27 ธันวาคม 2548 15:40 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
(น้ำตาเทียน)
...........
ยิน...เสียงจำปีกระซิบร่ำรำพันพ้อ
จำจากกอจากกิ่งทิ้งยอดขวัญ
จำปีพร้อมพรายพลัดพรากจากอ้อมภักดิ์ชั่วนิรันดร์
จำร้างฝันแรมไกลในวันนี้
ปล่อยผู้คนใจแล้งไร้หมายปลิดขวัญ
ไร้สวรรค์ไพรพฤกษ์ทุกถิ่นที่
ไม่รู้จักรักแมกไม้มากไมตรี
ใจดวงที่แล้งไร้คล้ายทะเลทราย
จำปีเอ๋ยเคยภิรมย์ดมดอมเจ้า
ทั้งค่ำเช้าเคล้ากมลหอมวนหมาย
ดั่งมิ่งมิตรสนิทใจมิเว้นวาย
ตราบวันตายหมายจำปีมิแรมไกล
สาวบ้านนาเพียรฝึกจิตชีวิตนี้
ปลูกไมตรีมิยึดมั่นขวัญหวั่นไหว
โลกและคนสิ้นไร้ธรรมน้อมนำใจ
ลมหายใจเหลือเเสนสั้นวันของเรา
พลีโอบเอื้อเผื่อแผ่ทุกสรรพสิ่ง
รักธรรมจริงธรรมชาติใช่ขลาดเขลา
งามภายนอกหากไร้ใจรักลำเนา
สักวันเราคงไร้โลกโศกสิ้นแล้ว
มีเพียงทะเลทรายคล้ายภาพฝัน
คงเงียบงันสิ้นงามน้ำค้างแก้ว
ราวสุสานโลกโศกสะเทือนเลือนลมแผ่ว
หมดหวานแว่วบทเพลงรักภักดีใด
เพราะหัวใจมวลมนุษย์สุดยากหยั่ง
ยังเซซังแสนเศร้าเคล้าหวั่นไหว
ไม่เคยพบสัจจะธรรมน้อมนำใจ
ดั่งบัวใจจมใต้โลกช่างโศกนัก
ในอ้อมโอบแห่งรักภักดิ์รวงเรียว
ยามดายเดียวไพรพฤกษ์ได้ทายทัก
ทุกทิวาราตรีหวานนานเนานัก
หากต้องหักลืมปีหวานให้ผ่านไป
เหลือเพียงรอยทรงจำดั่งไม้ทิพย์
ปลูกสถิตนิจนิรันดร์ขวัญไสว
ไม้มงคลสอนกมลให้งามกลางกอใจ
เนื้อดินใดไหนเล่าจะเท่าทัน..
เป็นไม้ทองครองจิตชีวิตหนึ่ง
เป็นที่พึ่งตรึงใจในยามฝัน
ผลิผลพราวราวอัญมณีเพชรตราบนิรันดร์
เป็นนาขวัญสวรรค์ใจไปชั่วกาล....
.........................
สาวบ้านนา..
ผู้รักรวงเรียวทุ่งนาและป่าเขา
ลำเนาไพรและแมกไม้ไพรพฤกษ์
ทั้งสายน้ำรักนิรันดร์
อันแสนบริสุทธิ์ใสงามเงียบ
ได้..
รจนาบทกวีบทนี้
พลีพร้อม
กับน้ำตาเทียนน้ำตาทอง
น้ำตาจากคลองใจที่กำลังไหลระรินหลั่ง...
ในท่ามราตรีกาล
ดึกดื่นดายเดียว
ที่แสนเปลี่ยวเหงาในดวงใจ..
แสนสิ้นศรัทธาในชีวีวิถีผู้คนจนเศร้าโศกสะเทือน..
................
บทนี้บันดาลมาจากความโศก
ที่สาวบ้านนาจำต้องตัดใจ
ตัดต้นจำปีสูงใหญ่
เคียงกระท่อมไพรวิมานวนา..
ที่ให้..
ร่มเงารักพักอาศัย
ได้เอนอิงแอบอุ่นโอบใจ..
มานานวันมานานปี
จน..
ได้สร้างเรือนรังแห่งรักเอาไว้..
เพื่อได้อาศัยรจนางานงาม
ในท่ามธรรมชาติ..เงียบสงบ..
และ...
จากเหตุผลที่น่าเศร้านัก
มิจำจักอยากอธิบาย
ให้หายลับลาเลือนไปกับน้ำจิตน้ำใจคน
ผู้หลงโลกย ์ ฝากโศกทำลาย
ทำร้ายแม้นพฤกษ์ไพร
ที่ดวงใจช่างแสนมืดบอด...
และ..
มาตรแม้น..
ฟ้าดินมีดวงตา..
คงแสนเวทนามวลหมู่มนุษย์
ที่..
เห็นงามภายนอกหลอนหลุดลวงโลก
นั้นแสนยิ่งใหญ่กว่างามธรรม...งามธรรมชาติ...
สาวบ้านนา..
มิปรารถนาให้เกิดบทเรียน
อันรันทดท้อต่อทุกทุกข์ผู้คน
ผู้มีจิตดวงหลงแล้งไร้
คล้ายทะเลทรายเข้าไปทุกทีทุกที..แล้ว
ไร้...สิ้น..
ใจดวงแก้วดวงทองดวงธรรม
มิรู้รักผ่องพรรณรายพันธุ์ไม้แมกไม้ใบบัง
และเรียวรวงข้าวกล้าในนาทอง..
ร่มไม้ไร่นา..
ที่มิเคยเกลียดชังผู้ใด
มี..
เพียงให้ร่มเงาอาศัย
ให้อิ่มท้อง
แลให้
อวลอากาศที่แสนสะอาดสดชื่นไว้หายใจชุ่มฉ่ำ
ก่อน..
ชีพชนม์เรานี้...ที่แสนสั้น
จะต้องพลีสิ้นไปกับดินน้ำลมไฟ..
และ...
นั่นคือธรรมชาติ...
ที่แสนยิ่งใหญ่ที่เราไม่เคยตระหนักชัด
แม้นจะวนกลับมาสอนบทเรียนซ้ำๆซากๆ
ฝากไว้ไม่รู้สักกี่หนกี่คราว...แล้ว
และ..
จนกว่าจะทิ้งผู้คนบนผืนโลกนี้
ให้หนาวเหน็บเจ็บร้าวเศร้ามิสิ้น
ไปตราบชั่วนิจนิรันดร์...
..............
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song213.html
น้ำตาเทียน ทูล ทองใจ
คืนหนึ่งฉันนอนสะท้อนดวงใจ
เห็นน้ำตาเทียน หยดไหล
เหมือนใครหลั่งน้ำ ตานอง
ในกระท่อมเหมือนดังเป็นวังเวียงทอง
ฉันนอนทอดถอนใจมอง
น้ำตาเทียนนอง หยดไหล
เพียงหยดหนึ่งน้ำตาเทียนเวียนวน
เหมือนน้ำตาใครหนึ่งคนเข้าดลสู่สิง ดวงใจ
ครั้นเราคู่พนอเดินคลอกันไป
ฉันเคยเศร้าช้ำใจได้
ว่าเธอร้องไห้คร่ำครวญ
เทียนหลั่งน้ำตาไหล ลงมา
หยดหนึ่งเทียนเสียน้ำตา ยิ่งพาให้มีแสงนวล
น้ำตานางไหลคราง คร่ำครวญ
อาบลงแก้มน้องเนื้อนวล ยิ่งชวนฉันรัญจวนใจ
อดีตไม่ลับดับลงสักที
เห็นเทียนเรืองรองต้องมีทวีโศกหวลครวญไห้
มองเทียนหลั่งน้ำตาลงมาคราใด
ฉันทนปวดร้าวดวงใจ
จากไปแล้วแก้วตาเอย...
................
7 ธันวาคม 2548 08:58 น.
สาวบ้านนา
ฟ้าใกล้ค่ำแล้ว
เสียงนกกาเริ่มร้องเพรียกหาพากันผกโผผินบินพรู
มุ่งสู่รวงรักแห่งรัก
สาวนานั่งพิงตาลเดี่ยวเดียวดายทอดตานิ่งเศร้า
ดูบึงบัว
ที่ณ..บัดนี้ไร้ฝนพร่าง
จนบัวดอกงามที่เคยสดฉ่ำได้รับพลังหยาดน้ำฟ้า
มาชุบชื่นชูดูเหี่ยวแห้งคาบึง...
ไร้สิ้นมวลหมู่แมลงภู่ผึ้งภุมรินทร์บินมาดอมดม
ปล่อยให้เพียงสายลมแล้ง มาลาไล้คล้ายปลอบประโลม
ท้องฟ้าเบื้องบนดูเทาทึมราวกับซึมเศร้าคิดถึงทุ่งข้าว
คราวออกรวงไสวสีทองงามผ่องไปทั่วทั้งท้องนา..
สาวนานั่งน้ำตาพรายบนเรียวแก้มซูบ
ยกมือลูบไล้คล้ายเพียรบอกกับใจตัวเอง
อย่าท้อแท้ แพ้พ่ายกับวันคืนฤดูกาลที่มีทั้งดีร้าย
เฉกเช่นฤดีผู้คน
ที่หมุนวนหมุนเวียนเปลี่ยนแปรผันไปเช่นเฉกกัน
วันนี้รัก พรุ่งนี้ชัง
วันนี้ไร้หวัง พรุ่งนี้อาจจะดีกว่า
และ...ทุกสิ่งอย่าง
ขึ้นอยู่กับกาลเวลาจะเยียวยา
รอเวลาสมานประสานรอยแผลใจ
ไม่ว่าทุกข์บทเรียนใด จะเลือนรอย....
วันแรกรัก ..
มักลืมหลงมักพะวงคิดเพียงด้านเดียว
ด้านดี...
หากพอถึงวันที่รอยใจแปร ..รอยไถแปร..
แม้นเพียรฝากดีพลีให้สักเท่าไร
ทุกหยดหยาดน้ำใจ...
ก็ดั่งถมทับลงบนกลางดวงใจ
ที่แล้งไร้ คล้ายดั่งทะเลทราย ไร้ซึมซับ
รับแล้วหาย..รับแล้วหาย........มลาย..ไป...
พระพิรุณ..ใสดั่งหยาดน้ำค้าง
ดั่งหยาดพร่างจากน้ำตานางฟ้า
ที่..
ยอมเหว่ว้าเททุ่ม ให้โลกรุ่มร้อนได้จางคลาย
ให้มีสายน้ำรักนิรันดร์
หวังจักปันพลีคืนกลับแด่โลกนี้
ที่คือ..
ความดีไร้ผู้ใดรับรู้ หากยังคู่ฟ้าดินเสมอมา
ดั่งดวงตาสวรรค์ที่คอยเฝ้ามอง
แม้นนางฟ้าจะต้องเสียใจหลั่งพลีน้ำตาตราบชั่วฟ้าดินสลาย..
สาวนา...
เดินช้าช้า ช้าช้า พาร่างไปยังโบสถ์คร่ำ..วัดไร้ร้าง
ทว่ายังแสนงามแสนยิ่งใหญ่
ในพลังใจพลังแห่งความศรัทธาปสาทะ
ในดวงใจบริสุทธิ์ใสซื่อของสาวนา
สาวนา...มีเพียงบัวบูชาแล้งน้ำ
ที่เหลือรอด มาเพียงดอกเดียว..!
เบื้องหน้า..
คือพระพุทธรูปองค์โตสีทองสุกปลั่ง
ที่ทอดพระเนตรลงมาราวกับกำลังเมตตาสาวนา
ผู้สิ้นไร้ใคร ไร้ใจ
..*ไม่มีแม้คำตอบจากสวรรค์ *..
หาก..
สาวนาก็ยังเพียรที่จะคิดทำความดี
ไปตามวิถีแห่งสาวนา ที่มาตรแม้นว่าใครไม่เห็น
สาวนาก็แสนเย็นใจแสนชื่นในหัวใจ
ไม่ว่า...
ความเสียใจใด ความไม่เข้าใจใด
สาวนาจะไม่กักเก็บไว้นาน
จะปล่อยให้ไหลผ่านไปประดุจดั่งสายน้ำ
สาวนาจุดเทียนทองพริบพราว
จนภายในโบสถ์ราวอาบด้วยทองทา
พระพักตร์พระพุทธสะท้อนแสงพราวราวกับภาพทิพย์
จากสวรรค์นิรมิตมาลอยเลื่อนเยือนหล้า
มาฝากน้ำพระทัยมากพระพระเมตตาพระมหากรุณาธิคุณ
ส่องละมุนให้ห้องหัวใจสาวนา
ยิ่งงามกล้างามกระจ่างสว่างหมดจด
ดุจดั่งอัญมณีไพร..
ที่จักไม่มีวันที่ผู้ใดจะทำร้ายได้นาน
ในน้ำตาแห่งปิติเกษมเงียบงามตามลำพัง
สาวนา..สวดมนต์ด้วยพลังเสียงหวานเศร้า
ปานประหนึ่ง...
ให้พลังเสียงนั้น
ดังไปถึง...
สวรรค์แลฟ้าดินสิ้นทั้งอินทร์พรหมได้รับรู้
ชีวิตนี้..
ลูกจะอยู่จะยังมีลมหายใจเพื่อ..ทำความดี..
พลีเพื่อทำหน้าที่อย่างดีที่สุด
แม้นประดุจดั่งปิดทองหลังพระ
ตราบจนกว่า...ผืนดินจะกลบหน้า..พสุธาจะกลบร่าง
และ..
วางใจดวงว่างของลูก...ในอ้อมโอบแห่งพระพุทธา...หัตถาสวรรค์...ไปตราบชั่วนิจนิรันดร..!
5 ธันวาคม 2548 06:10 น.
สาวบ้านนา
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
แผ่นดินของเรา..บ้านของเรา)
................
ในคืนที่ฟ้านวลพราว
ด้วยดวงดาวดาริกาดารารายนับหมื่นพัน
หาก..ไยเล่า...!
ที่ดูยังพ่ายแสง
เมื่อเทียบกับแรงรัศมีแห่งความ
จงรักภักดีทั่วแคว้นอาณาเขตประเทศไทย*แดนสุวรรณภูมิพุทธ*
ที่..
พลีพร้อมใจกันน้อมศิระกรานกราบแทบเบื้องธุลีพระบาท
พระผ่านฟ้าผ่านหล้า
เพื่อเทิดพระเกียรติ..ถวายพระพรชัย..
แด่พระพ่อหลวงแห่งปวงชนชาวไทย
เป็นคืน..
ที่แสนน่าอัศจรรย์ใจด้วยพลังพลานุภาพ
ที่อาบเอิบไปทั่วทั้งสกนธ์
จากเหนือจรดใต้
ที่ฉาบไล้ฉายด้วยพลังรัศมีสีทองจากแสงเทียนผ่องพราว
นับหลายสิบล้านดวง
ภาพผู้คนในแดนดินแห่งพุทธภูมิ
ที่ต่างร่วมกันจุดเทียนถวายพระพรชัย
และ..
ต่างหลอมรวมใจกันเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเกี่ยวร้อย
แสดงความสมานสามัคคี
ที่..
มาจากจิตวิญญาณ
แห่งความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ..ดั่งหยาดน้ำฟ้า
ดับแล้งไร้ทุกหย่อมหญ้า
ให้..
โลกหล้า..สิ้น..ทั้งฟ้าดินสิ้นอินทร์พรหม..ได้ทรงสดับ..
รับรู้ถึงความกตัญญุตา
อันเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเปรียบประมาณ..
สาวนา...
นั่งสมาธิตั้งแต่ย่ำรุ่ง
เพื่อน้อมจิตมุ่งเพียรอธิษฐานจิต
ให้...ทุก...
ลมหายใจปัจจุบันแห่งชีวาชีวิตนิดน้อยหนึ่งนี้ที่ยังมี
ได้รวมพลังเพื่อตั้งมั่น สร้างคุณธรรม ทำความดี
ตามรอยพระบาท..ตามรอยพระบรมศาสดา
ที่..
สาวนาคนหัวใจซื่อ เชื่อมั่นเทิดศรัทธาไว้เหนือหัว
ว่าคือสิ่งที่ล้ำค่าเกินกว่าสิ่งใดในหล้าโลกนี้แล้ว
ราวมีดวงแก้วณ..กลางใจ
ราวมีดวงเพชรไสวลอยนำทาง
ที่แสนพร่างพรายประกายเจิดจรัสเหนือฟ้าไทย
ด้วยรัศมีใสฉ่ำเย็น โชติช่วง
ดั่งดวงแสงทองส่องแสงธรรม
ให้..
พบเส้นทางแสนงามล้ำแสนสะอาดสว่างสงบสมถะ..
และ..
เราคนไทยทุกดวงใจ..
แสนโชคดี สักเท่าไรแล้ว
ที่...
ได้เกิดมาพบทั้ง..ร่มฉัตรและร่มพระรัตนตรัย
ที่..ทั้งกางกั้นทั้งกายใจและจิตวิญญาณ
มิให้หลงทาง มิให้หลงผิด
ใช้ชีวิตสูญเปล่าไปกับกาลเวลา
ที่คงมิรอท่าเรา ...
นอกเสียจาก..ต้องเริ่มทำทุกสิ่งด้วยความเพียรพลี
ราวกับทุกเวลานาทีแห่งความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม
เพื่อเตือนใจมิประมาท
สาวนา..
หมอบกราบ..รับฟังพระราชดำรัส
ที่ทรงตรัส เพื่อสร้างมิ่งขวัญ
กำลังใจแด่ทุกหมู่พสกนิกรไทย
ในค่ำคืนที่ผ่านมา
ด้วยหยาดน้ำตาแห่งความปิติเกษม
พร้อมสัญญากับใจตัวเองว่า
จะทำความดีพลีถวายตราบชีพนี้จะสิ้น
อย่างข้าแผ่นดิน อย่างรู้จงรักภักดี
ให้สมกับที่ได้เกิดมา
ในแผ่นดินอันแสนสงบร่มเย็นเป็นสุข
มาแสนช้านาน ...
และ...
เพื่อให้ผืนดินอันแสนอุดมด้วยข้าว
ในนาราวรวงทองรวงเพชรพราวยังคงประดับหล้า
ได้หล่อเลี้ยงผู้คน..มิใช่เพียงคนไทยเพียงนั้น
หาก..
ยังได้ส่งไปเลี้ยงผู้คนทั่วโลก ให้มิอดตาย..
ด้วยพลังแห่งหยาดเหงื่อเลือดเนื้อน้ำตา..แห่งภูมิปัญญาไท
คนที่..
ใครบางคนคิดว่าไม่ศิวิไลซ์
และ...กับแรงควายไทยที่นับวันจะสูญพันธุ์
และ..
หาก..วันหนึ่ง...น้ำมันหมดแผ่นดิน
คนคงหันมาตระหนักชัด ...ซึ่งก็อาจจะสายเกิน..!
ฉะนั้น..
จงร่วมด้วยช่วยกันขวยขวาย
อย่างที่พระองค์ท่านทรงฝากไว้ว่า
*ให้เพียรหาพลังงาน
จากน้ำมันปาล์มมารอทดแทน*
ให้..
อย่างน้อยแผ่นดินไทย
ไม่ขาดแคลนลำบากอย่างนานาอารยะชาติ
หาก...เราเพียรพยายามเริ่มต้น ..
และ..
นี่คือ..
พระราชปณิธาณที่มากล้นคุณค่า
ที่ทุกดวงใจทุกจิตวิญญาณไทย
ควรจักสำนึกว่า ช่างทรงมีพระปรีชามองการณ์ไกล
และ..
คือพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงมากล้นน้ำพระทัย
ที่มิเคยทรงท้อแท้ยอมแพ้พ่ายยอมพลีพระวรกาย
เพื่อทรงทำสงครามกับความยากจน มาตลอดพระชนม์ชีพ..
สาวนา...
ซึ่งเปรียบประดุจดั่งธุลีหล้า
จึงได้เพียง...
สวดมนต์ภาวนาทุกค่ำคืน
ให้ผืนแผ่นดินไทยแผ่นดินทองแห่งผองเรานี้
ได้ครองสงบสุข พ้นทุกข์วิปโยคจากผองภัยนานา
ให้..
ผองชน คนไทยทั้งหล้าได้หันหน้ามาปรองดองกัน
ได้รู้ธรรม รักธรรมชาติ
ฉลาดมีสติปัญญาที่จะใช้ชีวิต
ให้ได้สถิตพึ่งพาพึ่งพิงอิงโอบเอื้อกันไปตราบจนกัลปวสานต์
เ
พื่อ..
ให้ลูกหลานเหลนโหลนไทยภายหน้า
ยังได้มีฟ้าธรรม ฟ้าไท..
คุ้มใจคุ้มร่าง อย่างแสนน่าภาคภูมิใจ...
เมื่อเอ่ยถึงบรรพบุรุษไทย..อันมิเคยสิ้นสุดยอมพลีเลือดหลั่งทา
เพื่อรักษาผืนมาตุภูมิอิสรา นี้...เอาไว้ได้ ... เอาไว้ให้....!!!!!
..................
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song510.html
แผ่นดินของเรา สันติ ลุนเผ่
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
ใกล้ไกล
ย่อมเป็น ของเรา ชาติไทย
เลือดไทยไหลโลม ลงดิน
ใครหมิ่น ศักดิ์ศรี คนไทย
ย่อมมีวัน สักวัน ให้ไทย
ล้างใจ อัปรีย์
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
แผ่นดิน ของเรา
ย่อมเป็น ของเรา อยู่ดี
ที่ใด ย่อมเป็นของไทย อยู่ดี
หากเชือดเฉือนไป คราใด
ย่อมแสน หวั่นไหว ชีวี
ปฐพี แหลมทอง ช่วยกัน
คุ้มครองป้องกัน
สัก วันต้องคืนกลับมา
มั่นใจ เถิดหนา
ขอพลี ชีวารักษาชาติไทย
ชาติไทยคู่ฟ้า
เลือดทา แผ่นดิน...
http://www.thaipoem.com/forever/ipage/song314.html
บ้านเรา สุเทพ วงศ์กำแหง
บ้าน เรา แสน สุขใจ
แม้จะอยู่ ที่ไหน
ไม่สุขใจ เหมือนบ้านเรา
คำ ว่าไท ซึ้งใจ เพราะใช่ ทาสเขา
ด้วยพระบารมีล้นเกล้า
คุ้มเรา ร่มเย็น สุขสันต์
รุ่ง ทิพย์ ฟ้า ขลิบทอง
พริ้วแดดส่อง สดใส
งามจับใจ มิใช่ฝัน
ปวง สตรี สมเป็นศรีชาติ เฉิดฉัน
ดอก ไม้ชาติไทยยึดมั่น
หอมทุกวัน ระบือ ไกล
บุญ นำพา กลับมาถึงถิ่น
ทรุดกายลงจูบดิน ไม่ถวิลอายใคร
หัว ใจฉัน ใครรับฝาก เอาไว้
จาก กัน แสน ไกล ยังเก็บไว้ หรือเปล่า
เมฆ จ๋า ฉัน ว้า เหว่ ใจ
ขอวานหน่อยได้ไหม
ลอยล่องไป ยังบ้านเขา
จง หยุดพัก แล้วครวญรับฝาก กับสาว
ว่าฉันคืนมาบ้านเก่า
ขอยึดเอา ไว้เป็น เรือน ตาย
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า "สาวบ้านนา"
* ๕ ธันวาคม ๒๕๔๘ *