3 สิงหาคม 2547 10:17 น.
สุชาดา โมรา
ความเข้าใจความรักความผูกพัน ความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้กันและกัน ไม่ว่าจะในเวลาสุข เศร้า เหงา หรือทุกข์ก็จะมีคนอยู่ใกล้ ๆ เราคอยให้กำลังใจเราเสมอมานั่นก็คือ "เพื่อน" คำ ๆ นี้อาจจะมีความหมายมากสำหรับบางคน แต่คำ ๆ เดียวกันอาจจะไม่มีความหมายสำหรับบางคน
บางคนอาจจะมีเพื่อนที่รักกันแม้ตายก็อาจจะยอมตายแทนกันได้ บางคนมีเพื่อนก็เหมือนกับไม่มี เวลาเหงาเวลามีทุกข์ต้องการเพื่อนก็หาไม่ได้ ที่หาได้ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แม้แต่จะให้กำลังใจก็ตาม คนบางคนคงไม่มีความรู้สึกหรือรู้ซึ้งถึงการขาดเพื่อน หากใครเคยรู้สึกก็คงจะรู้ว่ารสชาติของมันเป็นเช่นไร
นานมาแล้วเราเคยมีเพื่อนที่รักกันมาก แม้ว่าถ้าหากยอมตายแทนกันก็ยอม มีคำสัญญาให้แก่กันว่าจะไม่ทิ้งกัน มีสุข มีทุกข์ก็จะอยู่เคียงข้างกันจะช่วยกันให้ถึงฝั่งแห่งความสำเร็จ
อาสาฬห์หรือเดย์เป็นเพื่อนที่สนิทกันมากและเข้าใจเรามากที่สุด จนใครต่อใครต่างก็คิดว่าเราเป็นแฟนกันเสียด้วยซ้ำ... เดย์เป็นคนเรียนเก่งและมีความเป็นผู้นำสูง มีความเอาใจใส่ต่อหน้าที่การงานทั้ง ๆ ที่เป็นเพียงรองหัวหน้าห้อง ม.3/5 ในขณะเดียวกันที่เราเองเป็นหัวหน้าห้อง ม.3/10 เวลามีงานหรือการบ้านอะไรเราก็จะมาแลกเปลี่ยนความคิดกัน ครั้งหนึ่งที่เดย์ชวนเราเข้ากลุ่มเลือกตั้งประธานนักเรียนเราก็ร่วมด้วย ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไรเราจะไม่ทิ้งกัน...
แล้ววันแห่งการประกาศศักดิ์ศรีก็เกิดขึ้น เมื่อศักยภาพของประธานนักเรียนล่มสลาย เราจึงทำการแทรกซึมและรวมกำลังต่อต้านประธานนักเรียนที่ไม่มีความจริงจังต่องานด้วยการก่อม็อบ ผลออกมาสำเร็จพวกเราจึงแต่งตั้งให้เพื่อนที่น่าจะเป็นผู้นำมากที่สุดขึ้นมา เดย์เป็นรองประธานนักเรียน ส่วนเราเป็นหัวหน้าคณะกรรมการตรวจสอบ ไม่ว่าจะมีอุปสรรคต่อการทำงานร่วมกันอย่างไรเราก็ยังยิ้มสู้เสมอ และตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้...
เมื่อจบการศึกษาความคิดของเราเริ่มแตกเป็นสองฝ่าย เพราะความถนัดไม่เหมือนกัน เราอยากเรียนเทคนิค ส่วนเดย์อยากเรียนพิบูลฯ เราเริ่มห่างกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน แล้วจู่ ๆ สวรรค์ก็ทอดทิ้งเราเมื่อพ่อแม่ก็มีความเห้นไม่ตรงกัน...เราจึงต้องมาเรียนที่พิบูลฯทั้ง ๆ ที่เราเองไม่ได้อยากจะมาเรียนที่นี่เลย
เมื่อถึงวันสอบเราเจอกันอีกครั้ง แต่เดย์ไม่พูดกับเราเลย เรารู้สึกเสียใจที่พูดอะไรแรง ๆ ไปวันนั้น... และแล้วเหตุการณ์ก็พลิกผันเดย์เข้ามาพูดกับเรา เธอรู้ไหมว่าเราดีใจเหมือนได้โล่เลย ไม่มีอะไรจะวิเศษเท่าคำ ๆ นี้อีกแล้ว "เราขอโทษนะ" เป็นประโยคที่ยังจำฝังใจเรามาโดยตลอดทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเราเป็นคนผิดเองด้วยซ้ำแต่ทำไมเธอจึงมาขอโทษเรา "เรารักนายนะ นายต้องตั้งใจเรียนให้ได้ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร เราจะอยู่หรือไม่ นายต้องรักษาตัวเองอย่าทำตัวเหมือนเรานะผึ้ง..." เรางงไปหมดทำไมเดย์ถึงพูดแบบนี้... สีหน้าที่เศร้าหมองพร้อมกับประโยคที่ย้ำและฝังใจเรา ทำให้เรารู้สึกหดหู่ราวกับญาติเสีย "เราขอร้องนะนายอย่าพูดแบบนี้ได้ไหม เรากลัวว่านายจะเป็นอะไรไป ขอร้องละอย่าพูดเป็นลาง" แต่เดย์ก็ไม่ฟังที่เราพูดเลย การที่ย้ำประโยคเดิมซ้ำ ๆ ทำให้คนฟังรู้สึกหงุดหงิด เราจึงแสดงกิริยาไม่ดีออกไป "หยุดพูดได้ไหม!!!!" เสียงตะหวาดดังลั่นพิบูลฯ สีหน้าของเดย์ยิ่งแย่ลง... เราทำอะไรลงไปเนี่ย "ขอโทษนะเดย์ เราไม่ได้ตั้งใจ" ...
วันนั้นอากาศที่มืดครึ้ม เมฆหมอกลอยล่องบนท้องฟ้ารวมตัวกันราวกับประท้วงวาจาอันหยาบกระด้างของเรา เสียงด่าจากสวรรค์ร้องำรามดังกึกก้อง เม็ดแห่งความทุกข์ปลดปล่อยลงสู่พื้น เดย์วิ่งฝ่าสายฝนไปจับรถมอเตอร์ไซค์คันใหม่ขับฝ่าสายฟ้าสายฝนที่คะนองออกไปนอกพิบูลฯ เรารู้สึกเสียใจที่ทำอะไรโดยไม่คิด พูดอะไรโดยไม่ตรึกตรองเสียก่อน เรารู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวและพะวงกลัวว่าเพื่อนจะเป้นอะไรไป...อาสาฬห์...อย่าเป็นอะไรเลยนะ เราอธิษฐานในใจอยู่หลายครั้ง
"คำพูดที่เราเคยสัญญากันไว้มันไม่เป็นจริงแล้วใช่ไหมเพื่อน" เราพูดกับรูปราวกับคนเสียสติ ทำไมเพื่อนที่รักกันมากจึงยอมทิ้งเพื่อที่คบกันมาเกือบ 10 ปีได้ในเวลาไม่ถึง 2 ชั่วโมง ไม่น่าเชื่อว่ามันเป็นไปได้ เราได้แต่โทษตัวเองอยู่คนเดียว... มีเรื่องราวที่ยังคงเหลือแต่เพียงภาพความหลังที่เราเคยเป็นเพื่อนกัน เหลือไว้แต่คราบน้ำตาและความเจ็บปวดที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ
"สู่สุคติเถอะนะ..." เราไม่รู้จะพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว รู้สึกท้อแท้สิ้นหวัง เสียใจมาก ๆ ถ้าเรารู้มาก่อนว่าเพื่อนมีปัญหาครอบครัวเราคงไม่ด่วนทำอะไรไปโดยไม่ยั้งคิด เราน่าจะฟังเพื่อนพูดให้จบเสียก่อน และเราน่าจะถามว่าเป็นอะไร...โธ่ไม่น่าเลย...
ถึงแม้ว่าเวลาแห่งความเศร้าจะได้ผ่านมานานแล้วก็ตาม แต่ความคิดและจิตสำนึกเหล่านั้นก็ยังคงเหลืออยู่ในจิตใจของเรา ถ้าวิญญาณมีจริงเราอยากให้เดย์รับรู้ว่าเราเสียใจ เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดเหตุเช่นนี้ เราผิดไปแล้ว... ถึงแม้ว่านายจะไม่กลับมาแต่เราขอให้นายรับรู้ว่าเรายังรักนายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปนะ
เมื่อเราได้สูญเสียเพื่อนที่เรารัก เราจึงได้รู้ค่าของมันว่ามีมากแค่ไหน จะต้องรักษาให้อยู่ได้อย่างไร จะทำอย่างไรให้คงอยู่กับเราตลอดไป จะรักษามิตรภาพกับเพื่อนใหม่ได้อย่างไร คงจะไม่ต้องบอกก็พอรู้ ๆ กันว่าจะต้องทำอย่างไร ความเจ็บปวดความเหงายามขาดเพื่อนมันคงจะฝังลึกลงในจิตใจของผู้ที่เคยสัมผัส เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร จะมีเพื่อนที่เรารักอยุ่ไหม ไม่มีใครตอบได้ แต่ในวันนี้สิ่งเดียวที่อยากให้ทุกคนรับรู้คือพยายามรักษาสิ่งที่เรารักไว้ก่อนที่สิ่งนั้นจะหายไป ให้ความรักกับสิ่งที่เราเห็นว่ามีค่า ควรรู้ว่าเรารักสิ่งไหน และควรถนอมสิ่งนั้นไว้ให้ดีที่สุด หากเมื่อมันสายเกินไปเพราะชะตากรรม เราจะได้ไม่ต้องเสียใจไปตลอดชีวิต... จงอย่าทำอะไรให้คนอื่นเสียใจ เพราะบางทีคนเราก็มีอารมณ์คิดชั่ววูบได้ ก่อนที่อะไร ๆ จะสายเกินแก้เราควรรักษาคำว่า "เพื่อน" ให้ดีที่สุดตราบนานเท่านาน...
30 กรกฎาคม 2547 10:41 น.
สุชาดา โมรา
ท่านสุนทรภู่เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๓๒๙ ท่านประพันธ์เรื่องนี้ขึ้นมาในสมัยที่รับราชการในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โดยแต่งเป็นตอน ๆ และมาแต่งจบในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วัตถุประสงค์ในการแต่งเรื่องนี้คือสมัยนั้นท่านต้องโทษถูกจองจำในคุกหลวงก็เลยต้องขายผลงานเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เนื้อเรื่องกล่าวถึงการผจญภัยแต่ใช้ตัวละครคือพระอภัยมณีและศรีสุวรรณ ซึ่งถูกพระราชบิดาไล่ออกจากเมืองรัตนา เพราะไปเรียนวิชาที่ไม่เกี่ยวกับการปกครองเมืองหรือวิชาความรู้ของกษัตริย์ จากนั้นก็เป็นการเริ่มต้นของการผจญภัยเมื่อได้เดินทางต่อมาก็ไปเจอพราหมณ์ทั้งสาม มีวิเชียร โมรา สานนท์ และถูกนางผีเสื้อสมุทรจับไปเป็นพระสวามี มีลูกด้วยกันชื่อสินสมุทร ต่อมาเมื่อเจอนางเงือกก็วางแผนหนี และทำสำเร็จได้ไปอยู่เกาะแก้วพิสดารตอนนี้พระอภัยมณีได้เป่าปี่ทำให้นางยักษ์ตาย จากนั้นก็ได้กับนางเงือกมีลูกชื่อสุดสาครแต่พระอภัยมณีไม่รู้เพราะได้เดินทางจากนางเงือกออกมาแล้ว ส่วนศรีสุวรรณนั้นหลังจากที่ออกตามหาพระอภัยมณีจึงได้พบกับนางเกษราที่เมืองรมจักร ได้ไปช่วยรบทำให้ได้อภิเษกกับนางและเดินทางออกตามหาพระอภัยมณีจนมาอยู่ที่เมืองผลึก ซึ่งเมืองนี้ท้าวสิลราชครองเมืองอยู่มีธิดาชื่อนางสุวรรณมาลีได้หมั้นหมายกับอุศเรนโอรสเจ้าเมืองลังกาซึ่งมีน้องชื่อนางระเวงวันฬา ตอนนั้นท้าวสิลราชออกไปเที่ยวทะเลกับธิดา ถูกพายุพัดไปถึงเกาะแก้วพิสดารพระฤาษีได้ฝากพระอภัยมณีให้เดินทางมาด้วย นางสุวรรณมาลีกับพระอภัยมณีจึงได้พบกันและเกิดเป็นความรัก ต่อมาเรือที่ออกมาจากเกาะแก้วพิสดารนั้นถูกนางยักษ์รังควานจนเรือแตก พระอภัยมณีต้องสวดมนต์ป้องกันตัวและเป่าปี่จนทำให้นางยักษ์ตาย ต่อมาสินสมุทรก็ได้สู้รบกับอุศเรนจนอุศเรนแพ้ นางระเวงวันฬาจึงมาแก้แค้นโดยการทำเสน่ห์จนพระอภัยมณีคลุ้มคลั่งและกักตัวไว้ และในที่สุดสุดสาครก็ตามมาช่วยแก้ปมปัญหาที่มีอยู่ พระอภัยมณี นางสุวรรณมาลี และนางระเวงวันฬาจึงออกบวชไปถือศีลอยู่ที่เขาสิงคุตร
ลักษณะคำประพันธ์ในเรื่องนี้แต่งเป็นนิทานคำกลอนแปดหรือกลอนสุภาพ มีสัมผัสในสัมผัสนอกที่ทำให้บทกลอนมีความไพเราะ การใช้ภาษานั้นเป็นภาษาที่ง่าย ๆ ซึ่งชาวบ้านอ่านได้โดยที่ไม่ต้องมาตีความมากนักและส่วนใหญ่ท่านจะใช้คำแผลงเพื่อหาสัมผัส การดำเนินเรื่องนั้นท่านใช้วิธีการผูกเรื่องเพื่อให้เรื่องดำเนินไปเรื่อย ๆ ทำให้เรื่องนั้นมีความสมจริงโดยเฉพาะการยกสถานที่จริงขึ้นมาทำให้บางคนคิดว่าเกาะแก้วพิศดารหรือเกาะเสม็ดนั้นมีนางเงือกจริง ๆ
ในการนำเสนอของท่านนั้นเป็นการนำเสนอที่แปลก กล่าวคือ ท่านมีแนวคิดใหม่ ๆ หลายด้าน มีแนวจินตนาการที่ล้ำยุคล้ำสมัย เช่น การเทิดทูนวิชาความรู้และศิลปะเป็นสำคัญ พราหมณ์พี่เลี้ยงมีความรู้ความชำนาญในด้านวิชาการต่าง ๆ ตลอดจนนางสุวรรณมาลีนั้นก็เรียนรู้เรื่องวิธีทำสงคราม นางวาลีรอบรู้เรื่องตำราพิชัยสงคราม และนางละเวงวันฬาเรียนรู้เรื่องการปกครองและกลอุบายต่าง ๆ นับเป็นความคิดที่ก้าวหน้ายิ่งในสมัยนั้น โดยเฉพาะการแต่งให้ตัวละครที่เป็นสตรีมีความเก่งกาจ มีความรู้ความสามารถอันเป็นการยกย่องเพศหญิงให้เทียบเท่ากับเพศชาย ซึ่งยังไม่เคยมีปรากฏในวรรณคดีเรื่องใดมาก่อนในสมัยนั้น นอกจากนี้ท่านยังมีแนวคิดที่ก้าวหน้าเหมือนกับการคาดเอาอนาคตว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ เช่นเรือของอุศเรนซึ่งสมัยนั้นผู้คนก็อาจจะว่า ว่าสุนทรภู่บ้ามีเรือที่ไหนจะบรรจุคนได้เป็นร้อยและมีหลากหลายห้อง ทำให้ชนรุ่นใหม่เกิดความคิดทำเรือที่ใหญ่บรรจุคนได้มากและอาจจะมากกว่าที่ท่านสุนทรภู่คิดไว้เสียอีก
คุณค่าที่ได้รับจากเรื่องนี้คือ พระอภัยมณีเป็นวรรณคดีที่ท่านสุนทรภู่ใช้จินตนาการสูงในการแต่ง ทั้งการพรรณนาอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่มองเห็นได้เด่นชัด ลึกซึ้งกินใจ มีความไพเราะ ทำให้เกิดจินตนาการคล้อยตาม การใช้ถ้อยคำและภาษาที่อ่านง่ายเข้าใจง่าย การเล่นคำที่สละสลวยใช้โวหารมาแต่งทำให้มีรสแห่งคำประพันธ์มากยิ่งขึ้น จึงทำให้เรื่องนี้ประทับใจแก่ผู้คนทุกยุกทุกสมัย นอกจากนี้ท่านยังได้แทรกข้อคิดและคติธรรมที่มาพร้อมกับความสนุกสนานไว้ด้วยดังนี้
แล้วสอนว่าอย่าไว้ใจมนุษย์
มันแสนสุดลึกล้ำเหลือกำหนด
ถึงเถาวัลย์พันเกี่ยวที่เลี้ยวลด
ก็ไม่คดเหมือนหนึ่งในน้ำใจคน
มนุษย์นี้ที่รักอยู่สองสถาน
บิดามารดารักมักเป็นผล
ที่พึ่งหนึ่งพึ่งได้แต่กายตน
เกิดเป็นคนคิดเห็นจึงเจรจา
แม้นใครรักรักมั่งชังชังตอบ
ให้รอบคอบคิดอ่านนะหลานหนา
รู้สิ่งไรไม่สู้รู้วิชา
รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี
บทกลอนตอนนี้หยิบยกมาจากตอน ฤาษีมาช่วยสุดสาครขึ้นจากเหวหลังจากที่ถูกชีเปลือยหลอกและผลักตกเหวหมายจะให้ตายเพื่อชิงไม้เท้าและม้านิลมังกร ซึ่งเป็นคติและข้อคิดที่ท่านสุนทรภู่ได้แทรกไว้เกี่ยวกับการสอนใจคนว่าคนเรานั้นรู้หน้าไม่รู้ใจ ไม่มีใครรักเราได้เท่ากับพ่อแม่ของเราหรอก และยังสอนให้รู้จักเอาตัวรอด รวมทั้งการศึกษาด้วยเพราะถึงแม้ว่าเราจะรู้มากเพียงไรแต่ก็ไม่เท่ากับการศึกษาเล่าเรียน จึงจะอยู่ในสังคมได้อย่างเป็นสุข
30 กรกฎาคม 2547 09:57 น.
สุชาดา โมรา
เรากลับบ้านกันแล้วก็ถูกพ่อทำโทษ พ่อรู้เรื่องที่เราทะเลาะวิวาทกันที่โรงเรียน ผมโดนแค่ถูกทำทันบนที่บ้าน แต่ก็ดีกว่าตำรวจจับผมเรื่องที่ผมร่วมกันฆ่าคนตาย ปมนี้เป็นเรื่องที่คนในกลุ่มผมรู้กันเท่านั้น...และมันก็เป็นตราบาปแก่ผมไปตลอดชีวิต ทำให้ไม่เป็นอันเรียนพอนั่งเรียนก็เห็นแต่ภาพคน 7 คนนั้นทำให้ผมรู้ตัวว่าผมไม่มีความสุขเลย ยามผมนั่งคุยกับแฟนผมก็เห็นเป็นหน้าน้องแนน ผมไม่รู้จะทำยังไงดี ผมแทบจะบ้าอยู่แล้ว... และช่วงนี้ตำรวจก็ตามตัวฆาตกรเผาย่าง 7 ศพด้วย เวลาตำรวจมาทีไรผมงี้ผวาทุกที...ผมเกือบจะหลุดออกมาแล้ว ไม่งั้นตำรวจคงจะจับได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง...
"จ้อย วันนี้กลับด้วยคนนะคือแม่เราไม่มารับ เธอไปส่งเราที่บ้านหน่อยนะ"
"ครับ ๆ"
"เฮ้ย...จ้อยอย่าพาจิ๊กไปแวะข้างทางนะเว้ย...วูหู้!!!"
พวกนั้นแซวกันใหญ่
"ปากดีนะพวกมึง...เดี๋ยวศพไม่สวยหรอก"
ผมขับรถไปจนใกล้จะถึงบ้านเธอ ช่วงนั้นมันเป็นป่ารกทึบ ไม่มีแสงไฟตามถนน ผมขับรถมาเรื่อย ๆ จนผมต้องเบรกรถกระทันหันเมื่อมีคนกระโดดออกมากลางถนน
"เฮ้ย...แฟนมึงสวยดีนี่หว่า...กูขอได้ไหมวะ"
"พวกแกเป็นใคร"
"กูก็คนคุมซอยนี้ไงวะ มึงไม่รู้จักเหรอกูเด็กผู้ใหญ่หินว่ะไอ้โง่"
"จ้อยอย่ามีเรื่องเลย กลับเถอะ"
ถึงเธอจะห้ามยังไงมันก็สายไปแล้วละเพราะพวกนี้มันเข้ามาล้อมผมแล้ว
"หนีไป หนีไป....จิ๊ก...หนีไป..."
ผมตะโกนสุดเสียง จิ๊กวิ่งไปจนลับสายตาผม พวกนั้นมันซ้อมผมแทบปางตายแล้วก็ลากผมขึ้นรถกระบะไป จากนั้นก็มีคนหนึ่งที่ฉุดเธอมาได้แล้วก็พาผม จิ๊กพร้อมกับรถไปที่ในป่าลึกแล้วพวกนั้นก็ลุมโทรมเธอ วินาทีนั้นผมไม่อยากให้มันเกิดขึ้นกับเธอเลย ผมรู้สึกได้ว่าเวรกรรมมันมาแล้ว...มันมาแล้ว ผมจะทำอย่างไรดี มันให้ผมดูในสิ่งที่ผมไม่อยากดู...ผมรู้สึกทั้งแค้นมันและแค้นตัวเองที่ไม่อาจช่วยเธอได้ มันทรมานเธอจนตาย แล้วมันก็ให้ผมดูศพเธอเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่มันจะเอาเชือกมัดผมตรึงไว้กับรถของผมและขับลากไปเรื่อย ๆ เหมือนว่าผมไม่ใช่คนจนกระทั่งผมสลบไป
"อื้อ...อื้อ"
"ฟื้นแล้ว นี่พ่อไอ้จ้อยฟื้นแล้ว"
ผมเห็นพ่อและแม่อยู่ตรงหน้าผม ทีแรกผมคิดว่าผมตายไปแล้วซะอีก แต่ทำไมผมถึงมาอยู่โรงพยาบาลได้ ตำรวจสอบปากคำผมจนสเก็ดหน้าคนร้ายได้และจับตัวพวกมันได้หมด แต่เป็นโชคดีของมันที่พ่อมันเป็นผู้มีอิทธิพลมันจึงรอดไปได้ ผมนะเจ็บใจสุด ๆ ทีเดียว
ผมมารู้ข่าวดีอีกเรื่องก็คือจิ๊กไม่ตายแต่จิ๊กก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย ไม่กินไม่นอน มีอาการหวาดกลัวผู้ชาย ผมว่าเธอน่าจะตายไปเลยซะดีกว่าเธอมาอยู่ให้ทรมาน แต่ยังไง ๆ ผมก็รักเธอ ผมสัญญากับแม่เธอว่าผมจะดูแลเธอ และดูท่าทางแม่เธอก็ไม่ได้ดูดำดูดีเธอเลย พอผมมารู้ภายหลังผมก็ทราบว่าแม่ที่เธออยู่ด้วยเป็นแม่เลี้ยง ผมจึงรับเธอมาอยู่ที่บ้านและดูแลเธอเป็นอย่างดี ผมรู้สึกว่าผมสร้างภาระให้พ่ออีกแล้ว...
ผมดูแลเธอจนเธอหายเป็นปกติ ผมเรียนจะจบแล้ว วันนี้สอบเป็นวันสุดท้ายผมจึงพาจิ๊กและเพื่อนไปฉลองกัน เรากินเหล้าและเฮกันมาก ขากลับผมแทบขับรถไม่ไหวจิ๊กก็เลยขับรถพาผมกลับบ้าน แต่เหตุการณ์ไม่ได้เป็นแบบที่คิดน่ะสิ
"เฮ้ย...!!!พวกมันอยู่นั่น เอาเลยพวกลุยมันเลย"
พวกเด็กผู้ใหญ่หินขับรถกระบะเข้าเบียดรถมอเตอร์ไซค์ที่พวกผมขับกันมา จิ๊กซิ่งสุดชีวิต ผมหันกลับไปหาเพื่อนอีก 4 คน ผมเห็นพวกนั้นน็อกกันหมดแล้ว ไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่ผมรู้ว่ามีเสียงเปรี้ยง ๆ อยู่หลายครั้งราวกับเสียงปืนทีเดียว
เปรี้ยง เปรี้ยง เปรี้ยง...
ผมรู้สึกตัวลอยเหมือนกับนุ่นทีเดียว รถล้มลงกับพื้นแล้วจากนั้นผมก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยจนกระทั่งวันนี้ผมได้มายืนอยู่ข้าง ๆ จิ๊ก ผมเห็นจิ๊กเข้าไปหาพ่อของเธอ ผมเห็นเพื่อน ๆ ผมเข้าไปนั่งอยู่กับแม่ของเขา ผมจึงเข้าไปปลอบแม่กับพ่อ แต่ว่าพ่อกับแม่ไม่ตอบผมเลย และก็ดูท่าทางจะไม่ยอมหยุดร้องไห้เสียด้วย ผมจึงมานั่งที่ศาลาวัด เพื่อน ๆ และจิ๊กมานั่งใกล้ ๆ ผม ผมมองเห็นทุกคนในวัดเศร้าสร้อยกันมาก บ้างก็ร้องไห้บ้างก็เงียบไม่พูดอะไร ผมเห็นโลงศพทั้งหมด 6 โลงตั้งเรียงกันอยู่เมื่อผมและทุกคนเดินเข้าไปมองใกล้ ๆ โลง ผมก็รู้สึกใจหวิว ๆ ทำอะไรไม่ถูกจนกระทั่งมีชายชุดดำและชายชุดขาวเดินมาหาพวกเราทุกคน
"ไปกันได้แล้วหละ ถึงเวลาของเจ้าแล้ว...ส่วนเจ้าไปกับเทพ...และพวกเจ้ามากับข้า"
ชายชุดดำใส่โซ่ตรวนที่ข้อมือและขาของผมและเพื่อน ส่วนจิ๊กเธอเดินอย่างสบายเดินไปกับเทพชุดขาวและก็ลอยหายไป...ผมก็เห็นเธอเป็นครั้งสุดท้ายตรงนี้แหละแล้วผมก็ต้องไป...ไปไกลมาก ผมไม่รู้ว่าต่อไปชีวิตผมจะเป็นอย่างไร แต่ผมก็รู้แล้วละว่าที่ที่ผมจะไปมันคือที่ไหน เพราะผมทำบาปไว้มากเหลือเกิน...
30 กรกฎาคม 2547 09:56 น.
สุชาดา โมรา
ตึก ตึก ตึก...ไอ้ด้วงเดินเข้าไปหาไอ้รบแล้วก็กระชากผมให้มันเงยหน้าขึ้นพร้อมกับแกะผ้ามัดปากออก
"กูให้โอกาสมึงนะว่ามึงจะเอาไง...ระหว่างผู้หญิงกับตัวมึง"
"ถุย...ไอ้***"
ไอ้รบมันถุยน้ำลายใส่พร้อมกับด่าคำหยาบคายขึ้นมาทำให้ไอ้ด้วงไม่พอใจ
"มึงเก่งนักไง๊...หา....จะตายอยู่แล้วยังจะมาทำเก่ง...ถุย..."
ไอ้ด้วงถุยน้ำลายคืนแล้วก็หันหลังให้มันเหมือนกับว่าจะพอใจแค่นั้น แต่ก็เปล่าเลยมันหันกลับไปกระโดดถีบและซ้อมไอ้รบซะกระอักกระอ่วม
"เมื่อคราวที่แล้วกูยังไม่ได้เอาคืนเลย ที่มึงกับพวกข่มขืนแฟนกู...วันนี้กูเอาคืนมั่งหละ"
ผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าไอ้ด้วงเพื่อนที่เงียบที่สุดในกลุ่มจะมีแฟน และไม่รู้มาก่อนเลยว่ามันกับไอ้รบจะเคยมีเรื่องกันมาก่อน...ผมคิดไม่ถึงเลยจริง ๆ...
"มึงมันเด็กผู้ใหญ่หิน แต่กูมันเด็กกำนันโป้งโว้ย...55555....มึงเสร็จแน่ไอ้รบ"
"มึงนี่เองนี่เป็นแฟนอีจูน อีอวบนั่น...กูสมเพชมึงจริง ๆ เลยที่มึงยังไม่เคยฟันอีนั่น แหมคิดแล้วมันสะใจจริง ๆ เลยโว้ย...55555......หัวเราะทีหลังดังกว่าโว้ย...."
"มึง...มึง...ยังมาทำปากดีอีกนะมึง...ไอ้***...กูดูสิว่ามึงจะปากดีอีกไหม...มึงหล่อนักนี่ไอ้รบ...แต่มึงมันก็เลวไม่แตกต่างจากกูหรอก...ไอ้ระยำ...นี่เธอดูหน้าหล่อ ๆ ของแฟนเธอไว้ แล้วก็จำใส่กระโหลกไว้ซะว่าไอ้นี่มันก็ไอ้เลวคนนึงที่หาแฟนไม่ได้แล้วก็มาย่ำยีคนอื่น...เธอคงเสร็จมันไปแล้วสิ"
"จริงเหรอ...หา..."
พอผมได้ฟังไอ้ด้วงพูดผมก็ฉุนทันทีเลย ผมก็เลยเขย่าตัวเธอและก็ค่อย ๆ ถอดเสื้อเธอออกแล้วก็รวนรามเธอทันที
"เฮ้ย...อย่านะเว้ย...มึงอย่า...."
"มึงรักนังแนนด้วยเหรอวะ หน้าอย่างมึงมันรักใครไม่เป็นหรอกโว้ย...55555....กูสะใจจริง ๆ เลยว่ะ"
"ถุย...ไอ้เลว...มึงทำได้กับผู้หญิงเหรอ..."
"แล้วมึงล่ะไอ้กรวก...มึงดีนักนี่ที่ทำกับแฟนกู...เอ...ที่มึงหวงนี่กูถามจริง ๆ เหอะมึงนอนกับอีนี่หรือยังวะ"
"ยังโว้ย..."
"งั้นก็ดี...กูจะได้ทำให้มึงเห็นว่าการเจ็บปวดมันเป็นยังไง"
แล้วไอ้ด้วงก็ถอดเสื้อผ้าของไอ้รบออกแล้วก็เอาน้ำมาสาดตัวไอ้รบให้เปียก จากนั้นก็ลากเอาไอ้รบไปพร้อมกับเก้าอี้ให้เข้ามาใกล้ ๆ ผมกับน้องแนนแล้วก็ดูราเสพสมกัน ส่วนพวกมันที่เหลือเมื่อเห็นผมทำมันก็ทำตาม วันนั้นพวกเราไม่ได้กลับบ้านกัน พวกเราทั้งกินเหล้าทั้งเสพสมเวียนคนแล้วคนเล่าจนผมก็ไม่รู้ตัวหรอกว่าน้องแนนเป็นของใครไปบ้างและผมก็ได้ไปแล้วกับใครกี่รอบ...จนในที่สุดพวกเราหมดแรงและก็หลับไปจนกระทั่งเช้า
"เฮ้ย...ตื่น ๆๆๆ ตื่นได้แล้วว่ะเช้าแล้วเว้ยเดี๋ยวเข้าเรียนไม่ทัน"
"มึงยังอยากจะเข้าเรียนอยู่อีกเหรอไอ้จ้อย ป่านนี้สารวัตรนักเรียนก็ยืนเต็มไปหมดแล้ว...ก็รอจับพวกเราไงหรือว่ามึงอยากโดนจับ...ทำหน้าเป็นควายบ้านทุ่งไปได้"
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่พวกเราโดดเรียนกัน ผมไม่มีเงินสักบาทแต่ไอ้ด้วงมันมี มันซื้อของมาให้กินเพราะบ้านมันค่อนข้างฐานะดี...พวกเรากินกันและแบ่งให้น้อง ๆ กันบ้างแต่เราไม่ได้แบ่งให้ไอ้รบมันเลย
"มึงอยากินไง๊...อ่ะ"
ไอ้ด้วงส่งข้าวกล่องให้ไอ้รบ ผมเห็นมันทำท่าอยากกินจนใจแทบขาดแต่ไอ้ด้วงสิมันกลับเอาข้าวยีหน้าไอ้รบและหัวเราะชอบใจ ผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยวันนี้เหมือนมีลางสังหรอะไรสักอย่าง
เมื่อผมปวดฉี่ผมก็ออกไปฉี่ ผมเห็นน้องกุ้งวิ่งกระโดด ๆ ออกมาจาด้านหลังของโกดังผมจึงจับตัวไว้และลากเข้าไปในโกดังจากนั้นก็ปิดโกดังสนิทและผมก็ซ้อมน้องกุ้งจนอ่วม...ผมไม่คิดหรอกว่าผมทำอะไรลงไป ผมรู้แต่ว่าผมกำลังหวาดกลัว กลัวว่าใครจะมาเห็น
"มึงซ้อมน้องเขาทำไมวะ"
"ก็อีนี่สิมันจะหนี"
"สภาพอย่างนี้เนี่ยนะ มึงจะบ้าเหรอเปลือยขนาดนี้"
"เออ...มึงไม่เชื่อก็ตามใจมึง"
ผมเดินไปรอบ ๆ ตัวน้อง ๆ ทั้ง 6 คน น้องคนหนึ่งชื่อน้องเปิ้ลขาดใจตายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ส่วนที่เหลือก็หมดสภาพ พวกเราไม่รู้จะทำอะไรต่อไปดีก็เลยมานั่งคิดเรื่องเลว ๆ ต่อ แล้วพวกเราก็หาเรื่องสนุกกันอีกจนได้ พวกเราบังคับให้น้อง ๆ ใส่ชุดนักเรียนแล้วก็มานั่งข้าง ๆ ไอ้รบ จากนั้นผมก็มัดพวกเขาไว้รวมกัน ผมเห็นสีหน้าพวกนี้แล้วก็รู้สึกสำนึกขึ้นมาทันที ผมทำอะไรลงไปเนี่ย ถ้าถูกตำรวจจับได้ต้องยุ่งแน่ ๆ เลย แต่เมื่อเพื่อนมันทำแล้วเป็นไงเป็นกันวะเพราะเราก็ร่วมอยู่กับเขาคนหนึ่งแหละ
"มึงจะทำอะไรต่อไปดีวะ แล้วศพน้องเปิ้ลล่ะ"
"ก็มัดมันรวมกันที่นี่แหละแล้วก็จะได้ส่งวิญญาณมันพร้อม ๆ กัน"
"เฮ้ย...!!!!"
พวกเราถึงกับร้องพร้อมกันทีเดียว
"หรือว่ามึงอยากถูกตำรวจจับวะ...ถ้าใครคนใดคนหนึ่งหลุดออกไปมึงว่ามึงจะรอดเหรอวะ...หรือว่ามึงมีทางอื่นอีก"
พวกเราเห็นพ้องต้องกันไอ้ด้วงมันใจหินที่สุดมันก็เลยเอาน้ำมันมาราดทุกคนแล้วก็เตรียมจุดไฟเผา แต่มันพลาดยังไงไม่รู้ถูกไอ้รบมันสกัดขาล้มตัวมันเลยโดนเผาไปด้วย พวกผมเอาน้ำมาราดยังไงมันก็ไม่ดับ กลับยิ่งรามเข้าไปใหญ่ อาจจะเป็นเพราะกรรมก็ได้ พวกเราที่เหลืออีก 5 คนจึงวิ่งไปปิดประตูโกดังแล้วก็หนีไปไม่กลับมาที่โกดังนี้อีกเลย...
30 กรกฎาคม 2547 09:53 น.
สุชาดา โมรา
วันนี้ผมเห็นเธออีกครั้ง แต่เธอเดินมากับใครบางคน ผู้ชายคนนั้นท่าทางดูดีน่าจะเก่งเรียน แต่ดู ๆ บางทีก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
"เฮ้ย...!!!พวกมึงรู้ไหมว่าน้องแนนเดินมากับใคร"
"เฮ้ย...มึงอย่ายุ่งเชียวนะไอ้จ้อยนั่นมันเด็กผู้ใหญ่หินนะเว้ย...!!!"
"เออใช่ว่ะ...ถ้ามึงยุ่งนะกูว่าเกิดเรื่องแน่ ๆ แหละ ดีไม่ดีบ้านมึงอาจเหลือแต่ตอก็ได้นะ...เฮ้ย...กูว่าอย่าเชียวนะที่จริงมึงมีแฟนแล้วทำไมมึงต้องไปจีบน้องแนนด้วยวะกูไม่เข้าใจเลยว่ะ"
"กูไม่สนหรอกไอ้ชิด ไอ้ตั้มถ้ากูรักใครแล้วกูต้องไม่แพ้เว้ย...!!!!...อีกอย่างกูชอบจับปลาหลาย ๆ มือเฟ้ยมันเร้าใจดี"
ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ และก็จ้องมองไอ้หมอนั่น
"มาอีกแล้วเหรอ...หน้าหนาจริง ๆ เลยนะ"
"ทำไมเหรอ...โรงเรียนเป็นของเธอคนเดียงไง๊!...เราถึงเดินไม่ได้"
"เฮ้ย...!!!พูดกับผู้หญิงน่ะพูดมันดี ๆ หน่อยโว้ย..."
"ทำไมมึงยุ่งไรด้วย...ไอ้กรวก!!!!"
พอผมพูดคำนี้จบหมอนี่ก็ซัดผมลงไปกองกับพื้นทีเดียว ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย จนเพื่อน ๆ วิ่งมาช่วยผม สถานการณ์ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่แทบจะมองไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร พวกเราซัดกันอย่างเมามันมาก เมื่อผมได้ทีก็ซัดใส่หมอนี่ทันที
"มึงเก่งนักใช่ไหม...ทำตัวเป็นฮีโร่...นึกว่าจะแน่...โถ่ไอ้กรวกเอ๊ย...!!"
"แน่ะเพื่อนกูว่ามึงยังมามองอีก เอาไงวะ...เดี๋ยวปั๊ด..."
"พอ ๆ เถอะมึงกูว่าเป็นเรื่องแน่ ๆ เลยว่ะสารวัตรนักเรียนมานู่นแล้ว..."
ผมกับพวกคิดอะไรไม่ออกก็เลย ผมจึงคว้ารถได้ก็ฉุดเธอนั่งซ้อนท้ายไปเลย ส่วนไอ้หมอนี่ผมก็เอาไปด้วยโดยมันซ้อนท้ายเพื่อนผมไป เมื่อมาถึงโกดังที่พวกเราซ่องสุมกันบ่อย ๆ ผมก็จับไอ้หมอนี่มัดไว้กับเก้าอี้ตัวหนึ่งแล้วพวกผมก็เดินวนไปวนมารอบ ๆ ตัวมัน ผมรู้สึกว่าผมเท่มาก ๆ ทีเดียว
"อย่า...อย่าทำพี่รบนะ บอกว่าอย่ายังไงเล่า"
"ถ้ายอมเป็นแฟนพี่แล้วพี่จะปล่อยมันไป...ว่าไง..."
"ไอ้...ไอ้เลว พวกแกนี่มันเลวจริง ๆเลย ไม่มีปัญญาหาแฟนรึไงทำไมต้องมาทำร้ายกันแบบนี้ ถ้าฉันหลุดไปได้นะ...ฉันจะ...อื้อ...อื้อ...อื้อ"
เพื่อนผมเอามืออุดปากเธอเอาไว้ ผมจึงเอาเชือกมามัดแขนและขาเธอยึดติดกับเสาที่กลางโกดัง
"เฮ้ย!...กูว่ากูคิดอะไรออกแล้วว่ะ รับรองเธอสนุกแน่ ๆ นะจ๊ะสาวน้อย"
ผมพูดกับเพื่อนแล้วก็หันไปพูดกับเธอ แต่ผมก็รู้สึกว่าใจมันสั่นเหลือเกินเมื่อเห็นเธอจ้องตาเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อผม
"อ่ะให้โอกาสพูดนะจ๊ะคนดี...อยากจะโทรหาใครก่อนจ๊ะ"
ไอ้ชิดเพื่อนของผมพูดขึ้นแล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมากดโทรหาเพื่อนของเธอคนหนึ่งที่ชื่อกุ้ง
"ฮัลโหลกุ้งหรือเปล่าครับ เอ่อแนนไม่สบายมากเลยเธอช่วยมารับเพื่อนของเธอไปส่งที่โรงพยาบาลที ตอนนี้อยู่ที่ท่ารถเมย์ตรงหน้าตลาดนะ"
ติ๊ด...เมื่อวางหูเสร็จเพื่อนผมก็ยิ้มเยาะชอบใจใหญ่
"เฮ้ยมึงไปรับน้องกุ้งมาที่โกดังหน่อย"
"ที่ไหนวะไอ้ชิด"
"ไอ้ด้วงมึงไม่ได้ฟังกูพูดโทรศัพท์เลยเหรอวะ...เดี๊ยสวยหรอก"
"เออ ๆ กูรู้แล้ว หน้าตลาดใช่ปะ"
เมื่อไอ้ด้วงขับรถออกไปได้พักหนึ่งก็กลับมาพร้อมน้องกุ้งและเพื่อนอีก 2 คน
"นี่ไงน้องแนนนอนสลบอยู่ที่นี่ไงตามมาสิ มาหลาย ๆ คนก็ดีจะได้ช่วย ๆ กันพยุง"
ครืด...เสียงประตูโกดังเปิดขึ้นเพื่อน ๆ ที่แอบอยู่ข้าง ๆ ประตูก็วิ่งไปข้างหลังผู้หญิง 2 คนและอุดปากทันที ส่วนไอ้ด้วงก็ปิดประตูตามเดิม
"อื้อ...อื้อ...อื้อ"
"อย่าดิ้นสิจ๊ะน้องกุ้ง...เฮ้ยไอ้รัตน์เอาเชือกมามันน้อง ๆ หน่อยเร้ว...วันนี้สนุกแน่ ๆ ว่ะ...55555"
ไอ้ชิดหัวเราะชอบใจใหญ่แล้วก็มัดน้องกุ้งและเพื่อนไว้กับมุมห้อง
"เฮ้ย...มึงไอ้จ้อยมึงเอาเด็กมึงไป กูเอาน้องกุ้งน่ารักดี มึงไอ้ด้วงมึงเอาน้องคนนี้ไปนะเพราะมึงไปพาน้องเขามา..."
"อ้าวแล้วพวกกู 2 คนล่ะวะ"
"มึงก็ไปหามาสิไอ้รัตน์ ไอ้ตั้ม"
ไอ้ตั้มมันทำหน้าไม่ค่อยพอใจสักเท่าไรแต่มันก็เดินเข้าไปหาน้องกุ้งทำท่าราวกับจะเอาเรื่อง
"เฮ้ย...มึงทำอะไรกับเด็กกูวะ"
"กูไม่ทำอะไรหรอกเพียงแต่กูจะเอาโทรศัพท์มากดหาเบอร์เพื่อนน้องเขาหน่อยว่ะ"
แล้วไอ้ตั้มก็กดเบอร์หาน้องคนนึงแล้วก็กดอีกเบอร์นึง สักพักไอ้ตั้มกับไอ้รัตน์ก็ออกไปข้างนอกและกลับมาพร้อมกับผู้หญิงอีก 3 คน พวกมันมัดมือมัดเท้าผู้หญิงแล้วก็เอามานั่งรวมกันที่มุมโกดัง...