ่นนาน
เขาคงอยากเล่นด้วยกับลูกชายคนเดียวของเธอ กระนั้นด้วยสามัญสำนึกแห่งความเป็นแม่จึงเปล่งเสียงห้ามลูกเอาไว้ได้ทัน
เธอรู้สึกโล่งใจที่ทำถูกแล้ว เพราะภายหลังได้ยินคนในหมู่บ้านที่ครอบครัวเธอเพิ่งย้ายเข้ามาใหม่นี้ เล่าถึงชายผู้นั้นให้เธอฟังว่า ไม่มีใครรู้จักชื่อจริง เพราะต่างก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ รู้แต่เพียงว่าชายท่าทางน่ากลัวนี้อยู่บ้านหลังสุดซอยกับแม่และพี่สาว
“สติมันไม่สมประกอบ”
ประโยคของป้านวลเจ้าของร้านขายของชำประจำหมู่บ้านนี้ ยิ่งตอกย้ำความเข้าใจของเธอให้ชัดเจนยิ่งขึ้น หลายครั้งที่คนในหมู่บ้านเห็นเขาปีนขึ้นไปถึงยอดต้นสนสูงใหญ่กลางสวนสาธารณะ แล้วยิ้มกริ่ม มองลงมายังผู้คนที่อยู่รอบๆบริเวณข้างล่าง
เธอรู้สึกหวาดกลัว และขนลุกขึ้นมาทุกครั้งเมื่อนึกถึงสายตาคู่ที่จ้องมองลูกชายตัวเล็กของเธอในวันนั้น
เช้านี้อากาศแจ่มใส หลังจากที่สามีของเธอขับรถออกไปทำงานได้สักพัก เธอเริ่มหยิบตะกร้าสานผูกโบว์สีชมพูน่ารัก จูงมือเด็กน้อยเดินไปนั่งที่โต๊ะม้าหินอ่อนที่เคยนั่งกันประจำ
น่าแปลกที่เช้าวันนี้ช่างสงบสดชื่นกว่าที่เคย ลมเย็นๆพัดเอื่อยรอบๆตัว เสียงนกตัวเล็กๆเจื้อยแจ้วจนอดไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามองตามที่กิ่งไม้ ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงท้องฟ้าสดใสที่ประดับด้วยปุยเมฆนุ่มๆประปรายนั้น
.....................
นานเท่าใดไม่อาจทราบได้เธอเผลอนั่งหลับไป จนกระทั่ง....
สะดุ้งเฮือก ตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงกรีดร้องดังขึ้นมาห่างจากจุดที่เธอนั่งไม่ไกล เสียงนั้นดังจากบริเวณสระน้ำกลางสวนสาธารณะ
ไวเท่าความคิด เธอเอี้ยวหันมองรอบตัวอย่างรวดเร็วเพื่อเหลียวหาลูกน้อย
“หายไปไหน”
เสียงที่สั่นเครือ และเบาจนแทบไม่ได้ยิน ในขณะที่เสียงข้างในกลับดังจนแทบจะระเบิดออกมาพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นแรง
ไม่ทราบอะไรดลใจให้เธอวิ่งไปที่สระน้ำนั้น และยิ่งวิ่งเร็วยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเห็นร่างน้อยๆ กำลังเนื้อตัวเปียกโชกไปด้วยน้ำ นั่งร้องไห้อยู่ริมตลิ่ง ขณะที่หลายๆคนเดินเข้าไปพร้อมกับส่งเสียงกันอื้ออึง
ในที่สุดเธอก็ถึงตัวของแก้วตาดวงใจของตน พร้อมกับโอบกอดแน่นๆ
เด็กน้อยไม่รู้หรอกว่า น้ำหยาดใสอุ่นๆของความเป็นแม่ กำลังหยดแหมะลงกลางกระหม่อมของตน เจ้าตัวเล็กได้แต่ร้องไห้และชี้นิ้วไปที่รอยตรงริมตลิ่ง
เวลานั้น หาได้มีใครสนใจยังมุมที่เด็กน้อยชี้นิ้วไป
ไม่มีใครรู้หรอกว่า รอยนั้นเป็นรอยจากผู้ที่เคยปีนต้นสน เป็นรอยลื่นไถลของร่างสูงโปร่งลงไปยังก้นสระน้ำอีกครั้ง หลังจากช่วยเด็กน้อยคนหนึ่งให้รอดชีวิต
หากแต่ชีวิตของตนเองกลับรักษาไว้ไม่ได้ เพราะความล้าอ่อนแรง...
.