20 กรกฎาคม 2547 10:11 น.
สุชาดา โมรา
ซ่า....
ฝนตกโหมกระหน่ำ ฉันรีบขึ้นรถเมย์มาด้วยความเร่งรีบเนื้อตัวเปียกโชคไปด้วยฝน ฉันต้องไปที่สมาคมเพื่อซ้อมยูโดทุกวัน...หมู่นี้ฝนฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจมากนักแต่ก็เอาเหอะฉันจะพยายามซ้อมให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าสนามหญ้าจะเปียกแต่ฉันก็ยังไม่สิ้นหวัง ไม่มีที่จะวิ่งฉันก็ไปวิ่งบนเบาะยูโดจนได้ ทั้งยุบข้อ ยึดพื้น ซิทอัพ ฉีกขา สไลท์ขา สืบเท้า ฉันพยายามฟิตร่างกายอย่างเต็มที่ เพราะนัดที่จะมีต่อไปนี้คงต้องแข่งกันอีกยาวนาน เพราะต้องไปแข่งอย่างไม่มีวันหยุด
หลังจากเลิกเรียนฉันมาซ้อมยูโดที่สมาคม แต่วันนี้มันแตกต่างจากทุก ๆ วันเพราะวันนี้ฉันต้องซ้อมให้หนักเพื่ออีก 5 วันจะมีการแข่งยูโดคัดสายเขตกัน ฉันตั้งใจซ้อมอย่างเอาจริงเอาจังจนสามารถล้มคู่ต่อสู้อย่างรุ่นพี่ผู้ชายหลายคนได้
"ถามจริง ๆ เถอะดาว เธอไปเอาแรงฮึดมาจากไหนถึงได้เล่นรุดหน้าเด็กรุ่นเดียวกันได้"
"แรงอาฆาตไง...พี่โจ้"
ฉันตอบอย่างเครียดแค้น...เพราะฉันรู้สึกได้ว่าฉันชิงชังและต้องไปยืนในจุดที่เหนือกว่าทั้งเหมี่ยวและพี่นัท ฉันอาฆาตไว้กับตัวเองว่าถ้าฉันทำไม่ได้ก็ให้ไปลาหมาตายได้แล้ว
"ดาว...หมู่นี้ทำไมฝีมือดีจังเลย ท่าทางจะไปได้ไกลนะเนี่ย"
"แหมพี่โก้ทำเป็นชมไปได้...ไม่ได้มีอะไรมากนักหรอกแค่ขยันหน่อยฟิตร่างกายก็เท่านั้น"
"ที่จริงหายากนะเนี่ย เด็กที่เข้ามาเล่นยูโดได้แค่ 6 เดือนก็สามารถได้สายเขียวแล้วยังไปคว้าตำแหน่งนักกีฬาจังหวัดได้นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ เลือดนักสู้นี่หว่า...ใช่ไหมพวกเรา"
พี่โก้ตะโกนขึ้นทำให้พวกที่นั่นอยู่ข้างเบาะชมฉันไม่หยุดปาก ฉันจึงได้ฉายาสาวน้อยมหัศจรรย์เป็นครั้งแรกมันจึงทำให้ฉันเริ่มมีชื่อเสียงในวงการกีฬามากขึ้น
"เอ้า...นักกีฬาพรุ่งนี้เรามีนัดที่โรงยิมส์แห่งนี้ ขอให้นักกีฬามาตามที่นัดด้วย เวลา 6 โมเช้าพร้อมกัน รถออกเวลา 6.30 น. อย่าลืม ถ้ามาไม่ทันก็ตามไป ช่วยเหลือตัวเองได้ยินไหม"
"รับทราบ"
อาจารย์ดนัยครูฝึกที่เก่งที่สุดของพวกเราพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ครูคนนี้เป็นคนที่ตรงต่อเวลามาก ๆ เป็นคนสุขุมรอบคอบ และมีเหตุผลที่สุดในบันดาครูฝึกทั้งหมด 7 คน
ตอนเช้าฉันรีบมา นั่งรถเป็นคนแรกแล้วก็เผลอหลับไปจนกระทั่งมีคนเดินมาปลุก
"ดาว ๆ เขาขึ้นรถคนนั้นกัน มานอนอะไรคันนี้"
"อ้าวเหรอ..."
ฉันเดินลงจากรถทหารคันใหม่ เดินตามโก้เพื่อนนักยูโดที่อยู่ต่างโรงเรียนกันไปที่รถคันเก่าที่สุดของที่นี่
"หา...คันนี้เหรอ"
ทุกคนที่อยู่บนรถยิ้ม ฉันถึงกับทำหน้าเบ้ทีเดียว แล้วก็เดินขึ้นไปนั่งบนรถ ฉันต้องนั่งประจันหน้ากับพี่นัทแฟนเก่าของฉัน ฉันรู้สึกไม่อยากจะมองหน้าเขาเลย ฉันจึงมองออกไปนอกรถตลอดเวลา
"มาพร้อมหรือยัง...ได้เวลาแล้วไม่รอละนะ"
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกช้า ๆ จนพ้นประตูค่ายเอราวัณไป
"จอด ๆ ครับ จอด"
พี่นัทบอกให้อาจารย์จอดรถ
เอี๊ยด...!!! รถต้องเบรกกระทันหันฉันถึงกับเซถลาไปใกล้พี่โอมทีเดียว ฉันจึงกระเถิบตัวออกมาห่าง ๆ เขา
"เป็นไรไปหรือเปล่า"
"ไม่เป็นไรค่ะ..."
"นู่นดาวดูสิใครมา..."
พี่โอมชี้ให้ฉันดูผู้หญิงที่กำลังจะขึ้นรถคนนั้น เหมี่ยว...!!! ฉันถึงกับตะลึงทีเดียว เหมี่ยวมาทำอะไรที่นี่ก็ในเมื่อเหมี่ยวบอกว่าท้องแล้วจะเลิกเล่น หรือว่าตอนคัดสายวันนั้นจะแท้งลูกแล้ว...ฉันนั่งนึกอยู่นานจนรถมาจอดที่วิทยาลัยพละอ่างทอง
"นักกีฬาทั้งหลายอัญเชิญลงจากรถได้แล้วมัวนั่งบื้อกันอยู่ได้"
อาจารย์ดนัยพูดประชดพวกเรา ทำให้ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว...
"พี่นัทคะเหมี่ยวมาให้กำลังใจ พี่นัทชอบไหมคะ"
ฉันรู้สึกหมั่นไส้ทีเดียว แต่ก็ทำท่าเฉย ๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราไปชั่งน้ำหนักกันที่ห้องกีฬา แต่ฉันน้ำหนักไม่ถึงรุ่นที่เล่นต้องหาอะไรถ่วงน้ำหนักเพื่อที่จะได้ไม่มาเล่นรุ่นเดียวกับเด็กที่มาจากที่เดียวกัน ส่วนรุ่นพี่หลายคนเช่นพี่โอม พี่ตูน พี่โจ้ หรือแม้แต่โก้เองก็ต้องไปรีดน้ำหนักออกด้วยการใส่เสื้อวอมรูดซิปจนติดคอหอยแล้วก็วิ่งไปเรื่อย ๆ จนกว่าน้ำหนักจะพอกับที่ตัวเองเล่น ฉันเห็นแล้วก็ต้องยิ้มอยู่นานทีเดียว
"เธอรู้ไหมว่าฉันมาทำไม"
"ฉันไม่สนหรอก เธอมีสิทธิที่จะมา แล้วมาถามฉันทำไม...ไม่ใช่เรื่องของฉันซะหน่อย"
"ใช่สิ...มันต้องใช่...ฉันกลัวว่าเธอจะมาแย่งพ่อของลูกฉันไง เข้าใจหรือยัง"
"ฉันไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอกที่จะแย่งแฟนเพื่อนได้...อีกอย่างฉันว่าเธอไม่ได้ท้องหรอก คนท้องอะไร...วันนั้นยังกล้ามาแข่งคัดสายกับฉันเลย...ฉันไม่เชื่อเธอหรอก"
เหมี่ยวถึงกับเงียบทีเดียว ฉันไม่รู้หรอกว่ามันจริงหรือเปล่า แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะจริงเพราะถ้าไม่จริงเหมี่ยวคงไม่เงียบ เหมี่ยวคงไม่อยากเอาอนาคตของตัวเองมาจบกับอีแค่เรื่องผู้ชายหรอก เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ ละก็แม่ของเหมี่ยวคงจะเสียใจมาก ๆ เพราะแม่เขาเป็นแค่ลูกจ้างของกรมศิลป์เท่านั้นเอง เงินเดือนก็น้อย ถ้าจะต้องมาเลี้ยงทั้งลูกและหลานก็คงจะทำใจลำบาก และก็ต้องลำบากมาก ๆ เลยด้วย...
ได้เวลาแข่ง ฉันเดินไปดูป้ายที่ติดไว้ รุ่นของฉันมี 9 คนต้องมีการจับสลากเพื่อที่จะแข่งว่าจะได้คู่ไหนก่อนดี ฉันได้แข่งเป็นคู่แรก ฉันรู้สึกตื่นเต้นจริง ๆ ฉันเดินไปวอมร่างกายจนเครื่องอุ่นเต็มที่แล้วก็เดินมานั่งดูรุ่นจิ๋วกับรุ่นเล็กแข่งกัน คู่ต่อสู้น่ากลัวมาก ๆ เลย แต่ฉันก้พยายามข่มใจตัวเองไว้ว่าไม่ตื่นเต้น...ไม่กลัว
"รุ่นน้ำหนัก 45 กิโลมารายงานตัวด้วย"
เสียงกรรมการประกาศเรียกให้รุ่นของฉันไปรายงานตัว ฉันถอนใจเฮือกใหญ่แล้วก็เดินเข้าไปหากรรมการในขณะที่คู่สุดท้ายของ ร.พ.ศ 2 ยังแข่งอยู่ ฉันเห็นคู่ต่อสู้ของฉันที่ค่อนข้างน่ากลัวมาก ๆ...แต่ฉันก็ต้องข่มใจตัวเองไว้ เมื่อกรรมการเรียกให้ขึ้นเบาะฉันก็เดินไปอย่างสุขุมทันที
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มต้นได้ ฉันจึงเข้าคว้าคอเสื้อของฝ่ายตรงข้ามก่อน แล้วก็เข้าท่าทุ่มด้วยท่าโมโนเตะ-เซโออินาเงะทันที ตัวของคู่ต่อสู้ลอยข้ามหัวไปฉันไป ฉันจับข้อมือคู่ต่อสู้ไว้แน่นเพื่อเซฟตัวคู่ต่อสู้ ท่าลอยลงมาได้สวยมาก ทุกคนถึงกับปรบมือกันกราวทีเดียว
"อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการพูดดังขึ้น ฉันคำนับคู่ต่อสู้แล้วก็หันมาคำนับกรรมการก่อนจะลงจากสังเวียน ฉันมีความรู้สึกว่าโล่งอกมาก ๆ การแข่งขันดำเนินมาจนเหลือ 3 คนสุดท้ายของรุ่นน้ำหนักเดียวกับฉัน ฉันต้องมาแข่งอีกครั้ง ต้องมีการจับสลาก ฉันได้เป็นคนที่ 3 เมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้นอีกครั้ง ฉันดูท่าทางแล้วคน ๆ นี้ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ฉันรู้สึกกลัวยังไงชอบกล...
คนที่ฉันกลัวมากที่สุดกลับชนะและยืนหยัดรอฉันอยู่อย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ฉันรู้สึกกล้า ๆ กลัว ๆ แต่ก็ทำใจสู้
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการสั่งให้เริ่มต้น ฉันเข้าไปกระชากเสื้อคู่ต่อสู้ทันที แต่เขากลับจับข้อมือฉันหักและบิดออก ฉันรู้สึกเจ็บมากทีเดียว คู่ต่อสู้คนนี้เล่เหลี่ยมแพรวพราวทีเดียว นักข่าวก็จับภาพจนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ทำอะไรไม่ถูกไปซะทุกอย่าง
"ฮาเน มากิโคมิ...!!!"
เสียงใครบางคนตะโกนขึ้น ฉันจึงเข้าท่าฮาเน มากิโคมิทันที เป็นโชคดีของฉันจริง ๆ ที่คู่ต่อสู้หลังหระแทกพื้นได้อย่างสวยงามทีเดียว
"อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการพูดดังก้องหูของฉัน คู่ต่อสู้ทำท่าทางไม่ค่อยพอใจที่ฉันชนะ ฉันคำนับแล้วก็เดินลงจากสังเวียน กรรมการเรียกคู่น้ำหนักรุ่นต่อไปทันที ฉันเดินมาหาอาจารย์แล้วก็ยิ้มแก้มปลิทีเดียว
"ขอบคุณนะคะอาจารย์ที่ช่วยหนู"
อาจารย์ดนัยทำท่างง ๆ แล้วก็แสดงสีหน้าแบบไม่เข้าใจ
"ก็เรื่องที่อาจารย์ช่วยบอกให้หนูใช้ท่าฮาเน มากิโคมิไงคะ"
"อ๋อ...ครูไม่ได้พูดหรอก โน้นนายนัทเขาเป็นคนตะโกนไป"
ฉันรู้สึกหน้าเสียทีเดียว และนี่ก็เป็นครั้งแรกนับจากวันที่เราเลิกลากันไป ฉันเข้าไปขอบคุณพี่นัทโดยไม่สนใจว่าจะมีเหมี่ยวอยู่ด้วยหรือไม่...
"ขอบคุณค่ะ"
แล้วฉันก็เดินออกมา มานั่งใกล้ ๆ พี่โอม พี่โอมชมฉันอย่างไม่ขาดปากทีเดียว แต่ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวคุยอยู่กับฝ่ายตรงข้ามแล้วหันมาจ้องที่ฉัน สายตาแบบนี้ฉันรู้สึกกลัวเหลือเกิน... ฝ่ายนั้นจ้องมองมาเป็นตาเดียวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ จนฉันต้องสะกิดให้พี่โอมดู
"อย่าไปสนใจเลย...ดาวเธอนั่งดูไปก่อนนะพี่จพต้องขึ้นแข่งแล้ว"
ฉันรู้เพียงแต่ว่าตอนนี้ฉันนั่งอยู่กับพี่แกะ แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามมาพี่แกะก็คงช่วยเหลือฉันไม่ได้หรอก...ฉันรู้สึกลางสังหรมันจะไม่ดีเลย สักพักฝ่ายตรงข้ามก็ตรงดิ่งมาหาฉันแล้วก็มีคนหนึ่งตบหน้าฉัน
"นี่...อะไรกันเนี่ย"
พวกนี้ไม่ตอบสักนิดจู่ ๆ ก็มารุมทำร้ายฉัน ฉันก็ต้องสู้ อาจารย์ก็เข้ามาห้ามคนพวกนี้ กรรมการก็เข้ามาห้าม ฉันเหลือบไปเห็นเหมี่ยวยืนยิ้มเยาะอยู่ห่าง ๆ ฉันรู้ทันทีเลยว่านี่ต้องเป็นแผนการของเหมี่ยวแน่ ๆ ฉันรู้สึกแย่มาก ๆ ทีเดียว
"ผมขอประกาศตัดสิทธิ์ ห้ามไม่ให้นักกีฬาของสมาคมยูโดคังชิเข้ามาแข่งขันยูโดที่นี่อีกเป็นเวลา 4 ปี เพราะนักกีฬาเหล่านี้ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา ใช้วิชาในทางที่ผิด จึงไม่สมควรเข้ามาแข่งที่นี่อีก นี่เป็นการลงโทษสถานเบา ประกาศนี้เริ่มมีสิทธิ์ใช้นับตั้งแต่พูดจบประโยคทันทีโดยไม่มีการต่อรอใด ๆ ทั้งสิ้น"
ประธานกรรมการลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงที่ขึงขังจนดูน่ากลัว อย่างว่าแหละปาเน่าแค่ตัวเดียวก็ทำให้มันเหม็นไปทั้งค่องได้ น่าสงสารสมาคมคังชิจริง ๆ เลย กับอีแค่นักกีฬาไม่กี่คนที่ทำความเลวแต่กลับต้องถูกลงโทษทั้งสมาคม ฉันถึงกับอึ้งพูดไม่ออกทีเดียว
พอนักกีฬาพวกนี้ออกจากโรงยิมส์ เหมี่ยวก็หายไปด้วย พอฉันมารู้อีกทีก็รู้สึกสมน้ำหน้าแล้วละ เพราะคนเราเมื่ให้ทุกขืแก่ท่านทุกข์นั้นก็จะมาถึงตัวเร็วขึ้น เหมี่ยวโดนพวกนักกีฬาซ้อมซะกระอักกระอ่วง ไปแจ้งความตำรวจก็ไม่รับแจ้งเพราะบอกเขาไม่ได้อีกว่าใครทำร้าย...เห็นแล้วก็อดที่จะนึกขำไม่ได้
วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาเขตแล้ว ฉันกำลังจะก้าวขึ้นไปให้สูงที่สุด ฉันจะทำให้ดีที่สุด นอกจากฉันจะได้เป็นตัวเขตแล้ว วันนี้ฉันยังได้มิตรภาพจากพี่นัทอีกด้วย ฉันต้องขอบคุณเขาจริง ๆ ที่ทำให้ฉันชนะได้ไม่อย่างนั้นฉันคงก้าวมาไม่ถึงจุดนี้
ติดตามตอนต่อไป ซึ่งจะเริ่มเข้มข้นกว่าเดิม...อย่าพลาดนะคะ
ขอขอบคุณที่ทุกท่านติดตามผลงานมาโดยตลอด
19 กรกฎาคม 2547 11:08 น.
สุชาดา โมรา
สายลมที่โชยมาเอื่อย ๆ สร้างความหนาวสะท้านให้แก้ฉัน ฉันรู้ตัวทันทีเลยว่าเวลาได้ผ่านมาอีกช่วงชีวิตหนึ่งแล้ว... ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะมีฝนตกบ้างแต่สายลมที่เย็นยะเยือกผ่านเข้ามาทุกซอกทุกมุมของรูขุมขนนี้ทำให้ฉันต้องคลุมโปงนอนต่อด้วยความง่วง
"ตื่นได้แล้วยายดาว...แม่สอนกี่ครั้งแล้วว่าอย่านอนกินบ้านกินเมือง...ตะวันส่องดากแล้ว...!...ตื่น ๆๆๆๆๆๆ...."
"โอยแม่...นี่มันวันอะไรกันน่ะ ไม่รู้เรื่องเลย นี่มันวันอาทิตย์นะแม่"
"นี่...เดี๋ยวตีก้นลายเลย วันอาทงอาทิตย์บ้าอะไร เมื่อวานวันอาทิตย์เราไปแข่งคัดสายที่กรุงเทพฯมา วันนี้มันวันจันทร์ จะไม่ไปเรียนหรือไงหา...!"
แม่พูดประโยคนี้ทำให้ฉันลุกขึ้นมาจากเตียงและกระวีกระวาดไปอาบน้ำแต่งตัวไปเรียนทันที เพราะฉันจะไปไม่ทันเข้าแถวเคารพธงชาติ
"ไม่กินนมก่อนเหรอลูก..."
"ขนมปังแผ่นเดียวก็พอแล้วค่ะ...ไปนะคะ แม่คะสวัสดีค่ะ คุณตาสวัสดีค่ะ...!"
ฉันรีบวิ่งออกจากบ้านเพื่อไปเรียนจนเกือบไม่ทันขึ้นรถเมย์ รถเมย์ต่างจังหวัดเนี่ยดีอย่างเสียอย่างนะ ตรงที่จอดรับคนเรื่อย ๆ จอดได้ทุกที่แต่ข้อเสียคือชอบจอดแช่นาน ๆ ทำให้ฉันไปโรงเรียนไม่ทันจนได้
"ชื่ออะไรน่ะเรา..."
"สวัสดีค่ะอาจารย์"
ฉันนึกอยู่แล้วเชียวว่าต้องไปไม่ทันแน่ ๆ โถ่เอ้ย...!!!! ถูกอาจารย์กักตัวจนได้ ชื่อได้ติดบอร์ดหน้าห้องปกครองแน่ ๆ เลยเรา ถ้ามาสายถึง 3 ครั้งถูกเรียกผู้ปกครองแน่ ๆ...ซวยเลย...
วันนี้ฉันเรียนอย่างไม่ค่อยมีความสุขนักเพราะฉันรู้สึกว่ามีคนจับจ้องฉันอยู่หลังห้อง พอฉันหันไปมองฉันก็เห็นเหมี่ยวและเพื่อน ๆ จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้ออย่างนั้น...จนฉันรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล พอพักเที่ยงฉันจะไปกินข้าวก็ถูกพวกเพื่อน ๆ กลุ่มนี้ถลักไว้
"ไง...แน่นักเหรอที่แย่งแฟนเพื่อน..."
ฉันทำท่างง ๆ เพราะฉันไม่รู้ว่าพวกนี้พูดถึงอะไร
"ยังมาทำหน้ามึนอีก แกแย่งพี่นัทไปจากเหมี่ยวทำไม...แกรู้ไหมเหมี่ยวมันท้อง"
"ฉันว่าพวกเธอบ้าไปแล้วเหรอ...ใครกันแน่ที่แย่งแฟนฉัน...ไม่ใช่เหมี่ยวหรอกเหรอ ที่จริงไม่น่าหน้าหนาเลยนะ มากุเรื่องว่าคนอื่นเขาเพราะเมื่อวานแข่งกับฉันแล้วแพ้เลยเก็บกด วันนี้กะจะเอาคืนด้วยคนหมู่มากเหรอ...หมาหมู่นี่หว่า...!"
ฉันพูดอย่างไม่กลัวใครเพราะถ้าฉันไม่พูดพวกนี้ก็จะข่มขู่ฉันเพราะเห็นว่าฉันเป็นคนเงียบ ๆ เลยอยากจะคุกคาม แต่ผิดแล้วฉันเป็นคนที่ไม่เคยยอมคน และถ้าใครมาราวีฉันจะสู้ ๆๆๆๆๆ ให้ตายกันไปข้างนึงเลย... ฉันจ้องหน้าเพื่อน 7 คนที่ยืนมุงดูฉันอย่างเอาเรื่อง และฉันก็มองไปที่เหมี่ยว
"สรุปจะเอาไง...!"
ฉันถามอย่างไม่กลัว ทำให้พวกนั้นต้องละสายตาเดินออกห่างฉันไป ฉันเห็นสีหน้าของเหมี่ยว เหมี่ยวทำท่าไม่ค่อยพอใจทั้ง ๆ ที่อุตส่าไปยั่วยุให้กลุ่ม 7 ห้าวแก๊งเก๋าในทางเลวของห้องมาข่มขู่ฉัน แต่ขอโทษ...ฉันไม่กลัว ถึงกลัวฉันก็จะสู้สู้ให้มันตายไปข้างเลย...
ผ่านมาอีกหลายวัน...
วันนี้เป็นวันแข่งยูโดชิงตัวนักกีฬาจังหวัด ผู้คนเข้ามาดูกันคับคั่ง พวกเราทำพิธีไหว้ครู และแสดงศิลปะป้องกันตัวแบบยูโดโชว์ต่อหน้าผู้คนมากมา โดยเฉพาะแสดงต่อหน้าท่าน ผบ.สูงสุดของที่นี่ นักข่าวมาดูกันอย่างคับคั่งทีเดียว
ฉันดูพวกที่แข่งฝึกซ้อมในห้องซ้อมแล้วก็รู้สึกขนหัวลุก ทุกคนดูขมักเขม้นกันดีจัง ดูท่าทางจะต้องสู้ให้ตายกันไปข้างแน่ ๆ แล้วฉันก็แอบเข้าไปดูนักยูโดของชมรมอื่นที่มาร่วมแข่งที่ ร.พ.ศ. 2 ด้วย ดูท่าทางโหด ๆ ทั้งนั้น ฉันรู้สึกตาขาวขึ้นมาทันที
เมื่อเสียงกรรมการประกาศให้นักกีฬามานั่งประจำที่เพื่อที่จะแข่ง ฉันนั่งประจันหน้ากับฝ่ายตรงข้ามที่ท่าทางน่ากลัวมาก ๆ ฉันรู้สึกปอดแหกจริง ๆ พอกรรมการเรียกชื่อให้นักกีฬาขึ้นไปแข่ง ฉันก็จ้องมองตาแทบไม่กระพริบทีเดียว ฉันมองเห็นจุดอ่อนของคู่ต่อสู้หลายอย่าง มองเห็นเทคนิกพิเศษของคู่ต่อสู้ฉันจึงจำเอาไว้ใช้บ้าง เมื่อกรรมการเรียกชื่อฉัน ฉันก็ลุกขึ้นไปยืนอยู่ที่เส้นสีแดง ฉันได้คาดสายแดง แค่คาดสายแดงก็มีกำลังใจไปครึ่งนึงแล้วละ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งคาดสายขาว มันทำให้ฉันมีแรงผลักดันที่จะสู้ให้ชนะให้ได้เพราะสายแดงคือสายนำโชค...ฉันเชื่อว่าอย่างนั้น
"ฮาจิเมะ...!!!"
กรรมการสั่งให้เริ่มต้น ฉันเข้าไปคว้าคอเสื้อทันที คู่ต่อสู้กำลังดีมาก ๆ และแกร่งมาก ๆ ถึงฉันพยายามจะเข้าท่าอย่างไรแต่ก็ไม่สามารถที่จะทุ่มได้เลย มีแต่จะเสียเปรียบเพราะฝ่ายตรงข้ามจะพยายามทำให้หลังฉันแนบกับพื้นให้ได้เพื่อที่จะฉวยโอกาสล็อกฉัน ฉันจึงต้องหลบออกมาอยู่บ่อย ๆ จนทำให้ดูเหมือนฉันจะหนีคู่ต่อสู้
"ชิโด...!!!"
กรรมการคาดโทษครั้งที่ 1 ให้แก่ฉัน ฉันรู้สึกหูชาเพราะเสียหน้ามาก ๆ ก็เลยเข้าท่าเตรียมที่จะทุ่มแล้วไม่ทุ่มกลับหันออกมาใช้ท่าไทโอโตชิ ทำให้คู่ต่อสู้ลอยตัวกลางอากาศประมาณ 3 วินาทีก่อนจะกระแทกลงที่พื้นเบาะ
"วาซารี่..."
กรรมการยกมือไปทางด้านขวา แล้วให้คะแนนวาซา-อริกับฉัน ถ้าฉันได้วาซา-อริอีกครั้งเดียวก็จะชนะแล้ว ฉันเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬากา ยังคงเหลือเวลาอยู่อีก 30 วินาที ฉันจึงเข้าไปล็อกคู่ต่อสู้ด้วยท่าโยโกชิโฮ-กาตาเมะทันทีก่อนที่คู่ต่อสู้จะลุกขึ้นมาทัน ฉันก้มหน้ากดสายรัดเอวให้แน่น คู่ต่อสู้พยายามที่จะดิ้นแต่ฉันก็กดเขาเอาไว้แล้วก็เปลี่ยนท่าเป็นท่า เกซ่า-กาตาเมะทันทีเพื่อที่จะได้ล็อกแน่น ๆ เพราะท่านี้เป็นท่าที่ถนัดของฉัน คู่ต่อสู้พยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ฉันก็ไม่ยอมปล่ยจนหมดเวลา
"วาซารี่-วาซาเตะ-อิปโป้ง...!!!"
เสียงกรรมการพูดดังขึ้น ฉันลุกขึ้นมาและก็ส่งมือให้คู่ต่อสู้ เธอคนนี้จับมือฉันแล้วลุกขึ้นมาแอบอมยิ้มนิด ๆ เราคำนับซึ่งกันและกันแล้วเธอคนนั้นก็ลงจากสังเวียน เหลือเพียงฉันที่ต้องรอคนแข่งคนต่อไป...
"ฮาจิเมะ...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้เริ่มแข่งได้ ฉันจึงเดินเข้าไปจ้องคู่ต่อสู้แล้วก็พบจุดอ่อนที่ขาของคู่ต่อสู้ทันที ฉันคว้าคอเสื้อได้ก็เข้าใส่ด้วยท่ายูชิมาตะทันที ทำให้คู่ต่อสู้ตั้งตัวไม่ทันลอยตัวขึ้นมาและกระแทกกับพื้นเบาะทันที
"ยูโก้...!!!"
เสียงกรรมการบอกให้รู้ว่าฉันกำลังได้คะแนนยูดก้อยู่ ถ้าฉันทำคะแนนวาซา-อริครั้งนี้ได้คะแนนฉันจะนำโด่งทีเดียว
ฉันเข้าใส่ด้วยท่าเดิมอีกครั้งเพื่อให้คู่ต่อสู้รู้ตัวว่าฉันรู้ว่าขาเขามีปัญหา
"ยูโก้...!!!"
เสียงกรรมการให้คะแนนอีกครั้ง แต่คะแนนของฉันก็ยังไม่ทิ้งห่างคู่ต่อสู้เลย คู่ต่อสู้มีสิทธิ์ที่จะตามฉันทันภายใน 2 เกมส์นี้ ฉันจะทำยังไงดีนะ คู่ต่สู้ก็แกร่งเหลือเกินถึงแม้ว่าจะมีจุดอ่อนที่ขาก็ตามเถอะแต่ฉันก็หาทางเข้าทุ่มลำบาก มีวิธีเดียวก็คือต้องใช้ท่านี่ไปเรื่อย ๆ อย่าให้ไหวตัวตามเกมส์ทันปล่อยให้หมดเวลาเร็ว ๆ ก็เท่านั้น
ฉันตรงลี่เข้าไปกระชากคอเสื้อคู่ต่อสู้จากนั้นก็ทำท่าเหมือนจะออกอาวุธทำให้คู่ต่อสู้ตั้งรับท่าทุ่มด้วยการย่อเข่า โอกาสนี้แหละที่ฉันจะได้เปรียบฉันจึงปัดข้อเท้าคู่ต่อสู้ลอยขึ้นมาจนหลังกระแทกพื้นเต็ม ๆ ทันที
"อิปโป้ง...!!!"
ฉันชนะอย่างไม่คาดฝัน น่าจะเป็นเพราะการใช้สมาธิและมองจุดอ่อนของคู่ต่อสู้อย่างละเอียด จึงทำให้ฉันชนะได้อย่างสวยงาม
วันนี้ฉันได้เป็นนักกีฬาตัวแทนจังหวัดแล้ว ฉันได้ติดเข็มนักกีฬา ได้ติดธงจังหวัดไว้ที่เสื้อยูโด ได้ชุดยูโดตัวใหม่ที่ดูดีกว่าชุดเก่า ได้บัตรนักกีฬา ได้ชื่อเสียง ฉันมีความสุขมากทีเดียว อาจารย์ก็เข้ามาชมฉันอย่างไม่หยุดปากทีเดียว
"เก่งเหมือนกันนะเรานี่...เที่ยวหน้ามีแข่งคัดตัวเขตไปแข่งกันไหม"
"ที่ไหนคะอาจารย์..."
"ที่อ่างทอง..."
อาจารย์นิพนธ์พูดขึ้นพร้อมกับขยี้หัวฉัน ฉันมีความรู้สึกว่าฉันทำได้ ฉันไม่แพ้ ฉันก้าวขึ้นมาเหนือเหมี่ยวแล้ว...ฉันจะต้องสู้ต่อไป สู้ ๆๆๆๆๆๆๆ เพื่อชัยชนะของเรา
ฉันเหลือบไปเห็นพี่นัทยืนมองฉันอยู่ เขายิ้มให้ฉันแต่ฉันก็ทำเมินใส่ เพราะฉันคิดว่าฉันคงไม่ให้อภัยเขาง่าย ๆ หรอก ฉันรู้สึกเข็ดที่เจอคนอย่างพี่นัท... นักกีฬาที่ฉันแข่งด้วยเมื่อกี้มาแสดงความยินดีกับฉัน เราแลกที่อยู่กันแล้วก็เชียรกันและกัน
"นัดหน้าถ้ามีโอกาสพี่จะมาแข่งกับน้องอีก น้องดาว...ไปนะ"
รุ่นพี่หลายคนที่คัดตัวจังหวัดไม่ผ่านมาให้กำลังใจฉัน เพราะจะหานักยูโดที่ผ่านเข้าไปยากมาก นี่ถือว่าเป็นโชคของฉันที่ได้มายืนในจุดนี้ ฉันรู้สึกภาคภูมิใจจริง ๆ เลย
...เฮ้อ...วันนี้ก็ผ่านไปได้อีก 1 วันฉันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก ฉันโล่งใจไปหมดทีเดียว...แม่จ๋าหนูทำสำเร็จแล้วจ่ะ หนูจะสร้างชื่อเสียงมาให้ตระกูลเร็ว ๆ นี้...หนูสัญญา...
ฉันสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องทำให้ได้ จะนำชื่อและเกียรติยศกลับมาฝากแม่ให้ได้ คอยดูสิ... ฉันกลับบ้านด้วยความสุขและสดชื่นมากทีเดียวถึงแม้ว่าเหงื่อจะไหลออกมาท่วมตัวก็ตาม แต่ฉันก็รู้สึกสดชื่นมากทีเดียว...
โปรดติดตามตอนต่อไป...นะคะ
แววดาวเด็กสาวผู้มีจิตใจรักยูโดจะทำอย่างไรกับเหมี่ยว แล้วจะตัดสินปัญหาอย่างไรกับแฟนเก่า...โอ๊ย...ปวดหัวใจแทนแววดาวจริง ๆ ....เธอจะมีโอกาสไปถึงฝันได้ไหม เธอจะไปแข่งคัสายเขตเพื่อไปคัดตัวเขตตัวจริงหรือเปล่า เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป...ติดตามตอนหน้านะคะ ....อย่าพลาด...!!!
ขอขอบคุณที่เพื่อน ๆ ไม่ลืมกัน ติดตามผลงานมาโดยตลอด ขอบคุณค่ะ...ขอบคุณทุกคน...
19 กรกฎาคม 2547 10:48 น.
สุชาดา โมรา
ชีวิตของพวกเราอยู่ท่ามกลางหมอกควันที่ไม่รู้จักจบสิ้น กลิ่นอายที่ฟุ้งกระจาย เปรียบดังสายหมอกขาว ๆ ในยามเช้า แต่ทว่าหมอกสายนี้มีอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน เมื่อไรหนอที่พวกเราทั้งหมดนี้จะได้ไปสูดกลิ่นอายที่สดใสไร้หมอกควันเสียที
พวกเราอยู่ที่บ้านริมน้ำจังหวัดกาญจนบุรี แสงสว่างยามที่พระสุริยาฉายเจิดจรัสช่างสวยงามเสียจริง ๆ แต่ถึงอย่างไรชีวิตของพวกเราก็ยังคงอยู่ที่เดิมตลอดมา ที่ที่มีแต่ความอุดอู้ไม่มีสิ่งดี ๆ เหลืออยู่เลย และเป็นไปได้ไหมหนาที่ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ในขณะนี้จะลืมวิถีชีวิตของตัวเองที่กินอยู่กับเรา พวกเราจึงไม่เคยมีคุณค่าและไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาเลย
"นี่เธอมาดูห้องนี้สิ...โห...สวยจริง ๆ เลย เฟอร์นิเจอร์ก็ครบครัน มองออกไปก็เห็นธรรมชาติที่สดใสงดงาม...เอางี้ละกันฉันตกลงซื้อบ้านหลังนี้"
หญิงอ้วยกับนายหน้ามาดูบ้านหลังที่พวกเราอยู่ เธอตกลงที่จะซื้อบ้านหลังนี้ หญิงอ้วนหรือคุณนายนิวเครียจึงขนของเข้ามาในบ้านพร้อมกับลูกชายอ้วน ๆ ของเธอในเย็นวันนั้น เด็กอ้วนคนนั้นเมื่อมาถึงก็สำรวจบ้านทันที
"แม่ฮะผมว่าบ้านมันใหญ่เกินไปหรือเปล่าฮะ แล้ว...แล้วเราจะทำความสะอาดไหวเหรอฮะ"
"ไหวสิจ๊ะทอมลูกรัก...เราแค่ทำเฉพาะที่เราใช้กันก็พอ เช่นห้องนอน ห้องครัว ห้องรับแขกแล้วก็ห้องน้ำ ส่วนทางเดินก็ทำบ้างไม่ทำบ้างก็ได้ลูก..."
สองแม่ลูกจัดแจงทำความสะอาดจนเสร็จจากนั้นก็เข้านอน
เป็นเวลาหลายสิบปีที่พวกเราถูกทอดทิ้งให้อยู่บ้านกันตามลำพังซึ่งไม่มีใครเคยเหลียวแล และไม่มีใครมองเห็นคุณค่า ได้แต่ปล่อยทิ้งพวกเราให้อยู่กันตามยถากรรม..........บางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวในบ้านพูดคุยกัน
"นี่คันฉ่อง เราว่าเจ้าของบ้านลำเอียงนะ"
"เออจริงนะ...เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะขนไก่"
พวกเรารวมตัวกันประชุมหารือกันจนถึงรุ่งเช้า
สองแม่ลูกไม่อยู่ในบ้าน ไปเที่ยวในตลาดกาญจนบุรี และก็คงเลยต่อไปเที่ยวที่อื่น......พวกเราจึงเดินสำรวจบ้านและเราก็พบบางสิ่งบางอย่าง คือสองแม่ลูกกวาดเอาขยะไปซ่อนไว้ที่ใต้พรม ซอกตู้และที่ต่าง ๆ ที่มองไม่เห็น พวกเราจึงสลัดฝุ่นและกวาดขยะออกมา กระจัดกระจายไปทั่วบ้านเพื่อจะลองใจเจ้าของบ้าน
แอ๊ด..........เสียงประตูบ้านดังขึ้นพร้อม ๆ กับเสียงฝีเท้าคน
"มาแล้ว ๆ ........" เสียงนีออนส่งเสียงบอกเพื่อน ๆ
มู่ลี่จึงบอกเพื่อน ๆ ต่อ ๆ กันไปอีกทอดหนึ่ง ".........หลบเร็ว"
พวกเราหลบไปที่ต่าง ๆ เพื่อไม่ให้คุณนายนิวเครียเห็น
ทั้งคู่ตะลึงในความยับเยิน เน่าเหม็นของบ้าน มันไม่น่าเชื่อเลยว่าบ้านจะสกปรกโสโครกได้ถึงเพียงนี้
"อี๋.........เหม็นจังสกปรกด้วย ลูกทำสิทอม"
"ไม่ฮะแม่ ผมหยะแหยง"
สองแม่ลูกเกี่ยงกันทำความสะอาดบ้าน และเขาก็ปล่อยให้บ้านเน่าเหม็นอยู่อย่างนี้
"มืดค่ำป่านนี้แล้วแม่จะพาผมไปไหนฮะ"
"ก็ไปเที่ยวน่ะสิลูก....ล่องแพชมบรรยากาศและก็ชมการแสดงน่ะสิลูก"
สองแม่ลูกคุยกันหนุงหนิง ๆ สักพักหนึ่งก็ออกจากบ้านไป
พวกเรามีความรู้สึกว่าเราโดนทิ้งอีกตามเคย พวกเราทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเน่าเหม็นและโสมมของเจ้าของบ้าน และเราก็วางแผนร้ายกัน จนสำเร็จ
แอ๊ด.........
"หล่อนมาแล้ว......." เสียงนีออนพูดขึ้น
พวกเราเตรียมไปซ่อนตัวในที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะในครัว เมื่อสองแม่ลูกหิว คุณนายนิวเครียจึงเดินมาล้างจานในครัว ส่วนลูกชายก็นั่งดูทีวี
พวกเราไม่รอช้ารีบปฏิบัติการทันทีที่หล่อนล้างจาน
เพล้ง........!!!! "โอ๊ย!"
จานชามและอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ภายในบ้านทั้งหมด ออกมารุมทำร้ายร่างกายคุณนายนิวเครียจอมขี้เกียจกับคุณทอมลูกชายจอมโสโครก
"ผีหลอก......โอ๊ย!"
พวกเราต้อนทั้งคู่มารวมกัน
"ไม่ใช่ผีหลอก.....หรอกคุณนาย พวกเราเพียงแต่ทนมานานแล้ว คุณนายและลูกไม่เคยสนใจไม่เคยรับรู้ถึงจิตใจของเครื่องใช้ภายในบ้านอย่างพวกเราเลย พวกเราเสียใจที่ต้องทำแบบนี้ แต่ถ้าเราไม่ทำคุณนายก็ยังคงต้องทำอยู่อย่างนี้ ยังคงสกปรกโสโครก และคงไม่ทำความสะอาดพวกเราเลย ดีแต่ใช้...คุณนายนี่มันมนุษย์งี่เง่าจริง ๆ" ไมโครเวฟพูดขึ้น
"ใช่...พวกเราตั้งใจจะสั่งสอนให้คุณนายเข็ดหลาบ จะได้รู้จักทำความสะอาดบ้านมั่ง ขอบอกไว้ก่อนเลยนะ ถึงพวกเราเป็นแค่สิ่งของแต่พวกเราก็มีหัวใจ มีชีวิตจิตใจ และพวกเราก็ไม่ชอบความสกปรก พวกเราเป็นของคุณนายนะ ใช้เราให้มันดี ๆ หน่อย" บุ๊คพูดเสริมขึ้น
"จ่ะ...ฉันยอมแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะรักษาความสะอาดนะ จะไม่ปล่อยให้เธอเน่าเหม็น ฉันจะรักษาความสะอาด ฉันสัญญา"
หลังจากที่คุณนายนิวเครียสัญญากับพวกเราในวันนั้นพวกเราก็อยู่ร่วมกันอย่างสันติ...แล้วบ้านคุณล่ะสะอาดหรือยัง ระวังไว้ให้ดีเถอะถ้าเผลอเมื่อไรพวกเราจะเอาคืน...!!!!
18 กรกฎาคม 2547 17:31 น.
สุชาดา โมรา
ฉันไม่เคยมีความสุขในชีวิตของฉันเลย ตั้งแต่ฉันเกิดมาฉันก็พบแต่สภาพของครอบครัวที่แตกร้าว มีแต่ความร้าวฉานอยู่ตลอดเวลา ตัวฉันเองเป็นลูกคนกลาง ฉันมีพี่ชายและน้องสาวที่คอยเป็นกำลังใจให้เสมอ บ้านฉันค่อนข้างยากจนข้นแค้น ขัดสนไปเสียทุกเรื่อง เวลาไปเรียนฉันก็ต้องเป็นเด็กอยู่ในความอนุเคราะห์ของทางโรงเรียน เพื่อน ๆ ก็ชอบล้อว่าฉันเป็นเด็กอนาถา ฉันไม่เข้าใจว่าฉันผิดตรงไหนที่เกิดมาจน คนจนไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียนเหรอฉันมักจะถามตัวเองแบบนี้อยู่เสมอ ๆ จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ฉันเป็นคนช่างอ่าน ฉันก็ไปสมัครทำงานพิเศษในห้องสมุดของโรงเรียน ตอนนั้นฉันมีความสุขมากกับการที่ได้อ่านหนังสือมากมายทำให้ฉันเริ่มรอบรู้มากขึ้น ฉันรู้สึกได้ว่าการอ่านเป็นสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันมาก และการอ่านก็ทำให้ฉันเรียนดีมากขึ้นด้วย
พอฉันโตขึ้นได้เรียนสูงขึ้นฉันก็เข้าใจปัญหาที่ฉันมีอยู่ในขณะนี้ ฉันพยายามขยันเรียนให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าจะต้องกัดก้อนเกลือกินก็ตาม พี่ชายฉันเรียนจบออกมาก็มาส่งฉันเรียน ตอนนี้พี่ทำงานอยู่กรมทางหลวงเป็นวิศวะเงินเดือนดีจึงสามารถส่งฉันและน้องเรียนได้ ส่วนพ่อหลังจากที่เลิกลากับแม่ไปนานมากฉันก็ไม่ได้ข่าวคราวเลย... ถึงแม้ว่าช่วงนี้พี่ชายของฉันจะช่วยเหลือเจือจุนบ้านอย่างไรแต่ความเป็นอยู่ของเราก็ยังไม่แตกต่างจากเดิม แม่เป็นคนที่รักฉันและน้องมากที่สุดเพราะเราเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมีโอกาสที่จะเสียคนได้ง่ายที่สุด แม่มักจะพร่ำสอนฉันอยู่เสมอ ๆ
อย่าชิงสุกก่อนห่ามนะลูก อย่าเกเรตั้งใจเรียนนะ
ฉันและน้องก็ทำตามที่แม่สอนทุกเรื่อง แม่ยังคงทำงานเหมือนเดิม ยังเข็นรถไปขายส้มตำเป็นปกติ ความฝันของแม่คืออยากให้ลูก ๆ เรียนจนจบปริญญา อยากมีร้านอาหารเป็นของตัวเองจะได้ขายส้มตำได้
ฉันเรียน ม.ปลายแล้ว ฉันเริ่มเป็นสาวเต็มตัวหลังจากที่ผ่านอายุ 16 ด้วยความที่ฉันเป็นคนชอบอ่านชอบเขียนอยู่เสมอ ๆ เมื่อมีร้านหนังสือมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามของโรงเรียนฉันจึงไปสมัครสมาชิกทันที แต่ทว่าค่าสมัครสมาชิกมันแพงเหลือเกิน ตั้ง 30 บาทก็เท่ากับที่ฉันไปเรียนเลย คงไม่ไหวแน่ ๆ แต่เจ้าของร้านใจดีบอกให้ฉันมาทำงานด้วยแล้วจะให้ค่าขนมแถมยังได้อ่านหนังสือฟรีอีก นับว่าเป็นโชคสองชั้นของฉันจริง ๆ
ฉันทำงานอยู่ 2 เดือนเจ้าของร้านก็ไว้วางใจให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายในร้าน ให้บริหารงานเองจนใคร ๆ ต่างก็คิดว่าฉันเป็นเจ้าของร้านไปแล้ว ตกเย็นหลังจากเลิกเรียนฉันก็มาทำงานจนดึก บ้านช่องไม่ได้กลับเพราะกินนอนเสร็จสับที่ร้าน เจ้าของร้านก็ไม่อยู่ปล่อยให้ฉันดูแลกิจการแทนเขาทั้งหมด ฉันได้เจอลูกค้ามากหน้าหลายตา สนิทกับคนมากมายไม่ว่าจะอายุมากกว่าหรือเด็กกว่า ฉันมีความสุขที่สุดกับการที่ได้ทำงานตรงนี้มากทีเดียว
วันหนึ่งแม่ฉันป่วยหนัก พี่ชายฉันไปต่างจังหวัด ฉันเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีไม่รู้จะพึ่งพาใครได้ ไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปหาหมอยังไง ฉันกลับไปที่ร้านเช่าหนังสือดึงลิ้นชักออก ในนั้นมีเงินอยู่จำนวนหนึ่ง ใจฉันก็คิดว่าน่าจะเอาไปรักษาแม่ก่อน แต่อีกใจนึงบอกว่าอย่าทำเลยมันไม่ดีเพราะแม่เคยสอนอยู่บ่อย ๆ ว่าของเขาไม่เอาของเราไม่ให้ฉันจำคำสอนของแม่ได้ดี แต่จะปล่อยให้แม่ต้องตายงั้นเหรอ ฉันลังเลอยู่นานไม่รู้จะทำยังไงดี ได้แต่ยืนกุมขมับไว้แล้วก็ตัดสินใจปิดลิ้นชักซะแล้วก็ตั้งใจทำงานโชคดีที่เจ้าของร้านมาพอดี
ไงกิวันนี้....ยอดเช่าเป็นยังไงบ้าง
ก็ดีกว่าทุกวันค่ะ
อ่ะนี่เงินเดือนของเธอนะ แล้วอืมโทษฐานที่เป็นคนดีน้าให้โบนัสพิเศษด้วยอ่ะ
น้าตุ๊กส่งเงินให้ฉัน ฉันดีใจมากรับเงินและไหว้ขอบคุณน้าตุ๊กทันที
อืมกิวันนี้เลิกงานได้เลยนะเดี๋ยวจะกลับบ้านไม่ทัน หมู่นี้ไม่ค่อยได้กลับบ้านนี่เดี๋ยวคุณแม่จะบ่นเอานะ
ฉันรีบกลับบ้านมาพาแม่ไปหาหมอทันที โชคดีจังที่ไม่เป็นอะไรมาก ทีแรกฉันกลัวว่าแม่จะเป็นไข้หวัดนกจะตายไปเฮ้อโล่งอกไปที เพราะหมู่นี้ไก่ย่างมันเหลือแม่ก็เลยเอามากินกับข้าวด้วยฉันละเป็นห้วงเป็นห่วง แต่ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วละ
ฉันมาคิดได้ว่าการที่ฉันไม่ขโมยเงินในร้านมาคือการทำความดีอย่างหนึ่ง ทำให้ได้กำไรชีวิต เพราะว่าความดี เท่านั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ชีวิต ทำชีวิตให้มีความสุข ความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น หากปราศจากการทำความดีแล้ว ชีวิตที่แสนสั้นในโลกใบนี้ ก็ยิ่งจะหมดค่าลงไปทุกทีๆ เพราะฉะนั้นเราจึงควรรีบทำความดีทุกๆ วัน เพื่อแข่งกับเวลาที่มันกลืนเอาชีวิตของเราไปทุกขณะจิต ฉะนั้นเมื่อฉันไม่ได้ทำบาปลงไปผลดีเลยมาตอบแทนเราทำให้สวรรค์ส่งน้าตุ๊กมาเป็นคนช่วยเราทำให้ฉันมีเงินมาพาแม่ไปรักษา...
เด็วสาววัยรุ่นที่อยากมีเหมือนเพื่อน อยากได้อะไรมาเป็นของตัวเองแต่ละครั้งต้องขวนขวายหาเงินมาซื้อให้ได้ ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ฉันทำงานกับน้าตุ๊กทำให้น้าตุ๊กเอ็นดูฉันมาก ถึงกับจะรับฉันเป็นลูกบุญธรรมเลยทีเดียว น้าตุ๊กเป็นคนดีคอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด อยากได้อะไร อยากทำอะไร แค่น้าตุ๊กมองตาก็รู้ใจฉันทันที เที่ยวหาซื้อข้าวของมาให้ราวกับฉันเป็นลูกของเขา ฉันจึงรักและเทิดทูนน้าตุ๊กมากเป็นอันดับสองรองจากแม่ทีเดียว
เวลาผ่านไปจนฉันเรียนจบ น้าตุ๊กให้คำแนะนำในการศึกษาต่อ ฉันจึงเอ็นทรานติดมัคคุเทศก์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง พี่ชายของฉันก็ขวนขวายหาเงินมาให้ฉันเรียนจนฉันรู้สึกว่าฉันเป็นภาระของพี่ แต่ฉันก็ยังดีที่ฉันมีน้าตุ๊กคอยดูแลฉัน ฉันเรียนไปทำงานไป ถึงแม้ว่าเงินเดือนจะได้น้อย แต่น้าตุ๊กก็ปรนเปรอฉันด้วยสิ่งอื่น ๆ ที่เงินเดือนฉันไม่อาจจะหาซื้อได้ ฉันรู้สึกว่าน้าตุ๊กดีกับฉันเหลือเกิน
วันนั้นฉันจำได้ดีว่าน้าตุ๊กชวนฉันไปที่ดอนเมืองเพื่อไปรับใครคนหนึ่ง ฉันไปยืนเป็นเพื่อนน้าตุ๊กจนมีผู้ชายคนหนึ่งมาพร้อมสัมภาระ
"สวัสดีครับคุณแม่...เอ่อนี่ใครกันครับ..."
"กิจ่ะ คนที่แม่เล่าให้ฟังบ่อย ๆ ไง"
"อ๋อ!..สวัสดีครับ"
ฉันจึงยกมือไหว้ผู้ชายคนนี้ ผู้ชายคนนี้แต่งตัวดีดูภูมิฐาน เรียนจบนอกมาด้านการบินพลเรือนจากนอร์เวย์ เป็นคนพูดนิ่ม ๆ สุภาพ หน้าตาดูดี สูงขาว แก้มใสดูขาวอมชมพูราวกับปัดบรัซออนทีเดียว ฉันเดินไปแอบมองไปเพราะความชื่นชมในผิวของเขา
"เอ่อคุณแม่ครับเราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดี คือผมหิวแล้ว ผมอยากทานอาหารไทย ๆ แบบว่าไม่ได้ทานมานานแล้วครับ"
ผู้ชายคนนี้ยืนกอดเอ็วน้าตุ๊กอย่างน่าเอ็นดูเทียวละ ฉันรู้สึกประทับใจมาก ๆ เมื่อได้เห็นครอบครัวนี้มีความสุข....
น้าตุ๊กพาพวกเราไปทานอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งย่านสำเพ็ง ร้านนี้อาหารอร่อยมาก ฉันไม่ค่อยกล้าทานอะไรมากเพราะดูสองแม่ลูกคู่นี้เขาทานแบบผู้ดี ฉันจึงค่อย ๆ ทานแล้วก็รีบอิ่ม
"อิ่มแล้วเหรอจ๊ะลูก..."
"ค่ะ"
"ทานของหวานก่อนไหม"
"ไม่ละค่ะ ขอบคุณค่ะ"
"เอ่อคุณแม่ผมก็อิ่มแล้วเหมือนกันครับ"
"งั้นเหรอติว...เก็บเงินด้วยจ่ะ"
เราออกจากร้านแล้วก็เดินไปร้านหนังสือด้วยกัน แต่น้าตุ๊กบอกกับฉันว่าติดธุระให้คุณติวอยู่เป็นเพื่อนฉันเลือกหนังสือ ส่วนน้าตุ๊กก็ให้กุญแจรถไว้กับคุณติวแล้วก็ขึ้นแท็กซี่ไป...ฉันมีความรู้สึกเกร็ง ๆ ยังไงชอบกล ต้องมายืนอยู่กับคนที่ไม่ค่อยสนิท ทำอะไรก็ไม่ถนัด
"หนังสือเล่มนี้เข้าท่าดี เอาไปอ่านดูไหมครับ"
"หนังสืออะไรคะ..."
"หนังสือเกี่ยวกับการบริหารไง เป็นเรื่องการครองใจคนในสำนักงาน ผมว่าเข้าท่าดี"
ผู้ชายอะไรชวนผู้หญิงอ่านหนังสือเครียด ๆ ฉันนะงงไปหมด สงสัยจะแก่เรียนจนไม่รู้ว่าจะชวนคุยเรื่องอะไรแล้วมั้ง แต่ฉันก็รับหนังสือมาเปิดอ่านดู ก็เข้าท่าดีนะ ฉันจึงเลือกซื้อหนังสือเล่มนั้นมาอ่านเวลาว่าง คุณติวพาซื้อของจนข้าวของเยอะแยะไปหมดต้องให้พนักงานร้านเอาหนังสือไปส่งที่รถ จากนั้นเขาก็พาฉันไปเที่ยวต่อที่สนามหลวง พาฉันมาดูคนเล่นว่าว เราทั้งคู่เล่นไม่เป็นเลย ก็เลยได้แต่นั่งมองว่าวที่อยู่บนท้องฟ้า... ฉันก็รู้สึกแปลก ๆ อยู่เหมือนกันนะ คนเราเพิ่งรู้จักกันวันแรกแต่กลับทำท่าเหมือนรู้จักกันมานานแสนนานทีเดียว เขาตามใจฉันทุกอย่าง ลักษณะของเขานี่ถอดแบบน้าตุ๊กมาเลยทีเดียว
วันทั้งวันนั่งดูเขาเล่นว่าวกันจนบรรยากาศเริ่มมืดแล้วคุณติวจึงพาฉันแวะไปทานอาหารก่อนที่จะพาฉันมาส่งไว้ที่บ้านพี่ชาย ฉันจะปฏิเสธได้อย่างไรในเมื่ออาศัยเราเขามา ก็เลยต้องกลับบ้านค่ำ พี่ชายฉันถึงกับมายืนรอหน้าบ้านทีเดียว
"ไปไหนกับใครมา ทำไมกลับเอาป่านนี้"
"เอ่อ...กิ...."
"สวัสดีครับ คือผมเป็นลูกชายเจ้าของร้านที่น้องกิเขาไปทำงานอยู่น่ะ คือเราไปซื้อหนังสือเข้าร้านกันเลยกลับช้าไปหน่อย ขอโทษนะครับ แล้วที่คุณแม่ไม่มาด้วยเพราะท่านติดธุระน่ะครับ"
คุณติวพูดซะยืดยาวพี่กอล์ฟจึงเข้าบ้าน ฉันยืนส่งคุณติวจนรถแล่นไปสุดสายตา วันนี้ฉันรู้สึกดีนะที่ได้ไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ ฉันนอนอ่านหนังสือเล่มนั้นจนดึกแล้ก็เผลอหลับไป
ตั้งแต่มีคุณติวก้าวเข้ามาในชีวิต ฉันก็รู้สึกว่าโลกใบนี้มันเป็นสีชมพูไปหมด ฉันไม่รู้ตัวหรอกนะว่ารู้สึกเกินเลยกับคำว่าเจ้านายกับลูกจ้างไปแล้ว ตอนเย็นทุก ๆ วันศุกร์คุณติวจะขับรถมารับฉันทุกครั้งเพราะวันศุกร์คือวันหยุดของเขา คุณติวเป็นสจ๊วตอยู่สายการบินแอร์ไอทิสตี้ เขามีโครงการที่จะเปิดบริษัททัวร์ ก็เลยคิดโครงการกับฉันเพราะฉันก็กำลังเรียนมัคคุเทศก์อยู่ด้วย เมื่อวางแผนกันเป็นเวลา 2 ปีเต็มบริษัทก็เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา เริ่มมีการก่อสร้าง คุณติวก็มักจะพาฉันไปดูการก่อสร้างอยู่เสมอ ๆ จนตอนนี้ฉันเรียนใกล้จะจบแล้ว
พอฉันเรียนจบน้าตุ๊กก็เชียรให้ฉันไปเป็นเลขาของคุณติว คุณติวยังไม่ลาออกจากการเป็นสจ๊วตแต่คุณติวก็มักจะให้ฉันรักษาการแทนไปก่อนจนฉันเป็นงานทุกอย่างในบริษัท สามารถรู้และเข้าใจระบบโครงสร้างของบริษัทได้เป็นอย่างดี ฉันรู้สึกว่าฉันรักบริษัทนี้มากทีเดียว เพราะคนในบริษัทนี้ดูแลฉันเป็นอย่างดีโดยเฉพาะมีคุณติวและน้าตุ๊กที่คอยเป็นห่วงเป็นใยฉันราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน...
"เอ่อ...คุณกิผมมีเรื่องอยากจะถามคุณ"
"คะ"
"ผมกำลังหนักใจมากเลย ผมอยากจะลาออกมาทำงานที่บริษัทแต่ว่า ผมก็รักการเป็นสจ๊วต ผมรักแอร์คนนึงเธอน่ารัก สวย อ่อนหวาน เธอเป็นคนสุภาพ ดูดีไปซะทุกอย่าง คุณว่าผมควรจะทำอย่างไรดี"
ฉันรู้สึกว่ามันเจ็บแป๊บ ๆ เข้าไปในใจของฉัน แต่ฉันก็ตีหน้าเฉย ๆ เหมือนกับว่าฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลย
"คุณก็ทำตามที่ใจคุณปรารถนาเถอะ...เพราะฉันคงจะไปห้ามคุณไม่ได้หรอก"
คุณติวจึงไม่ลาออก ทีแรกฉันก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันแต่ตอนหลังฉันเริ่มชินชาเสียแล้ว เพราะฉันก็รู้ ๆ อยู่ว่าเจ้านายกับลูกน้องที่ไหนจะมารักกันได้ ฉันไม่กล้าบินสูงขนาดนั้นหรอก
"คุณติวคะ คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ นี่มันไม่ใช่วันศุกร์นะคะ"
"ผมทุกข์ใจ ผมหาทางออกไม่ได้แล้ว แอร์ที่ผมรักเธอมีสามีแล้ว ผมทำใจไม่ได้...เอือก"
คุณติวดื่มเหล้าเมามายอยู่ในออฟฟิต ฉันทนไม่ได้จึงพยุงตัวออกมาจากบริษัทแล้วก็พาไปส่งไว้ที่บ้านของน้าตุ๊ก
"กิ...ติวทำไมเป็นแบบนี้ล่ะลูก"
"สงสัยจะอกหักจากแอร์น่ะค่ะ"
"โถ่...ลูก แม่บอกแล้วว่าแม่มีคนให้ลูกเลือกอยู่แล้วลูกจะไปรักคนอื่นทำไมกัน"
น้าตุ๊กพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อย ๆ แล้วก็หันมามองหน้าฉัน ฉันจึงขอปลีกตัวกลับไปทำงานก่อน... คุณติวเป็นแบบนี้มานานหลายสัปดาห์จนฉันทนไม่ไหว
"นี่คุณ รักอนาคตบ้างหรือเปล่า...เป็นบ้าไปแล้วหรือไงกัน เอาแต่เมา ๆๆๆแล้วก็เมาชีวิตจะเจริญได้ยังไงกัน ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกซะหน่อย ทำไมต้องทำฟูมฟายเป็นเด็ก ๆ ไปได้"
"เธอจะมารู้อะไร ในเมื่อเธอไม่เคยอกหัก"
"ทำไมฉันจะไม่เคยอกหัก ฉันอกหักก็เพราะมีผู้ชายแบบคุณอยู่บนโลกใบนี้เนี่ยแหละ"
เขาถึงกับส่างเมาทีเดียว วันรุ่งขึ้นจึงไปลาออกแล้วก็หันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาทำงาน ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาจะรู้หรือเปล่า ว่าไอ้ที่ฉันพูดไปน่ะมันคือเขา แต่ฉันก็ยังเป็นคนเดิมที่วางมาดนิ่ง ๆ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณติวเห็นฉันเหมือนน้องสาวคอยเอาใจใส่ฉันเสมอ ไปรับไปส่งไม่เว้นแต่ละวันจนคนที่บ้านคิดว่เราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ
"เนี่ยคุณกิ...พนักงานต้อนรับคนใหม่ของเราน่ารักดีนะ ผมว่าผมน่าจะจีบเธอนะ"
"ก็ตามใจคุณเถอะ"
ฉันรู้สึกเฉยชาต่อเรื่องนี้ เพราะเขามักจะเอาเรื่องสาว ๆ มาปรึกษากับฉันอยู่เสมอ แต่ก็มักจะแฮ้วทุกที ฉันต้องคอยมีหน้าที่เป็นศิลานีให้เขาปรึกษาอยู่เรื่อย ๆ จนเขาพอใจ ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อไรเขาถึงจะหันมาดูฉันบ้าง แต่ก็คงชาติหน้าตอนบ่าย ๆ นั่นแหละ
"วันนี้อากาศดีเป็นพิเศษนะกิ ช่วงหน้าหนาวแบบนี้ผมอยากจะชวนคุณไปเที่ยวเชียงใหม่จริง ๆ ไปชมพระธาตุ ไปดูสาวเชียงใหม่ แหมมันท่าจะสนุกพิลึกนะ...ไปกันนะ"
"แล้วมีใครไปกันบ้างล่ะ"
"ก็มีผมกับคุณแม่ แล้วผมก็เลยชวนคุณไปด้วยเพราะเห็นเราเป็นคนครอบครัวเดียวกัน"
"จะบ้าเหรอ...พูดแบบนี้ฉันเสียหายนะ"
"เสียหายยังไง..."
ฉันเงียบแล้วก็ทำหน้าแดง ๆ เดินหนีไป นั่งทำงานต่อจนเย็น
"ไปกับผมนะ...นะนะนะ..."
เขามาอ้อนวอนให้ฉันไปราวกับเด็ก ๆ จนฉันต้องตอบตกลง แต่ต้องให้เขาไปขอร้องคุณแม่กับพี่กอล์ฟ เพราะมันไม่ดีถึงจะมีแม่เขาไปด้วยก็ตามเถอะใครมองมันก็จะยังไง ๆ อยู่นะ... เขามาขอร้องที่บ้าน ที่บ้านตอบตกลงแล้ววันรุ่งขึ้นก็ขนข้าวของไปกัน
อากาศที่นี่สวยจริง ๆ แหละ เราเดินทางมากันถึง 3 วันกว่าจะมาถึงเชียงใหม่เพราะคุณติวต้องขับรถมาตลอดทาง แวะพักที่โรงแรมตั้งแต่สุโขทัยไปเลย ฉันมีความรู้สึกว่าเหมือนฉันเป็นลูกสาวคนหนึ่งของน้าตุ๊กทีเดียว...
"คืนนี้พักที่นี่ก่อนละกัน"
คุณติวพาเข้าไปในรีสอร์ทแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ จองบ้านพักหลังนึง ฉันอยู่ห้องข้าง ๆ คุณติว ส่วนน้าตุ๊กอยู่ห้องชั้นบน ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะต่างที่ต่างทาง... ฉันนอนอย่างไม่ค่อยมีความสุข ฉันรู้สึกเหมือนใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่ ฉันจึงค่อย ๆ ลืมตาช้า ๆ
"อื้อ...อื้อ...อื้อ..."
ฉันพยายามส่งเสียงร้องแต่ใครคนนั้นเอามือมาปิดปากฉันไว้ ฉันพยายามดิ้นยังไงเขาก็ไม่ปล่อย ฉันรู้แน่ว่านั่นเป็นผู้ชายแน่ ๆ แต่ฉันต้านแรงไม่ไหวแล้ว ฉันจะทำยังไงดี...
"อย่าเอะอะโวยวายนะ ผมไม่ทำอะไรคุณหรอก ผมเอง...ติวไง"
ฉันถึงกับแทบช็อกทีเดียวเมื่อรู้ว่าเป็นคุณติว แต่ฉันก็ไม่ปิปากร้องเพราะเขาสั่งห้ามฉันไว้ เขาค่อย ๆ เดินไปเปิดไฟแล้วก็มานั่งคุยกับฉัน
"กิ...ออกไปข้างนอกกันไหม ไปดูดาวกัน เขาว่าดาวที่นี่สวยกว่าที่อื่นนะ"
"สวยกว่ายังไงคะ"
"ก็มันสูงและโล่งไง ไปดูให้ได้เชียว"
ฉันเดินออกจากห้องไปกับคุณติว ทีแรกฉันตกใจแทบแย่นึกว่าเขาจะมาทำอะไรซะอีก แต่ตอนนี้โล่งใจแล้วละเพราะเขามาดี
"ทำไมถึงชวนฉันมาดูดาวคะ...เห็นเมื่อเย็นบ่นว่าอยากจะชวนผู้หญิงที่นั่งทานกาแฟอยู่ในร้านค็อฟฟี่ช็อฟไปดูดาวไงคะ"
"อย่าพูดมากเลยเดินตามมาดีกว่านะ"
ฉันเดินตามเขาไป จนเขามาหยุดอยู่ที่ลานโล่ง ๆ มีเพียงต้นไม้ใหญ่ต้นเดียวที่เรายืนอยู่ ฉันเห็นดาวระยิบระยับบนท้องฟ้า หมู่หิ่งห้อยก็บินวนไปวนมาเป็นกลุ่มใหญ่ ช่างสวยงามเหลือเกิน...ฉันรู้สึกว่าถ้ามีคนที่รักฉันพาฉันมาเที่ยวและมาดื่มด่ำบรรยากาศ ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ที่นี่ก็คงจะดีไม่น้อยเทียวละ ฉันมัวแต่ยืนฝันอยู่เสียนานเทียว
"กิ...นั่นไงสิ่งที่ผมให้คุณมา คุณดูนั่นสิ สาวน้อยคนนั้น คุณช่วยผมหน่อยสิ ไปชวนเธอมาที่นี่แล้วก็ให้นั่งคุยกับผมหน่อย"
อ๋อ...ก็เพิ่งรู้เดียวนี้นี่เองว่าเรากลายเป็นแม่สื่อไปแล้ว...ไม่น่าเชื่อเลย อุตส่าห์ฝันลม ๆ แล้ง ๆ อยู่ตั้งนาน ที่แท้ก็เห็นประโยชน์เราตรงนี้นี่เอง...เรานี่มันบ้าไปแล้วเหรอนี่ ให้เราเดินมาทั้ง ๆ ที่ใส่ชุดนอน เฮ้อ... น้ำค้างก็ลงแต่ก็ต้องจำใจทนหนาวหน่อยเดินไปคุยกับผู้หญิงคนนั้นจนสามารถพาเขามาหาคุณติวจนได้ คืนนี้คุณติวเลยได้เธอไปควงแถมยังได้เธอไปนอนเคียงข้างด้วย ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมคุณติวง่าย ๆ แบบนี้... แต่ฉันก็ได้เพื่อนใหม่นะคือเพื่อนของคุณเพียงตาคนที่ฉันไปหว่านล้อมให้ไปคุยกับคุณติว ฉันจึงสนิทกันเพราะเหตุการณ์มันพาไป
"คุณชื่ออะไรครับ"
"คุณบอกฉันก่อนสิคะ..."
"ผมปลิวครับ"
"ฉันกิค่ะ"
"มาเที่ยวที่นี่ครั้งแรกเหรอครับ"
"ค่ะ...แล้วคุณล่ะคะ"
"ก็หลายครั้งอยู่ครับ ผมติดใจตั้งแต่มาเที่ยวกับแฟนคนแรกแล้วจนตอนนี้เลิกลากันไปก็ยังมาเที่ยวอยู่ ที่จริงผมมากันหลายคนแต่ยายเพียงตาน่ะสิชวนผมมาเพราะอยากจะเจอหน้าแฟนคุณไง"
"ไม่ใช่...เขาเป็นเจ้านายฉัน ไม่ใช่ฟงแฟนอะไรหรอก"
ฉันถึงกับตอบเสียงหลงทีเดียว ฉันคุยกันจนเริ่มรู้สึกว่าง่วงมาก ๆ ก็เลยเดินกลับบ้านหลังที่พักอยู่ คุณปลิวก็เลยมาส่ง เราแลกที่อยู่กันจากนั้นพอเช้าขึ้นมาเราก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แต่น้าตุ๊กน่ะสิเสียความรู้สึกมาก ๆ ที่คุณติวเอาคุณเพียงตาเข้ามานอนด้วย น้าตุ๊กถึงกลับช็อกทีเดียว เลยจะขอกลับกรุงเทพฯก่อน แต่คุณติวไม่ยอม น้าตุ๊กเลยไม่พูดกับคุณติวเลย... ฉันนะสงสารคุณติวและสงสารน้าตุ๊กมาก ๆ เลย ครอบครัวที่สงบสุขกลับแย่เพราะผู้หญิงคนเดียว ที่จริงฉันก็โทษตัวเองอยู่เหมือนกันที่เป็นสื่อให้น้าตุ๊กต้องหมางใจกับลูกชาย ฉันนี่มันบ้าจริง ๆ ...การเที่ยวครั้งนี้เลยกล่อยเพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี
พอกลับมาได้สามวันคุณปลิวก็ติดต่อมา เรานัดเจอกันบ่อยครั้งจนคุณติวไม่ค่อยพอใจหาว่าฉันอู้งาน ฉันก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าเขาโกรธทำไมเพราะว่าฉันไม่เห็นว่าฉันจะใช้เวลางานตรงไหนเลย แต่คุณติวกลับแสดงออกจนน่าเกลียด
"นายอีกแล้วเหรอ ว่างนักไง...ถึงได้มาชวนเลขาของผมไปเรื่อยเลย"
"คุณ...นี่มันเลิกงานแล้วนะครับจะใช้แรงงานกันไปถึงไหนกัน"
"นาย...."
คุณติวถึงกับพูดไม่ออกเลยเมื่อถูกคุณปลิวตอกกลับซะหน้าแหกทีเดียว...
เดี๋ยวนี้คนที่ไปรับไปส่งฉันทุกวันก็คือคุณปลิว เพราะคุณติวเธอไม่ค่อยว่างนัก อีกอย่างฉันก็รบกวนเขามามากแล้วเหมือนกัน มีเพื่อนใหม่ก็ดีนะอาศัยเขากลับบ้านทุกวันจนที่บ้านเริ่มพูดแปลก ๆ
"เสน่ห์แรงนะเนี่ย เดี๋ยวก็เจ้านายมาส่ง เดี๋ยวก็คุณปลิวลูกเจ้าของหนังสือพิมพ์มาส่ง เอ...มันยังไง ๆ อยู่นา...สรุปชอบคนไหนนะเรา..."
พี่กอล์ฟมักจะแซวแบบนี้เป็นประจำจนฉันเริ่มรู้สึกเขิน ๆ แต่ฉันก็แกล้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นตามเดิม
คุณปลิวเข้ามามีบทบาทในชีวิตฉันมากขึ้น เป็นเวลา 1 ปีเต็มที่เรารู้จักกันมา เขาเอาใจใส่ฉันทุกอย่าง แต่ก็มีคนที่ทำท่าไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร คือคุณติว เขาชอบทำหน้าเบ้ทุกทีที่คุณปลิวมา ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรจงเกลียดจงชังเขาจังเลย...เฮ้อ...ฉันเห็นแล้วก็ปวดหัว
"ถามจริง ๆ เถอะคุณเป็นแฟนหมอนั่นเหรอ"
"จะบ้าเหรอคุณติว...ฉันน่ะนะ...ไม่อาจเอื้อมค่ะฉันมันคนเดินดินไม่สมควรจะบินสูงหรอก อย่างดีถ้าจะหาแฟนก็หาที่มัรระดับเดียวกันจะดีกว่า เขาจะได้ไม่ดูถูกเราจริงไหมคะ"
คุณติวถึงกับเบรครถกระทันหันทีเดียว...
"อุ้ย....!!!...เบรคทำไมคะ"
"คุณเคยชอบผมไหม"
"หา........................!!!!"
ฉันถึงกลับอึ้งทีเดียว แต่เขาก็ย้ำกับฉันอีกครั้ง
"คุณเคยชอบผมไหม"
"ก็คุณเป็นเจ้านายฉันจะให้ฉันไม่ชอบได้ยังไงกัน"
"ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น...ผมถามว่าคุณน่ะรักผมไหม...."
หัวใจฉันเต้นรัวราวกับลูกสูบทำงานเกินปกติ ฉันรู้สึกตัวชาหน้าชาแดงกล่ำไปหมด แล้วฉันก็ไม่ได้ตอบอะไร
"ถ้าคุณไม่ตอบผมถือว่าคุณ OK.นะ"
"เอ่อ....ฉันไม่รู้จะตอบยังไงค่ะ..."
"ก็พูด ๆ มาสิ"
"ฉันเป็นผู้หญิงนะ...แล้วจะให้ฉันมาพูดอะไรแบบนี้ได้ไงกัน"
เขาไม่พูดต่อแต่ก็ขับรถยาวทีเดียว ฉันไม่รู้ว่าเขาจะพาฉันไปไหนแต่ฉันรู้ว่าเขาต้องไม่ทำอะไรฉันเพราะเขาเป็นสุภาพบุรุษ เขาขับรถจนฉันหลับไป พอมาโผล่อีกทีก็เส้นทางไปเชียงใหม่แล้ว
"นี่มันอะไรกันคะ..."
"ผมเห็นคุณชอบที่สวย ๆ ผมก็เลยพาคุณมาสร้างบรรยากาศหน่อย หรือว่าคุณไม่ชอบ"
"แต่ฉันยังไม่ได้ขออนุ..."
"ผมขออนุญาติคุณแม่คุณแล้วละ...คุณไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้นะ และผมก็เตรียมเสื้อผ้ามาให้คุณเรียนบร้อยแล้วรวมทั้งของใช้ส่วนตัว"
"คุณ..."
ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย เขาพาฉันมาพักที่รีสอร์ทที่เดิม พาฉันไปพักห้องที่เดิม แล้วก็ชวนฉันไปดูดาวเหมือนเดิม
"คุณนัดกับคุณเพียงตาไว้เหรอ..."
"เปล่า...นี่คุณผมมาแค่เรานะไม่ใช่จะมาหาเศษหาเลยกับคนอื่น"
"ฉันไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ"
ฉันไม่รู้ว่าเขาพูดอะไร แต่พอฉันเห็นบรรยากาศที่เต็มไปด้วยดาวเต็มท้องฟ้า หิ่งห้อยบินเป็นกลุ่มใหญ่ดูเพลินตาแบบนี้ก็ชวนให้ฉันหยุดคิดเรื่องทุกเรื่องแล้วก็นั่งมองดูดาวอย่างมีความสุข
"คุณรู้ไหมว่าผมชอบคุณตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้าคุณเลย"
"หือ..."
"พอผมเห็นหน้าคุณผมก็รู้ได้เลยว่านี่แหละสะเป็กผม"
"อือ..."
"ผมขอโทษนะที่ทำตัวเป็นเพลบอยโดยไม่คิดถึงจิตใจของคุณ...คุณแม่ท่านอยากให้เราแต่งงานกัน แต่ว่าผมมันมัวห่วงแต่ความสำราญอย่างผู้ชายที่ไม่เอาไหน ผมขอโทษคุณด้วยนะกิ"
"หาอะไรนะ..."
"นี่คุณไม่ได้ฟังที่ผมพูดเลยเหรอ"
ฉันส่ายหน้าคุณติวก็เลยโกรธเดินหนีไป ฉันไม่รู้หรอกว่าเขาพูดอะไรเพราะฉันมัวแต่นึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ ของครอบครัวฉัน ฉันอยากให้คุณแม่มาเห็นที่นี่จังเลย... จนไม่ได้ฟังที่คุณติวพูด แต่พอเขาเดินไปได้พักหนึ่งเขาก็กลับมา
"นี่จะไม่ง้อเลยเหรอ งอนนะ"
ฉันถึงกับหัวเราะเลยละเพราะไม่คิดว่าเขาจะงอนเป็น ผู้ชายอะไรขี้งอนไปได้ ดูสิจะให้ผู้หญิงง้อ ไม่เอาด้วยหรอก ท่าจะบ้า ลูกคุณหนูนี่ก็เอาใจยากจริง ๆ เลยนะ
"อ่ะง้อก็ได้"
"ไหนล่ะที่บอกว่าง้อ"
"ก็นี่ไง....ง้อ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ"
ฉันหัวเราะขึ้นมาเขาก็เลยเอามือมาขยี้หัวฉัน
"แต่งงานกับผมนะ"
ประโยคนี้ถึงกลับทำให้ฉันอึ้งมากที่สุด เพราะฉันไม่คิดว่าเขาจะพูดคำนี้กับฉัน และฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเขารักฉัน ทั้ง ๆ ที่ปกติเขาไม่มีท่าทีที่แสดงออกมาเลยว่ารักฉัน
ฉันแต่งงานได้ 3 ปีก็ท้อง แต่สุขภาพของฉันไม่แข็งแรงเลยแท้งง่าย หมอบอกให้พักผ่อนมาก ๆ แต่จะทำยังไงได้ล่ะในเมื่อฉันกำลังบ้างาน ฉันท้องครั้งต่อมาก็แท้งอีก สรุปแล้วฉันท้องมาถึง 5 ครั้งแล้วก็แท้ง 5 ครั้งทำให้เขาหมดกำลังใจ
วันหนึ่งเขาล้มป่วยลง เพราะข้าวปลากินไม่ตรงเวลา ปวดท้องอยู่บ่อย ๆ พอไปตรวจก็ทราบว่าเขาเป็นมะเร็งลำไส้ระยะสุดท้ายแล้ว ฉันเป็นห่วงเขามากเลย คอยดูแลเขามาโดยตลอด เมื่อฉันรู้ว่าเขาจะไม่อยู่กับฉันแน่ ๆ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากแต่ก็ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้ข้างใน ฉันรู้สึกผิดจริง ๆ เลย
"กิ...จะร้องก็ร้องออกมาเถอะ อย่าฝืนเก็บไว้คนเดียวเลย"
ตอนที่คุณติวบอกฉัน ฉันถึงกลับปล่อยโฮออกมาทีเดียว ฉันไม่รู้ว่าชีวิตของฉันจะอยู่เพื่ออะไรในเมื่อตอนนี้คนที่ฉันรักคนหนึ่งกำลังจะจากฉันไปแล้ว... ฉันต้องอยู่อย่างเดียวดายอ้างว้างไม่มีใคร บ้านที่เคยอยู่เคยเห็นหน้ากันทุกวัน ต้องมีอันต้องขาดใครคนใดคนหนึ่งไป ฉันหมดกำลังใจที่จะทำงานต่อไปจริง ๆ
"ผมไม่เป็นไรหรอกกิ...ทำใจสบาย ๆ ถือว่าเรามีกรรมร่วมกันมาเท่านี้ รักษาสุขภาพนะกิอย่าหักโหมจนเกินไป ผมรักคุณนะ กิ...ผม"
คำพูดคำสุดท้ายมันทำให้ชีวิตฉันจมดิ่งอยู่กับความหลัง ฉันจำคำพูดทุกคำของเขาได้ดี คุณติวคุณเป็นคนที่ฉันรักมากที่สุด แต่ฉันกลับไม่ได้ทำอะไรเพื่อคุณเลย ฉันกอดแม่ของเขาร้องไห้จนถึงวาระสุดท้ายที่ฉันต้องเผาทั้งเขาและแม่ของเขา ฉันรู้สึกว่าฉันอ้างว้างเดียวดายที่สุด ชีวิตของฉันเหลือเพียงฉันคนเดียว...
ฉันยังคงเก็บถาพวันวานของเราไว้เสมอ...คุณติว คุณแม่ตุ๊กฉันรักทั้งคู่มากเลยค่ะ ลาก่อนนะคะขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขติด้วยเถิด แล้วฉันก็เอากระดูกและขี้เถ้าไปลอยอังคารที่กลางทะเล ฉันหวังแค่เพียงฝันถึงเขาทุกวันก็พอแล้ว...
จบแล้วค่ะกับเรื่องสั้นทั้ง 4 ภาค
ตั้งแต่ภาคแรก เรื่อง คนที่ไม่เคยสำคัญ
ภาคสอง " มรสุมทางใจ
ภาคสาม " พ่ายให้แก่...เธอ
และภาคสุดท้าย " วันวาน...
เป็นอย่างไรบ้างคะ สมกับที่รอคอยหรือเปล่า...ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงานมาโดยตลอดค่ะ ถ้าอยากให้ต่อภาค 5 โปรดเขียนมาบอกด้วยนะคะว่าจะให้แต่งเรื่องของใคร หรือจะให้เพื่มตอนไหน...อยากให้มีตัวละครชื่ออะไรอีกช่วยบอกนะคะ ต้องการให้แต่งแนวไหน จะจัดให้ค่ะ และจะไปเก็บข้อมูลมาแต่งให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ...
...............ขอบคุณค่ะ.....................
18 กรกฎาคม 2547 17:08 น.
สุชาดา โมรา
จะมีใครสักกี่คนที่จะทำความดีได้ตลอดชีวิต และจะมีใครสักกี่คนที่จะเป็นคนเลวได้ตลอดชีวิต... ผมว่าไม่มีหรอกนะเพราะคนทุกคนย่อมมีทั้งส่วนเลวและดีในคน ๆ เดียวกัน และผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้น...
ผมกำลังยืนอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งกับผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ผมมองไปรอบ ๆ ตัว ผมเห็นมีแต่คนร้องไห้ ทำไมพวกเขาจึงเศร้าได้ขนาดนี้ล่ะ ผมทักใครสะกิดใครก็ไม่มีใครคุยกับผม จนกระทั่งผมเดินมายืนหยุดตรงหน้าพ่อ-แม่ผม ผมเห็นท่านร้องไห้อย่างคนสิ้นหวัง
"คุณแม่ครับ คุณพ่อครับ....ร้องไห้ทำไมครับ ผมอยู่ตรงนี้แล้วอย่าร้องนะครับ"
ผมปลอบใจท่านเท่าไรแต่ท่านก็ยังไม่หยุดร้องไห้เสียทีผมไม่รู้จะทำอย่างไรผมจึงเดินออกมานั่งที่ศาลาวัดและก็นึกถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม... ผมนั่งคิดและพูดกับตัวเองราวกับคนบ้า...ผมรู้สึกว่าที่นี่ไม่มีใครสนใจผมเลย
ชีวิตของผมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ผมไม่เคยรู้ว่าต่อไปอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมเคยฝันอยากจะเป็นนั่นอยากจะเป็นนี่ แต่ตัวผมเองกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด ผมทั้งโดดเรียน กินเหล้า เฮตามเพื่อนมาโดยตลอด ไม่ว่าเพื่อนจะไปทางไหนก็จะมีผมอยู่ด้วยเสมอ แม้แต่เรื่องเรียนก็ตามผมยังเรียนตามเพื่อนเลย ทั้ง ๆ ที่ผมก็รู้ว่าผมไม่ถนัดเลยไอ้เรื่องไฟฟ้าเนี่ย เพราะมันต้องคำนวณ...ถึงเรียนก็ต้องตกก็ต้องซ่อม ยิ่งกฎของโอมนะผมยิ่งเกลียดมาก ๆ เลย ให้ท่องอะไรนักหนาก็ไม่รู้ สูตรบ้าบออะไรก็เยอะแยะ เฮ้อ...
ผมรู้ตัวว่าผมไม่เคยทำอะไรดีเลยสักอย่าง ผมทำให้พ่อ-แม่ต้องทุกข์ใจทั้ง ๆ ที่ผมก็เป็นเพียงความหวังเดียวของครอบครัว ผมจำได้ว่าเมื่อตอนผมยังเล็ก ผมทำตัวเป็นเด็กดีเชื่อฟังพ่อแม่ ขยันเรียนได้เกรดดีมาตลอด เป็นผู้นำของห้องเรียน เป็นที่ภาคภูมิใจของพ่อแม่ ครูอาจารย์ และเพื่อนฝูง พอโรงเรียนเลิกผมก็มักจะไปรับจ้างล้างจานอยู่ที่ร้านอาหารข้างบ้านผม ทำให้พ่อแม่ไม่ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องค่าขนมของผม...เพราะว่าฐานะบ้านเราไม่ค่อยดีนัก
พ่อผมทำงานอยู่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิพุทธสมาคมฯ ส่วนแม่ผมไม่ได้ทำอะไรหรอกวัน ๆ ก็เอาแต่เล่นไพ่ สร้างหนี้สินไม่รู้จักหยุดหย่อน เช้าขึ้นมาผมก็เห็นพ่อกับแม่กินโอวันตีนใส่หน้าแข้งทุกวัน...พอเย็นก็เป็นแบบนี้เช่นกัน ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่มีความสุขสำหรับผมเลยสักนิด
ชีวิตที่ไม่เอาถ่านของผัวเมียที่มีแต่หนี้และไม่ค่อยเอาใจใส่ครอบครัว ทำให้ผมเบื่อหน่ายและอยากจะหนีไปให้ไกล ๆ ผมเคยคิดอยากจะลองยาแต่ว่าใจยังไม่ถึง อีกอย่างผมก็ไม่มีปัญญาที่จะซื้อมันกินด้วย
ตอนนั้นผมจบ ม.3 มาหมาด ๆ ได้เข้าเรียนวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ผมไม่สามารถที่จะลงทะเบียนเรียนได้เพราะไม่มีเงิน แม่ของผมเที่ยวหยิบยืมเงินใครก็ไม่มีใครเขาให้ยืมเพราะแม่เป็นคนเหนียวหนี้ พอมีเงินก็ไม่ไปจ่ายให้เขา เอามาเล่นไพ่จนหมดเนื้อหมดตัว... ผมจึงไม่ได้ลงทะเบียนเรียน ผมจำได้ว่าวันนั้นผมนั่งร้องไห้จนตาบวมไปหมด จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าผม...
"เป็นอะไรล่ะ...จ้อย"
"ผมไม่มีเงินไปลงทะเบียนเรียนครับปู่"
"แม่เอ็งล่ะ..."
"เล่นไพ่อยู่บ้านยายปิ๋มครับ"
"แม่มึงนี่ใช้ไม่ได้เลย วัน ๆ เอาแต่เล่นไพ่ถึงว่าลูกทำไมไม่มีเงินเรียน...เฮ้อ!...มา ๆ เข้าบ้านเดี๋ยวกินข้าวซะนะปู่ซื้อมาฝาก"
"แล้วปู่มายังไงครับ"
"ก็พ่อเอ็งเขาโทรไปบอกปู่ว่าเขาจะไปธุระที่กรุงเทพฯกับนายเขา พ่อเอ็งเขาเป็นห่วงนะเขารู้ว่าแม่เอ็งต้องไม่อยู่ดูแลลูกจึงให้ปู่มาดูแล"
ผมส่งน้ำให้ปู่ หาจานมาใส่กับข้าวแล้วจึงเดินไปอาบน้ำ...ผมรู้สึกว่าตัวเองหดหู่เหลือเกิน ทำไมชีวิตครอบครัวของผมถึงไม่เหมือนคนอื่น ๆ แบบนี้
"จ้อย...ไม่มีเงินลงทะเบียนก็มาเอากับปู่นี่เดี๋ยวพรุ่งนี้ปู่พาไปมอบตัวที่โรงเรียนเอง"
ผมรู้สึกว่าเหมือนฟ้ามาโปรดผมเลย ผมได้เข้าเรียน มีเพื่อนมากมาย รวมทั้งเพื่อนเก่าที่ผมตามกันมาด้วย... ตอนแรกผมก็วางตัวดี ตั้งใจเรียน แต่ผมก็เรียนไม่ได้ดีนักเพราะผมไม่เก่งคำนวณ ผมรู้สึกว่าช่างไฟฟ้านี่ไม่เหมาะกับผมเลย... เมื่อผมเรียนไม่รู้เรื่องผมก็เลยเฮตามเพื่อน เวลาเพื่อนไปไหนต้องมีผมอยู่ที่นั่น จนไม่ได้เข้าเรียน อาจารย์ก็มีหนังสือเรียกผู้ปกครองอยู่บ่อย ๆ แต่ก็เป็นโชคของผมทุกทีเพราะผมมักจะมาทันตอนไปรษณีย์ส่งจดหมายพอดี ผมก็เลยเอาจดหมายไปซ่อน พ่อผมจึงไม่มีโอกาสไปโรงเรียนกับผมสักที
"จ้อยเอ้ย...จ้อย...หยิบซองเอกสารเล็ก ๆ ในห้องให้พ่อหน่อยเร็ว..."
พ่อเรียกให้ผมไปหยิบอะไรมาให้ก็ไม่รู้ แต่ผมรู้สึกว่าซองนั้นมันค่อนข้างหนาเป็นพิเศษ...เมื่อผมส่งให้พ่อ พ่อก็หยิบของในนั้นออกมาผมถึงกับตาโตทีเดียว...
"นี่มันเงินทั้งนั้นเลยนี่...พ่อเอามาจากไหนกัน"
"พ่อถอนออกมาจาธนาคารเพื่อเอามาใช้หนี้ให้แม่แกเขา แล้วก็จะเอาไปคืนปู่แกเขา แม่แกนี่ใช้ไม่ได้เลยนะจ้อย..."
พ่อพูดเหมือนไม่พอใจ แต่ผมก็รู้สึกว่าดีนะที่บ้านเราจะหมดหนี้ แต่อีกใจหนึ่งผมก็คิดว่าเดี๋ยวแม่ก็สร้างหนี้อีก...เฮ้อ...คิดแล้วก็กลุ้มใจเมื่อไรครอบครัวเราจะมีความสุขสักทีนะ
"จ้อยอยากได้รถไว้ขับไปโรงเรียนไหม"
ผมรู้สึกใจหวิวตัวลอยเชียวละ ผมว่าพ่อต้องซื้อรถให้ผมแน่ ๆ เลย ผมรู้สึกว่าผมมีความสุขที่สุดเมื่อได้ยินพ่อพูดคำนี้...แต่เอ...พ่อจะเอาเงินมาจากไหนนักหนากัน
"แล้วพ่อมีเงินเหรอ"
"ไม่มีก็กู้เอาสิ...เพื่อลูกแล้วพ่อทำได้ทุกอย่างละ...แล้วจะไปเลือกรถกันวันไหนล่ะ"
............
วันแรกที่มีรถขับผมรู้สึกว่ามันโก้จริง ๆ ผมขับร่อนไปร่อนมาในโรงเรียนจนยามต้องเรียกไปเตือนบ่อย ๆ เพื่อน ๆ ก็เฮกันเพราะผมได้รถใหม่ เราก็เลยมาตั้งแก๊งขับ รีด ป่วนกัน วัน ๆ ก็ไถเงินคนนั้นทีคนนี้ที ขับรถร่อนไปร่อนมากวนชาวบ้านในโรงเรียน ยามเรียกก็ไม่สนใจ พวกผมรู้สึกว่ามันเท่มากเลยที่ทำแบบนี้... รู้สึกสะใจ ยิ่งเมื่อผมขับรถยกหน้าได้นะโอ้โห...ราวกับเป็นฮีโร่ของกลุ่มเลยละ ผมมีความสุขมากทีเดียว
แอ๋น...แอ้นแอ๋นแอ๋แอ๋...........น
เสียงรถขับป่วนในโรงเรียนยกหน้าบ้าง ขี่วนเป็นวงกลมบ้างดูมันเท่มาก ๆ เลย จนกระทั่งผมขับรถแหกโค้งไปล้มตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง ทางด้านหน้าของตึกคอมพิวเตอร์ เธอน่ารักมาก ๆ ดูเธอตกใจมากทีเดียว หนังสือเกลื่อนกลาดอยู่กลางถนน เธอนั่งจุ้มปุ๊กอยู่ตรงพื้น เมื่อผมประคองรถขึ้นได้ผมก็ไปช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น ช่วยเธอเก็บหนังสือแต่เธอก็ไม่พูดกับผมสักนิด เพื่อน ๆ ผมขับรถมาหาก็แซวผมจนเธออายเดินหนีไป
"เฮ้ย!...เป็นไงบ้างวะ อุบัติเหตุรักไง๊"
ผมเห็นเธอเดินหนีผมก็รู้สึกใจคอไม่ดีเลย ผมรู้สึกว่าผมหวั่นไหวเพราะเธอคนนี้ หรือว่าผมชอบเธอเข้าให้แล้ว เมื่อผมรู้ตัวว่าผมชอบเธอผมจึงตามตื้อเธออยู่เรื่อย ๆ จนเธอรำคาญ
"ไปให้พ้นนะไอ้พวกบ้า...!!!!"
ผมรู้สึกใจคอไม่ดี ไม่ว่าผมจะทำอย่างไรเธอก็ไม่สนใจผม ผมไม่รู้ว่าผมจะทำอย่างไรดีเธอถึงจะมารักผม เพื่อน ๆ ก็แซวทุกวันจนผมรู้สึกทนไม่ไหวแล้ว... ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว... แต่อย่างว่าแหละไม่มีใครที่ไหนหรอกจะชอบผู้ชายที่เกะกะเกเร พวกป่วนเมืองอย่างผม นึกแล้วก็กลุ้มใจจริง ๆ นะ
วันนี้ผมเห็นเธออีกครั้ง แต่เธอเดินมากับใครบางคน ผู้ชายคนนั้นท่าทางดูดีน่าจะเก่งเรียน แต่ดู ๆ บางทีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
"เฮ้ย...!!!พวกมึงรู้ไหมว่าน้องแนนเดินมากับใคร"
"เฮ้ย...มึงอย่ายุ่งเชียวนะไอ้จ้อยนั่นมันเด็กผู้ใหญ่หินนะเว้ย...!!!"
"เออใช่ว่ะ...ถ้ามึงยุ่งนะกูว่าเกิดเรื่องแน่ ๆ แหละ ดีไม่ดีบ้านมึงอาจเหลือแต่ตอก็ได้นะ...เฮ้ย...กูว่าอย่าเชียวนะที่จริงมึงมีแฟนแล้วทำไมมึงต้องไปจีบน้องแนนด้วยวะกูไม่เข้าใจเลยว่ะ"
"กูไม่สนหรอกไอ้ชิด ไอ้ตั้มถ้ากูรักใครแล้วกูต้องไม่แพ้เว้ย...!!!!...อีกอย่างกูชอบจับปลาหลาย ๆ มือเฟ้ยมันเร้าใจดี"
ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ และก็จ้องมองไอ้หมอนั่น
"มาอีกแล้วเหรอ...หน้าหนาจริง ๆ เลยนะ"
"ทำไมเหรอ...โรงเรียนเป็นของเธอคนเดียงไง๊!...เราถึงเดินไม่ได้"
"เฮ้ย...!!!พูดกับผู้หญิงน่ะพูดมันดี ๆ หน่อยโว้ย..."
"ทำไมมึงยุ่งไรด้วย...ไอ้กรวก!!!!"
พอผมพูดคำนี้จบหมอนี่ก็ซัดผมลงไปกองกับพื้นทีเดียว ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย จนเพื่อน ๆ วิ่งมาช่วยผม สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แทบจะมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร พวกเราซัดกันอย่างเมามันมาก เมื่อผมได้ทีก็ซัดใส่หมอนี่ทันที
"มึงเก่งนักใช่ไหม...ทำตัวเป็นฮีโร่...นึกว่าจะแน่...โถ่ไอ้กรวกเอ๊ย...!!"
"แน่ะเพื่อนกูว่ามึงยังมามองอีก เอาไงวะ...เดี๋ยวปั๊ด..."
"พอ ๆ เถอะมึงกูว่าเป็นเรื่องแน่ ๆ เลยว่ะสารวัตรนักเรียนมานู่นแล้ว..."
ผมกับพวกคิดอะไรไม่ออกก็เลย ผมจึงคว้ารถได้ก็ฉุดเธอนั่งซ้อนท้ายไปเลย ส่วนไอ้หมอนี่ผมก็เอาไปด้วยโดยมันซ้อนท้ายเพื่อนผมไป เมื่อมาถึงโกดังที่พวกเราซ่องสุมกันบ่อย ๆ ผมก็จับไอ้หมอนี่มัดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพวกผมก็เดินวนไปวนมารอบ ๆ ตัวมัน ผมรู้สึกว่าผมเท่มาก ๆ ทีเดียว
"อย่า...อย่าทำพี่รบนะ บอกว่าอย่ายังไงเล่า"
"ถ้ายอมเป็นแฟนพี่แล้วพี่จะปล่อยมันไป...ว่าไง..."
"ไอ้...ไอ้เลว พวกแกนี่มันเลวจริง ๆเลย ไม่มีปัญญาหาแฟนรึไงทำไมต้องมาทำร้ายกันแบบนี้ ถ้าฉันหลุดไปได้นะ...ฉันจะ...อื้อ...อื้อ...อื้อ"
เพื่อนผมเอามืออุดปากเธอเอาไว้ ผมจึงเอาเชือกมามัดแขนและขาเธอยึดติดกับเสาที่กลางโกดัง
"เฮ้ย!...กูว่ากูคิดอะไรออกแล้วว่ะ รับรองเธอสนุกแน่ ๆ นะจ๊ะสาวน้อย"
ผมพูดกับเพื่อนแล้วก็หันไปพูดกับเธอ แต่ผมก็รู้สึกว่าใจมันสั่นเหลือเกินเมื่อเห็นเธอจ้องตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
"อ่ะให้โอกาสพูดนะจ๊ะคนดี...อยากจะโทรหาใครก่อนจ๊ะ"
ไอ้ชิดเพื่อนของผมพูดขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากดโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง
"ฮัลโหลกุ้งหรือเปล่าครับ เอ่อแนนไม่สบายมากเลยเธอช่วยมารับเพื่อนของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลที ตอนนี้อยู่ที่ท่ารถเมย์ตรงหน้าตลาดนะ"
ติ๊ด...เมื่อวางหูเสร็จเพื่อนผมก็ยิ้มเยาะชอบใจใหญ่
"เฮ้ยมึงไปรับน้องกุ้งมาที่โกดังหน่อย"
"ที่ไหนวะไอ้ชิด"
"ไอ้ด้วงมึงไม่ได้ฟังกูพูดโทรศัพท์เลยเหรอวะ...เดี๊ยสวยหรอก"
"เออ ๆ กูรู้แล้ว หน้าตลาดใช่ปะ"
เมื่อไอ้ด้วงขับรถออกไปได้พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมน้องกุ้งและเพื่อนอีก 2 คน
"นี่ไงน้องแนนนอนสลบอยู่ที่นี่ไงตามมาสิ มาหลาย ๆ คนก็ดีจะได้ช่วย ๆ กันพยุง"
ครืด...เสียงประตูโกดังเปิดขึ้นเพื่อน ๆ ที่แอบอยู่ข้าง ๆ ประตูก็วิ่งไปข้างหลังผู้หญิง 2 คนและอุดปากทันที ส่วนไอ้ด้วงก็ปิดประตูตามเดิม
"อื้อ...อื้อ...อื้อ"
"อย่าดิ้นสิจ๊ะน้องกุ้ง...เฮ้ยไอ้รัตน์เอาเชือกมามันน้อง ๆ หน่อยเร้ว...วันนี้สนุกแน่ ๆ ว่ะ...55555"
ไอ้ชิดหัวเราะชอบใจใหญ่แล้วก็มัดน้องกุ้งและเพื่อนไว้กับมุมห้อง
"เฮ้ย...มึงไอ้จ้อยมึงเอาเด็กมึงไป กูเอาน้องกุ้งน่ารักดี มึงไอ้ด้วงมึงเอาน้องคนนี้ไปนะเพราะมึงไปพาน้องเขามา..."
"อ้าวแล้วพวกกู 2 คนล่ะวะ"
"มึงก็ไปหามาสิไอ้รัตน์ ไอ้ตั้ม"
ไอ้ตั้มมันทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรแต่มันก็เดินเข้าไปหาน้องกุ้งทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง
"เฮ้ย...มึงทำอะไรกับเด็กกูวะ"
"กูไม่ทำอะไรหรอกเพียงแต่กูจะเอาโทรศัพท์มากดหาเบอร์เพื่อนน้องเขาหน่อยว่ะ"
แล้วไอ้ตั้มก็กดเบอร์หาน้องคนนึงแล้วก็กดอีกเบอร์นึง สักพักไอ้ตั้มกับไอ้รัตน์ก็ออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีก 3 คน พวกมันมัดมือมัดเท้าผู้หญิงแล้วก็เอามานั่งรวมกันที่มุมโกดัง...
ตึก ตึก ตึก...ไอ้ด้วงเดินเข้าไปหาไอ้รบแล้วก็กระชากผมให้มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแกะผ้ามัดปากออก
"กูให้โอกาสมึงนะว่ามึงจะเอาไง...ระหว่างผู้หญิงกับตัวมึง"
"ถุย...ไอ้***"
ไอ้รบมันถุยน้ำลายใส่พร้อมกับด่าคำหยาบคายขึ้นมาทำให้ไอ้ด้วงไม่พอใจ
"มึงเก่งนักไง๊...หา....จะตายอยู่แล้วยังจะมาทำเก่ง...ถุย..."
ไอ้ด้วงถุยน้ำลายคืนแล้วก็หันหลังให้มันเหมือนกับว่าจะพอใจแค่นั้น แต่ก็เปล่าเลยมันหันกลับไปกระโดดถีบและซ้อมไอ้รบซะกระอักกระอ่วม
"เมื่อคราวที่แล้วกูยังไม่ได้เอาคืนเลย ที่มึงกับพวกข่มขืนแฟนกู...วันนี้กูเอาคืนมั่งหละ"
ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้ด้วงเพื่อนที่เงียบที่สุดในกลุ่มจะมีแฟน และไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันกับไอ้รบจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน...ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ...
"มึงมันเด็กผู้ใหญ่หิน แต่กูมันเด็กกำนันโป้งโว้ย...55555....มึงเสร็จแน่ไอ้รบ"
"มึงนี่เองนี่เป็นแฟนอีจูน อีอวบนั่น...กูสมเพชมึงจริง ๆ เลยที่มึงยังไม่เคยฟันอีนั่น แหมคิดแล้วมันสะใจจริง ๆ เลยโว้ย...55555......หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย...."
"มึง...มึง...ยังมาทำปากดีอีกนะมึง...ไอ้***...กูดูสิว่ามึงจะปากดีอีกไหม...มึงหล่อนักนี่ไอ้รบ...แต่มึงมันก็เลวไม่แตกต่างจากกูหรอก...ไอ้ระยำ...นี่เธอดูหน้าหล่อ ๆ ของแฟนเธอไว้ แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ซะว่าไอ้นี่มันก็ไอ้เลวคนนึงที่หาแฟนไม่ได้แล้วก็มาย่ำยีคนอื่น...เธอคงเสร็จมันไปแล้วสิ"
"จริงเหรอ...หา..."
พอผมได้ฟังไอ้ด้วงพูดผมก็ฉุนทันทีเลย ผมก็เลยเขย่าตัวเธอและก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อเธอออกแล้วก็รวนรามเธอทันที
"เฮ้ย...อย่านะเว้ย...มึงอย่า...."
"มึงรักนังแนนด้วยเหรอวะ หน้าอย่างมึงมันรักใครไม่เป็นหรอกโว้ย...55555....กูสะใจจริง ๆ เลยว่ะ"
"ถุย...ไอ้เลว...มึงทำได้กับผู้หญิงเหรอ..."
"แล้วมึงล่ะไอ้กรวก...มึงดีนักนี่ที่ทำกับแฟนกู...เอ...ที่มึงหวงนี่กูถามจริง ๆ เหอะมึงนอนกับอีนี่หรือยังวะ"
"ยังโว้ย..."
"งั้นก็ดี...กูจะได้ทำให้มึงเห็นว่าการเจ็บปวดมันเป็นยังไง"
แล้วไอ้ด้วงก็ถอดเสื้อผ้าของไอ้รบออกแล้วก็เอาน้ำมาสาดตัวไอ้รบให้เปียก จากนั้นก็ลากเอาไอ้รบไปพร้อมกับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ ๆ ผมกับน้องแนนแล้วก็ดูราเสพสมกัน ส่วนพวกมันที่เหลือเมื่อเห็นผมทำมันก็ทำตาม วันนั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านกัน พวกเราทั้งกินเหล้าทั้งเสพสมเวียนคนแล้วคนเล่าจนผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าน้องแนนเป็นของใครไปบ้างและผมก็ได้ไปแล้วกับใครกี่รอบ...จนในที่สุดพวกเราหมดแรงและก็หลับไปจนกระทั่งเช้า
"เฮ้ย...ตื่น ๆๆๆ ตื่นได้แล้วว่ะเช้าแล้วเว้ยเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
"มึงยังอยากจะเข้าเรียนอยู่อีกเหรอไอ้จ้อย ป่านนี้สารวัตรนักเรียนก็ยืนเต็มไปหมดแล้ว...ก็รอจับพวกเราไงหรือว่ามึงอยากโดนจับ...ทำหน้าเป็นควายบ้านทุ่งไปได้"
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราโดดเรียนกัน ผมไม่มีเงินสักบาทแต่ไอ้ด้วงมันมี มันซื้อของมาให้กินเพราะบ้านมันค่อนข้างฐานะดี...พวกเรากินกันและแบ่งให้น้อง ๆ กันบ้างแต่เราไม่ได้แบ่งให้ไอ้รบมันเลย
"มึงอยากินไง๊...อ่ะ"
ไอ้ด้วงส่งข้าวกล่องให้ไอ้รบ ผมเห็นมันทำท่าอยากกินจนใจแทบขาดแต่ไอ้ด้วงสิมันกลับเอาข้าวยีหน้าไอ้รบและหัวเราะชอบใจ ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยวันนี้เหมือนมีลางสังหรอะไรสักอย่าง
เมื่อผมปวดฉี่ผมก็ออกไปฉี่ ผมเห็นน้องกุ้งวิ่งกระโดด ๆ ออกมาจาด้านหลังของโกดังผมจึงจับตัวไว้และลากเข้าไปในโกดังจากนั้นก็ปิดโกดังสนิทและผมก็ซ้อมน้องกุ้งจนอ่วม...ผมไม่คิดหรอกว่าผมทำอะไรลงไป ผมรู้แต่ว่าผมกำลังหวาดกลัว กลัวว่าใครจะมาเห็น
"มึงซ้อมน้องเขาทำไมวะ"
"ก็อีนี่สิมันจะหนี"
"สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ มึงจะบ้าเหรอเปลือยขนาดนี้"
"เออ...มึงไม่เชื่อก็ตามใจมึง"
ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ทั้ง 6 คน น้องคนหนึ่งชื่อน้องเปิ้ลขาดใจตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนที่เหลือก็หมดสภาพ พวกเราไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีก็เลยมานั่งคิดเรื่องเลว ๆ ต่อ แล้วพวกเราก็หาเรื่องสนุกกันอีกจนได้ พวกเราบังคับให้น้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานั่งข้าง ๆ ไอ้รบ จากนั้นผมก็มัดพวกเขาไว้รวมกัน ผมเห็นสีหน้าพวกนี้แล้วก็รู้สึกสำนึกขึ้นมาทันที ผมทำอะไรลงไปเนี่ย ถ้าถูกตำรวจจับได้ต้องยุ่งแน่ ๆ เลย แต่เมื่อเพื่อนมันทำแล้วเป็นไงเป็นกันวะเพราะเราก็ร่วมอยู่กับเขาคนหนึ่งแหละ
"มึงจะทำอะไรต่อไปดีวะ แล้วศพน้องเปิ้ลล่ะ"
"ก็มัดมันรวมกันที่นี่แหละแล้วก็จะได้ส่งวิญญาณมันพร้อม ๆ กัน"
"เฮ้ย...!!!!"
พวกเราถึงกับร้องพร้อมกันทีเดียว
"หรือว่ามึงอยากถูกตำรวจจับวะ...ถ้าใครคนใดคนหนึ่งหลุดออกไปมึงว่ามึงจะรอดเหรอวะ...หรือว่ามึงมีทางอื่นอีก"
พวกเราเห็นพ้องต้องกันไอ้ด้วงมันใจหินที่สุดมันก็เลยเอาน้ำมันมาราดทุกคนแล้วก็เตรียมจุดไฟเผา แต่มันพลาดยังไงไม่รู้ถูกไอ้รบมันสกัดขาล้มตัวมันเลยโดนเผาไปด้วย พวกผมเอาน้ำมาราดยังไงมันก็ไม่ดับ กลับยิ่งรามเข้าไปใหญ่ อาจจะเป็นเพราะกรรมก็ได้ พวกเราที่เหลืออีก 5 คนจึงวิ่งไปปิดประตูโกดังแล้วก็หนีไปไม่กลับมาที่โกดังนี้อีกเลย...
เรากลับบ้านกันแล้วก็ถูกพ่อทำโทษ พ่อรู้เรื่องที่เราทะเลาะวิวาทกันที่โรงเรียน ผมโดนแค่ถูกทำทันบนที่บ้าน แต่ก็ดีกว่าตำรวจจับผมเรื่องที่ผมร่วมกันฆ่าคนตาย ปมนี้เป็นเรื่องที่คนในกลุ่มผมรู้กันเท่านั้น...และมันก็เป็นตราบาปแก่ผมไปตลอดชีวิต ทำให้ไม่เป็นอันเรียนพอนั่งเรียนก็เห็นแต่ภาพคน 7 คนนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีความสุขเลย ยามผมนั่งคุยกับแฟนผมก็เห็นเป็นหน้าน้องแนน ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว... และช่วงนี้ตำรวจก็ตามตัวฆาตกรเผาย่าง 7 ศพด้วย เวลาตำรวจมาทีไรผมงี้ผวาทุกที...ผมเกือบจะหลุดออกมาแล้ว ไม่งั้นตำรวจคงจะจับได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง...
"จ้อย วันนี้กลับด้วยคนนะคือแม่เราไม่มารับ เธอไปส่งเราที่บ้านหน่อยนะ"
"ครับ ๆ"
"เฮ้ย...จ้อยอย่าพาจิ๊กไปแวะข้างทางนะเว้ย...วูหู้!!!"
พวกนั้นแซวกันใหญ่
"ปากดีนะพวกมึง...เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก"
ผมขับรถไปจนใกล้จะถึงบ้านเธอ ช่วงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ ไม่มีแสงไฟตามถนน ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จนผมต้องเบรกรถกระทันหันเมื่อมีคนกระโดดออกมากลางถนน
"เฮ้ย...แฟนมึงสวยดีนี่หว่า...กูขอได้ไหมวะ"
"พวกแกเป็นใคร"
"กูก็คนคุมซอยนี้ไงวะ มึงไม่รู้จักเหรอกูเด็กผู้ใหญ่หินว่ะไอ้โง่"
"จ้อยอย่ามีเรื่องเลย กลับเถอะ"
ถึงเธอจะห้ามยังไงมันก็สายไปแล้วละเพราะพวกนี้มันเข้ามาล้อมผมแล้ว
"หนีไป หนีไป....จิ๊ก...หนีไป..."
ผมตะโกนสุดเสียง จิ๊กวิ่งไปจนลับสายตาผม พวกนั้นมันซ้อมผมแทบปางตายแล้วก็ลากผมขึ้นรถกระบะไป จากนั้นก็มีคนหนึ่งที่ฉุดเธอมาได้แล้วก็พาผม จิ๊กพร้อมกับรถไปที่ในป่าลึกแล้วพวกนั้นก็ลุมโทรมเธอ วินาทีนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเธอเลย ผมรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมันมาแล้ว...มันมาแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี มันให้ผมดูในสิ่งที่ผมไม่อยากดู...ผมรู้สึกทั้งแค้นมันและแค้นตัวเองที่ไม่อาจช่วยเธอได้ มันทรมานเธอจนตาย แล้วมันก็ให้ผมดูศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเอาเชือกมัดผมตรึงไว้กับรถของผมและขับลากไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าผมไม่ใช่คนจนกระทั่งผมสลบไป
"อื้อ...อื้อ"
"ฟื้นแล้ว นี่พ่อไอ้จ้อยฟื้นแล้ว"
ผมเห็นพ่อและแม่อยู่ตรงหน้าผม ทีแรกผมคิดว่าผมตายไปแล้วซะอีก แต่ทำไมผมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ ตำรวจสอบปากคำผมจนสเก็ดหน้าคนร้ายได้และจับตัวพวกมันได้หมด แต่เป็นโชคดีของมันที่พ่อมันเป็นผู้มีอิทธิพลมันจึงรอดไปได้ ผมนะเจ็บใจสุด ๆ ทีเดียว
ผมมารู้ข่าวดีอีกเรื่องก็คือจิ๊กไม่ตายแต่จิ๊กก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย ไม่กินไม่นอน มีอาการหวาดกลัวผู้ชาย ผมว่าเธอน่าจะตายไปเลยซะดีกว่าเธอมาอยู่ให้ทรมาน แต่ยังไง ๆ ผมก็รักเธอ ผมสัญญากับแม่เธอว่าผมจะดูแลเธอ และดูท่าทางแม่เธอก็ไม่ได้ดูดำดูดีเธอเลย พอผมมารู้ภายหลังผมก็ทราบว่าแม่ที่เธออยู่ด้วยเป็นแม่เลี้ยง ผมจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านและดูแลเธอเป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่าผมสร้างภาระให้พ่ออีกแล้ว...
ผมดูแลเธอจนเธอหายเป็นปกติ ผมเรียนจะจบแล้ว วันนี้สอบเป็นวันสุดท้ายผมจึงพาจิ๊กและเพื่อนไปฉลองกัน เรากินเหล้าและเฮกันมาก ขากลับผมแทบขับรถไม่ไหวจิ๊กก็เลยขับรถพาผมกลับบ้าน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดน่ะสิ
"เฮ้ย...!!!พวกมันอยู่นั่น เอาเลยพวกลุยมันเลย"
พวกเด็กผู้ใหญ่หินขับรถกระบะเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกผมขับกันมา จิ๊กซิ่งสุดชีวิต ผมหันกลับไปหาเพื่อนอีก 4 คน ผมเห็นพวกนั้นน็อกกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่ผมรู้ว่ามีเสียงเปรี้ยง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับเสียงปืนทีเดียว
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง...
ผมรู้สึกตัวลอยเหมือนกับนุ่นทีเดียว รถล้มลงกับพื้นแล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ผมได้มายืนอยู่ข้าง ๆ จิ๊ก ผมเห็นจิ๊กเข้าไปหาพ่อของเธอ ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมเข้าไปนั่งอยู่กับแม่ของเขา ผมจึงเข้าไปปลอบแม่กับพ่อ แต่ว่าพ่อกับแม่ไม่ตอบผมเลย และก็ดูท่าทางจะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียด้วย ผมจึงมานั่งที่ศาลาวัด เพื่อน ๆ และจิ๊กมานั่งใกล้ ๆ ผม ผมมองเห็นทุกคนในวัดเศร้าสร้อยกันมาก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็เงียบไม่พูดอะไร ผมเห็นโลงศพทั้งหมด 6 โลงตั้งเรียงกันอยู่เมื่อผมและทุกคนเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ โลง ผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งมีชายชุดดำและชายชุดขาวเดินมาหาพวกเราทุกคน
"ไปกันได้แล้วหละ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว...ส่วนเจ้าไปกับเทพ...และพวกเจ้ามากับข้า"
ชายชุดดำใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือและขาของผมและเพื่อน ส่วนจิ๊กเธอเดินอย่างสบายเดินไปกับเทพชุดขาวและก็ลอยหายไป...ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายตรงนี้แหละแล้วผมก็ต้องไป...ไปไกลมาก ผมไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็รู้แล้วละว่าที่ที่ผมจะไปมันคือที่ไหน เพราะผมทำบาปไว้มากเหลือเกิน...