ฝนพร่างสายลงมายามฟ้าหลัว ใจสาวนาหม่นมัวแสนว้าเหว่ ท้องทุ่งนาเนืองนองสุดคะเน โอ้ละเห่ฟ้ารินร่ำพร่ำฝากดิน ดอกโสนเหลืองพราวราวแสงสงฆ์ นั่นงามดงเลื้อยพรายเจ้ากระถิน ทั้งฟักแฟงแตงร้านรอฝนริน ทั่วทั้งถิ่นแดนนาพาเบิกบาน หากทว่าใจสาวนาเหมือนฟ้าร่ำ ทุกคืนค่ำรออ้ายคืนฝากคำหวาน เคยเคลียคลอขี่ทุยแต่ก่อนกาล วันชื่นผ่านคืนช้ำน้ำตาริน รอและรอกี่ฝนหนาวกี่เศร้าฝัน รอและรอรักนิรันดร์มิรู้สิ้น รอและรออ้ายคืนกลับรักผืนดิน มาทำกินมาเคียงกายหมายคู่กันนิรันดร......! ค่าเพียงดิน..! http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html (ฝากดิน..กลิ่นโคลนสาบควาย) สาวนาตื่นมายามฟ้าสาง กับดาวพร่างดวงเต็มอ้อมฟ้า กับ.. เดือนดวงเหว่ว้า..ที่ยังแขวนสวย เรี่ยปลายไผ่..เหนือทิวไม้ ริมคอกควายของเจ้าสายน้ำ กับลาแล้งที่อีกไม่กี่วันจะตกลูกแล้ว สาวนาดีใจ.. ที่จะได้มี.. ลูกควายน้อยๆหน้าตาดำดำตาดวงใสใส มา.. ดำรงรอยไถให้ไม่แปรให้ยังมีวิถีไทยแท้ วิถีที่ไม่แปรไปตามระบบทุนนิยม ให้ยังมีกลิ่นโคลนตมปลักควาย ไว้ใช้งานไว้หว่านไถ..คู่ทุกข์คู่ยาก และ.. ฝากให้นวลใจสาวนาแสนปิติยินดี ที่ยังได้.. พลีธำรงวงศ์ตระกูลควายไว้ มิให้สิ้นหายไปกับกาลเวลา สาวนา.. จึงนอนยิ้มอิ่มบุญกับฟ้าสลัว ในม่านมัวของมวลหมอกเมฆ กับ อวลกลิ่นดวงดอกการะเวกรสสุคนธา ที่เลื้อยพันพาพร่างพ้อมาล้อถึงริมหน้าต่าง กลายเป็นม่านเขียวสล้างแถมให้หอมไกลหอมใจจรุง สาวนา...ตลบมุ้ง และกลับนอนลงไปใหม่ ขอขี้เกียจสักวันก่อนจะผันตัวเองไปทำหน้าที่ ที่มีภาระมากมาย ไหนจะดายหญ้า ไหนจะเก็บผักหาฟืน หากสาวนายังไม่อยากตื่น อยากนอนนิ่งๆ..ทิ้งใจว่างๆ ทอดตารับพร่างละมุนจากเถาตำลึงริมรั้ว และ.. นอนดูม่านฟ้ารำไรในแสงสลัว ที่เริ่มสาดส่องประกายทอง ผ่องตามอาทิตย์อุทัยแรกแย้ม ที่.. กำลังไหวพรายแสงแต้มนภา มาทายทัก อย่างเช่นทุกทิวาวัน ฟังเสียงดุเหว่านกเขาไพร ไก่ป่าไก่บ้านร้องขันเทือนไปทั้งท้องทุ่ง ให้.. คนมุ่งลงนาพาตัวไปทำหน้าที่ ตามวิถีทองวิถีไทยแต่โบราณ ได้หว่านข้าวให้ผลิรวงตระการ มาเลี้ยงท้องให้คนไทได้อิ่มหนำสำราญ ในผืนดินได้มีกินอุดม ไปตราบนานแสนนาน... สาวนาเพิ่งรับคนงานมาไว้สองคน ผัวเมีย.. ที่ไม่มีงานทำ มาปันแบ่งที่ริมนาให้ได้ปลูกกระท่อม ผักหญ้าพอเลี้ยงตัว และ.. บางครั้งครา สาวนาก็ยังพอออกปากฝากให้ช่วยดูแลนาได้บ้าง รวมทั้ง ปลาในหนองน้ำในคลองมิให้แห้ง.. ช่วยกันขุดลอกแบ่งหน้าที่กันทำ และ สาวนา..เพียรรินร่ำสอนด้วยการกระทำ.. ให้สองคนนั้น... ได้รู้จัก... การมีชีวิตเกษตรกรรมแบบพอเพียง แบบเพียงพอ แบบ..สมถะตามประสายาก แบบดำเนินรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ตามแนว..*ทฤษฎีใหม่* วันก่อน สาวนาได้อ่านบทความในหนังสือเล่มหนึ่งที่พี่ทอง นำมาฝากจากในเมือง และ อ่านต่อให้สองคนผัวเมียฟัง ด้วยความที่สาวนาประเทืองประทับใจ เพื่อ.. จะเน้นย้ำ.. ให้ได้ตระหนักถึงความมีชีวีชีวิตแบบธรรมดา ทว่า.. แสนจะมีความสุขแบบเรียบง่าย บทความที่สาวนายังจำได้ ที่ท่านดร.สุเมธ ตันติเวชกุลบรรยายไว้ชื่อ ข้อคิดใช้ชีวิตแบบธรรมดา ตามธรรมชาติ* ที่ท่านได้กล่าวเล่าไว้ดังนี้.. **************** เศรษฐกิจพอเพียงความพอดี *ทฤษฎีใหม่*ที่ได้รับพระราชทาน.. เป็นตัวอย่างของเศรษฐกิจแบบพอเพียงสำหรับเกษตรกร ที่สามารถอุ้มชูตัวเองให้อยู่ได้โดยไม่เดือดร้อน โดยทำการเกษตรในพื้นที่ ซึ่งไม่ว่าพื้นที่นั้นจะมีกี่ไร่ แต่มีการแบ่งจัดสรร ให้.. ส่วนที่เป็นน้ำ30% เพื่อเก็บกักน้ำในฤดูฝน เพื่อใช้ในฤดูแล้ง รวมทั้ง... ใช้เลี้ยงปลาด้วย ดังนั้นตอนฝนทิ้งช่วง ก็ยังมีน้ำในพื้นที่ตัวเอง มีปลารับประทานได้ตลอดเวลา อีก30% ใช้ปลูกผัก พืชต่างๆ ที่เหลือ 10% ไว้สร้างบ้าน ทำถนน ดังนั้นเราจึงมีอาหาร ซึ่งทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายไปเกือบครึ่ง เหมือน*มีเซเว่นอีเลเว่น*ส่วนตัวอยู่หลังบ้าน ท่านยังกล่าวว่า... นักพัฒนาสมัยใหม่ต้องการสร้างรายได้ นักพัฒนาที่บรรลุธรรมจริงๆ จะไม่สนใจเรื่องสร้างรายได้.. แต่.. ใช้ชีวิตอย่างฉลาด ไม่กระหายเกินไปก็สามารถอยู่ได้ การทำเกษตรตามทฤษฎีใหม่ ถ้ายังเหลือกินเหลือใช้ก็นำไปขายได้ ท่านกล่าวว่า.... การดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ต้องยึดหลัก..สายกลาง..เป็นที่ตั้ง ต้องอยู่ด้วยความถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไม่ได้ให้คุณค่าทางวัตถุหรือเงินตราเป็นที่ตั้ง แต่ เพราะมนุษย์เต็มไปด้วยกิเลส พระพุทธเจ้า.. ทรงเผยแพร่หลักธรรมมา2548ปีแล้ว...ยังสู้ไม่ไหว ดังนั้น เราต้องชนะกิเลสก่อน ต้องยอมรับว่า *ทุนนิยม..เป็นเรื่องเกี่ยวกับกิเลส* พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงสอนให้จน รวยก็รวยไป แต่... พฤติกรรมในการดำรงชีวิต ต้องมีมาตรฐานเส้นระดับความพอดีของตนเอง สำหรับ เรื่องของการเป็นอยู่ท่านบอกว่า ลองสังเกต คนรวยต้องใช้ยากันทุกคน ไม่ว่า.. ยาแผนปัจจุบันหรือยาสมุนไพร เพราะ.. กินดีอยู่ดี แต่.. ของกินดีอร่อยๆเป็นพิษทั้งนั้น ไขมันมากเกินไป เดี๋ยวไขมันขึ้นเดี๋ยวเส้นเลือดอุดตัน *เรียกว่าเป็นโรคเศรษฐี* คนจนไม่มีใครเคยเป็น ชาวไร่ชาวสวนมีใครบ่นที่ไหนว่า ไขมันอุดตันเนื่องจากเขาออกแรงทั้งวัน ............ *อยู่อย่างธรรมดา..ดีที่สุด* ท่านเล่าว่า.. ท่านเคยบวชเป็นพระป่าเมื่ออายุ64ปี ไม่มีเงินในกระเป๋าสักบาท แต่.. กลับมีความสุขที่สุด..ท่านว่าอย่างนั้น ฉันอาหารปลอดสารพิษ ข้าวเหนียวแข็งๆกินผักตามรั้วบ้าน ที่.. ชาวบ้านนำมาใส่บาตร มีปลาปิ้ง อาหารไม่ต้องใช้น้ำมัน ระหว่างบวชจึงไม่ต้องกินยา ความดันโลหิตสูง ไม่มี ไตรกลีเซอร์ไรด์ คอเลสเตอรอลปกติ ร่างกายแข็งแรงน้ำหนักหายไป 8 ก.ก ท่านกล่าวว่า... ทำไมอยู่อย่างอดอยากแต่ร่างกายกลับแข็งแรงขึ้น ท่านมีบ้านอยู่ที่เพชรบุรี สร้างแบบไทยๆเย็นสบาย..ไม่เหมือนบ้านสมัยนี้ ลอกแบบฝรั่งมากเกินไป สถาปนิกคงจะมาจากต่างประเทศ ใช้หลักการที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน เช่น.. ถ้าไม่มีพลังงานก็ใช้อะไรไม่ได้ การออกแบบตึกสมัยใหม่.. น่าจะออกแบบให้ใช้ได้แบบยั่งยืน เช่น.. ใช้แสงธรรมชาติ ที่สะท้อนไปมาได้ มีการถ่ายเทอากาศ ใช้ธรรมชาติให้มากที่สุด ลดการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่ายเรื่องการดูแลรักษา การกำจัดน้ำเสียก็เช่นกัน แทนที่จะต้องเสียพลังงานไปสร้างโรงบำบัด ก็ใช้ธรรมชาติช่วยบำบัด ใช้พืช เช่นพุทธรักษาบำบัด และ.. ทำให้เกิดการตกตะกอน ตะกอนก็เป็นจุลินทรีย์เน่าสลายไปเป็นปุ๋ย เลี้ยงต้นไม้ ต้นไม้ดูดซึมซับโลหะหนัก ที่.. ถ่ายทอดออกมาเป็นคาร์บอนมอนออกไซด์ นี่คือขบวนการตามธรรมชาติ ท่านกล่าวว่า.. คนทำร้ายธรรมชาติมาก จนธรรมชาติเตือนเช่นเกิดวาตภัยเกิดอุทกภัย ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อทรัพย์สินและชีวิต เรารังแกธรรมชาติมากเกินไป ความจริง.. ธรรมชาติเขาสร้างขึ้นมาให้อยู่กับมนุษย์อยู่แล้ว ให้.. อยู่อย่างราบรื่น อย่างยั่งยืน แต่เดี๋ยวนี้ คนดูต้นไม้เป็นซุง ดูเป็นเงิน ถ้าดูเป็นซุงก็ตัด ถ้าดูต้นไม้ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมก็ไม่ตัด รักษาถนอมไว้ *ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ทำลายมนุษย์* บริโภคจนทรัพยากรธรรมชาติ ไม่สามารถจะสนองตอบได้ ตอนนี้.. ก็เริ่มทำสงครามแย่งชิงทรัพยากรกันแล้ว *สงครามน้ำมัน* อีกหน่อยก็ *สงครามแย่งน้ำ...เพราะไม่พอ ................... สูงสุดคืนสู่ธรรมชาติ ท่านกล่าวว่า.... มีการ์ตูนฝรั่งล้อว่า มีคนจนฝรั่งใส่หมวกฟางตกปลาอยู่ อีกช่องถัดไป.. มีรถคาดิแลคมาจอด เศรษฐีแต่งตัวโก้มานั่งข้างคนจน เศรษฐีถามว่า*เรียนหนังสือมาหรือเปล่า จนมากนักหรือ* เศรษฐีเองบอกว่าตนเรียนมาสูง มีอพาร์ตเมนท์หรูหราอยู่ ร่ำรวยแล้วจึงมานั่งตกปลากับยู คนจนบอก... ไม่เห็นต้องลำบากลำบนเลย ไม่ต้องร่ำรวยก็มานั่งตกปลาเหมือนกัน การ์ตูนให้แง่คิดบางอย่าง คนเราตะเกียกตะกาย.. ก็ต้องกลับไปอยู่จุดเดิม พวกเศรษฐีมีเงิน เสาร์อาทิตย์ก็ไปอยู่ชนบทมากมาย ถาม..ว่ามาทำไม ก็บอกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ คนเรา.. จะไปใฝ่หาอะไรที่มันสุดยอดทำไม ในเมื่อลำบากแทบตายกว่าจะได้มา สุดท้าย..*ก็กลับไปอยู่จุดเดิม* คนบางคนสวมใส่นาฬิกา เรือนละล้านเรือนละแสนก็หามาใส่ ใส่นาฬิกาแพงแล้วต้องมานั่งผ่อนแล้วผ่อนอีก พระเจ้าอยู่หัวทรงใส่นาฬิกาเมื่อปี2524 พระองค์ทรงรับสั่งว่าทรงใส่นาฬิกา ใส่แล้วโก้ ราคา 750 บาท พระองค์สูงสุดแล้วเราอยู่แค่นี้ ทำไม... ต้องโรแหลกตลอดเวลา โรแหลกกระเป๋าแหลก ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป ทางการองค์การสหประชาชาติพูดเรื่อง GNH (Gross Nationnal Happiness) จะไม่เอาตัวเงินมาวัดอีกแล้ว แต่จะวัดด้วย..*เครื่องชี้วัดความสุข* ประเทศแรก.. ที่กล้าประกาศวัดด้วย GNH คือประเทศภูฏาน มี.. ปัจจัย 4 มีอาหารการกิน คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ภูฏาน เขากำหนดคนเข้าประเทศของเขาดวย เพราะพื้นที่เขามีแค่นี้ ถ้าเศรษฐีจะมาเที่ยวต้องจ่ายเงินมาซื้ออากาศ เราไปต่างจังหวัดกันคือไปซื้ออากาศ *ข้อคิด ชีวิตแบบธรรมดา..ตามธรรมชาตินี้ ไม่ว่าท่าน ไปบรรยายที่ไหน ท่านจะตั้งไว้สิบเปอร์เซนต์สำหรับผู้นำไปปฏิบัติ ร้อยคนมีสิบคนนำไปปฏิบัติ ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว และ.. หากเป็นจริงที่ท่านอาจารย์คาดหวังไว้ เชื่อได้ว่า.. ประเทศไทยจะมีคนถึง 6ล้านคน.. ที่เปี่ยมด้วยประโยชน์สุข เช่นเดียวกับพลเมืองภูฏาน..* ............... และ ทั้งหมดนี่คือสิ่งที่สาวนา ได้เพียรพยายามที่จะนำมาสอนจิตสอนใจ สอนผู้ชิดใกล้ในดวงใจเท่าที่จะทำได้ และ.. สาวนาตั้งใจไว้ว่า จะนำบทความนี้ ไปน้อมนมัสการถวาย..ให้หลวงพ่อที่วัดเทศน์ออกอากาศ ให้ญาติธรรม กัลยาณมิตรทางธรรม ได้รับทราบรับฟัง พร้อมบทกวีจากมิ่งมิตรคนดี ที่เกี่ยวกับ*สวรรค์สรรสร้างทางงาม* ให้สม.. กับที่เรายังมีลมหายใจในโลกหล้า ได้เพียรปรารถนา สร้างสมแต่กุศลจิตคิดทำแต่ในสิ่งดี ตราบยังมีลมหายใจ.. และ.. พร้อมพลีเพียร...รักษา ศีลทานภาวนา..อย่าให้ขาด ให้ดวงใจใสสว่างพิไลพิลาสแสนสะอาดบริสุทธิ์ กระจ่างดุจดั่งได้แผ้วถาง ทางแห่งธรรม .. ให้มานำทางใจ..ไปตามรอยพระบาทแห่ง สมเด็จพระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย แล... เมื่อยามใดดวงชีวี พลัน..ถึงกาลเวลาจำพราก จำต้อง.. ลาลับดับดวงไปดั่งเปลวเทียนระริบหรี่ไหวแล้ววูบวับ ก็ให้มีเพียงจิตจับ เดินไปตามรอยเบื้องพระบาทแห่งพระศาสดา ที่ทรงยุรยาตรไปก่อนหน้าแล้ว ให้จิตวิญญาณใสดั่งดวงแก้วนิรมิต ที่จักเปรียบประดุจ *ดั่งอัญมณี*..ที่จักสถิตไปตราบชั่วนิจนิรันดร........... ............. http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song400.html ฝากดิน ดินเจ้าเอ๋ยข้าเคยอยู่ใกล้มาก่อน ดินอุ่นร้อนหรือเย็นก็เป็นเพื่อนฉัน ยามเมื่อเขาร้างไป ไกล ใจก็ยังนึกหวั่นหวั่น นี่อีกสักกี่วันถึงมา ดินอ้างว้างระทมขื่นขมตรมเศร้า ดินก็เหมือนเช่นเรารักเขาหนักหนา เขาเป็นเหมือนเจ้าดวงใจ ดินเรียกเขาคืนมา มา บอกเขาเถิดดินจ๋าข้าคอย อภัย เถิด ดิน ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม อภัย เถิด ดิน ได้แนบซบไอกลิ่น ดินนั้นอุ่นไม่น้อย อุ่นอกเขา อุ่นอกเขา เราก็พลอย อุ่นจากรัก ที่ฝังรอย อุ่นไม่น้อย ประทับใจ ดินช่วยซับน้ำตาข้าขอลาจาก ช่วยฝากซากรักเศร้าของเราได้ไหม ถ้าหากเขาไม่มาเยือน คงได้พบรักใหม่ ใหม่ ดินถมร่างฉันไว้ ให้จม... ............... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song162.html กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูหมิ่น ชาวนาเหมือนดั่งตาสี เอาผืนนาเป็นที่ พำนักพักพิงร่างกาย ชี วิตเอย ไม่เคยสบาย ฝ่าเปลวแดดแผดร้อนแทบตาย ไล่ควายไถนาป่าดอน เหงื่อรินหยด หลั่งลงรดแผ่นดินไทย จนผิวดำเกรียมไหม้ แดดเผามิได้อุธรณ์ เพิง พักกายมีควายเคียงนอน กลิ่นโคลนสาบ ควายเคล้าโชยอ่อน ยามนอน หลับแล้วใฝ่ฝัน กลิ่นโคลนสาบควายเคล้ากายหนุ่มสาว แห่งชาวบ้านนา ไม่ลอยเลิศฟ้าเหมือนชาวสวรรค์ หอมกลิ่นน้ำปรุงฟุ้งอยู่ทุกวัน กลิ่น กระแจะจันทร์ หอมเอยผิวพรรณนั้นต่างชาวนา อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย อย่าดูถูก ชาวนาเห็นว่าอับเฉา มือถือเคียวชันเข่า เกี่ยวข้าวเลี้ยงเราผ่านมา ชี วิตคนนั้นมีราคา ต่างกันแต่ชีวิตชาวนา บูชา กลิ่นโคลนสาบควาย...
เดือนเสี้ยวลอยคว้างกลางฟ้า ลีลาวดีปลิดกลีบระรินร่ำ ดาวพรายดงกระถินร่ายรำ สาวนามองฟ้าฝันแล้วถอนใจ เพลงสงกรานต์ลอยลมมากับฟ้ากว้าง นาร้างรออ้ายอยู่หนไหน สัญญาจะซื้อทองมาคล้องใจ หลงสาวกรุงหรือไรจึงไม่มา หวังก่อเจดีย์ทรายหมายเคียงข้าง อย่าแรมร้างลาไกลให้ห่วงหา ดอกจานบานรอใจคนไกลตา สาวบ้านนายังรักยังภักดี จุดฟืนไล่ริ้นไรริมคอก กระซิบบอกเจ้าทุยเคยขี่ เพลงขลุ่ยลับลาหนาวราตรี จันทน์กะพ้อพลีกลิ่นเศร้ารานร้าวใจ จุดเทียนทองบนหิ้งพระอธิษฐาน ถวายบัวบานด้วยใจใส ตั้งสมาธิภาวนารักษาใจ รอฟ้าใหม่กราบแม่พ่อพร้อมขอพร ........................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html เสียงไก่ขันก้อง พร้องเสียงนกการ้องกระจิ๊บๆรับอรุณรุ่ง สะเทือนทุ่ง สะเทือนนา ยามฟ้าเริ่มสลัวสลัวเลือนลาง กับ.. ฟ้าใกล้สว่างรำไรรำไร.. กลิ่นลั่นทมริมหมอน...หอมพร่าง มาอวลปลุกให้สาวนา..รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา... และ... กับดวงดาราราย.. สาวนา...ค่อยๆยิ้มพราย รับ.. สายแสงจันทราที่ยังค้างฟ้า ที่พร่างพาสายแสงแสนหวาน หว่านแสงสีเงินยวงระยับระยิบ มาโลมไล้ร่างให้พริบพราวสว่างนวลพอกัน ในท่ามวิมานฝัน วิมานนา กระท่อมไพร วันนี้ เป็นวันสุกดิบก่อนวันมหาสงกรานต์ วันแห่งประเพณีไทยโบราณ ที่แสนงามนัก หากทว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่านไป ลูกหลานไทยกลับ ทำในสิ่งน่าเศร้าใจแทน ด้วยสนุกสนานสราญใจจนขาดสติ และ.. ทุกปี.... ก็จะเกิดการพรายพลัดพรากจากจบ เจ็บนับหลายร้อย ให้คนทั้งโลกหล้าต่างพากันตกตะลึง คิดไม่ถึงว่า...ด้วยเหตุใดเล่า เมืองแห่งความงามพราวไสวด้วยรอยยิ้มอย่างจริงใจ และ.. เมืองแห่งพระพุทธศาสนาไท ที่เน้นย้ำสอนเรื่องจิตภายใน ให้ถึงพร้อม ด้วยศีล ทาน ภาวนา ว่า.. จักมีคนหนุ่มสาวมากหน้าพากัน หลงเมามาย จนไร้สติสตังค์ ให้แม่พ่อสิ้นหวัง ยังไม่ทันได้ฝากผีฝากไข้ ยังไม่ทันได้เกาะชายผ้าเหลืองลูกชายเลย ก็.. มาลาเลยเลือนลับดับไปด้วยความประมาท ฝากไว้เพียงหยาดน้ำตา อย่างไม่สมค่าคน ที่แสนโชคดีที่ได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ยังไม่ได้เพียรภาวนา พาตนพ้นทุกข์ พบสุขว่างกระจ่างจิต ให้ลมหายใจแห่งชีวิตหนึ่งชาติสูญเปล่า.. จนช่างแสนน่าเศร้าใจ..สะเทือนใจ... ปีนี้ วันสงกรานต์เป็นวันอาทิตย์ นางสงกรานต์จะมีนามว่า "ทุงษะเทวี" ทัดดอกทับทิม ประดับอาภรณ์ด้วยปัทมราช ภักษาหารผลมะเดื่อ(อุทุมพร) พระหัตถ์ขวาทรงจักรซ้ายทรงสังข์ และทรงครุฑเป็นพาหนะ ปีนี้พืชพันธุ์ธัญญาหารในเรือกสวนไร่นา ไม่สู้งอกงามนัก สาวนา...จึงแสนห่วงใย กับคำพยากรณ์ที่ว่า พืชพันธุ์ธัญญาหารในเรือกสวนไร่นา ไม่สู้งอกงามนัก เพราะหมายถึงภักษาหาร ที่จักหล่อเลี้ยงคนทั้งแผ่นดินให้อิ่มท้องนั้น จักราคาแพงเสมือนแกล้ง ให้คนจนยากยิ่งหนักเข้าไปอีก สำหรับ... ดวงใจสาวนานั่นไซร้.. ทุกเช้าค่ำ เพียรฟังคลื่นวิทยุธรรมทานสีขาว ที่.. เฝ้าเพียรสอนให้เรารู้ทันเท่า.. เฝ้าตามดูจิตเกิดดับณ..ภายใน ไม่ว่า... จะทุกผัสสะใดมากระทบ จักต้องรู้จบรู้วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น...ไม่ว่าสุขเศร้า ดีร้าย... คล้ายให้ผ่านๆไป ประดุจดั่งสายน้ำไหล ให้.. มีเพียงจิตดวงใส มีเพียงความเป็นกลาง จึงจะพบความว่างกระจ่างสว่างสะอาดสงบ พบเพียงใจดวงนิ่งนิ่ง ลำพังแสนงาม เช้านี้ ... สาวนาจึงตั้งใจไปวัด ไปน้อมนมัสการอัฐิหลวงพ่อ ไปก่อเก็บเกี่ยว..เพียงหอมบุญ..ให้หนุนนำจิตให้ไสว ไปถวายพวงมาลัยดวงดอกไม้ กราบกรานองค์พระประธานองค์โตในโบสถ์คร่ำ แล้ว.. น้อมนำจิตพลี..สวดมนต์ภาวนาสมาธิ ก่อน.... จะถึง..วันพรุ่งนี้...ที่สาวนาจักเดินทาง ไป*บ้านทะเล...* ไปดูดวงดอกไม้บานหวานเหว่ว้าริมทาง ที่.. คงพร่างพรายสีสันหลากหลาย ร่ายฟ้อนอ้อนสายลมร้อนแห่งคิมหันตฤดู ไป.. นอนเหนือเนินทรายดูเกรียวเมฆแสนหวาน ไปดูดวงดอกดกตระการปาริชาติสีแดง ไป.. แฝงตัวนั่งริมหาดทราย ดูคลื่นเคลียไคล้ไล้โลมโถมถาโอบกอดชายฝั่ง ไป.. ฟังเสียงสนครวญ ไปชมมวลหมู่นกนางนวลปีกขาว..แสนอิสราเสรี ที่พากันผกโผผินบินโฉบเหยื่อ เหนือฟองคลื่นพราว ระลอกพลิ้ว ที่ค่อยๆทอยทอดมารัดร้อยฝากรอยจูบผืนทราย ไปเดินดายเดียว ให้ริ้วสายลมพัดผมกระจาย..อย่างไร้สิ้นพันธนาใด ไป.. ปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ในวาดวงทะเลแสนงาม ในท่ามโลกแล้งร้ายรายรอบเพียงนั้น..! ................... http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song5453.html สงกรานต์บ้านนา ...สุขสันต์ วันสว่าง ประเพณีไทย เมื่อสมัย ครั้งเก่าก่อน เล่น แอบซ่อน รูปหลวง พวงมาลัย ตรุษ สงกรานต์ สนาน สนุกกัน พอใจ พี่ วิ่งไล่ น้องก็หลบ เมื่อ พบหน้า พี่ เข้ากอด น้องยังออด ทำ เอียงอาย คืน เดือนหงาย พอพี่จูบ น้อง ทุบพลาง นอน หนุนตัก สัญญารัก ข้าง กองฟาง จน แสงเดือนจาง พี่ไม่ยอมห่าง น้องไปไกล ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์ เดือนอ้าย ย่างเข้าเดือนยี่ แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่ ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์ รัก กัน มา แต่เมษา วันที่เก้า เศร้า ปีนี้เศร้า ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน คืน วัน เพ็ญ แสงเดือนเด่น เป็นพยาน กลับเถิด นงคราญ มาเล่นสงกรานต์ ที่บ้าน นา เรา ลืม น้ำคำของพี่ เสียหมด พี่คงอด เที่ยววันสงกรานต์ เดือนอ้าย ย่างเข้าเดือนยี่ แล้ว น้องหนีพี่ไปไหน หรือเจ้า ไปมีแฟนใหม่ ลืมเราวิ่งไล่ ในวันสงกรานต์ รัก กัน มา แต่เมษา วันที่เก้า เศร้า ปีนี้เศร้า ขาดคู่เคล้า เศร้าซมซาน คืน วัน เพ็ญ แสงเดือนเด่น เป็นพยาน กลับเถิด นงคราญ มาเล่นสงกรานต์ ที่บ้าน นา เรา...