20 กันยายน 2547 09:48 น.
สุชาดา โมรา
หลายวันผ่านไปฉันไปเรียนด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากไปเรียนเลย ฉันมีความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่โลกของฉัน ไม่เหมือนที่สมาคมฯ ถึงแม้ว่าจะเจอเหมี่ยวเหมือนกันแต่อย่างน้อย ๆ ที่นั่นก็มีคนคุยกับฉันไม่เหมือนที่นี่... ฉันเข้าไปเรียนวิชาสุขศึกษาที่ตึกเก่าพอฉันนั่งที่โต๊ะก็เกิดเรื่อง
ผว๊ะ...........!!!!!........โครม..........!!!!!
ใครคนหนึ่งตรงลี่เข้ามาตบหน้าฉันจนโต๊ะแล็กเชอร์ล้มไปทางฝั่งขวาทำให้ไม้ลองแขนกระแทกชายโครงของฉันจนจุก จากนั้นใครต่อใครอีกหลายคนก็มารุมทำร้ายฉัน ฉันไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เพราะมันชุลมุนวุ่นวายเหลือเกินจนไม่สามารถที่จะลุกขึ้นได้ ฉันรู้สึกว่ามึนงงทำอะไรไม่ถูก ไม่มีใครมาช่วยฉันเลย
อะไรกันน่ะ
เสียงอาจารย์ดังขึ้น อาจารย์ไตร่สวนเรื่องราวและก็ส่งไปที่ห้องปกครองให้อาจารย์ทำโทษ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่มีความผิดแต่โทษก็เท่ากัน ฉันถูกอาจารย์ตี 3 ทีเท่า ๆ กับพวกนั้น ที่จริงฉันไม่เข้าใจเลย มันเป็นเพราะสาเหตุอะไรพวกนี้ทั้งห้องจึงมารุมทำร้ายฉัน ฉันงงไปหมดจึงถามพวกนี้ต่อหน้าอาจารย์
ถามจริง ๆ เถอะทำไมต้องมาตบฉันด้วย
ก็หมั่นไส้น่ะมีไรไหม...เห็นไปแข่งมาเก่งนักนี่ไม่เห็นใช้วิชาที่เรียนมาทำร้ายใครได้เลย ถุย...ทุเรศใช่ไหมพวกเรา
พออาจารย์ได้ยินจึงเรียกทุกคนในห้องยกเว้นฉันไปทำโทษด้วยการให้ไปพัฒนาชุมชนในที่ต่าง ๆ และถ่ายรูปพร้อมกับให้ชาวบ้านเซ็นมาว่าไปจริง...
ฉันได้ยินเสียงบ่นเสียงด่าเสียงพูดจาเสียดแทรก เสียดสีจนรับไม่ไหวอีกแล้ว หนัก ๆ เข้าห้องนี้ฉันก็ชักจะอยู่ด้วยไม่ได้แล้วละ ฉันจึงตัดสินใจไม่เข้าเรียนอีกครั้งเพื่อหนีปัญหาที่รุมเร้าในจิตใจ ฉันหาทางออกไม่ได้จริง ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ที่เหตุการณ์มันเป็นแบบนี้
พอฉันไม่เข้าเรียนฉันก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนก็เลยมานั่งที่ศาลาในโรงเรียนจนเจอเพื่อนคนหนึ่งชื่อฟิล์ม ที่จริงเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนหรอกแต่ว่าเรามาสนิทกันตอนที่จะหนีออกจากโรงเรียนเนี่ยแหละ ฉันจึงพาฟิล์มไปที่ประตูข้างของโรงเรียนแล้วก็ปีนออกมา ฟิล์มรู้จักร้านขายอุปกรณ์การเรียนอยู่ร้านหนึ่งก็เลยพาฉันเข้าไปหลบสารวัตรนักเรียนที่นี่ ฉันจึงสนิทกับลูกจ้างของร้านที่ชื่อดวง
หลังจากนั้นมาฉันก็ไม่ยอมเข้าเรียนอีกเลยจนกระทั่งอาจารย์ทองเรียกผู้ปกครองไปพบเพราะฉันไม่เข้าเรียนมาหลายวันแล้วพอผู้ปกครองมาอาจารย์ก็เอารายละเอียดการโดดเรียนออกมาให้ปู่ฉันดูจนวันนั้นกลับไปบ้านฉันจึงถูกตีหลายทีจนเนื้อแตก
หนูสัญญาว่าจะเข้าเรียนค่ะ....!!!!
แต่พอวันรุ่งขึ้นฉันมาเข้าเรียนสังคมในห้องก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังมีการเสแสร้งและก็กล่าวร้าย พูดจาเสียดแทงตลอดจนแทบจะทนไม่ได้ นอกจากนั้นก็ยังมายืนรุมด่าทออีก ฉันรู้สึกเครียดมาก รู้สึกว่าตัวเองเหมือนหมาหัวเน่าที่ไม่มีใครเขาคบอีกแล้ว... ฉันจึงตัดสินใจอีกครั้ง คราวนี้ฉันไม่เข้าเรียนเลย แต่ฉันยังคงเข้าไปเล่นยูโดต่อ เหมี่ยวก็เอาไปพูดที่สมาคมฯนินทาฉันเกี่ยวกับเรื่องที่ฉันไม่เข้าเรียน
นังแววดาวนะไม่เข้าเรียนละเธอ สงสัยจะมีผัวละเลยไม่เข้าเรียน
เหรอ...ไม่อยากจะเชื่อเลยเห็นหน้าหงิม ๆ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนแบบนี้ถึงว่าพี่ ๆ ที่นี่ถึงได้รุมจีบที่แท้ก็พวกให้ท่าให้ทางนี่เอง แต่ดูอย่างพี่เหมี่ยวสิถึงไม่สวยแต่ก็มีเสน่ห์เนาะพี่นัทถึงได้มาชอบ
หยุดพูดแล้วแล้วแก้ม.....!!!!เลิกพูดถึงพี่นัทได้ไหมในเมื่อนังดาวมันแย่งไปหมดแล้ว ดูสิแข่งคัดสายมันยังแย่งสายจากพี่เลย แล้วตอนที่ไปแข่งมันยังแย่งจนได้ไปเที่ยวเมืองนอก กลับมาทำเป็นเก่งมาสอนคนอื่นที่แท้ก็เทียบกันไม่ติด
จริงเหรอ...พี่ดาวร้ายขนาดนี้เลยเหรอ...
อืม....
เหมี่ยวไม่รู้หรอกว่าฉันยืนอยู่ที่ประตู ฉันได้ยินทุกคำพูดเพราะประตูอยู่ห่างจากเหมี่ยวและแก้มเพียงแค่เมตรเดียวเท่านั้น ฉันรู้สึกฉุนก็เลยพูดคำแรง ๆ ออกมา
ต่ำ.....!!!!!
แล้วก็เดินผ่านหน้าไปทำให้เหมี่ยวและแก้มถึงกับอึ้งเงียบทันที ฉันเดินมาเคารพเบาะแล้วก็ขึ้นไปวอร์มอัพจนเครื่องอุ่นได้ที่ฉันจึงเรียกเหมี่ยวขึ้นมา
เห็นบอกว่าเก่งเจ๋งมากไม่ใช่เหรอมา....ขึ้นมาสู้กันซะตั้งเป็นไร ตัวต่อตัวนะอย่าเล่นหมาหมู่เหมือนทุกที ฉันไม่ชอบเล่นสกปรก ขึ้นมาเลย
ฉันทั้งโกรธและโมโหมากที่จู่ ๆ ก็ถูกนินทาทั้งต่อหน้าและลับหลัง ฉันแค้นที่สุดจังหวะนี้แหละฉันจะทำให้เห็นว่าใครกันแน่ที่โกหก ใครกันแน่ที่พูดปดมาตลอดเวลา คนที่นี่อุตส่าห์ให้อภัยมาหลายครั้งหลายหน แต่เหมี่ยวก็ยังไม่เลิกสันดารเดิม ๆ อีก ฉันจึงต้องใช้วิธีนี้แหละ... เหมี่ยวถึงกับอึ้งไม่กล้าขึ้นมาเทียบสายกับฉันเลย ระหว่างสายดำกับสายขาวที่ไร้ประสิทธิภาพอย่างเหมี่ยวใครมันจะแน่กว่ากัน ปกติแล้วเหมี่ยวไม่ค่อยอยากจะซ้อมเพราะทำฟอร์มว่าท้อง พอไม่ฝึกปรือฝีมือก็ถดถอยมาเร่งซ้อมตอนหลังก็ไม่เห็นจะไปแข่งอะไรที่ไหนได้เลย น่าเบื่อจริง ๆ ที่มีคนแบบนี้อยู่ในโลก ชีวิตฉันนี่มันยิ่งกว่านิยายน้ำเน่าเสียอีก
เหมี่ยวทำท่ากล้า ๆ กลัว ๆ ฉันจึงต้องตะโกนย้ำลงไปอีก แต่คราวนี้ผู้คนในนี้เริ่มมากขึ้นกว่าตอนแรก ฉันตั้งใจใจไว้ว่าจะให้อายสู้หน้าใครไม่ได้ทีเดียว จะทำให้เหมือนกับที่เหมี่ยวทำกับฉันเอาไว้ที่โรงเรียน แลกกัน....!!!!
ทำไม....กลัวหรือไง จะอ่อนข้อให้ก็ได้ ขึ้นมา....!!!!
พี่เหมี่ยวขึ้นไปสิจะมัวรีรออะไรอยู่ ไปจัดการกับมันเลย มันจะได้รู้ว่าพี่เจ๋ง
แก้มยุให้ขึ้นมาจนเหมี่ยวต้องเดินขึ้นมาหาฉัน ทุกคนที่นี่ก็รู้อยู่ว่าฉันกับเหมี่ยวไม่ถูกกันก็เลยมามุงดู และพี่โอม พี่นัท พี่ดอน พี่ทิพย์และพี่เก้าก็มาร่วมเป็นกรรมการด้วย
ฮาจิเมะ.....!!!!
ฉันเดินเข้าตรงใส่ด้วยอารมณ์ที่บ้าบิ่นบ้าเลือดและบ้าครั่ง ฉันฉุนมาก ๆ ในใจก็คิดว่าจะเอาให้ตายไปข้างนึงเลย แต่อีกใจก็คิดว่าอย่าทำเลยมันไม่ดี แต่ฉันควบคุมอารมณ์ไว้ไม่ไหวแล้วจึงรุกเข้าไปหักแขนและทุ่มทันทีด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะ คือจับแขนหักและดึงแขนหลบในเข้ามาก่อนที่จะทุ่ม โชคดีที่ฉันยั้งมือแขนจึงไม่หัก แต่พอทุ่มได้ฉันก็ฉุดขึ้นมาให้สู้ต่อ ฉันทุ่มได้หลายทีและก็สกัดจุดสำคัญได้หลายครั้ง ฉันเล่นนอกเหนือกติกาที่วางไว้เพราะฉันใช้ลูกเล่นเข้าไปใส่อย่างการกดลิ้นปี่ การกดทัดดอกไม้ การสกัดจุดลมไม่ให้เปิดและการกดไหปลาร้าไม่ให้มีทางสู้ได้ซึ่งมาจากการที่ฉันเคยเล่นโยคะและไทเก๊กเมื่อครั้งอายุ 3 ขวบทั้งนั้น ฉันรุกจนเหมี่ยวสู้ไม่ไหวล้มลงไปตบเบาะยอมแพ้แต่ฉันดึงมือขึ้นมาไม่ให้ตบเบาะได้ครบ 3 ทีเพื่อที่จะสู้ต่อ ฉันรุกเข้าใส่อย่างคนบ้าครั่งจนพี่ ๆ ต้องเข้ามาห้าม
พอ....พอ ๆๆๆๆ พอได้แล้วจะเอาให้ถึงตายหรือไง....!!!!
ดาวพี่ว่าพอเถอะสงสารเหมี่ยวบ้าง
พี่นัท....!!!!พี่นัทจะมาห้ามดาวทำไม ทำไมไม่คิดบ้างเวลาที่ดาวโดนรังแก ดาวไม่ใช่นางเอกน้ำเน่านะที่จะได้อ่อนแอสู้คนไม่ได้ ถ้ามาสู้กันตัวต่อตัวละก็สู้ได้อย่าอย่าเล่นหมาหมู่หรือสงครามประสาทกัน ดาวไม่ชอบ....!!!!
ฉันพูดอย่างเน้นเสียง น้ำเสียงที่เปร่งออกมาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและชิงชังที่สุด
ดาว...พอเถอะเวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวรนะ มาคุยกับพี่เถอะจะได้สงบสติลงบ้าง
พี่เบลวมาจากไหนตอนไหนก็ไม่รู้ แต่พี่เขาก็ให้สติกับฉันทำให้ฉันอารมณ์ไม่ฟุ้งซ่าน ฉันไปนั่งที่เดิมตรงใต้ต้นไทร พี่เบลวให้ฉันระบายความในใจออกมาให้หมดและบอกฉันว่าตอนเย็นจะไปที่ร้านนั้นจะไปรับฉันมาที่สมาคมฯ ตอนเช้าเขาจะรีบมาส่งฉันเข้าไปเรียน พี่เขาให้ฉันสัญญาว่าจะเข้าเรียน ฉันจึงจำเป็นต้องสัญญาทั้ง ๆ ที่ฉันไม่อยากเข้าเรียนเลย...
ฉันกลับบ้านด้วยความหดหู่ใจพอมาถึงบ้าน
ดาวเข้าเรียนหรือเปล่าลูก
ฉันไม่ตอบย่าเพราะไม่อยากโกหก ฉันหันไปมองแล้วก็เดินเข้าห้องไป ฉันไม่ได้โกหกว่าฉันเข้าหรือไม่เข้าเรียน เพียงแต่ฉันไม่ได้พูดออกไปก็เท่านั้น แต่ทุกคนก็มักจะเค้นเอาความจริงกับฉันอยู่ตลอดจนฉันไม่รู้จะทำอย่างไรก็ได้แต่บ่ายเบี่ยงหลบหน้าหลบตาคนในบ้านแล้วก็นั่งอ่านหนังสือให้เขาเห็นแต่เขาก็ไม่รู้หรอกว่าฉันนั่งอ่านการ์ตูนไม่ใช่หนังสือเรียน
ฉันรู้สึกแย่ที่สุด ทำไมชีวิตฉันมันต้องเป็นแบบนี้ ได้อย่างเสียอย่างไม่มีอะไรดีขึ้นมาเลย การเรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมดีแต่ชีวิตคู่และเพื่อนฝูงไม่มี ซ้ำร้ายยังโดนทำร้ายแบบไม่มีสาเหตุ ฉันจะทำอย่างไรดี ชีวิตฉันทำไมหักเหแบบนี้นะ ใครก็ได้มาช่วยหาทางออกให้ฉันที ฉันจะได้พ้นออกจากห้องมืดแคบ ๆ ที่อยู่ในใจฉัน ฉันจะได้พ้นบ่วงกรรมนี้... ฉันทำกรรมอะไรไว้นักหนานะ...
..............................18....................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ
9 กันยายน 2547 11:24 น.
สุชาดา โมรา
ฉันมีความรู้สึกว่ายิ่งฉันเข้ามาอยู่ในชมรมยูโดมันก็ยิ่งทำให้ฉันห่างจากพี่เบนซ์ไปชั่วขณะ ฉันจึงพยายามติดต่อกับพี่เบนซ์อยู่ตลอดเวลาด้วยการโทรไปหาทุกวัน ๆ ราวกับคนรักกัน ส่วนวีนั้นถึงแม้ว่าเราจะอยู่ห้องเดียวกันแต่ฉันกลับเริ่มห่าง ๆ จากวียังไงก็ไม่รู้ ฉันไม่อยากจะเสียเพื่อนไปฉันจึงพยายามที่จะคุยกับวีมากขึ้น
"วี...การบ้านข้อนี้ทำยังไงเนี่ยช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม"
"ได้จ่ะ"
วียังเป็นคนเดิมที่คุยเก่ง และเรียนเก่ง วีสอนฉันได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องมีแฟน วีมักจะพูดถึงพี่วิทย์ให้ฉันได้ยินบ่อย ๆ จนกลายเป็นว่าฉันเริ่มสนิทกับพี่วิทย์เพราะวีเล่าเรื่องราวให้ฟังอยู่บ่อย ๆ ไปแล้ว วีเป็นคนสนุกสนาาน คุยได้ทุกเรื่องจริง ๆ ความสัมพันธ์ของเราจึงคงแน่นแฟ้นอยู่ตลอด
วันนี้หลังจากเลิกเรียนฉันพาวีไปส่งที่ชมรมวาดรูปแล้วฉันก็ไปซ้อมยูโดต่อ...ฉันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่น่าเบื่อมาก ๆ ทีเดียว ผู้คนที่เบาะมากขึ้นจนไม่มีที่จะแทรกให้นั่งฉันจึงลงมติกันว่าเราน่าจะแบ่งกันว่าจะมาซ้อมวันไหนบ้างเพื่อให้เบาะพอแก่การซ้อม แต่จู่ ๆ ฉันก็เหลือบไปเห็นอาจารย์คนเดิมที่ชอบมาแอบดูเราซ้อมบ่อย ๆ แต่คราวนี้อาจารย์คนนี้กลับเดินเข้ามาทักทายจนผิดปกติ
"สวัดดีนักยูโดทุกคน...เบาะไม่พอเหรอ ผมจะเขียนงบเสนอให้"
"สวัสดีค่ะอาจารย์...."
"ผมเป็นคณะบดีของคณะพละศาสตร์ผมจึงสามารถเสนอเรื่องได้รับรองว่าคุณจะมีเบาะพอเพียงและห้องจะกว้างขวางกว่าเดิม แต่ก็ต้องร่วมมือกันเซ็นชื่อในใบคำร้องด้วยนะ เชื่อว่าพวกคุณจะได้มาซ้อมทุกวัน"
ฉันรู้สึกตื้นตันใจจริง ๆ ที่อาจารย์ท่านนี้มาช่วยเราไว้ ฉันว่าท่านเหมือนพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยพวกเราทีเดียว
วันนี้พวกเราซ้อมเสร็จก็แยกย้ายกันไปยกเว้นนายเอิร์ทที่ยังคงปักหลักซ้อมด้วยท่าทางที่ไม่เอาไหนจนฉันรู้สึกทนไม่ได้จึงเข้าไปสอน เมื่อเข้าไปสอนก็ดูท่าทางจะเอาจริงเอาจังผิดไปจากคนปากหมาคนเดิม ฉันรู้สึกว่าดีเหมือนกันนะที่เขาตั้งใจเพราะนาน ๆทีฉันจะเห็นเขาตั้งใจแบบจริง ๆ จัง ๆ ก็คราวนี้แหละ
"นี่นะคะพี่เอิร์ทก้าวเท้าขวามาหน้าเท้าซ้ายแล้วย่อ หมุนตัว ย่อให้ตลอดแล้วก็ยืดเพื่อทำท่าทุ่ม เอาละค่ะแบบนั้นละ"
ดูท่าทางจะหัวไวเหมือนกัน จากนั้นฉันจึงสอนให้เขาทุ่มได้ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่เลยที่เบาะฉันจึงหาหุ่นผู้ชายให้ไม่ได้ ฉันจึงต้องเป็นหุ่นเอง เขาพยายามทุ่มแต่ก็ทุ่มฉันไม่ได้
"นี่พี่เอิร์ทคะ ถ้าคนตัวเตี้ยกว่าอย่าพยายามใช้แรงนะคะ ย่อมาก ๆ เขาก็จะข้ามหัวไปเอง"
แล้วพี่เอิร์ทก็ทำได้ เขายิ้มแล้วก็ขอบคุณฉัน วันนี้ฉันจึงต้องเดินออกจากชมรมพร้อมกับพี่เอิร์ท เมื่อเดินออกมาหน้าชมรมฉันก็เห็นพี่เบนซ์กำลังถูกคนกลุ่มหนึ่งรุมทำร้ายฉันจึงวิ่งเข้าไปช่วย ฉันเอาชุดยูโดฟาดไปที่หน้าคนที่จับพี่เบนซ์ไว้ พี่เอิร์ทก็เข้ามาช่วยด้วยเหมือนกัน ฉันก็เลยทุ่มพวกนั้นลงไปกองอยู่กับพื้น ส่วนพี่เอิร์ทก็เอาวิชาที่เรียนมาใช้ประโยชน์ได้เหมือนกัน
"ฝากไว้ก่อนเถอะ......!!!!"
คนพวกนั้นวิ่งเตลิดกลับไปกันหมด ฉันจึงพยุงตัวพี่เบนซ์ขึ้นมาและพาไปนั่งที่ม้านั่ง
"พี่เอิร์ทฝากพี่เบนซ์หน่อยนะคะเดี๋ยวรุ้งมา"
"จะไปไหน..."
"ไปเอารถ"
"ของพี่ก็มีไม่ต้องไปเรียกรถข้างนอกหรอก....!!!"
ฉันวิ่งมาที่จอดรถของหอหญิงแล้วก็ขับรถ JAGUAR สีแดงออกมาจอดที่ถนนตรงหน้าโรงยิมส์
"ขึ้นมาสิ"
ฉันเปิดกระจกรถและเรียกให้พี่เอิร์ทพาพี่เบนซ์ขึ้นมา
"รถเธอเหรอที่จอดใต้ถุนหอน่ะ ผมนึกว่าเป็นรถอาจารย์ซะอีก บ้านรวยนี่หว่าแต่ทำไมชอบทำตัวเซอ ๆ เออ...เธอนี่ก็แปลกนะ"
"อย่าพูดมาน่าพี่เบนซ์เป็นไงบ้างก้ไม่รู้สลบไปแล้ว"
ฉันขับรถออกมาพาพี่เบนซ์ไปส่งโรงพยาบาล พี่เบนซ์ถูกแทงเสียเลือดมากทางโรงพยาบาลต้องการเลือดกรุฟโอฉันจึงยอมสละถ่ายเลือดให้พี่เบนซ์
"นี่เธอจะแข่งอีกไม่กี่วันนะ เธอจะให้เลือดนายเบนซ์ได้ยังไง"
"ช่างเถอะ...ถ้าฉันเชื่อในรักแล้วฉันก็ยอมสละได้ทุกอย่างนั่นแหละ"
"เธอชอบเบนซ์เหรอ......แล้วทำไมเธอไม่บอกเขาไปล่ะ"
"ฉันไม่ต้องการให้พี่เขารู้ว่าฉันชอบ ฉันต้องการแค่ฉันทำอะไรให้พี่เขาได้บ้างก็เท่านั้น"
ฉันเดินเข้าไปในห้องกับพยาบาล ฉันมองหน้าพี่เบนซ์ตลอด พี่เบนซ์เลือดของรุ้งคงพอที่จะช่วยพี่ได้บ้างนะคะ กรุฟโอเลือดที่สุดแสนจะหายาก ฉันต้องการให้พี่ทั้งเลือดและหัวใจของฉันโดยที่ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทนเลย...
"คนไข้พ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ..."
ฉันถึงกับกอดพี่เอิร์ทไว้แน่นทีเดียว ฉันดีใจเป็นที่สุดที่เลือดของฉันช่วยเหลือพี่เบนซ์ได้ ถึงแม้ว่ามันจะช่วยไม่ได้มากก็ตามแต่ฉันก็เต็มใจ
"รุ้ง ๆ ๆ"
"เธอคงเป็นลมเพราะถ่ายเลือดมากไปพาเธอมาพักที่ห้องเร็ว"
พยาบาลพาฉันมานอนพักฟื้นที่ห้องผู้ป่วย เมื่อฉันลืมตาขึ้นมาคนแรกที่ฉันเห็นก็คือพี่วิทย์กับวี ส่วนพี่เอิร์ทนั้นนอนหลับอยู่ที่เก้าอี้และเอาหัวมาหนุนตัวฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันอุ่นใจที่มีคนพวกนี้อยู่ใกล้ ๆ ฉันชอบทุก ๆ คนเหมือนกับเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน แต่ยังไง ๆ ฉันก็ยังมีอัคคติกับพี่เอิร์ทอยู่ดีถึงแม้ว่าเขาจะทำดีแค่ไหนก็ตาม
พยาบาลให้ฉันพักผ่อนมาก ๆ แล้วก็กินยาบำรุงเลือด ฉันเดินมาดูพี่เบนซ์ที่ห้อง ฉันเห็นเขาฟื้นฉันก็ดีใจ
"เอิร์ทคะทานผลไม้นิดนะคะ"
ฉันเห็นพี่พรเอาใจพี่เอิร์ทด้วยท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใย ฉันจึงไม่เข้าไปทักพี่เขาแล้วก็เดินออกมาจากห้องมานั่งรอข้างนอก
"ไม่เข้าไปล่ะ...ชอบเขาไม่ใช่เหรอ"
"พี่เขามีคนที่ให้กำลังใจอยู่แล้ว ฉันก็ไม่ต้องเข้าไปหรอก ดูห่าง ๆ ก็พอแล้วละ ฉันตัดใจแล้วละเพราะฉันคิดว่าคนนิสัยดี ๆ หน้าตาดี ๆ อย่างพี่เบนซ์ก็ต้องมีแฟนเป็นธรรมดาพี่เอิร์ทไม่ต้องมาปลอบใจฉันหรอก ฉันรู้ตัวดีว่าต้องยืนอยู่ตรงไหน กลับเถอะเดี๋ยวรุ้งไปส่ง"
"ไม่เป็นไรพี่ว่าพี่ขับรถไปส่งรุ้งดีกว่านะ"
พี่เอิร์ทพาฉันมาที่สวนสาธารณะ พี่เอิร์ทนั่งคุยกับฉันอยู่เป้นเพื่อนฉัน ปลอบใจฉันจนฉันรู้สึกว่าสบายใจมากขึ้น ที่จริงพี่เอิร์ทก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เสียอย่างเดียวคือเป็นคนที่พูดจากวนประสาท และก็ชอบทำท่าเก๊กเพราะถือว่าตัวเองหล่อเป้นดาวของมหาวิทยาลัย จุดนี้แหละที่ฉันไม่ชอบเขา...
"เอิร์ทมานั่งพอดรักกับใครเนี่ย....เดี๋ยวฟ้องเมย์นะ"
"รุ่นน้องน่ะ เขามีเรื่องไม่สบายใจก็เลยพามาสงบจิตสงบใจที่นี่"
ฉันรู้สึกหมั่นไส้เสียงแจ๋แว๊ดของยายคนนี้จริง ๆ ก็เลยกันไปยิ้มแล้วก็ควงแขนพี่เอิร์ททันที
"ก็ฝากบอกพี่เมย์ด้วยนะคะว่าพี่เอิร์ทไม่ชอบของเก่า มันเหม็นปลาร้าเน่า ของใหม่มันเด็กกว่าสวยกว่าสดกว่า เข้าใจไหม และฝากบอกอีกอย่างว่าฉันเป็นแฟนคนใหม่ของพี่เอิร์ท"
"รุ้ง.........!!!"
"กรี๊ด...........!!!"
ยายคนนั้นถึงกับกรีดร้องทีเดียว เป็นใครก็ดูออกว่ายายคนนี้มีท่าทีที่ชอบพี่เอิร์ท แถมยังทำท่าเหมือนเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเข้ามาควงแขน ฉันก็เลยแกล้งซะให้เข็ด แล้วก็เดินหนีพี่เอิร์ทออกมา
"นี่อย่าหนีนะ....จะรีบเดินไปไหน สนุกนักเหรอที่ทำแบบนี้ สงสัยเธออยากจะมีเรื่องกับยายเมย์ใช่ไหมถึงทำแบบนี้ เธอ...เดี๋ยว...!!!"
ฉันรีบเดินมาขึ้นรถ พี่เอิร์ทก็ตามขึ้นมา เขาบ่นฉันตลอดทางทีเดียว ฉันมาถึงหอพักก็จอดรถแล้วก็เดินขึ้นหอไปเลยโดยที่ไม่สนใจที่พี่เอิร์ทพูด...วันนี้รู้สึกสนุกมากทีเดียวที่ได้แกล้งยายคนนั้น แต่ฉันก็ยังหวั่น ๆ ใจกับเหตุที่จะตามมาภายหลังเหมือนกัน...
..................................4................................
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้เสมอนะคะ
9 กันยายน 2547 11:13 น.
สุชาดา โมรา
ตั้งแต่มีพี่เบลวมาเป็นคนปลอบใจฉันอยู่ตลอดเวลา มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนมีที่พึ่งทางใจมากยิ่งขึ้น บ่อยครั้งที่ฉันมักจะชวนกันไปทำบุญเพื่อที่จะให้จิตใจสงบ และบ่อยครั้งที่ฉันจะนัดพี่เขาไปเที่ยวด้วยเสมอ ๆ จนทำให้ฉันและพ่อแม่ของพี่เขาเริ่มสนิทกันมากขึ้น แต่ฉันก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้พ่อแม่เขาฟังนักหรอกเพราะมันทำให้ภาษีเราไม่ดี
ครั้งนี้เป็นการแข่งยูโด ฉันไปในฐานะกรรมการผู้ตัดสินข้างสนามพี่เบลวไปแข่ง ฉันคอยลุ้นอยู่ตลอดจนพี่เบลวเขาชนะได้ถึงสามคนจึงได้สายเขียวมาครอง ฉันดีใจมากทีเดียว
ช่วงนี้เราค่อนข้างสนิทกัน ไปไหนก็ไปด้วยกัน ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราเป็นแฟนกันเพราะลักษณะเราเหมือนกับพี่น้องกันมากกว่า ครั้งต่อไปเป็นการแข่งยูโดชิงถ้วยพระราชทานซึ่งครั้งนี้ฉันต้องไปแข่ง แต่ก่อนไปแข่งฉันก็ได้ไปคัดสายที่จรัญสนิทวงศ์ โรงเรียนบูรณวิทย์ ฉันเข้าร่วมชั่งน้ำหนักและวอร์มร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อม สายครั้งนี้เป็นสายที่สำคัญกับฉันมากเพราะนี่เป็นสายน้ำตาลปลายดำ ฉันต้องแข่งให้ชนะถึง 8 คนเพื่อที่จะได้สายมาครอง แต่ทว่าจู่ ๆ อาจารย์ดนัยซึ่งเป็นกรรมการที่ไปตัดสินที่นั่นก็เอาประกาศนียบัตรสายดำมาให้ฉัน นี่เป็นประกาศนียบัตรมาจากกองทัพอากาศ ฉันดีใจมากที่สิ่งที่ฉันทำเพื่อประเทศนั้นมีความหมายและความสำคัญถึงเพียงนี้...
ฉันจึงไม่ต้องแข่งคัดสายแล้ว ส่วนพี่เบลวก็มาคัดสายฟ้า พี่เขาเป็นคนเก่งหัวไวสอนอะไรก็เป็น อาจารย์หลาย ๆ ท่านก็มาเทรนพี่เขาจนพี่เขาแกร่ง เก่งและฟิตมากทีเดียว ครั้งนี้พี่เขาแข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ คู่ต่อสู้เป็นคนของกองทัพอากาศ แต่พี่เบลวก็สามารถชนะมาได้ด้วยท่าพื้นฐานอย่างโมโนเตะ-เซโออินาเงะ และก็สู้กับคนภายนอกอีกอย่างมหิดล พระจอมเกล้า พระมงกุฎในชุดสีน้ำเงินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของที่นั่น และของนอกสังกัดอีก จนได้สายฟ้ามาครอง
ที่จริงพี่เบลวเข้ามาเล่นยูโดเพียงไม่ถึง 2 อาทิตย์ก็สามารถทุ่มได้ ต่อมาอีก 3 วันก็สามารถคว้าสายเขียวมาครองได้ และใช้เวลาอีก 1 เดือนก็สามารถคว้าสายฟ้ามาครองได้นี่ก็ไม่ธรรมดาเสียแล้ว พี่เขาเก่งจริง ๆ แถมยังเป็นคนดีอีกต่างหาก เหตุครั้งนี้จึงทำให้พี่เขาด้ฉายาในวงการว่าเป็นเจ้าชายวายุ หมายถึงรวดเร็วมากในการได้สาย ต่อมาพี่เขาก็ได้ไปแข่งอีกหลายครั้งจนได้เป็นนักกีฬาเขตการศึกษา 6 ไม่ว่าพี่เขาจะเก่งแค่ไหนแต่พี่เขาก็ไม่เคยลืมฉันเลย พี่เขายังเป็นที่ปรึกษาให้ฉันเสมอ ฉันรู้สึกดีใจมากที่มีพี่เขาคอยเอาใจใส่และเป็นที่พึ่งในยามท้อแท้ได้
............................................
ฉันไปแข่งยูโดชิงถ้วยพระราชทานที่ ม.รามคำแหง1อีกครั้ง คราวนี้มีพี่เบลวมาแข่งด้วย ฉันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาแข่ง แต่ก็รู้สึกว่าเจนสนามเสียแล้ว ครั้งนี้ไม่ตื่นเต้นมากนัก คราวนี้แข่งประเภททีม มีพี่เจี๊ยบ ฉัน และพี่นก เราแข่งมาจนถึงคู่สุดท้ายก่อนที่จะชิงถ้วยและเหรียญทองไปครอง ฉันเป็นมือที่สามทำให้แรงกดดันมาอยู่ที่ฉันคนเดียว คู่ต่อสู้ค่อนข้างแกร่งและมีฝีมือ โดยเฉพาะที่เป็นเจ้าภาพแล้วยิ่งน่ากลัวใหญ่ เพราะใคร ๆ เขาก็ล่ำลือว่า ม.รามนี่มีฝีมือในการเล่นยูโดมากที่สุด ฉันรู้สึกกลัว ๆ เหมือนกันแต่ก็ยังถือคติเดิมว่าจะสู้....สู้ ๆๆๆๆๆๆ....
"ฮาจิเมะ.........!!!"
ฉันเดินเข้าๆไปหาจังหวะคู่ต่อสู้ ฉันค่อนข้างมีสมาธิที่ดี จนกระทั่งฉันหาจังหวะได้และเข้าท่าทุ่มทันทีแต่คู่ต่อสู้เก่งมากพลิกตัวกลางอากาศทำให้ฉันไม่ได้คะแนนในจุดนี้ ฉันจึงพยายามเข้าไป รุกเข้าไปทุ่มอีกครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จอีกจนกระทั่งหมดเวลา ฉันเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นยอดของนักยูโดเข้าให้แล้ว... กรรมการสั่งให้เสมอกัน แต่ยังไง ๆ ทีมของฉันก็ชนะเพราะเราชนะมาถึง 2 คนแล้ว ทีมของฉันจึงได้ถ้วยและเหรียญไปครองอย่างไม่คาดฝัน ส่วนทีมของพี่เบลวนั้นก็ได้เหรียญทองและถ้วยมาครองเช่นกัน
ขากลับฝนตกกระหน่ำ รถกระบะต่อแคบใช่ว่าจะกันฝนได้ ฉันนั่งหนาวจนอาจารย์จอดรถและเอาผ้าใบมาบังฝนให้ จากนั้นก็ขับต่อไปอีก ฉันง่วงมาก ดึกก็ดึกไม่รู้จะทำยังไงดี พี่เบลวอยู่ใกล้ ๆ ฉันก็เลยขอร้องเขา
"พี่เบลวขอร้องอะไรหน่อยได้ไหม"
"อะไรเหรอ..."
"ง่วงแล้ว ขอหนุนตักหน่อยนะ"
ฉันไม่ทันได้ฟังว่าพี่เขาอนุญาติหรือเปล่า แต่ที่รู้ ๆ คือตักพี่เขานุ่มมากไม่เหมือนตักผู้ชายเลย แต่เสียอย่างเดียวนอนลำบากไปหน่อยฉันเลยขดตัวขึ้นมานอนบนม้านั่งแล้วก็หลับยาวจนกระทั่งอาจารย์มาจอดรถที่ปั๊มแห่งหนึ่ง
"ดาว ๆ ตื่น ๆ ๆ"
ฉันเงยหน้ามาอย่างัวเงียแล้วก็ลงมาเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงเข้าไปซื้อมาม่ามาคัพมากินบนรถเพราะเมื่อหัวค่ำก่อนออกมาจาก ม.รามนั้นยังไม่ได้กินข้าวกันเลย มาม่ามื้อนี้จึงอร่อยที่สุดเลย พอกินเสร็จก็ขึ้นรถ ฉันก็ยังตู่ขอนอนตักพี่เขาอยู่ดี ทำให้พี่เก้าและพี่ต้นเพื่อนของพี่เบลวต้องแซวอยู่หลายครั้ง ฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่ที่รู้ ๆ คือฉันนอนหลับยาวจนรถมาจอดที่สมาคมฯตอนตี 4 ได้
"ดาว ๆ ตื่นได้แล้วถึงแล้ว"
ฉันเงยหน้ามาอย่างงัวเงีย พี่เบลวพาฉันลงมาจากรถฉันจึงมานั่งหลับอยู่ที่ศาลาของสมาคมฯ พี่เบลวโทรให้พ่อเขามารับ พ่อของพี่เบลวจึงมาส่งฉันที่บ้าน ที่บ้านเป็นห่วงฉันมากรอฉันทั้งคืนไม่ได้หลับได้นอน แต่พอฉันกลับมาทุกคนก็ดีใจแล้วก็เข้านอน คืนนี้ฉันไม่อาบน้ำแล้วขอเข้านอนเลยดีกว่าเพราะง่วงมากเลย
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่เป็นกำลังใจให้นะคะ
9 กันยายน 2547 11:04 น.
สุชาดา โมรา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริงถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลแสนไกลท่านก็ยังตามไปช่วยเราได้ ฉันเพิ่งเชื่อก็ต่อเมื่อเจอกับตัวจริง ๆ วันนี้ฉันจึงมาโรงเรียนแล้วไปสักการะบูชาหลวงพ่อขาวแต่เช้ามืดและใส่ชุดยูโดวิ่งรอบหลวงพ่อขาว 9 รอบทันที หนูมาแก้บนแล้วนะคะหลวงพ่อ... จากนั้นก็ไปไหว้เจ้าพ่อศาฬพระกาฬ องค์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชที่วงเวียน และก็มาที่ชมรมไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีเพื่อแก้บนหลังจากที่กลับมาได้เพียง 2 วันด้วยความรู้สึกสัทธาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
พอกลับบ้านไปอาบน้ำแต่งตัวมาเรียนฉันก็รู้สึกสบายใจเหลือเกิน วันนี้มีแต่สิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิตจริง ๆ... ฉันเดินเข้าไปที่หน้าเสาธงเห็นเพื่อน ๆ หลายคนซุบซิบนินทา ฉันก็ไม่รู้หรอกว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันแต่ที่รู้ ๆ เห็นจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเราโดยตรงเพราะพวกนั้นมองมาทางนี้...
ฉันขึ้นเรียนวิชาสังคม เพื่อน ๆ ก็มองราวกับเป็นตัวประหลาด ครั้นจะคุยกับใครก็ไม่มีใครเขาพูดด้วย เราจะทำไงดีนะ...
"นางสาวแววดาว เมธาธิพญา ไปพบครูที่ห้องหน่อย"
อาจารย์นารีรัตน์เรียกฉันไปคุยที่ห้องพักครูเป็นการส่วนตัว ฉันเดินตามอาจารย์ไปติด ๆ จนมาถึงห้องพักครูที่อยู่ชั้น 3 ของตึก ในห้องมีอาจารย์หลายคนนั่งอยู่คล้าย ๆ กับรอพูดกับเราเพราะสีหน้าและแววตาของอาจารย์จ้องมองมาทางฉันคนเดียว
"เธอก็ดูเรียบร้อยดีนะ หน้าตาก็สะสวยถามจริง ๆ เถอะทำไมเธอถึงใจเร็วด่วนได้ขนาดนี้"
"อะไรกันคะอาจารย์"
ฉันถามแบบงง ๆ เพราะจู่ ๆ ก็ถูกเรียกมาต่อว่าเรื่องอะไรก็ไม่รู้
"ยังมาตีหน้าซื่ออีกนี่ท่าฝ่ายปกครองรู้เธอโดนไล่ออกแน่ ๆ ครูขอเตือนเธอด้วยความหวังดีนะเลิกพฤติกรรมนี้ได้แล้ว"
"อาจารย์คะ นี่มันอะไรคะหนูไม่รู้เรื่องค่ะ"
"พอกันทีเธอนี่มันหน้าทนจริง ๆ ไป...ไปเรียนได้แล้ว"
ฉันรู้สึกงงมาก ๆ ที่จู่ ๆ ก็โดนว่าโดยไม่มีสาเหตุ ฉันได้แต่คิด คิด คิดแล้วก็คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นฉันถึงได้ถูกว่าเสีย ๆ หาย ๆ อย่างนี้ ฉันไม่เข้าใจเลย เพื่อน ๆ ก็ไม่มีใครคุยกับฉัน ฉันรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตนในห้องเลย พอเข้ากลุ่มก็ไม่มีใครเขาอยากให้อยู่ด้วย จะทำรายงานก็ต้องทำคนเดียว ทุกคนเป็นอะไรไปกันหมด วันนี้รู้สึกว่าเรียนไม่รู้เรื่องเลย...
พอพักเที่ยงฉันเดินออกมากินข้าวคนเดียวพอกินเสร็จก็เดินไปห้องสมุดแต่ทางตรงนั้นมันผ่านห้องพักครูพอฉันเจออาจารย์ทองซึ่งเป็นโฮมรูมของฉันแกก็เรียกไปพบ
"มาแล้วเหรอแววดาว...เธอรู้ไหมว่าเธอทำผิดร้ายแรงมากโทษของเธอมันถึงกับโดนไล่ออกเชียวนะ แต่นี่ครูไม่ได้บอกฝ่ายปกครองไม่งั้นเธอโดนแน่ ๆ"
"ถามจริง ๆ เถอะค่ะหนูทำอะไรผิดเหรอคะอาจารย์ถึงได้มาพูดแบบนี้ นี่มันไม่ใช่แค่อาจารย์คนเดียวนะคะ นี่อาจารย์ถึง 5 คนแล้วที่เรียกหนูไปว่าแบบนี้"
"ก็เธอท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้งถึง 3 เดือนไง นี่ถ้าหัวหน้าห้องเธอไม่มาบอกนี่ครูไม่รู้นะเนี่ย...เห็นหน้าซื่อ ๆ ท่าทางเรียบร้อยไม่น่าเลยจริง ๆ"
"อาจารย์อย่ามาพูดแบบนี้นะหนูไม่ชอบ...!!!! จู่ ๆ มากล่าวหาแบบนี้ได้ยังไงหนูไม่ได้ทำอะไรเสียหายเลยแต่อาจารย์มาพูดแบบนี้ได้ยังไง"
ฉันโมโหจัดเลยพูดเสียงดังมากจนอาจารย์หลายคนที่อยู่ห้องติดกันวิ่งออกมาดู
"อ๋อนี่น่ะเหรอเด็กที่เขาลือกัน อ๋อ...."
"ไหน ๆ อ๋อ...."
อาจารย์หลายคนมามุงดูฉันกันใหญ่ ฉันรู้สึกทั้งโกรธและแค้นมากจึงพูดแรง ๆ ออกมา
"ขอโทษนะคะอาจารย์หนูจะฟ้องแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทุกคนเพราะหนูไม่ผิด หนูไปแข่งกีฬามาเพื่อประเทศแต่ผลที่ได้มันเป็นแบบนี้น่ะเหรอ หนูไม่ยอมหรอก และกรรมใดที่ให้ร้ายหนู หนูขอให้มันคืนสนองอาจารย์ภายในวันสองวันนี้อย่าให้ชีวิตครอบครัวของอาจารย์ทุกคนที่กล่าวร้ายหนูมีอันได้อยู่สุขเลย สาธุ......!!!!!"
ฉันออกมาจากห้องพักครูและเดินวกกลับไปหน้าประตูโรงเรียนทันที แต่ยามไม่ยอมให้ออกฉันจึงต้องปีนรั้วโรงเรียนทั้ง ๆ ที่ใส่กระโปรง รั้วเกี่ยวกระโปรงจนตกลงมาแต่ก็ไม่ย่อท้อ ฉันคิดอยู่เพียงว่าฉันไม่ผิดและไม่ยอมให้ใครมาดูถูกฉันได้ จากนั้นก็ตรงลี่ไปที่โรงพักที่อยู่ระแวกนั้นทันที ฉันแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทกับอาจารย์ทอง อาจารย์นารีรัตน์ อาจารย์พรชุมา อาจารย์เสงี่ยม อาจารย์บังอร อาจารย์กาญจนาและอาจารย์รามด้วยอารมณ์ที่ค่อนข้างโกรธ ตำรวจถามวกไปวนมาแต่ฉันก็ยังพูดคำเดิมว่าอาจารย์พวกนี้หาว่าฉันท้องไม่มีพ่อให้แม่พาไปทำแท้ง ตำรวจจึงเรียกอาจารย์ทั้งหมดมา จากนั้นก็เรียกผู้ปกครองของฉันมาที่โรงพัก...
เรื่องมันจึงบานปลายตอนที่ย่าฉันมา ย่าไม่ยอมความง่าย ๆ เพราะอาจารย์พวกนี้ทำให้ฉันเสียเกียรติมาก ๆ และก็เกิดทะเลาะกันบนโรงพัก ย่าเรียกเงินถึงหัวละ 2 แสนบาทเพื่อที่จะได้ไม่มีเงินจ่าย ย่ากะจะให้อาจารย์พวกนี้ติดคุกหรือไม่ก็โดนย้ายไปเลย
"ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะเอาเงินมาจากไหนได้ แต่คุณต้องชดใช้..."
"แน่จริงก็ไปหาหลักฐานมาพิสูจน์สิว่าเด็กไม่ได้ไปทำแท้งมา"
"เออ...ใช่ ๆ ๆ"
เสียงอาจารย์วิพากวิจารณ์บนโรงพัก เสียงทะเลาะกันทำให้ตำรวจต้องมาไก่เกี่ยหลายครั้ง
"ได้ฉันจะไปหาหลักฐานมา ฉันจะพาหลานฉันไปตรวจ"
ย่าพูดด้วยความโมโหแล้วก็ออกจากโรงพักมา ฉันรู้สึกโกรธอาจารย์พวกนี้จริง ๆ ฉันไม่เข้าใจว่าฉันทำอะไรผิดนักหนาอาจารย์ถึงได้ใส่ร้ายฉันได้ขนาดนี้ แล้วฉันก็ไม่เข้าใจว่าเมื่อชาติปางก่อนนี้ฉันทำกรรมเวรอะไรเพื่อนที่สนิทที่สุด คนที่น่าไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดถึงได้ทำกรรมทำเวรกับฉัน สงสัยว่าชาติที่แล้วฉันจะทำบาปไว้มากหรือเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันคนเหล่านี้ถึงได้มาจองเวรกับฉัน...
ย่าพาฉันมาหาหมอ หมอเรียกให้เข้าไปตรวจแต่ฉันกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะฉันคิดอยู่ว่าฉันเป็นสาวแล้วยังไม่มีสามีจู่ ๆ ก็ต้องมาเปิดอะไรต่อมิอะไรให้หมอดูมันน่าอายจริง ๆ ฉันกลัว... กลัวจนแข้งขามันสั่นไปหมด หมอเรียกให้ขึ้นขาหยั่งแต่ฉันทำท่าสั่น ๆ แล้วก็ไม่ยอมขึ้น หมอจึงเรียกไปนั่งคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันจึงเล่าเรื่องการแข่งกีฬาที่ฟิลิปปินล์ให้หมอฟัง... แล้วก็ลงความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าฉันไม่มีรอยฉีกขาดแต่ประการใด ย่าจึงเอาผลการตรวจไปให้ตำรวจ ตำรวจจึงยื่นฟ้องต่อศาลเรียกร้องค่าเสียหายที่ทำให้ฉันต้องเสียชื่อเสียงและเสียเกียรติทำให้ต้องอายแก่สังคมจากอาจารย์ทั้ง 7 คน
..........................................
ฉันรู้สึกเคว้งคว้างมากเลย ไม่มีใครในห้องยอมคบฉัน ไม่มีใครพูดกับฉันแม้แต่คนเดียว ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสะสาร เขาถึงบอกว่าคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยากอย่างไรเล่า...
ฉันมาซ้อมยูโดเหมือนเคย แต่วันนี้ฉันมาเร็วเป็นพิเศษเพราะฉันโดดเรียน ฉันไม่มีกำลังใจที่จะเรียนอีกต่อไปแล้ว ฉันเบื่อหน่ายมาก ๆ กับการที่เป็นสะสารในห้องเรียนโดยที่ไม่มีใครพูดด้วย ทำงานกลุ่มก็ไม่มีใครให้เข้าร่วมกลุ่ม ฉันทั้งเซ็งทั้งเบื่อ พอมาถึงสมาคมฯฉันจึงมานั่งที่ใต้ต้นไทรที่เดิมอีกครั้ง ฉันคิดถึงวันเก่า ๆ พี่นัทคนที่เคยปลอบโยนฉันวันนี้ก็ไม่เป็นเหมือนวันเก่าแล้ว พี่ดอนคนที่เคยช่วยให้คำปรึกษาเวลาท้อแท้แต่วันนี้ก็ไม่มีวันแบบนั้นอีกแล้ว ฉันโหยหาคนมาดูแลหัวใจเหลือเกิน...
"อาจารย์...ทำอะไรอยู่เหรอ นั่งทำมิวสิคหรือไง...!!!!"
เสียงที่ฉันได้ยินมันออกจะไม่คุ้นหูมากนัก ฉันจึงค่อย ๆหันไปมองหน้าคนพูดช้า ๆ ฉันเห็นพี่เบลวมายืนอยู่ที่ข้างหลัง ฉันถึงกลับร้องไห้ทีเดียว ฉันแสดงความอ่อนแอออกมาให้เขาเห็นเสียแล้ว ฉันไม่รู้สึกเลยว่าฉันอายแต่ตอนนั้นฉันรู้สึกเพียงว่าฉันเสียใจ ไม่มีใครอยากจะคุยกับฉันเลยนอกจากคนที่นี่ ฉันอัดอั้นตันใจเหลือเกินพอได้ร้องออกมาก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
"มีเรื่องอะไรเล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมอาจารย์"
ฉันจึงเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่ฉันคบกับพี่นัทจนมาถึงเรื่องของอาจารย์ที่โรงเรียนในปัจจุบันนี้ให้ฟัง
"อ่ะ...ซับน้ำตาซะแล้วก็ร้องออกมาให้หมดอย่าเก็บไว้คนเดียวเดี๋ยวจะเครียดไปกันใหญ่"
ยามที่ฉันรู้สึกท้อแท้ก็มักจะมีใครสักคนมาปลอบใจ คราวนี้ก็เป็นเช่นกัน พี่เบลวมานั่งปลอบใจฉัน แต่ครั้งนี้คนที่ปลอบใจคิดกับฉันเพียงพี่กับน้องเท่านั้น... พี่เบลวนั่งห่างจากฉันถึงเมตรแล้วก็คุยกับฉันจนฉันรู้สึกว่าฉันสบายใจขึ้นมาก ที่จริงฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพี่เบลวจะปลอบใจคนเป็นเพราะปกติแล้วพี่เขาไม่ค่อยได้พูด ราวกับคนเป็นไบ้ทีเดียว
"ใกล้เวลาซ้อมแล้วนะอาจารย์ อาจารย์ต้องไปสอนอาจารย์ต้องทำหน้าที่แล้วละ อย่าให้เสียเรื่องเลย ตั้งใจเรียนนะอาจารย์ถึงแม้ว่าใครจะไม่สนใจไม่พูดกับเรา แต่ก็ขอให้อาจารย์เข้มแข็งและตั้งใจเรียนอย่าโดดเรียนอีกเพราะอาจารย์จะเรียนไม่จบ อาจารย์อย่าละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ต้องทำตัวเป็นลูกที่ดี เพื่อตัวเองและครอบครัวอย่าโดดเรียนอย่าทำให้พ่อแม่ผิดหวัง"
ฉันรู้สึกซึ้งใจพี่เบลวเหลือเกิน แต่ถ้าหากมันทนไม่ไหวจริง ๆ ฉันก็คงต้องทำแบบนี้อีกแน่ ๆ ฉันไม่รู้ว่าจะหาทางออกยังไงดี ปากก็พูดได้ว่าจะต้องทำได้แต่พอเอาเข้าจริงมันคงไม่ไหว ฉันจะทนอยู่และเรียนกับคนพวกนั้นได้นานแค่ไหนกันในเมื่อเหมี่ยวคอยยั่วยุอยู่ตลอดเวลา...
"ไปอาจารย์....!!!!"
"ขอร้องนะพี่เบลว อย่าเรียกแบบนี้อีกนะ ขอร้องละเรียกชื่อก็พอแล้ว"
ฉันปาดหยาดน้ำตาจนเหือดแห้งออกจากใบหน้าแล้วก็ไปแต่งตัวเตรียมที่จะไปสอนและไปซ้อม... ยังไง ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างแต่ฉันก็ยังรู้สึกอัดอั้นตันใจอยู่ดี ฉันไม่รู้จะหาทางออกได้ที่ไหน ไม่รู้ว่าจะมีใครยอมรับฟังความไม่สบายใจของฉันบ้าง ฉันรู้สึกท้อแท้เหลือเกิน
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ...
7 กันยายน 2547 23:18 น.
สุชาดา โมรา
ฉันกลับมาพร้อมกับชัยชนะที่จะนำมาฝากครอบครัวและสมาคมฯ และสิ่งที่ฉันได้ตามมาคือชื่อเสียงนอกจากนั้นฉันยังได้เลื่อนตำแหน่งจากนักกีฬาเป็นทหารมีหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์ พอเครื่องลงจอดฉันก็รีบนั่งรถตู้กลับมาลพบุรีทันที ทุกคนที่บ้านตื้นตันใจมาก ๆ เพราะไม่คิดว่าฉันจะทำได้ พี่ ๆ ที่สมาคมฯก็ยินดีไปกับฉันด้วย ฉันมีของมาฝากทุก ๆ คนเพราะเบี้ยเลี้ยงดีมาก ๆ ฉันรู้สึกดีใจที่สุดเลยที่ได้มีวันนี้ ความฝันของฉันสำเร็จไปได้ด้วยดี...
"สวัสดีนักเรียนและนักกีฬาทุกคนวันนี้ครูมีข่าวดีมาบอกทางสมาคมของเรามีครูฝึกคนใหม่"
ทุกคนฮือฮากันเพราะยังไม่มีใครรู้ว่าฉันเป็นผู้ช่วยอาจารย์
"เงียบ ๆ กันหน่อย หลาย ๆ คนอาจจะรู้จักและหลาย ๆ คนที่มาใหม่อาจจะไม่รู้จักครูขอแนะนำอาจารย์ที่ทางกองทัพอากาศส่งมากู้หน้าพวกเราอาจารย์แววดาว เมธาธิพญา"
ทุกคนอึ้งเงียบกันหมด จนอาจารย์ดนัยปรบมือทุกคนถึงกับหันไปมองและปรบมือ ฉันจึงเดินออกมาข้างหน้าทุกคนพร้อมกับคำนับเพื่อแสดงตัวว่าฉันเป็นอาจารย์ ที่จริงตอนที่ฉันไปคุยกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวในห้องพักทหารอาจารย์บอกว่าเป็นแค่ผู้ช่วยอาจารย์อีกหน่อยก็เป็นอาจารย์ อาจารย์ก็เลยให้ฉันดำรงตำแหน่งอาจารย์เลยทันที
"คอนนิจิวะ วาตาคุชิวะ แววดาว เมธาธิพญา โมชิมาสุ โดโซะโยโรชิกุ โตอัสสะชุ ชิมาสุ"
"มิดิเตะ....!!!!"
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันทำให้ฉันมีความรู้สึกตื้นตันใจมาก ๆ ยกเว้นเหมี่ยวฉันจึงคิดได้ว่าสมาคมฯของเราควรที่จะมีกฎต้องห้ามฉันจึงพูดขึ้น
"ฉันขอประกาศกฎที่ฉันตั้งขึ้นไว้ว่า ข้อแรกห้ามส่งเสียงดัง ทุกคนต้องมีสมาธิ ข้อสองทุกคนที่ไม่ได้ขึ้นซ้อมในขณะนั้นต้องนั่งอยู่ที่เบาะแดงเท่านั้น ข้อสามคือก่อนขึ้นมาบนเบาะควรเรียงรองเท้าให้เป็นระเบียบและเคารพเบาะทุกครั้งที่ขึ้นและลงจากเบาะ ข้อสี่ใครที่มีสายสีแล้วถ้าวันไหนไม่ใส่สายสีของตัวเองจะถูกปรับด้วยการยึดพื้น 50 ทีตามขั้นสาย ส่วนพวกสายขาวที่แอบเอาสายสีมาใส่ให้โทษถึงสองเท่า ข้อห้าทุกคนเมื่อมาถึงแล้วควรทำความสะอาดเบาะอย่าให้มีฝุ่นจับและควรวอล์มร่างกายให้พร้อมด้วยการไปวิ่งรอบสนามฟุตบอลคนละ 3 รอบ ข้อหกห้ามขโมยของในล็อกเกอร์หรือแม้แต่ของสำคัญที่วางไว้บนโต๊ะถ้าใครฝ่าฝืนไล่ออกสถานเดียว ข้อเจ็ดทุกคนต้องเข้าออกตรงต่อเวลาและห้ามมีเรื่องชู้สาวเกิดขึ้นที่นี่ แต่ที่อื่นไม่ห้าม ข้อแปดทุคนต้องมีน้ำในเป็นนักกีฬาห้ามทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะเราถือว่าเรามีจิตวิญญาณเป็นนักกีฬายูโดเหมือน ๆ กันและห้ามยกพวกตีกันกับนักกีฬาที่อื่นหรือนักกีฬาต่างชนิท ข้อเก้าเครื่องแต่งกายของยูโดต้องเรียบร้อยซ้ายทับขวา สายก็เช่นเดียวกันซ้ายทับขวาและขวาทับซ้าย คาดสายให้ตรงกับสะดือหรือต่ำกว่า ห้ามรัดจนฟิตหรือจนเอวกิ่ว และผู้หญิงควรใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวข้างในห้ามีลวดลายหรือสีอื่นข้อสุดท้ายต้องเคารพในสายและเคารพผู้ฝึกซ้อมนอกจากนั้นต้องเคารพในกฎระเบียบและกติกาการแข่งขันรวมทั้งกรรมการด้วย กฎ 10 ข้อทำได้ไหม....!!!"
ทุกคนเงียบอึ้งกันอีกครั้งจนอาจารย์ดนัยปรบมือขึ้นอีกครั้งทุกคนจึงปรบมือและกล่าวคำว่ารับทราบโดยพร้อมเพียงกัน
ฉันได้นักเรียนใหม่เป็นผู้ชายที่ฉันต้องมาเทรนตั้งแต่การตบเบาะ 3 คนเป็นนักเรียนช่างที่สถาบันแห่งหนึ่ง พวกเขาหัวไว สอนอะไรก็เข้าใจและทำได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาอายุมากกว่าฉัน มีชื่อพี่เก้า พี่ต้น และพี่เบลว เวลาที่ฉันสอนพวกเขาดูพวกเขาจริงจังจนฉันต้องจริงจังด้วย ฉันมีความสุขกับชีวิตใหม่ที่มีการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ
"อาจารย์พี่อยากรู้ว่าเมื่อไรจะสอนทุ่มซะทีล่ะ อยากทุ่มได้มานานแล้ว..."
"นี่ขอร้องอย่าเรียกอาจารย์ได้ไหม มันดูแก่น่ะ เออ...แล้วไอ้เรื่องที่อยากทุ่มได้น่ะเอาไว้ตบเบาะแน่น ๆ ก่อนก็แล้วกันแล้วค่อยมาว่ากันไอ้เรื่องทุ่มน่ะมันของหวานเอาของคาวให้ได้ก่อน"
"ของหวานของคาวอะไรกันผมไม่เห็นเข้าใจเลยอาจารย์"
"นี่..."
"ก็ได้ก็ได้ไม่เรียกอาจารย์ก็ได้แล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ"
"เรียกชื่อเฉย ๆ ไง ตัวเองแก่กว่าเขาแล้วจะมาเรียกเขาแก่ได้ยังไงกัน"
"ครับอาจารย์ เอ๊ยน้องดาว..."
"ไม่ต้องมาทำเสียงหวานเลยพี่ต้น ของหวานก็คือเรื่องง่าย ๆ อย่างการทุ่ม ของคาวก็คืออาหารหลักที่ต้องใช้ไปตลอดอย่างการตบเบาะ ถ้าทำไม่ดีโอกาสถึงตายมีได้ หรือแข้งขาหักไปละก็แย่เชียว มันเป็นสำนวนของวงการนี้น่ะอย่าคิดอะไรมาก"
"น้องดาวเรียนมากี่ปีแล้วถึงได้เป็นอาจารย์เนี่ย"
"เรียนมาอืม...ปีนึงทำไมเหรอ"
"เก่งเนาะ...จริงไหมวะเก้า เบลว"
"อย่ามายอกันเลย ซ้อมต่อดีกว่าเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังนะจ๊ะพี่ ๆ"
ด้วยความที่ฉันเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงก็เลยให้พี่ ๆ ทั้งสามคนซ้อมกันอย่างไม่หยุด ฉันลืมเวลาพักเบรกไปเสียสนิท ฉันไม่รู้หรอกว่ามีใครจับจ้องฉันบ้างแต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าหลังมันร้อนผ่าว ๆ เหมือนกำลังถูกไฟรนทีเดียว
"พักเบรกก่อนนะพี่ต้น พี่เก้า พี่เบลว"
"มีอะไรเหรอดาว"
"เห็นใครมองมาบ้างหรือเปล่า"
"ก็เห็นนะ คนอ้วน ๆ คนนั้นที่หน้าตาดุ ๆ น่ะเขาจ้องเหมือนเคยมีเรื่องกันมาก่อนเลย"
พอฉันหันไปดูก็เห็นเหมี่ยวจ้องเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อทีเดียว แต่ฉันก็ทำเฉย ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งถึงเวลาเลิกเล่นยูโด ฉันเก็บข้าวของแล้วก็เตรียมออกจากเบาะแต่ก่อนออกพวกพี่ ๆ ทั้งสามคนเรียกฉันไปนั่งคุยกันก่อนฉันจึงไปนั่งคุยที่ม้านั่ง ขณะนั้นมีพี่โอม พี่ตูน พี่แท็ก พี่ไก่ พี่นัทและพี่เจี๊ยบอยู่ด้วยส่วนคนอื่น ๆ กลับกันหมดแล้ว
"ทำยังไงถึงจะได้สายน้ำตาลล่ะ"
"ก็ขยันซ้อม ขยันแข่งและหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ให้ได้ก็เท่านั้น มันไม่ยากนักหรอก"
สักพักเหมี่ยวก็เดินมาใกล้ ๆ
ปัง...................!!!!!!!!!
เหมี่ยวเอาชุดยูโดตบที่โต๊ะแรงมากแล้วก็หันมาจ้องฉันเหมือนกับยักษ์ใจร้ายทีเดียว ภาพในตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนเห็นผีเสื้อสมุทรในวรรณคดียังไงยังนั้นเลย
"ระวังตัวไว้ให้ดีเถอะ มึงอยู่ในนี้ปลอดภัยแต่มึงอย่าเข้าไปเรียนเชียวนะไม่งั้นมึงไม่รอด กูจะไม่ให้มึงอยู่สุขสบายแน่.....!!!!!"
"เหมี่ยวมันไม่มากไปหน่อยหรือไง...ข่มขู่นี่หว่า"
พอพี่โอมพูดพี่นัทก็เดินเข้ามาใกล้ ๆ เหมี่ยวแล้วก็ตบหน้าทันที
เพี๊ย.............!!!!!!
"มาตบเหมี่ยวทำไม"
"หยุดขี้อิจฉาได้แล้ว อย่าทำตัวเองให้ต่ำลงไปกว่านี้เลย"
พอพี่นัทพูดจบเหมี่ยวก็วิ่งออกจากสมาคมฯไปเลย ฉันถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันไม่เคยคิดว่าผู้ชายที่แสนดีเพียบพร้อมอย่างพี่นัทจะกล้าตบหน้าผู้หญิงแล้วก็เดินไปนั่งอย่างหน้าตาเฉย ฉันไม่เข้าใจจริง ๆ...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย แล้วที่เหมี่ยวพูดมันอะไรกัน วันพรุ่งนี้ที่ฉันต้องไปเรียนมันจะเกิดอะไรขึ้นนะ ฉันรู้สึกกังวลใจจริง ๆ