9 กรกฎาคม 2550 14:59 น.
สิริน
ในโลกกว้าง อ้างว้าง เหมือนอย่างฝัน
หมุนทุกวัน ผันผ่าน เรื่องขานไข
ก็แปรเปลี่ยน วนเวียน สลับไป
มีเจ็บไข้ เกิดตาย ทุกโมงยาม
ในนิมิต คิดไกล ใจว้าเหว่
เมื่อโพล้เพล้ พลบค่ำ หวำวาบหวาม
แลตะวัน ลาลับ ท้องฟ้าคราม
มีเสื่อมทราม แตกดับ กับความตาย
ทุกชีวิต ทุกอย่าง ข้างรายรอบ
มีความชอบ ความหวัง ทั้งความหมาย
เห็นชีวิต ดิ้นรน ไม่เว้นวาย
สุขสุดท้าย ยามสาย กลายธุลี
หากวันหนึ่ง ดวงจิต ต้องปลิดปลง
ความลุ่มหลง รอบกาย ก็หายหนี
สรรพสิ่ง สรรพางค์ บรรดามี
ในโลกนี้ จักพลี ด้วยวายปราณ
หยุดความรัก โลภหลง พะวงหลัง
หยุดความหวัง คลั่งใคล้ ในยามหวาน
หยุดความเศร้า มัวเมา ดุจวันวาน
พ้นทรมาน ม้วยมอด ลงทอดดิน
5 กรกฎาคม 2550 22:38 น.
สิริน
เมื่อคราสิ้น ทุกสิ่ง ที่มุ่งหวัง
หมดกำลัง เหนื่อยหน่าย ไร้จุดหมาย
เอือมระอา อุราเศร้า ไม่เว้นวาย
ยืนหยัดกาย ให้คงอยู่ อย่างหวั่นกลัว
หมดพลัง หนทาง พลันสูญสิ้น
ไม่ยลยิน สิ่งใด คล้ายยวนยั่ว
ทิ้งศรัทธา ลาไกล ใจหมองมัว
เหลียวหาทั่ว ภพกว้าง หนทางตัน
ไม่เหลือแล้ว สิ่งใด ให้ปรารถนา
ช่างไร้ค่า ระอา แม้ว่าฝัน
เพราะโลกนี้ ลำเอียง ไม่เว้นวัน
หัวใจหวั่น บั่นทอน ร้าวรอนฤดี
ในทุกฝัน หดแห้ง แล้งเหือดหาย
จักโชคร้าย จนตาย หรือไรนี่
เทพหรือมาร ผลาญผจญ ชนย่ำยี
เหยียบขยี้ หนีซ้ำ ย่ำกายใจ
อยากจะร้อง ก้องฟ้า ต่อว่าโลก
ยื่นทุกข์โศก สรรพสิ่ง ยิ่งสงสัย
ให้ทุกข์ท้อ ทรมาน ผลาญทำไม
ทำบาปใด ถึงได้ ให้ทุกข์ทน
เมื่อปลงตก อกหมอง ข้องขัดแย้ง
ความฝันแห้ง เหือดหาย ไร้เมฆฝน
ปล่อยชีวิต ตามสบาย จวบวายชนม์
ไร้กังวล ถึงจะอยู่ เพียงผู้เดียว