4 สิงหาคม 2547 15:28 น.
สุชาดา โมรา
ต่อมาไม่นานนักคุณผอบแก้วก็เกิดล้มป่วยเพราะช่วงนั้นมีโรคระบาดเกิดขึ้นจึงทำให้อำนาจของคุณผอบเสื่อมถอยลง ภรรยาคนอื่น ๆ จึงหึกเหิมไม่กลัวเกรงอำนาจของคุณผอบ
"ไปตามนางรื่น นางแดง นางมา และนางสายมาสิ"
"คุณจะไปตามมาทำไมคะคุณไข่มุก"
"ฉันสั่งก็ไป ๆ สิ"
สักพักบ่าวทั้งสี่ก็มาถึง
"เรียกมาทำไม"
เสียงของบ่าวทั้งสี่ค่อนข้างก้าวร้าวเพราะถูกคุณผอบแก้วให้ท้ายอยู่ตลอดเวลา
"เอ็งกล้าขึ้นเสียงกับข้าเหรอ...พวกแกออกมาจับมันเร็ว...!!!!"
บ่าวหลายคนออกมาจากไหนก็ไม่รู้มากมาย จับบ่าวทั้งสี่มัดมือมัดเท้าและขึงพืด จากนั้นคุณผยอม คุณไฉไล คุณอัญชัญ และคุณไข่มุกซึ่งรวมหัวกันก็เอาแส้มาฟาดบ่าวทั้งสี่ด้วยความสะใจ เพราะคุณ ๆ ทั้งสี่ก็อดทนมานานแล้วเช่นกัน คราวนี้ได้ทีจึงจัดการเสียให้กำหราบ คุณ ๆ ทั้งสี่ฟาดไม่ยั้งมือจนเนื้อตัวแตกยับไปหมด บ่าวทั้งสี่ร้องโอดครวญเท่าไรก็ไม่เป็นผล
"นางอิ่มไปเอาพริกกับเกลือมาทาเนื้อที่แตกของมัน...ข้าจะดูน้ำหน้ามันสิว่าความเจ็บปวดมันเป็นอย่างไร...หึๆๆๆๆ"
คุณไฉไลหัวเราะที่มุมปากด้วยความสะใจเพราะเธอได้แก้แค้นแล้ววันนี้หลังจากที่อดทนมาถึง 16 ปี ถูกคุณผอบแก้วและบ่าวทั้งสี่รุมทารุณตั้งแต่อายุเพียง 14 ปีเท่านั้น
กรี๊ด.............กรี๊ด..............กรี๊ด................!!!!!!!
เสียงร้องปวดแสบปวดร้อนดังโหยหวนตลอดเวลา ท่านเจ้าพระยาไม่อยู่พอดีคุณ ๆ ทั้งสี่จึงจัดการบ่าวทั้งสี่อย่างสะดวก
"ไป...ไปเอาน้ำมะนาวมาสิ"
"เอามาทำไมคะคุณอัญชัญ"
"มันทำอะไรกับกูมันต้องได้รับผลกรรม........!!!! มึงอย่าถามหากมึงไม่เอามากูจักเฆี่ยนมึงเสียด้วย"
........................
"อย่า....อย่าทำกู....อย่า........!!!! คุณเจ้าขาอย่าเจ้าข้าบ่าวกลัว"
"มึงรู้จักกลัวด้วยหรือ...แต่มึงจะอ้อนวอนอย่างไรกูก็จัก...ไปอีอิ่มมึงจับขามันสิ พวกมึงช่วยกัน....กูจักกรอกเองให้สาสม..."
คุณอัญชัญกัดเขี้ยวเคี้ยวกรามแล้วก็เอาน้ำมะนาวกรอกลงไปที่ช่องครอดของบ่าวทั้งสี่จนหมดถัง บ่าวทั้งสี่ร้องโอดครวญอย่างน่าสังเวชใจยิ่งนัก...
"เอามันไปขึงไว้ที่หลังเรือนเก่าท้ายที่นั่นอย่าให้มันกลับไปหานายมันได้....!!!!"
"จะดีหรือคะคุณพี่..."
"นี่แม่พยอมถ้าเธอไม่กล้าก็ไปนั่นนั่นไปแล้วก็หลับไปเลยนะเดี๋ยวฉันจะไปจัดการกับอีนังผอบแก้ว ดูซิว่ามันจะรู้สึกยังไงกับการทารุณกรรมของมัน..."
คุณพยอมเป็นคนที่เรียบร้อยที่สุด หัวอ่อนใครว่าอะไรก็ทำตาม ถึงแม้ว่าเธอจะถูกคุณผอบแก้วทำร้ายอย่างไรเธอก็ไม่ได้โกรธเคืองเพราะเธอถือว่านี่เป็นกฏของบ้านทั้ง ๆ ที่มันก็ไม่สมควรหรอก คุณพยอมเธออายุน้อยที่สุดในบรรดาภรรยาของท่านเพราะเธอมีอายุเท่ากับคุณโสภีลูกสาวคนเล็กของท่าน ความคิดของเธอค่อนข้างโบราณและยอมอ่อนข้อตลอด แต่พวกคุณไฉไล คุณไข่มุกและคุณอัญชัญก็รักเธอเหมือนลูกคนหนึ่งเพราะเธอเป็นคนว่าง่าย ไม่ค่อยพูดพอสั่งอะไรก็ทำตามทุกอย่าง อยู่ในโอวาทของพวกพี่ ๆ เสมอ คราวนี้ถึงเธอจะรู้สึกสงสารบ่าวทั้งสี่อย่างไรแต่ถ้าคุณพี่ทั้งสามสั่งเธอก็ต้องทำ ไม่ใช่เพราะเธอกลัวคุณทั้งสามนะแต่เธอไม่อยากมีปัญหา พอคุณ อัญชัญบอกว่าจะไปจัดการกับคุณผอบแก้วเธอก็รู้สึกกลัว ๆ เกรง ๆ คุณมากเพราะเธอถูกกดมานานแล้วเหมือนกันเธอจึงไม่กล้าพอ และเธอก็ไม่ได้ไปร่วมด้วยในครั้งนี้...
"นอนซมเชียวนะคุณพี่....!!!!"
"แกมาทำไมบนเรือนใหญ่นี่...บ่าวอยู่ไหนหมดเอาอีพวกนี้ออกไป....ออกไป....!!!!"
"จะเรียกเท่าไรก็ไม่มีใครมาหรอก....เพราะนี่ไง"
คุณไฉไลลอยหน้าลอยตาพูดแล้วก็หยิบห่อกระดาษออกมา แล้วก็ล้วงเข้าไปในห่อนั้นหยิบแท่งไม้ที่มีอยู่สามสี่แท่งออกมาให้คุณผอบแก้วดู
"นี่แกวางยาคนของฉันเหรอ...แก....."
"จะว่าวางยาก็ไม่เชิงหรอกคุณพี่ ก็แค่จุดแล้วก็เป่าเท่านั้นเองคุณพี่ หึ หึ หึ....."
"ฉันจะฟ้องคุณพี่..."
"ถ้าคิดว่าจะมีโอกาสได้ไปฟ้องคุณพี่ก็เอาเลย...วันนี้แม้แต่คุณโสภีลูกสาวแกก็หลับใหลไม่ได้สติอยู่นู่นไง"
"คุณพี่คะจะทำอะไรก็รีบ ๆ ทำเถอะค่ะเดี๋ยวท่านมานะคะ"
คุณไข่มุกพูดขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่รีบร้อน คุณไฉไลจึงเอาน้ำมะนาวออกมา คุณไข่มุกและคุณอัญชัญจึงจับคุณผอบแก้วขึงเอาไว้แล้วให้บ่าวอีกหลายคนช่วยจับ จากนั้นคุณไฉไลจึงกรอกน้ำมะนาวลงในช่องครอดจนหมดเหยือก ไม่ว่าคุณผอบแก้วจะร้องยังไงก็ไม่มีคนได้ยินเพราะเธอถูกมัดปากเอาไว้ เธอดิ้นทุรนทุรายด้วยความปวดแสบรวดร้าวจนกระทั่งสลบไป คุณทั้งสามจึงปล่อยมือออกจากคุณผอบแก้วและจับให้นอนท่าเดิม
"ทีนี้ก็จะได้รู้ซะทีว่าการทรมานผู้อื่นมันเป็นอย่างไร ไปกลับกันเถอะ"
3 สิงหาคม 2547 17:21 น.
สุชาดา โมรา
1.มีนิยายเกิดใหม่หลายเรื่องนะคะ แต่ก็มีเรื่องหนึ่งที่มาจากประวัติบรรพบุรุษของข้าพเจ้าเองก็ช่วย ๆ กันอ่านนิดนะคะ ตอนนี้ต้องกั๊กไว้ก่อนนะคะ ชื่อเรื่อง ไพร่ฟ้า...ข้าแผ่นดิน ค่ะ
2.เรื่องราวหลากหลายที่อ่าน ๆ กันบางเรื่องได้ตีพิมพ์แล้วนะคะ
3.เพื่อน ๆ ที่ส่งเมล์มาสั่งจองหนังสือก็ขอบคุณมากค่ะ
4.เพื่อน ๆ ที่เป็นสมาชิกแฟนคลับของพี่กอล์ฟและพี่โจ้ 2 หนุ่มขาโจ๋ที่ส่งเมล์มาหาและเขียน จม.มาหานะคะ ตอนนี้สมนาคุณด้วยการส่งหนังสือเล่มโปรดของคุณน้องไปให้ก็เตรียมรับได้นะคะ...
5.เพื่อน ๆ ที่ต้องการเมล์มาหาก็ p_naja@hotmail.com , p_naja@hunsa.com, p_naja@sanook.com , p_naja@chaiyo.com , p_naja@yahoo.com นะคะ
6.ถ้าใครต้องการเขียนจม.มาหาก็เดี๋ยวเมล์มาก่อนนะคะแล้วจะบอกที่อยู่ให้ค่ะ
7.พี่ ๆ ที่มาจากหรรษานะคะไม่ต้องเสียใจนะคะส่งหนังสือไปให้เหมือนกันค่ะ แล้วก็ที่ขอรูปมาก็แนบไปให้แล้วนะคะ
ขอขอบคุณทุก ๆ คนมากค่ะ ขอบคุณที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดนะคะ...
3 สิงหาคม 2547 17:01 น.
สุชาดา โมรา
เฟี่ยว.....................
เครื่องบินเคลื่อนตัวออกจากเมืองไทยไปยังประเทศที่ใกล้ ๆ อย่างฟิลิปปินล์ ฉันรู้สึกทั้งตื่นเต้นและก็กลัวการขึ้นเครื่องครั้งแรกมาก ๆ เพราะปกติฉันเป็นโรคกลัวความสูง แต่เมื่อเครื่องบินลอยอยู่กลางอากาศฉันมองดูหมู่ละอองเมฆแล้วก็สุขใจ มันสวยมากทีเดียว พี่ ๆ ที่มากับฉันก็นิสัยดี พูดคุยกับฉันตลอดเวลา ที่จริงฉันก็เป็นคนคุยเก่งแต่เมื่อมาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักก็ไม่กล้าคุยกับเขา แต่พอเขามาแนะนำตัวมาชวนฉันคุยฉันก็เลยปล่อยตัวจริงของความขี้โม้ออกมาจนได้
เมื่อเดินทางมาถึง ครั้งแรกที่ได้เหยียบแผ่นดินใหม่ก็มีความรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ฉันตื่นเต้นมาก ๆ เหมือนบ้านนอกเข้ากรุงทีเดียวแต่ก็ต้องเก็บอารมณ์เอาไว้เพราะเดี๋ยวเขาจะรู้ว่าไม่ใช่คนประเทศเขา
คนที่นี่หน้าตาเหมือนคนบ้านเรามาก ผิวแบบเดียวกันแต่เสียอย่างเดียวคือคุยกันไม่รู้เรื่องโดยเฉพาะเวลาเขาพูดภาษาอังกฤษเรายิ่งไม่รู้เรื่องใหญ่เพราะสำเนียงเขาแปลก ๆ เราต้องอาศัยล่ามซึ่งมีอยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น
รถจากกองทัพอากาศของกรุงมนิลามารับเราถึงสนามบิน ฉันเดินมาพร้อมสัมภาระที่น้อยนิดเพราะมีพี่ทหารคนหนึ่งถือให้หมด เขาคงเห็นว่าฉันเป็นเด็กก็เลยถือให้...ตลอดทางที่นั่งรถผ่านตึกรามบ้านช่องก็ดูใหญ่โต โดยเฉพาะเมื่อได้ผ่านสวนสาธารณะของที่นี่ มันช่างกว้างขวางและงดงามมาก บ้านเรายังห่างชั้นนัก ความสะอาดของที่นี่ดีมาก ๆ บ้านเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยดีจริง ๆ
นั่งรถเพียงแป๊บเดียวก็มาถึงกองทัพอากาศ ฉันได้ไปพักที่คอนโดทหารฝั่งตะวันออก ส่วนผู้ชายอยู่ฝั่งตะวันตก แต่ก็อยู่ภายในตึกเดียวกันซึ่งเป็นรูปตัวยู ฉันยังตื่นเต้นไม่หายเลยที่ได้มาเหยียบกรุงมนิลา ฉันคิดว่าฉันจะเที่ยวให้คุ้มกับเบี้ยเลี้ยงที่ได้มา 60,000 นี้ทีเดียว
"เป็นไงตื่นเต้นไหมดาว"
"มากเลยค่ะพี่ตุ๊ก...ที่นี่สวยนะ ขนาดห้องพักยังสะอาดเลยแต่เสียอย่างเดียวคือแคบไปหน่อยเนาะ"
"เอาเถอะ...ไหน ๆ ก็มาอยู่ที่นี่ถึงเดือนนึงก็ทน ๆ หน่อยละกันแล้วเราต้องไปซ้อมที่เบาะข้างล่างเขาเตรียมไว้ให้เราเหมือนเดิมแล้วละ"
"หมายความว่าพี่เคยมาแล้วเหรอ...."
"อืม....เมื่อ 7 ปีที่แล้วนะ"
ฉันตื่นเต้นมากทีเดียว อย่างน้อย ๆ ก็มีคนนำทางฉันเที่ยวได้...
"เออต้องขยันนะเพราะถ้าเกิดสายเขามาแอบดูเขาจะได้รู้ว่าเราฟิตขนาดไหน จริงไหม และอีกอย่างเราจะได้ไม่เสียเที่ยวกับการที่เราฟิตซ้อมมาถึง 2 เดือนเต็ม ไหน ๆ ก็เก็บตัวนานแล้วก็เอาให้สมหน้าสมตากับที่เขาเลือกตัวมาหน่อยจริงไหม"
พี่ตุ๊กขยี้หัวฉันแล้วก็ไปอาบน้ำแล้วมานอน ห้องเรานอนกัน 4 คน เป็นเตียงสองชั้นสองเตียงทำให้ห้องดูแคบไปถนัดตาทีเดียว พอพี่ ๆ นอนกันหมดฉันก็เลยไม่รู้จะไปคุยกับใครก็เลยเดินเซ่นซ่านลงไปข้างล่างจนไปเจอไกด์และล่ามคนที่มาด้วยกัน
"อ้าวน้องดาวมาเดินอะไรค่ำป่านนี้แล้ว ไม่ไปนอนเหรอ"
"ก็นอนมาตลอดทางก็เลยไม่ง่วงค่ะ คือหนูเหงาไม่รู้จะไปไหนดีเลยเดินลงมา"
"งั้นพี่ว่าพี่พาน้องไปดูห้องซ้อมดีกว่านะ"
พี่สองคนพาเดินมาที่ห้องซ้อมฉันเห็นพี่ ๆ หลายคนที่มาด้วยกันกำลังฟิตร่างกายและซ้อมกันอย่างหนักหน่วง มีอาจารย์สุพจน์มาคุมด้วยอีกคนทำให้วิญญาณของนักยูโดในตัวฉันมันกำลังเรียกร้องที่จะไปเล่นให้ได้ ฉันยืนจด ๆ จ้อง ๆ อยู่นานจนในที่สุดก็ต้องไปคว้าชุดยูโดที่อาจารย์เตรียมไว้ที่ล็อกเกอร์มาซ้อม
"อ้าว ไม่นอนเหรอ"
"นอนไม่หลับละสิท่า แปลกที่ละสิดาวใช่ไหม"
ทั้งอาจารย์และพี่ติ๊ก พี่โจ พี่เปิ้ลและพี่ ๆ อีกหลายคนแซวฉันจนฉันรู้สึกเขิน ๆ เพราะไม่ค่อยมีผู้ชายคนไหนแซวฉันมากนักเพราะเขาเห็นฉันเป็นตัวอันตราย แต่คราวนี้มีคนมารุมแซวก็ยิ่งทำให้ฉันเขินมากยิ่งขึ้น
ฉันเดินขึ้นไปซ้อมทั้ง ๆ ที่เป็นผู้หญิงคนเดียว ฉันไม่รู้จะไปจับคู่กับใครดี ก็มีพี่ติ๊กนี่แหละที่มาเป็นคู่ซ้อมให้ แต่ก็มีพี่ทหารที่มาแข่งในคราวนี้แย่งที่จะมาเป็นคู่ซ้อมให้ฉันเหมือนกัน
"เพื่อความสบายใจของทุกคน ดาวจะไม่ลำเอียง ดาวจะซ้อมกับพี่ทุกคนเข้าใจไหม"
"แล้วจะไหวเหรอ"
"ก็มาให้ดาวทุ่มคนละทีสิดาวถึงจะได้ไม่เหนื่อยและจะได้เล่นด้วยกันทุกคนไง"
พี่ ๆ ทุกคนจึงเรียงแถวมาให้ฉันทุ่ม ยิ่งทุ่มหลาย ๆ คนฉันก็ยิ่งรู้สึกว่าทุ่มได้เร็วขึ้น นี่เป็นการทำให้ฉันสปีดตัวเองให้เร็วมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า... ต่อมาฉันก็เล่นแรนโดรี่กับพี่ ๆ หลายคนแต่ก็เล่นไปเหนื่อยไปเพราะพี่ ๆ เขาแกร่งมาก ฉันไม่สามารถที่จะล้มได้สักทีมีแต่ฉันเองที่โดนทุ่มอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น
จู่ ๆ พี่อ้นก็มาซ้อมด้วย พี่อ้นเป็นคนที่ถูกเรียกตัวมาเหมือนกัน พี่อ้นเป็นนักศึกษาแพทย์ที่อยู่มหิดล พี่คนนี้ฉันติดต่อกันอยู่นาน คราวนี้ได้เล่นด้วยกันอีกครั้งแต่คราวนี้แววตาของพี่เขาเปลี่ยนไป ดูอ่อนโยนจนฉันรู้สึกได้ว่านี่เป็นอาการของคนที่เจ้าชู้และมีใจให้กัน พอเขาเข้ามาโอบเอ็วเตรียมทุ่มนั้นสายตามันหยาดเยิ้มจนฉันรู้สึกรำคาญ ยิ่งเขาพยายามเข้ามาใกล้ ๆ ก็ดูเหมือนคนที่จะมาลวนลามมากว่า ในที่สุดฉันก็เลยโมโหและทุ่มได้ในที่สุดด้วยท่าอาราอิ-โกชิ
"อิปโป้ง.........!!!"
"เฮ................!!!!"
เสียงพี่ ๆ ปรบมือกันเกรียวกราว ฉันรู้สึกดีใจที่ชนะเขาได้อีกครั้งและฉันก็ไปเล่นกับคนอื่นต่อ นี่ถ้าขืนฉันยังไม่ชนะพี่อ้นมีหวังถูกแทะโลมตายเลย
เหนื่อยมากเลยรู้สึกเพลีย ๆ ก็เลยไปทานอาหารกับอาจารย์และพี่ ๆ ที่ร้านอาหารไทยของที่นั่นแล้วก็กลับมาอาบน้ำนอน รู้สึกอ่อนเพลียมากทีเดียวพอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตายเลย...
3 สิงหาคม 2547 16:56 น.
สุชาดา โมรา
ถึงลพบุรีเสียทีกับการเดินทางที่แสนจะนาน ฉันกลับมาพร้อมกับของฝากเอามาฝากแม่และครอบครัวและบางส่วนก็เอามาฝากพี่ ๆ หลายคนที่ไม่ได้ไป ข่าวดีที่กลับมาคือพี่ทิพย์ได้ไปแข่งทีมชาติ พี่เจี๊ยบก็เช่นเดียวกัน พี่โอมและพี่เต้ก็ได้ไป ที่เหลือ 19 คนไม่ได้ไป ทุกคนที่เบาะดีใจกันมากและฉลองกันที่บ้านพี่เต้ แต่ฉันไม่ได้ไปหรอกเพราะแม่ไม่อนุญาติ แม่ว่าฉันยังเด็กเกินกว่าที่จะไปฉลองกับพวกโต ๆ แม่คงกลัวว่าฉันจะดื่มเหล้า แต่แม่ก็น่าจะรู้นะว่าลูกไม่เคยดื่มแล้วจะดื่มได้ยังไง
ฉันกลับมาเรียนตามปกติเมื่อสอบปลายภาคเสร็จแม่ก็พาเข้ากรุงเทพฯไปซื้อหนังสือให้ เป็นหนังสือที่ฉันเลือกอ่านตามใจชอบ แม่บอกว่าเป็นรางวัลที่เหน็ดเหนื่อยมานานกับการเรียนการแข่ง แม่ดีใจที่ฉันกลับมาอย่างไม่มีรอยพกช้ำดำเขียว แต่แม่ก็ไม่รู้หรอกว่าต้นขาและหน้าอกของลูกเขียวหลังจากที่ไปแข่งมาเพราะลูกใส่เสื้อผ้าอย่างมิดชิดจนแม่ไม่อาจจะรู้ได้...
หลังจากนั้น 70 วันก็เปิดเทอมและทางกองทัพอากาศก็มีคำสั่งให้ฉันไปลงชื่อสมัครแข่ง ระดับอาเซี่ยนที่ประเทศฟิลิปปินล์อย่างไม่คาดฝัน เป็นที่ฮือฮากับวงการยูโดที่ลพบุรีมาก อาจารย์ทุกคนจึงมารุมเทรนฉันเป็นพิเศษ ฉันรู้ตัวว่าต้องไปอยู่ต่างประเทศถึง 1 เดือน และที่เหลืออีกสองเดือนก็ต้องเก็บตัว ฉันรู้สึกไม่อยากไปแต่มันเป็นคำสั่งยังไง ๆ ก็ต้องไปอยู่วันยังค่ำถ้าไม่ไปสิเป็นเรื่องแน่ ๆ ทางกองทัพอากาศมีกำหนดการและหมายขอร้องทางโรงเรียนว่าฉันต้องไปแข่งและตอนนี้เหมี่ยวได้เป็นหัวหน้าห้อง ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจแปลก ๆ แต่ก็ต้องไป ฉันรู้สึกกลัว ๆ ว่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการเรียนมันจะไม่ราบรื่นเสียแล้ว...
ฉันออกมาจากสมาคมเพื่อที่จะไปขึ้นรถกลับบ้านอย่างทุกวัน สิ่งที่ฉันมองเห็นข้างหน้าคือพี่ดอนกำลังยืนทะเลาะกับผู้หยิงคนหนึ่ง... พี่ดอนกลับมาตั้งแต่เมื่อไรกันนะทำไมฉันถึงไม่รู้เลย เมื่อฉันเดินไปใกล้ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็จ้องหน้าฉันราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
"นี่แกรู้ไหมว่าดอนเป็นแฟนฉัน"
ฉันอึ้งไม่ได้พูดอะไรแต่พี่ดอนหันมามองฉันด้วยความตกใจ
"ดาว....!!!"
พี่ดอนถึงกับพูดเสียงหลงทีเดียว
"นี่เธอคงใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกพี่ดอนใช่ไหม เขาแก่กว่าเธอถึง 7 ปีเธอกลับชิงเขาไป เธอนี่มันเด็กอะไรกันร้ายกาจที่สุด"
ฉันรู้สึกโมโหจริง ๆ ที่จู่ ๆ ก็มีใครไม่รู้มายืนด่าทอฉันจึงระเบิดออกมาบ้าง
"หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ....!!! ฉันไปทำอะไรให้พี่ถึงมาว่าฉัน"
"แกแย่งพี่ดอนไป"
"ใครเขาอยากจะแย่งเอา อยากได้นักก็เอาไปแล้วรักษาดี ๆ ล่ะอย่ามาตู่กันว่าคนนั้นแย่งคนนี้แย่ง น่ารำคาญ"
ฉันผลักพี่ดอนไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วก็เดินออกมาพี่ดอนก็เลยวิ่งตามฉันมา
"ดาว...รอด้วย ดาว...."
พี่โอมมาพอดีฉันจึงโบกรถพี่โอมแล้วนั่งซ้อนท้านไป พี่ดอนก็เลยนั่งรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างตามมา รถทั้งคู่ขับแรงมากถนนก็ว่างพี่ดอนก็ตะโกนมาตลอด
"โอม...จอดรถเดี๋ยวนี้ โอม...!!!!"
"พี่โอมอย่าจอด...!!!"
ฉันตะโกนไปบ้างพี่โอมก็เลยเร่งเครื่องให้แรงไปอีก
"ดาวจะไปไหน..."
"ขับไปเรื่อย ๆ ก่อนนะ"
รถทั้งคู่ขับมาอย่างเร็วพี่ดอนก็พยายามจะเบียดมาเมื่ฉันเห็นซอยก็เลยให้พี่โอมขับเข้าซอยไปส่วนพี่ดอนก็เลยซอยไป ฉันไม่รู้หรอกว่าซอยนี้ไปไหน แต่พี่โอมซอกแซกจนออกมาจากซอยได้และก็พามาส่งที่หน้าบ้าน
"มีเรื่องอะไรกันเหรอ..."
"ไม่มีอะไรหรอกแค่แฟนพี่ดอนเขามาด่าหาว่าดาวแย่งพี่ดอนมาก็เท่านั้น"
"พี่บอกแล้วว่าไอ้นี่มันเจ้าชู้ก็ไม่เชื่อพี่...เห็นไหมเป็นไง อย่าคิดมากนะ"
"ไม่คิดมาหรอกเพราะดาวก็ไม่ได้ชอบพี่ดอนมากขนาดนั้น จริง ๆ แล้วดาวยังชอบพี่นัทอยู่ต่างหากล่ะ ดาวไม่เสียใจหรอดพี่โอมไม่ต้องเป็นห่วง"
ฉันยิ้มแล้วก็เดินเข้าบ้านไปพี่โอมก็เลยขับรถออกไป... ฉันไม่อยากให้เรื่องชู้สาวมาเกิดขึ้นกับฉันเลย ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนดวงซวยจริง ๆ ที่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ไม่รู้จะวางตัวยังไงดีคนพวกนี้ถึงจะเลิกยุ่งกับฉันซะที หรือว่าจะไม่มีแฟนดี เมื่อคิดได้แบบนี้แล้วฉันก้เลยตัดสินใจครองโสตดีกว่าอย่าไปมีเลยฟงแฟนอะไรเนี่ย
วันรุ่งขึ้นหลังจากที่เลิกเรียนฉันก็เข้ามาในสมาคมฯ ฉันเห็นหน้าของพี่โอมบวมช้ำก็รู้ทันทีว่าพี่ดอนแน่ ๆ ที่ทำแบบนี้
"พี่โอมเป็นไงบ้าง...ไม่ต้องพูดหรอกดาวรู้ว่าใครเดี๋ยวดาวจัดการให้"
ฉันเดินมาที่ห้องแต่งตัวผู้ชายแล้วก็ยืนรอพี่ดอนอยู่ข้างนอกจนพี่ดอนเดินออกมาจากห้องฉันก็เลยกระชากคอเสื้อทันที ฉันทุ่มพี่ดอนโดยที่เขาไม่ได้ตั้งตัวเลย หลังเขากระแทกกับพื้นปูนดังแอ๊กทีเดียว ฉันรู้ว่าเขาจุก แต่ตอนนั้นเลือดมันขึ้นหน้าจริง ๆ
"ลุกขึ้นมา บอกให้ลุกขึ้นมายังไงล่ะ"
ฉันตะคอกสุดเสียงพร้อมกับฉุดให้ลุกขึ้นมา
"อะไรดาว พี่ไม่รู้เรื่องทำอะไรเนี่ย"
"ไม่ต้องมาพูดท่านู้นท่านี้เลยพี่ดอนไปทำร้ายพี่โอมทำไม"
"อ๋อ...ก็เมื่อวาน..."
"ไม่ต้องพูดเลยเป็นเพื่อนกันหรือเปล่า ไปขอโทษเดี๋ยวนี้เมื่อวานพี่โอมเขาไม่ได้ทำอะไรเลยดาวบังคับเขาเอง อยากต่อยมาต่อยดาวนี่ แล้วพี่มีแฟนแล้วทำไมไม่บอกมาหลอกกันอย่างนี้มันสนุกนักเหรอ เราเลิกกัน กลับไปหาแฟนพี่เถอะ"
ฉันพูดด้วยอารมณ์โมโหแล้วก็เดินไปซ้อมต่อ ฉันรู้สึกผิดเหมือนกันที่ทำแบบนั้นกับพี่ดอนแต่มันก็สาสมกับความผิดของเขาแล้วละที่เขาทำแบบนั้นกับเพื่อน ฉันรู้สึกสงสารพี่โอมเหมือนกันที่ถูกต่อยซะหน้าตาบวมขนาดนี้ ที่จริงฉันก็รู้ว่าพี่โอมก็ชอบฉันเหมือนกัน รวมทั้งหลาย ๆ คนในสมาคมฯด้วยเพราะทั้งเบาะก็มีผู้หญิงอยู่แค่ไม่กี่คน คนที่สวยก็มีพี่เจี๊ยบแต่พี่เจี๊ยบมีแฟนแล้วและเขาก็เป็นคู่หมั้นกันกับดีเจชื่อดัง ก็จะเหลือฉันที่หน้าตาพอดูได้ทั้งเบาะ และดูเป็นผู้หญิงด้วย ส่วนคนอื่น ๆ ก็หุ่นห้าวเหมือนนักเลงและตัวใหญ่จึงไม่มีใครสนใจพวกเขา
อาจารย์เรียกพี่ดอนและพี่โอมไปสอบสวน ฉันไม่รู้หรอกว่าอาจารย์คุยอะไรกับพี่ทั้งสองคน แต่ฉันรู้เพียงแต่หลังจากที่อาจารย์เรียกไปแล้วพี่ทั้งสองคนก็คุยกันและก็ดีกัน ฉันว่าอาจารย์นิพนธ์ต้องเรียกพี่เขาไปไก่เกี่ยแน่ ๆ เลย
ฉันตั้งใจซ้อมอย่างจริง ๆ จัง ๆ เพื่อที่จะไปแข่งในอีกไม่กี่เดือนนี้ ฉันรู้สึกว่าหมดห่วงหมดกังวลกับการมีแฟนเพราะฉันมีอิสระในการทำอะไรหลาย ๆ อย่าง ไม่จำเป้นต้องมาแคร์ความรู้สึกของคนอื่น ก่อนจะไปกองทัพอากาศอาจารย์ดนัยจึงอยากให้ฉันได้สายน้ำตาลก่อนไป อาจารย์จึงให้เปิดแข่งเป็นการภายใน ให้ฉันล้มคู่ต่อสู้สายฟ้าด้วยกันถึง 5 คนเพื่อที่จะเป็นสะพานในการไปแข่งครั้งนี้
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้น ฉันเดินหาจังหวะคู่ต่อสู้จนพบและเข้าท่าทุ่มทันทีด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที ฉันรู้ว่าคนพวกนี้ยอมให้ฉันเหยียบสะพานไปเพราะต้องการให้ฉันกู้หน้าหลังจากที่ไปแข่งชิงตัวประเทศระดับเยาวชนมาแพ้ก็เลยฝากความหวังไว้ที่ฉัน ฉันจึงผ่านการคัดสายมาได้โดยง่าย ต้องขอขอบคุณพี่ ๆ สายฟ้าทุกคนจริง ๆ ที่ช่วยฉันในครั้งนี้
"ครูขอประกาศให้นางสาวแววดาว เมธาธิพญา ได้สายน้ำตาลด้วยการชนะคู่ต่อสู้ภายในระยะเวลา 150 วินาทีต่อ 5 คน"
อาจารย์ลงบันทึกสถิติให้แต่นั่นก็ไม่ทำให้ฉันพอใจขึ้นมาหรอกเพราะมันได้สายมาง่ายจนเกินไป ฉันต้องการแข่งให้คู่ต่อสู้ทัดเทียมกันมากกว่านี้ ไม่ใช่ยอมกันง่าย ๆ แต่ยังไง ๆ มันก็แข่งไปแล้วนี่ได้ประกาศฯมาแล้วนี่ก็ต้องไปตัดสายยูโดใหม่แล้วก็ต้องปล่อยเลยตามเลยเพราะเราไม่มีสิทธิ์จะไปห้ามกรรมการและอาจารย์ระดับทีชาติอย่างนี้ได้ เมื่อโอกาสมาถึงเราก็ควรจะคว้ามันเอาไว้
โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ.......
3 สิงหาคม 2547 16:53 น.
สุชาดา โมรา
ครูเปรียบเหมือนเรือจ้าง.............
แม่เปรียบเหมือนเชื้อเพลิงที่เติมฝันให้ลูกได้ศึกษา
เราคือเรื่องราวของความสำเร็จในวันข้างหน้า คือสิ่งที่ยังคงบันทึกเรื่องราวทุก ๆ วินาทีที่เก็บไว้ในใจและความรู้สึก...ดี ๆ ที่มีให้แก่แม่ ไม่ว่าจะแม่คนแรกหรือแม่คนที่สอง เราก็เก็บเกี่ยวเรื่องราวดี ๆ เอามาถักทอเป็นเรื่องราวดี ๆ เป็นความกตัญญูที่มีให้ท่าน นั่นคือการศึกษาเล่าเรียน ท่านจะพอใจเมื่อเห็นเราตั้งใจและทำในสิ่งที่ดี ๆ เป็นที่ภาคภูมิใจแก่ท่าน
ท่านไม่ได้ต้องการให้เราเก่ง แต่ท่านต้องการเห็นเรามีอนาคตที่ดี ๆ ตลอดไป ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเถอค่ะ สร้างฝันให้เรือทั้งสองลำที่เทียบท่ารอเรานั้นพาเราไปถึงฝั่ง จากนั้นเราก็กลับมาตอบแทนคุณท่านเถิด.......