18 มกราคม 2548 15:48 น.
สิปราง
ฉบัง กาพย์ ๑๖
๑. พะพลิ้วแผ่วแว่ววะวาบ ทอรุ้งแสงอาบ
หยาดทิพย์พร่างพราววาวใส
๒. ลำแสงน้อยค่อยโยงใย อาบฟ้าคราใหม่
ฉายจ้าโรจน์รุ่งรองเรือง
๓. อาทิตย์สถิตบรรเทือง สว่างยามเนือง
บันดาลทิพาราตรี
๔. สืบต่อเลอล้ำพันปี ธำรงส่งศรี
วัฏตะเวียนวนจำรูญ
๕. เหนือโลกสืบสร้างอาดูร ปีติวิญญูร
ฤาละกิเลสร้างลา
๖. มีเพียงรูปกายวิญญา ชดใช้กรรมา
ตราบเมื่อนิพพานประจน
***********************
17 มกราคม 2548 13:43 น.
สิปราง
สาลินี ฉันท์ ๑๑
หนาวเนื้อที่แม่ครอง ยากจะป้องหรือปกกาย
ฤดูที่พร่างพราย หยาดหยดวับระยับเมือง
ไม่เว้นแม้ข้างใน ที่หวนไห้กระไรเนือง
สุขไหนไม่ประเทือง ประทานโศกประสบจินต์
ระบายเป็นภาษา ปนน้ำตาและราคิน
หวังเพียงให้ยลยิน สดับบ้างนะคนทันธ์
รับช้ำมาเพียงไหน กลับคืนไปไม่นานวัน
วิโยครับโศกพลัน ประหัตเหตุกิเลสคืน
เริดร้างในวิถี ตราบภพตรีมิเคียงยืน
อยู่ไกลคนละผืน ณ แผ่นฟ้าชั่วราตรี
จำรัสเป็นลายลักษณ์ มั่นสลักยิ่งวจี
จารไว้ในฤดี ปรภพไม่สบตา
เพราะรักที่เสื่อมสูญ สิ้นจำรูญก็ไคลคลา
เปรียบพจน์ที่ลมพา ก็พัดพลิ้วละลิ่วจาง
เหือดห่างมล้างเหตุ ด้วยอาเพสที่ใจลาง
สั่นไหวไปทุกนาง เมื่อได้สบพบอินทรีย์
แดนไหนไม่พบสุข พบเพียงทุกข์ชั่วชีวี
หวังพึ่ง ณ มุนี ยากขจัดวิบากเบียน
แม้นมีสักร้อยรัก บังเกิดมักก็จุณเจียร
หวังแสงแห่งวิเชียร กลับร้อนเร่าเพราะไฟรุม
ทุกทิศก็กิจร้อน ณ โศกย้อนกระไรคลุม
กอบกรรมเข้าหลายขุม มละร่างจึงวางวาย.
----------------------------------------------------------------
10 มกราคม 2548 12:44 น.
สิปราง
ขวัญเอย...ขวัญเจ้า
ไปโลมเล้า...เย้าหยอก...ณ ที่ไหน
รีบกลับมา...เพื่อสร้างขวัญ...กำลังใจ
ให้ขวัญไซร้...ขวัญชีวี...ที่เฝ้าคอย
ขวัญเอย...ขวัญหล้า
ข้าตั้งตา...หาเจ้า...เว้าสุดสอย
หรืออยู่สูง...เกินเอื้อม...จึงเลื่อนลอย
หรือเจ้ากลอย...พรั่นพรึง...ถึงได้ลา
ขวัญเอย...ขวัญเนา
รีบกลับเข้า...คืนถิ่น...ถวิลหา
รู้บ้างไหม...ใครห่วง...นะดวงดา
จากวิญญา...แทบขาด...เหมือนบาดทรวง
ขวัญเอย...ขวัญโศก
วิปโยค...เจ้าหวั่น...ถึงชั้นสรวง
จึงหลุดลอย...ถอยห่าง...ลาร้างทรวง
โอ้พุ่มพวง...มิห่วง...บ้างหรือไร
ขวัญเอย...ขวัญเลิศ
กลับมาเถิด...สมดั่งจิต...คิดมุ่งหมาย
ขอวอนฤกษ์...เบิกทาง...สราญกาย
ให้หมดร้าย...ที่กลายกล้ำ...ทำช้ำทรวง
-------------------------------------------------------
16 พฤศจิกายน 2547 18:41 น.
สิปราง
๑.
อึกทึกครึกโครมตระโบมลั่น
แรงป่วนปั่นสนั่นเสียงสำเนียงสาน
สะเทือนซ้ำย้ำเติมเหิมอีกนาน
ตราบชั่วกาลผ่านวันหวั่นหวาดแปลง
พายุลมบ่มชิวที่ปลิวผลัด
สั่นสาดซัดพัดพรำกี่กรำแสง
ตั้งประเด็นเย็นเยียบแล้วเฉียบแรง
อาจกำแหงแกร่งกล้าท้าสิทธิ์ตน
ผ่านร้อนหนาวคราวล้าธาราเรื่อย
ปรับไหลเอื่อยเฉี่อยฉิวละลิ่วฝน
มิเหน็ดหน่ายบ่ายหนีวิถีคน
เปลี่ยนแปลงปนวนกลับรับเสรี
๒.
สรรเสาะตามความเงียบเปรียบก่อนหล้า
ผ่องผุดพาน่าชื่นรื่นฉวี
รุ้งทอดผ่านธารละไมในชีวี
งามฤดีเอื้ออวลอุ่นละมุนลม
ล่องใบไหลใสชื่นผืนแผ่นงาม
ณ เขตคามตามช่องล่องเหมาะสม
ดุจคันฉ่องส่องหล้าช่างน่าชม
ผุดความเงียบที่ซ่อนจมเพราะลมพา
๓.
ณ แดนใดใต้เหนือเจือความฝัน
หากลมพลันปั่นร้ายมาดหมายหนา
ถ่ายทอดผ่านธารสายปลายวาจา
กลับต้องหมองครองน้ำตาด้วยว่าลม
-----------------------*****---------------------------
4 พฤศจิกายน 2547 21:36 น.
สิปราง
๏ ลมเอย...ลมลวง
พัดเลย...ลาล่วง...อย่าห่วงขาม
ลาแล้ว...ลาไกล...ใช่ติดตาม
ดั่งนิยาม...ลมพัด...ไม่ลัดทวน
๏ โบกเอย...โบกพลิ้ว
โชยผ่าน...แล่นฉิว...อย่าปลิวหวน
ณ จุดเริ่ม...ตรงนี้...ที่เรรวน
เมื่อไต่ถ้วน...จงตัด...เพื่อวัดใจ
๏ ไหลเอย...ไหลล่อง
กัดเซาะ...เลาะช่อง...ผ่านห้องไหน
วันแล้ว...วันเล่า...เฝ้าถามใจ
ผ่านแมกไม้...น้อยใหญ่...ในสายธาร
๏ แตกเอย...แตกร้าว
หินผา...แข็งกร้าว...ยังร้าวฐาน
ลมเอย...น้ำเอย...เมื่อเลยกาล
เป็นพยาน...ในหล้า...คราลบเลือน
๏ ใจเอย...ใจช้ำ
บาดแผล...ถูกย้ำ...จึงช้ำเหมือน
ลมบาด...น้ำเซาะ...ย่างเยาะเยือน
ตราบชั่วเดือน...เกินหยั่ง...หมดทั้งใจ