16 กันยายน 2549 10:58 น.
สุชาดา โมรา
คนขายมะกอก
นิทานเรื่องคนขายมะกอก เป็นนิทานพื้นเมืองของชนเผ่าขมุ ซึ่งเคยมีถิ่นฐานอยู่ในบริเวณภาคเหนือของประเทศไทยติดต่อกับลาวแต่ดั้งเดิม
Selling an Olive
There once was a husband and wife. They were so poor that did not have anything. Wherever they went they did not get anything. If they begged for something to eat, people did not give them anything. Whatever they did it came to nothing.
One day the husband found an olive, a single olive. He took the olive in his hand and went, on and on, until he came to a house.
May I have some salt he asked
What are you going to do with it?
I will just eat my olive
Then he went on and came to another house.
Excuse me, may I have some salt?
What are you going to do
I will just eat my olive
He went on until he had been to every house, and he got some salt from everybocy.
When he weighed his salt, he had got one kilo.
ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ยากจนค้นแค้นแทบจะไม่มีอะไรจะกิน ไม่ว่าเขาจะไปทางไหนก็ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือเรื่องอาหารการกินแก่เขา ไม่ว่าจะทำอย่างไร ๆ ก็ไม่มีจะกินอยู่ร่ำไป
วันหนึ่งสามีเก็บมะกอกมาได้ผลหนึ่ง เขาก็เดินถึงผลมะกอกไปเรื่อย ๆ จนถึงบ้านหลังหนึ่ง
ขอเกลือให้ผมหน่อยได้ไหม เขาพูดกับเจ้าของบ้าน
เอาไปทำอะไร
ผมจะจิ้มมะกอกกิน
แล้วเขาก็เดินไปจนถึงบ้านถัดไป
ประทานโทษครับ ขอเกลือผมบ้างได้ไหม
จะใช้ทำอะไร
กินกับมะกอกผลนี้ครับ
เขาเดินไปเรื่อย ๆ แวะทุกบ้านที่ผ่านมา จนกระทั่งเขามีเกลือทั้งหมดรวม 1 กิโลกรัม
How he went to a house, were they had hens. One of the hens was white. He took the salt and exchanged it for the hen. Carrying it in a strap he went on.
Soon he came to a house, where somebody had just died. Their father had died and they were having a wake for him. He sat down with them and said. Hey, you, take care! Take care lest your father eats my hen. I will require I will pick a quarrel with you They answered : Oh, it doesnt matter, he is dead.
During the night while all of them slept, he broke the neck of the hen and pushed it into the mouth of the dead body.
Whatever they wanted to give him, he did not accept it, they offered to give him a water buffalo or a cow, but he did not take it.
Indeed, he said, I will take your father. Carrying the body of their dead father with a strap around his head he went away. He went on and on.
ทีนี้เขาไปถึงบ้านอีกหลังหนึ่งที่เลี้ยงไก่ มีไก่ตัวสีขาวอยู่ตัวหนึ่ง เขาจึงนำเกลือนั้นไปขอแลกกับไก่ และสะพายเดินต่อมา
ไม่ช้าก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง ที่นั่นมีคนในบ้านเพิ่งเสียชีวิต ลูกเมียกำลังทำพิธีสวดส่ววิญญาณอยู่ เขาจึงขอเข้าไปร่วมงานด้วยและเอ่ยว่า คุณ ๆ โปรดระวังหน่อยนะ เดี๋ยวพ่อคุณกินไก่ของผมละก็ ผมจะจะมีเรื่องแน่ พวกนั้นจึงเอ่ยว่า โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อแกตายแล้วนี่
คืนนั้นขณะที่ทุกคนกำลังหลับ เขาจึงจัดแจงหักคอไก่ จับยัดเข้าไปในปากของผู้ตาย
เมื่อทุกคนรู้เรื่องก็พยายามจะชดเชยค่าเสียหายให้ แต่เขาไม่ยอมรับสิ่งใด ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็น วัว ควาย แต่กลับบอกว่า
เอายังงี้ละกัน ผมจะเอาพ่อคุณนี่แหละ แล้วเขาก็แบกศพแล้วเดินต่อไป
He then heard some buffalo and cow merchants walking in the distance. Ring ring sounded their bells. He heard the bronze bells coming closer, ring ring
He took the father of those people and put the body across the path. Quickly he went into the forest to break some fireword. He broke firewood and when they arrived he shouted : Hey, mind that you dont trample on my father. Father has got a fever, and I am still collecting firwood, for I am going to light a fire for him to warm him. That is what he said. When he had broken the firewood, he put it on his shoulder and came out of the forest.
ตามทางเขาได้ยินเสียงพ่อค้าขายวัวควายเดินมาแต่ไกล เสียงกระดิ่งวัวดังแว่วมากรุ๊งกริ๊งใกล้เข้ามาทุกที ๆ
เขาจึงนำร่างที่เขาแบกมานั้นวางลงบนถนนและรีบหลบเข้าไปข้างทางทันที ทำทีว่าตัดฟืน พอพวกนั้นเดินมาใกล้ เขาก็ร้องส่งเสียงดังว่า เฮ๊ย ระวังหน่อยอย่าเดินทับพ่อฉันนะ เขาไม่สบายเป็นไข้ นี่ฉันกำลังเก็บไม้มาทำฟืนสุมไฟให้เขาอุ่น เขาบอกดังนั้น เมื่อเขาได้ฟืนก็เดินออกมาข้างทาง
When the merchants arrived, they made their buffaloes and cows stop. The man came out and lit a fire. When he had lit the fire, he walked over to wake up the dead man who was supposed to be his father.
Hey, father, father get up, the fire is burning already! The father did not stir, for he was already dead. The man accused the merchants : You let your buffaloes and your cows trample on my father!
They offered to give him anything, offered him buffaloes and silver, but he did not accept anything. In the end, however he accepted the returned, ring ring ring
Somebody asked him. Oh were have you got them from? He answered : Oh I just went to sell my olive.
And here the story ends.
เมื่อพวกพ่อค้ามาถึงตรงนั้น พวกเขาก็หยุดฝูงควายของเขา นายคนนี้ก็เริ่มสุมไฟ เมื่อไฟติดเรียบร้อยดีแล้ว เขาจึงก้าวไปปลุกร่างที่เขาบอกว่าเป็นพ่อนั้นทันที
พ่อ ๆ ตื่นเถอะ ตื่นได้แล้ว ผมจุดไฟให้แล้วนะ ร่างของพ่อมิได้ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ก็แหมมันเป็นศพอยู่แล้วนี่คะ นายคนนี้จัดการหันไปกล่าวหาพ่อค้าทันทีว่า พวกคุณแท้ ๆ น่ะสิ ปล่อยให้สัตว์พวกนี้มาเหยียบย่ำพ่อของฉันได้
พ่อค้าลานลนเสนอว่าจะชดเชยค่าเสียหายให้ เสนอควายก็แล้ว เงินก็แล้ว แต่นายคนนี้ก็ไม่พอใจ อย่างไรก็ตามในที่สุดเขาก็ยอมเอาวัวควายของพ่อค้าทั้งหมดฝูงใหญ่มา แล้วเขาก็บ่ายหน้ากลับบ้าน นำฝูงสัตว์กลับไปด้วย โดยเดินนำหน้า มีเสียงกรุ๊งกริ๊งตามมา
ขณะนั้นมีคนเดินออกมาร้องถามว่า ไปเอาฝูงสัตว์มาจากไหนน่ะ เขาจึงตอบกลับไปว่า ขายมะกอกได้มา
เป็นอย่างไรคะกับนิทานเรื่องนี้ สนุกไหมคะแล้วคุณรู้ไหมคะว่านิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไรอ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ!!!! ลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านดูนะคะ แล้วจะกลับมาให้คำตอบค่ะ
11 กันยายน 2549 12:21 น.
สุชาดา โมรา
สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ ชาวเว็ปทุกคน สวัสดีค่ะแฟนคลับ สวัสดีค่ะนักเรียนของครู และสวัสดีค่ะเพื่อน ๆ นักอ่านที่น่ารักทุกท่าน
ทุกคนเคยทราบไหมคะว่าความสำคัญของการอ่านเป็นอย่างไรและอ่านเพื่ออะไร
อืมแน่นอนนะคะ ว่าทุกคนมีแนวทางในการอ่านที่แตกต่างกัน บางคนอ่านเพื่อให้สัมฤทธิ์ผล เช่น เพื่อศึกษา เพื่อให้รู้ เพื่อสอบ บางคนอ่านเพื่อจรรโลงใจ เบาสมอง เพลิดเพลินไปกับตัวหนังสือ บางคนอ่านเพื่ออุดมคติ หรือการยึดหลักเกณฑ์ที่ตายตัวว่าฉันชอบแนวนี้ก็จะอ่านแนวนี้อยู่ตลอดเวลา
การอ่านเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่กล่าวเช่นนี้เพราะหนังสือทุกเล่ม หรือเรื่องราวที่ผู้เขียนเขียนนั้นมักจะสอดแทรกเรื่องราวข้อคิดเห็น ข้อเท็จจริง อารมณ์ ความรู้สึก คติเตือนใจ ฯลฯ ซึ่งผู้เขียนหรือผู้ประพันธ์ต้องการสะท้อนภาพพจน์ในแง่มุมต่าง ๆ อาจจะเป็นสะท้อนสังคม วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี หรือเรื่องราวที่บันทึกและบอกเล่าให้กับผู้อ่านได้รับทราบ เช่น การไปท่องเที่ยวในต่างแดน ประสบการณ์ชีวิต ฯลฯ
แต่คุณรู้ไหมว่าคนบางคนพัฒนานิสัยในการอ่านของตนเองแล้ว แต่บางคนนั้นก็ยังไม่พัฒนา ซึ่งบุคคลพวกนี้เรียกว่า บัวใต้น้ำ หรือพวกที่ยังไม่โงหัวขึ้นมารับรู้เรื่องราวของความเป็นจริง
การอ่านนั้นต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการตัดสิน ซึ่งผู้อ่านต้องทำความเข้าใจว่าผู้เขียนนั้นต้องการสื่ออะไร มิใช่มาตีโพยตีพายเป็นกระต่ายตื่นตูม หรือกินปูนร้อนท้อง เพราะงานเขียนทุกเรื่องอาจจะมีส่วนเหมือนตัวคุณ หรือใครบางคน แต่มิใช่ว่าตนเองจะแสดงตนว่า นี่มันเรื่องของฉันนะ แกมีสิทธิ์อะไรมาเขียน มาทำให้ครอบครัวฉันเสียหายทำไม คนจำพวกนี้เขาเรียกว่าอะไรนะคะลองพิจารณาเองเองนะคะ
บางทีเรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อสื่อให้เห็นถึงพฤติกรรมมนุษย์ ชื่อบุคคลในตัวละครนั้น ๆ อาจจะมีการซ้ำกันบ้าง ก็เหมือนการตั้งชื่อของคนไทยนี่แหละค่ะ อย่างเช่น คนนี้ชื่อนุ่น คนนี้ชื่อสำลี คนนี้ชื่อฝ้าย คนนี้ชื่อป่าน เป็นต้น อูยเยอะแยะไปหมดจนเกินจะบรรยาย
คุณทราบไหมคะว่า ดิฉันเขียนนิยายเรื่อง ยิ่งกว่าคำพิพากษา แล้วมีคนมาระรานฉัน กล่าวหาว่าฉันเอาเรื่องของตนเองมาเขียน อวดอ้างว่าเป็นลูกผู้มีอิทธิพล แสดงอำนาจบารมี ต้องการก่อสงครามประสาท แต่หารู้ไม่ว่าเขาไม่ได้ซีเรียสในสิ่งที่ตนเองพูดหยาบ ๆ คาย ๆ มาเลย นั่นเป็นเพราะ ผู้เขียนยิ่งรู้สึกว่าตนเองเขียนเรื่องแล้วมันดังจริง ๆ กระแสนี้แรงยิ่งกว่าข่าวของดาราถ่ายภาพวาบหวิวเสียอีก แหมกระแสนี้สร้างความรู้สึกว่าดิฉันโด่งดังขึ้นเป็นกองเลยละค่ะ ถึงขนาดเขียนด่าบนเว็ป ทำให้ลบกันไม่หวัดไม่ไหว ดิฉันเปิดโอกาสให้เขียนดี ๆ นะคะ พูดดี ๆ แต่ขอร้องมิให้แสดงความต่ำทราม หรือบอกว่ากินปูนร้อนท้องตีโพยตีพาย ถึงขั้นโทรมาด่าพ่อล่อแม่ผู้เขียน แหมน่าชื่นชมสำหรับการอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ผู้หญิงที่มาระรานดิฉันจริง ๆ นะคะว่าเลี้ยงลูกได้ดีเหลือเกิน ดีจนน่าจะย้ายออกไปจากแผ่นดินไทยเสียเร็ว ๆ แผ่นดินจะได้สูงขึ้น หรือไม่ก็ตายแล้วไปเกิดใหม่เผื่อว่าจิตใจจะได้มีรสพระธรรมอยู่ในกมลสำนึกบ้าง แต่ก็เอาเถอะค่ะ เพราะดิฉันจะถือว่าคนพวกนี้เป็นบัวที่อยู่ในโคลนตม ยังไม่รู้จักใช้วิจารณญาณ หรือไม่อาจจะพิการทางจิต หรือเขาอาจจะคิดว่าดิฉันดังมากและต้องการสร้างกระแสเผื่อผลบาปของเขาจะทำให้เขาดังขึ้นมา แต่เขาคิดผิด เพราะความจริงแล้วเป็นการบอกเล่าว่าตนเองเป็นคนที่อยู่ในหนังสือ ทำให้ดิฉันรู้สึกสนุกกับการเขียนมากขึ้น และรู้สึกว่าแหมอะไรจะดังปานนี้เนี่ยหึหึ
ฉะนั้นนักอ่านที่ดีต้องมี sent ในการอ่าน ต้องรู้จักใช้วิจารณญาณในการอ่านนะคะ
ลักษณะของการอ่านที่ดีมีประสิทธิภาพ (reading efficiency) มีดังนี้
1. ผู้อ่านต้องรู้จักการอ่านออกเสียงเพื่อให้เข้าใจก่อน ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้จำง่ายด้วย รู้ไหมคะว่าเพราะอะไร ก็เพราะจะได้รู้จักการแบ่งวรรคตอนได้ถูกต้องไงคะ
2. ผู้อ่านได้ฝึกการอ่านออกเสียงได้ถูกต้อง ทั้งคำศัพท์ การเว้นวรรคตอน และควรจับเวลาดูด้วย เพื่อให้ทันต่อเวลาที่กำหนดไว้ ควรอัดแถบบันทึกเสียง (เทป) ไว้เพื่อเปิดฟังและปรับปรุงการอ่าน ผลที่ได้ตามมาคือการอ่านที่เร็วขึ้นค่ะ
3. ผู้อ่านต้องรู้จักค้นคว้าหนังสืออ้างอิง เช่น คำศัพท์ และการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องไว้ล่วงหน้าเสียก่อน ผู้ที่ทำหน้าที่พิธีกรจะต้องมีพจนานุกรมภาษาไทย และพจนานุกรมภาษาต่างประเทศอยู่ใกล้ ๆ ตัวตลอดเวลา เพราะจะทำให้เรามีความรู้มากขึ้น อีกทั้งเพื่อจะได้รู้ว่าผู้เขียนนั้นกล่าวลอย ๆ หรือว่าเขียนผิดหรือเปล่า แต่มิใช่เป็นการจับผิดผู้เขียนนะคะ แต่ผู้อ่านนั้นต้องรู้จักรอบรู้
4. ไม่ควรอ่านเร็วเกินไป หรือช้าเกินไป ควรให้ทันต่อเวลาที่กำหนด (ถ้ามีการกำหนดเวลา เช่น การอ่านรายชื่อผู้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร)
5. ต้องรู้จักเน้นใจความสำคัญ สาระสำคัญ
6. ต้องอ่านบ่อย ๆ จะได้อ่านคล่องและชัดเจน
7. อ่านออกเสียงให้ดังเพื่อให้ผู้ฟังในห้องฟังอย่างชัดเจน เพราะจะทำให้ผู้ฟังไม่เบื่อและรำคาญ
8. ต้องอ่านให้เหมาะสมกับเนื้อหา เนื้อเรื่อง เช่น การอ่านสารคดี บทความ กวีนิพนธ์ ต้องแยกแยะออกว่าร้อยแก้วและร้อยกรองอ่านแตกต่างกันอย่างไร การเน้นหนักเบาของเสียง แต่ต้องเป็นธรรมชาติ ไม่เวอร์จนเกินงาม
9. รู้จักกวาดสายตาในการอ่านสักรอบ ก่อนที่จะเจาะจงอ่านเพื่อจับใจความสำคัญ
10. อ่านแล้วต้องจดบันทึกได้ และจับใจความสำคัญหรือประเด็นของเรื่องได้
11. ต้องรู้จักแยกแยะข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็นได้
12. สิ่งนี้สำคัญที่สุดเลยนะคะ คือ ต้องอ่านแล้วรู้สึกทราบซึ้งแล้วทำให้เราเกิดกระบวนการคิดจนกระทั่งสามารถคิดสร้างสรรค์ สร้างงานใหม่หรือนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ มิใช่ว่าอ่านแล้วมาตีโพยตีพาย ต้องให้ให้ชาวบ้านรู้ว่าตนเองเจ็บปวดเพราะผู้เขียนเขียนเรื่องราวได้กระแทกใจจนทำให้คิดว่าเขาเขียนเรื่องของตัวเอง เพราะบุคคลเช่นนี้เป็นบุคคลที่เรียกว่าไม่มีวิจารณญาณในการอ่านเลยสักนิด
แล้วคุณทราบหรือยังคะว่าความสำคัญของการอ่านนั้นเป็นอย่างไร แล้วอ่านเพื่ออะไร แล้วคุณรู้ไหมคะว่าการที่เราเป็นนักอ่านที่ดีนั้นจะทำให้เราฉลาดมากขึ้น มีความรู้มากขึ้น มิใช่ว่ายกกฎหมายลอย ๆ ขึ้นมาแล้วคิดว่าสิ่งที่ตนเองพูดนั้นเขาจะไม่รู้ว่ากฎหมายนั้น ๆ มันโกหกหลอกลวง เพราะว่าผู้ที่อ่านหนังสือมาเยอะนั้นจะรู้เท่าเกมส์คนอื่น และจะนึกเยาะในใจว่าพูดโง่ ๆ
ฉะนั้นมาอ่านอย่างถูกวิธีกันดีกว่านะคะ และจะได้พัฒนาทั้งสมองและจิตใจของตนเองด้วยค่ะ
อืมเกือบลืมแนะนำหนังสือดี 100 เล่มที่คนไทยควรอ่านเลยนะคะ
กวีนิพนธ์
1. ประชุมโคลงโลกนิติ ของ สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร
2. นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี
3. มัทธนะพาทา บทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
4. สมมัคคีเภทคำฉันท์ ของ ชิต บุรทัต
5. ขอบฟ้าขลิบทอง ของ อุชเชนี
6. กวีการเมือง ของ จิตร ภูมิศักดิ์
7. เราชนะแล้วแม่จ๋า ของ นายผี
8. กวีนิพนธ์ ของ อังคาร กัลยาณพงศ์
9. จงเป็นอาทิตย์เมื่ออุทัย ของ ทวีปวร
10. คำหยาด ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
11. เพียงความเคลื่อนไหว ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
12. โคลงกลอน ของ ครูเทพ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี
13. บทกวี ของเปลื้อง วรรณศรี
14. พระลอคำกลอน ของ กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์
15. ขอบกรุง ของ ราช รังรอง
นวนิยาย
1. กามนิต ของ เสฐียรโกเศศ
2. ผู้ชนะสิบทิศ ของ ยาขอบ
3. มหาบัณฑิตแห่งมิถิลานคร ของ แย้ม ประพัฒน์ทอง
4. พล นิกร กิมหงวน ของ ป.อิทรปาลิต
5. ทุ่งมหาราช ของ มาลัย ชูพินิจ
6. แลไปข้างหน้า ของ ศรีบูรพา
7. ผู้ดี ของ ดอกไม้สด
8. บางระจัน ของ ไม้เมืองเดิม
9. หญิงชั่ว ของ ก.สุรางคนางค์
10. พรุ่งนี้ต้องมีอรุณรุ่ง ของ ศรีรัตน์ สถาปนวัฒน์
11. สี่แผ่นดิน ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
12. ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์
13. เราลิขิต บนหลุมศพวาสิฏฐี ของ ร.จันทะพิมพะ
14. ละครแห่งชีวิต ของ ม.จ.อากาศ ดำเกิง
15. เมืองนิมิตร ของ ม.ร.ว.นิมิตรมงคล นวรัตน์
16. ลูกอีสาน ของ คำพูน บุญทวี
17. เขาชื่อกานต์ ของ สุวรรณี สุคนธา
18. ชุดเสเพลบอยชาวไร่ ของ รงค์ วงษ์สวรรค์
19. ปักกิ่งนครแห่งความหลัง ของ สด กูรมะโรหิต
20. พิราบแดง ของ สุวัฒน์ วรดิลก
21. พัทยา ของ ดาวหาง
22. ริมฝั่งแม่ระมิงค์ ของ อ.ไชยวรศิลป์
23. สร้อยทอง ของ นิมิต ภูมิถาวร
24. ศรีธนญชัย
25. ดำรงประเทศ ของ เวทางค์
26. จดหมายจากเมืองไทย ของ โบตั๋น
27. ตะวันตกดิน ของ กฤษณา อโศกสิน
28. สร้างชีวิต ของ หลวงวิจิตรวาทการ
เรื่องสั้น
1. นิทานเวตาล ของ น.ม.ส.
2. เรื่องสั้น ของ ป.บูรณปกรณ์
3. เรื่องสั้นของมนัส จรรยงค์
4. เรื่องสั้นของ ส.ธรรมยศ
5. ผู้ดับดวงอาทิตย์ ของ จันตรี ศิริบุญรอด
6. เรื่องสั้นของ อิศรา อมันตกุล
7. เรื่องสั้นของเสนอ อินทรสุขศรี
8. ฟ้าบ่กั้น ของ ลาวคำหอม
9. เรื่องสั้นชุดเหมืองแร่ ของ อาจินต์ ปัญจพรรค์
10. ฉันจึงมาหาความหมาย ของ วิทยากร เชียงกูล
11. รวมเรื่องสั้นของฮิวเมอร์ริสต์
12. คนบนใบไม้ ของ นิคม รายวา
13. พลายมะลิวัลย์ ของ ถนอม มหาเปารยะ
สารคดี/บทความ
1. นิทานโบราณคดี ของ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
2. ความเป็นมาของคำสยาม ไท ลาวฯ ของ จิตร ภูมิศักดิ์
3. เจ้าชีวิต ของ พระองค์เจ้าจุลจักรจักรพงษ์
4. สังคมไทยในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ 2325-2416 ของ อศิน รพีพัฒน์
5. ประวัติกฎหมายไทย ของ ร.แลงกาต์
6. ภาษากฎหมายไทย ของ ธานินทร์ กรัยวิเชียร
7. กบฎ ร.ศ.130 ของ เหรียญ ศรีจันทร์
8. ประวัติศาสตร์ไทยสมัย 2352-2453 ด้านเศรษฐกิจและสังคม ของ ชัย เรืองศิลป์
9. อิทัปปัจจยตา ของท่านพุทธทาสภิกขุ
10. พุทธธรรม พระธรรมปิฎก
11. พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน ของ สุชีพ ปุญญานุภาพ
12. ภารตวิทยา ของ กรุณา-เรืองอุไร กุศลาสัย
13. พระประวัติตรัสเล่า ของ กรมวชิรญาณวโรรส
14. นิทานชาวไร่ ของ น.อ.สวัสดิ์ จันทนี
15. ความงามของศิลปไทย ของ น. ณ ปากน้ำ
16. ประติมากรรมไทย ของ ศิลป พีระศรี
17. แสงอรุณ2 แสงอรุณ ของ รัตนกสิกร
18. วิทยาวรรณกรรม ของ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์
19. โอ้ว่าอาณาประชาราษฎร ของ สนิท เจริญรัฐ
20. วรรณสาส์นสำนึก ของ สุภา ศิริมานนท์
21. พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
22. 80 ปีในชีวิตข้าพเจ้า ของ กาญจนาคพันธุ์
23. ฟื้นความหลัง ของ พระยาอนุมานราชธน
24. เทียนวรรณ ของ สงบ สุริยินทร์
25. สาส์นสมเด็จ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
26. กาเลหม่านได ของ บรรจบ พันธุเมธา
27. 30 ชาติในเชียงราย ของ บุญช่วย ศรีสวัสดิ์
28. ทรัพย์ศาสตร์ ของ พระยาสุริยานุวัตร
29. สันติประชาธรรม ของ ป๋วย อึ๊งภากรณ์
30. เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475 ของ กุหลาบ สายประดิษฐ์
31. ไทยกับสงครามโลกครั้งที่สอง ของ ดิเรก ชัยนาม
32. ห้าปีปริทัศน์ ของ ส.ศิวรักษ์
33. ความเป็นอนิจจังของสังคม ของ ปรีดี พนมยงค์
34. ท่านปรีดี รัฐบุรุษอาวุโส ผู้วางแผนเศรษฐกิจไทยคนแรก ของ เดือน บุนนาค
35. วันมหาปิติ วารสาร อมธ. ฉบับพิเศษ 14 ตุลาคม 2516
36. กิจจานุกิจ ของ เจ้าพระยาทิพากรวงษ์
37. ธรรมชาตินานาสัตว์ ของ บุญส่ง เลขะกุล
38. ขบวนการแก้จน ของ ประยูร จรรยาวงษ์
39. แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์
40. อัตชีวประวัติหม่อมศรีพรหมา กฤษดากร
41. วรรณคดีและวรรณคดีวิจารณ์ ของ วิทย์ ศิวะศิริยานนท์
42. โฉมหน้าศักดินาไทย ของ จิตร ภูมิศักดิ์
43. ศาลไทยในอดีต ของ ประยุทธ สิทธิพันธ์
44. วรรณไวยากร ฉบับวรรณคดีวิจารณ์ เจตนา นาควัชระ และ ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ
ดิฉันอ่านหมดแล้ว แล้วเพื่อน ๆ ล่ะคะ หามาอ่านกันบ้างหรือยังคะแหมหนังสือดี ๆ แบบนี้น่าจะหากันมาอ่านนะคะ เพราะจะได้เพิ่มพูนทั้งความรู้ และสติปัญญาค่ะ
และขอฝากนวนิยายของสุชาดา โมรา ไว้ด้วยนะคะ หากขาดตลาดให้สั่งจองทางเมล์นี้นะคะ p_naja@hotmail.com ค่ะ เพราะหนังสือตีพิมพ์มาแค่ 2,000 เล่มคะ ส่วนเรื่องที่สองลงมาถึงเรื่องที่แปด เป็นหนังสือทำมือค่ะ สั่งจองได้นะคะ
1. สาวน้อยเลือดยูโด (ซี-เอ็ด ทั่วประเทศค่ะ)
2. ปาฏิหาริย์รักข้ามมิติ
3. ดาวประดับรัก
4. คิดจะรักต้องพักรบ
5. ยิ่งกว่าคำพิพากษา
6. ผู้ชายคนนี้ไม่ใช้แล้ว
7. กฎหมายสังหารผู้ชาย
8. เวทีฉากสวรรค์
ฯลฯ.ค่ะ
8 กันยายน 2549 15:37 น.
สุชาดา โมรา
งานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ คุณไม่มีอำนาจคัดลอก ตัดสินใจแทน หรือบงการชีวิตใคร
8 กันยายน 2549 15:33 น.
สุชาดา โมรา
งานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ คุณไม่มีอำนาจคัดลอก ตัดสินใจแทน หรือบงการชีวิตใคร
8 กันยายน 2549 15:28 น.
สุชาดา โมรา
งานเขียนเป็นงานสร้างสรรค์ คุณไม่มีอำนาจคัดลอก ตัดสินใจแทน หรือบงการชีวิตใคร